ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
ความรุนแรง การสะกดรอยตาม มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย
และความหลากหลายของกิจกรรมทางเพศ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 50 ความหวานผิดที่ผิดทาง
เหยียนจี้รู้สึกว่าสองวันนี้ตัวเองเป็นเหมือนเพื่อนออกกำลังกายมืออาชีพ
ชายหนุ่มดื่มน้ำหนึ่งอึกขณะมองดูหนานอี่วิ่งลู่ด้วยสีหน้าเย็นชาติดต่อกันมาสี่สิบห้านาทีแล้ว ความจริงเหยียนจี้อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อคืนพอหนานอี่กลับห้องไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ดื่มน้ำหน่อยไหม”
หนานอี่มองน้ำแร่ที่เหยียนจี้ยื่นให้ก่อนกดปุ่มหยุดเครื่อง ถอดหูฟัง รับขวดน้ำมาดื่มหนึ่งอึก “ขอบใจ”
“เมื่อคืนดื่มเยอะขนาดนั้น ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เหยียนจี้ถาม
หนานอี่ใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อพลางเดินไปที่ห้องอาบน้ำพร้อมเขา “เปล่า แค่อยากออกกำลังหน่อย”
เหยียนจี้ผงกศีรษะ เลิกถามมาก
เพราะต่อให้เขาถามหนานอี่ไปก็ไม่ได้อะไร ปากของหมอนี่ปิดสนิท ไม่มีหลุดสักประโยค เหยียนจี้เลยตัดสินใจว่าจะหาโอกาสไปเลียบๆ เคียงๆ ทางฉินอีอวี๋ดู
แต่ใครจะรู้ว่าหนานอี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน แถมยังพูดแบบลังเลด้วยว่า “พี่จี้…”
“หืม?”
หนานอี่นิ่งไปก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ผมจะถามว่าเดี๋ยวจะไปกินมื้อเช้าด้วยกันไหม”
“เมื่อคืนเสี่ยวหยางดื่มจนเมาแอ๋ ลุกไม่ขึ้น บอกให้ฉันเอาขนมปังมะพร้าวไปฝาก เดี๋ยวพออาบน้ำเสร็จฉันจะตรงไปซื้อขนมปัง คงไม่ได้กินข้าวที่โรงอาหาร”
“โอเค”
ไม่ว่ายังไงเหยียนจี้ก็คิดไม่ถึงว่าหนานอี่ที่ปกติชอบฉายเดี่ยวจะเสนอตัวไปซื้อขนมปังกับเขา แต่ตลอดทางมือเบสหนุ่มกลับไม่พูดอะไรเลย
แถมหนานอี่ยังซื้อขนมปังไส้ครีมสดสตรอเบอรี่แบบที่อัดครีมแน่นๆ ด้วย
นี่มันขนมปังที่ฉินอีอวี๋ชอบกินไม่ใช่เหรอ
“นายมีอะไรอยากถามฉันหรือเปล่า” ในที่สุดตอนอยู่ในลิฟต์ที่พาพวกเขากลับห้องพัก เหยียนจี้ก็ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามด้วยท่าทางจริงจังแบบพี่ชายคนโตผู้รู้ใจ
หนานอี่หันมามองเขาแวบหนึ่ง
ติ๊ง…
ประตูลิฟต์เปิด แต่หนานอี่ยังไม่พูดอะไร
“ไม่มีอะไร” หนานอี่เดินนำออกไปก่อน “ผมแค่…หลับไม่สนิท”
หลับไม่สนิทเหรอ เหยียนจี้มุมปากกระตุก เขายิ้มพลางมองเงาแผ่นหลังของหนานอี่ที่เผ่นหนีไป
จะโกหกก็ดันโกหกไม่เป็น
หนานอี่ยืนอยู่หน้าประตูเพื่อเตรียมใจอยู่สิบวินาทีเต็มๆ เนื่องจากเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเขาเพิ่งจะเผ่นหนีออกมาจากที่นี่แบบกระเซอะกระเซิง
มือเบสหนุ่มมองอาหารเช้าในมือ สูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง การขอโทษแค่ปากมันดูไม่จริงใจเลยสักนิด อย่างน้อยเขาก็ควรซื้อของกินมาหน่อย เผื่อว่าถ้าได้กินไปคุยไปอะไรๆ อาจจะดีขึ้น
ทว่าวินาทีถัดมาหนานอี่กลับต้องนึกเสียใจอีกครั้ง
ทำไมถึงต้องขอโทษด้วย ในเมื่อฉินอีอวี๋ก็ไม่เคยขอโทษที่ละเมอมาปล้ำจูบเขาเหมือนกัน แถมยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วย
แต่ก็จริงที่ฉินอีอวี๋ไม่ได้รู้เรื่องอะไร
แต่พอไม่รู้ก็ไม่ผิดเหรอ แบบนี้ถ้าละเมอไปฆ่าคนก็ไม่ต้องรับโทษประหารหรือไง
บางทีฉันอาจไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ
ในสมองเหมือนมีคนสองคนโต้เถียงกัน ทำเอาหนานอี่จะเป็นบ้า เขาเลยได้แต่ยืนบื้ออยู่ที่หน้าประตูอย่างนั้น ไม่ยอมเปิดประตูสักที
จนประตูเปิดเอง
ฉินอีอวี๋ที่อยู่ข้างในกับหนานอี่ที่อยู่ข้างนอกมองกันตาปริบๆ และอีกสามวินาทีต่อมาหนานอี่ก็ถูกฉินอีอวี๋ฉุดเข้าห้องไปด้วยรอยยิ้มแล้วปิดประตูดังปัง
หนานอี่ยังไม่ทันได้พูด เพราะในสมองยังคงเถียงกันเรื่องที่เขาควรขอโทษหรือไม่อย่างดุเดือด แต่ฉินอีอวี๋กลับกอดเขาหมับ
ทำให้เสียงทั้งหลายหายไป เหลือเพียงเสียงของฉินอีอวี๋ที่ดังวนเวียนอยู่ที่ข้างหูเขา
“นายกลับมาแล้ว พอตื่นมาไม่เห็นนาย ฉันก็หาอยู่ตั้งนาน”
“เดี๋ยวก่อนนะ ผม…” หนานอี่พยายามผลักเขาออกห่าง แต่กลัวว่าถ้าออกแรงเยอะเกินไปจะทำให้ขนมปังไส้ครีมสดในกล่องคว่ำ
ผิดกับฉินอีอวี๋ที่ได้คืบจะเอาศอก เขาซบหน้าเข้าที่ซอกคอของหนานอี่เพื่อสูดกลิ่น “นายอาบน้ำเสร็จแล้ว”
จั๊กจี้
หนานอี่หลบ
หยุดก่อน
มือเบสหนุ่มพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ แต่ดูเหมือนฉินอีอวี๋จะไม่ได้คิดแบบนั้น พอเขาสังเกตเห็นกล่องขนมที่หนานอี่ถืออยู่ก็ตาเป็นประกาย
“นี่ซื้อมาให้ฉันเหรอ”
“อืม…” ก็เรื่องจริงมันเป็นแบบนั้น
ทำไมนายถึงได้รักฉันขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อคืนจูบกันจนหมดแรงผล็อยหลับไป ตอนเช้ายังช่วยไปซื้อมื้อเช้ามาให้ฉันอีก
ฉินอีอวี๋หยิบมื้อเช้าไปจากมือของหนานอี่อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเหวี่ยงตัวเขาไปที่เตียง “นายกินมื้อเช้าหรือยัง”
หนานอี่ส่ายหน้า เขานั่งประจันหน้ากับฉินอีอวี๋อยู่ที่ขอบเตียง ถึงจะมีเรื่องอยากพูดเยอะมาก แต่ทุกอย่างกลับติดอยู่ในลำคอ
เมื่อคืนเขาไม่ควรดื่มเลยจริงๆ
เมื่อเช้าตอนที่หนานอี่ตื่นขึ้นมาเห็นแจ็กเก็ตของโรงเรียนอยู่บนพื้นก็รู้ว่าฉิบหายแล้ว ถึงหนานอี่จะอยากหาโอกาสบอกฉินอีอวี๋มาตลอด แต่เขาไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังตอนที่ตัวเองไม่มีสติ หนานอี่อุตส่าห์เก็บซ่อนเรื่องทุกอย่างไว้อย่างดี เพื่อที่จะได้สารภาพออกไปอย่างเป็นทางการ มีสติครบถ้วนมากกว่านี้
ความทรงจำหมุนติ้วอยู่ในสมอง หนานอี่จำภาพที่ตัวเองจับคอเสื้อฉินอีอวี๋มาจูบได้อย่างชัดเจน แถมเรื่องน่ากลัวคือมันเป็นจูบแบบใช้ลิ้น หลายครั้งด้วย…
เรื่องนี้ต้องโทษอาการละเมอสมควรตายของฉินอีอวี๋
ที่หนานอี่จูบแบบใช้ลิ้นเป็น เพราะหัดมาจากฉินอีอวี๋นี่แหละ
หรือพอเมาฉันก็ตั้งใจจะหาโอกาสเอาคืน? หนานอี่ไม่เข้าใจว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่กันแน่
“กินไหม”
ความคิดถูกดึงกลับมาที่ปัจจุบัน สตรอเบอรี่ที่ถูกผ่าเป็นสี่ส่วนถูกส้อมเสียบยื่นมาจ่อที่ริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ
ดวงตาสีดำขลับดูผิดไปจากปกติ ไม่มีความเจ้าเล่ห์แสนกล ไม่มีความไม่แยแสโลก ภายในเต็มไปด้วยประกายอ่อนโยน เปี่ยมสุข คล้ายกำลังคาดหวังบางสิ่ง
หนานอี่หลุบตามองสตรอเบอรี่เคลือบน้ำเชื่อมแวบหนึ่ง
“ฉันรู้ว่านายไม่ชอบกินของหวาน แต่ขนาดสตรอเบอรี่ก็ไม่ชอบด้วยเหรอ สตรอเบอรี่ถือว่าเป็นผลไม้นะ” ฉินอีอวี๋ถาม
ตอนแรกหนานอี่จะปฏิเสธ เขาเป็นคนที่ปฏิเสธเก่งมาก
แต่ยกเว้นกับฉินอีอวี๋
หนานอี่ไม่ได้อ้าปากทันที แต่เอามือไปรับส้อมมากินเอง
เปรี้ยวมาก
เขากินเปรี้ยวไม่ได้เลยทำหน้ายู่
ฉินอีอวี๋หัวเราะออกมาทันที นักร้องหนุ่มยิ้มเหมือนสมัยอยู่ชั้นมัธยมปลาย หนานอี่ถูกรอยยิ้มนั้นทำให้ตาพร่า สติหลุดลอยไปชั่วขณะ แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือฉินอีอวี๋จะยื่นมือมาประคองใบหน้าของเขา หอมแก้มฟอดหนึ่ง
หนานอี่ตัวแข็ง ไม่รู้สึกถึงรสเปรี้ยวอีกต่อไป
“นายน่ารักจัง”
ประโยคนี้ทำให้หนานอี่คิดถึงคำว่า ‘นายสวยมาก’ เมื่อคืน
มือเบสหนุ่มเกือบสำลัก
ในฐานะคนที่เกิดมาแล้วเก่งเรื่องการขีดเส้นแบ่งเขตแดนกับคนอื่นๆ มาตั้งแต่เล็กจนโต หนานอี่ไม่ชอบใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมากจนเกินไป ตอนเด็กๆ หนานอี่หน้าตาน่ารัก เวลาที่เพื่อนร่วมงานของพ่อมาเป็นแขกที่บ้านเลยอดเข้ามาเล่นกับเขาไม่ได้
มีครั้งหนึ่งคุณน้าที่สนิทกันหอมแก้มเขาฟอดหนึ่งอย่างห้ามใจไม่อยู่ หนานอี่วัยสี่ขวบก็หน้าตึง พูดเสียงขึงขังว่า ‘คุณน้าครับ ผมไม่ชอบให้คนอื่นหอมแก้ม อย่าหอมได้ไหมครับ’
หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องตลกที่พ่อกับแม่เอามาล้อเขาเล่นอยู่บ่อยๆ
พอโตเป็นผู้ใหญ่หนานอี่ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ซีเรียสเรื่องความสะอาด มีเส้นแบ่งเขตชัดเจน ไม่ชอบให้คนอื่นใช้ของของตัวเองและไม่ชอบทำตัวใกล้ชิดกับใครมากเกินไป ต่อให้เป็นฉือจือหยางก็ทำได้แค่โอบไหล่
ยกเว้นฉินอีอวี๋
ฉินอีอวี๋ชอบเดินเฉียดโซนระเบิดที่หนานอี่สร้างขึ้นด้วยสีหน้าทะเล้น ไม่สิ เขาถึงขั้นเข้ามาเต้นแท็ปในพื้นที่แห่งนี้ แถมยังหันหน้ามาขยิบตาให้หนานอี่อย่างภาคภูมิใจ แล้วตะโกนบอกด้วยว่า ‘นายเป็นคนสนุกจริงๆ!’
แล้วไงต่อน่ะเหรอ หนานอี่ที่เก็บตัวอยู่กลางโซนระเบิดต้องตกใจที่พบว่าระเบิดทุกลูกด้านไปหมดแล้ว
เขาไม่สามารถทำอะไรฉินอีอวี๋ได้เลย
เวลาเผชิญหน้ากับคนคนนี้ ได้เห็นฉินอีอวี๋อ้าปากกว้างกินขนมปังไส้ครีมสดสตรอเบอรี่ หนานอี่ในวัยสิบแปดปีกลับไม่สามารถบอกให้อีกฝ่ายหยุดได้เหมือนเด็กอายุสี่ขวบ
เรื่องน่ากลัวคือเขาตอบสนองต่อครีมที่เปื้อนมุมปากฉินอีอวี๋เป็นอย่างแรก และเขาอยากจะเช็ดออกให้
หนานอี่ตกใจตัวเอง
เขาจึงหันหน้าหนีทันที มือเบสหนุ่มบังคับตัวเองให้ทบทวนถ้อยคำที่ได้ไตร่ตรองซ้ำๆ ระหว่างอยู่บนลู่วิ่ง เพื่อจะได้รีบเคลียร์เรื่องไม่เหมาะเมื่อคืน แต่พอเปิดปากเขากลับเผลอเลือกคำพูดที่โคตรตรงโคตรบ้าออกมาแทน
“เมื่อคืนผมดื่มหนักมาก”
ฉินอีอวี๋มองหน้าเขา กะพริบตาที่ดูคล้ายสัตว์ตระกูลแมว นักร้องหนุ่มมองจ้องสีหน้าเขินอายที่หาดูได้ยากของหนานอี่ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็หลุดขำออกมา
“นายรู้สึกไม่ดีเหรอ” ฉินอีอวี๋แลบลิ้นเลียครีมที่หนานอี่กำลังให้ความสนใจอย่างยิ่งก่อนพูดต่อว่า “เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกตินะ มีอะไรให้ต้องรู้สึกผิดด้วย”
เป็นแฟนกันก็จูบกันได้นี่ เพียงแต่จำนวนครั้งที่พวกเราจูบกันเยอะกว่าคู่รักที่เพิ่งตกลงคบกันเท่านั้น
แต่ใจของหนานอี่กลับไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้
การเมาแล้วไปกอดจูบคนอื่นจนขึ้นไปอยู่บนเตียง มันปกติตรงไหน
หรือจะบอกว่าฉินอีอวี๋เจอเรื่องนี้มาเยอะจนชิน?
เป็นอีกครั้งที่หนานอี่คิดถึงข้อมูลที่ตัวเองเอามือถือไปแอบเสิร์ชหาในห้องน้ำหลังลุกขึ้นจากเตียง
เขาไม่มีคนที่ไว้ใจได้ให้ถามเรื่องแบบนี้ ฉือจือหยางใสซื่อยิ่งกว่าเขามาก ทั้งชีวิตหมอนั่นยังไม่เคยลูบมือผู้หญิงด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเมาแล้วทำตัวรุ่มร่ามกับใคร เพราะพอฉือจือหยางเมาก็เอาแต่ร้องเพลง เต้นเบรกแดนซ์ตามถนนอย่างเดียว
หนานอี่เลยต้องเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตโหมดไม่เปิดเผยตัวตน
‘ถ้าเมาแล้วเผลอไปจูบคนอื่นต้องทำยังไง’
มีคำตอบหลุดโลกมากมาย มีทั้งให้ไปสารภาพความผิดเพื่อขอโทษก่อนพูดคุยกัน มีทั้งให้ตีเนียนเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น…ซึ่งไม่ช่วยอะไรเลย
‘คนเราพอจูบกันแล้ว ยังเป็นเพื่อนธรรมดากันต่อได้ไหม’
คำถามนี้ยิ่งน่าขำ โพสต์แรกที่เจอคือการวิเคราะห์จักรราศีที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่หนึ่งแถวพาดอยู่บนรูป
‘ราศีธาตุไฟ* ต้องคบกันก่อนถึงจูบได้ไม่ใช่เหรอ’
หนานอี่มองจ้องประโยคนั้นอยู่สามวินาที
เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวง คิดว่าดวงเป็นเครื่องมือตีกรอบอัตลักษณ์
แต่พอได้เห็นปฏิกิริยาของฉินอีอวี๋ในตอนนี้ เขากลับเชื่อ
คนราศีสิงห์อย่างพวกคุณ…
“ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดี ผม…”
ผมไม่ได้ตั้งใจจะจูบคุณ ช่วยลืมเรื่องนั้นไปได้ไหม ถือซะว่าผมเมาแล้วทำตัวรุ่มร่ามได้หรือเปล่า
แต่เขาก็พูดเรื่องพวกนี้ออกไปไม่ได้จริงๆ เพราะมันฟังเหมือนแบดบอยที่ฟันแล้วทิ้ง
ฉับพลันนั้นก็มีเสียงพูดคุยของฉือจือหยางกับหลี่กุยดังมาจากหน้าประตู ทำให้หนานอี่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นทันที
“ผมไม่อยากให้เรื่องนี้ทำลายสมดุลภายในวง มันอาจจะกระทบการประกวดของพวกเรา เพราะฉะนั้น…”
ถือซะว่าเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นเถอะ
ฉินอีอวี๋เห็นด้วยง่ายกว่าที่หนานอี่คิดไว้ “โอเค”
นักร้องหนุ่มกลืนขนมปังลงคอ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองใบหน้าของหนานอี่ ยิ้มเหมือนแมวยักษ์ที่ถูกลูบขนจนอารมณ์ดี “ให้แอบใช่ไหม ฉันเข้าใจ เมื่อก่อนฉันรู้จักวงดนตรีจากเฉิงตู* วงหนึ่ง มือเบสของวงนั้นมีซัมธิงกับมือกลองเลยต้องแอบคบกันไม่ให้ใครรู้”
แอบ?
แอบคบกัน?
“นายสบายใจได้” ฉินอีอวี๋ยกมือขึ้นสาบานอย่างจริงจัง “ฉันจะไม่บอกใคร”
มือที่ฉินอีอวี๋ยกขึ้นมาคือมือซ้าย แต่เพราะเป็นมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่สามารถพับนิ้วก้อยลง นักร้องหนุ่มจึงเปลี่ยนไปใช้มือขวาอย่างรวดเร็วเพื่อชูนิ้วสาบานอีกครั้ง
ทว่าหนานอี่กลับเริ่มรู้สึกปวดใจกับสิ่งเล็กๆ เหล่านี้
ส่วนฉินอีอวี๋ดูมีความสุขจริงๆ เหมือนเด็กชายที่ได้ของเล่นแสนรักมาไว้ในครอบครอง ซึ่งมันทำให้หนานอี่อดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้อยากคบกับเขาจริงเหรอ
“ฉินอีอวี๋” หนานอี่เรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ “คุณอยากให้เป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ”
ฉินอีอวี๋วางมือข้างที่ยังชูนิ้วสาบานลง พูดยิ้มๆ “จริงสิ ฉันอยากมากแบบมากๆ เลย” เนื่องจากฉินอีอวี๋ยังเลียครีมที่เลอะปากไม่หมดทำให้เขาดูเซ่อซ่า แต่น้ำเสียงกลับจริงใจอย่างยิ่ง “ขอแค่นายพอใจ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
พอความไร้เดียงสามาปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนที่คร่ำหวอดอยู่ในสังคมที่ต้องชิงไหวชิงพริบกันแล้วดูมีเสน่ห์มากจริงๆ
ที่นอกหน้าต่างมีเสียงนกร้อง ฮีตเตอร์ในห้องร้อนจนฝ่ามือของหนานอี่มีเหงื่อบางๆ ผุดขึ้น เขารู้ว่าต่อให้ตัวเองสร้างปราการที่สูงกว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นมาอีกครั้ง ฉินอีอวี๋ก็สามารถหาบันไดที่เหยียดยาวอย่างไร้ขีดจำกัดมาปีนข้ามได้เสมอ ฉินอีอวี๋จะปีนขึ้นมานั่งแกว่งขาอยู่บนกำแพง ยิ้มและโบกมือพลางตะโกนเรียกชื่อเขา
‘นายหนีไม่พ้นหรอก’
หนานอี่ถอนหายใจเบาๆ
“คุยกันก่อนนะ”
ตัวนายถึงฆาตแล้วยังจะไปต่อรองกับเขาอีก เสียงหนึ่งดังอยู่ในหัว
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายคือฉินอีอวี๋นะ อีกเสียงหนึ่งบอก
หนานอี่หลุบตาลงมองตัวเองไถลลงไปในกับดักที่มองเห็นได้ง่ายแสนง่ายแบบชัดๆ
พอเปิดปากขึ้นอีกครั้งเสียงของมือเบสหนุ่มก็เบาเหมือนแทรกออกมาจากไรฟัน “มากที่สุด…คือจูบ”
แต่ใครจะรู้ว่าพอฉินอีอวี๋ได้ยินคำนี้แล้วจะยิ้ม เขายิ้มอย่างจนใจเล็กน้อย ทำเอาหนานอี่งง
“หนานอี่” ฉินอีอวี๋เอาขนมปังที่ยังกินไม่หมดไปวางไว้ด้านข้าง ใช้สองแขนยันข้างตัวหนานอี่ ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นจนปลายจมูกของทั้งคู่เกือบชนกัน จากนั้นไม่ถึงครึ่งวินาทีฉินอีอวี๋ก็เบี่ยงหน้าไปกระซิบถามเสียงแผ่วที่ข้างหูของหนานอี่ว่า “ฉันดูเป็นคนหื่นขนาดนั้นเลย?”
หนานอี่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วขึ้น แต่เขาไม่อยากติดกับดักของฉินอีอวี๋เลยจับหน้านักร้องหนุ่มออกห่างจากตัวเอง เปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณจะตกลงไหม”
ฉินอีอวี๋ที่ถูกบีบหน้าผงกศีรษะอย่างว่าง่าย “โอเค”
การคบกันแบบค่อยเป็นค่อยไปคือจริยธรรมอันดีงามของลูกผู้ชาย
ฉินอีอวี๋บีบมือของหนานอี่ที่บีบแก้มเขาอยู่เบาๆ หนานอี่เข้าใจว่าตัวเองบีบแก้มฉินอีอวี๋จนเจ็บเลยปล่อยมือ แต่คิดไม่ถึงว่าฉินอีอวี๋จะจับมือเขาไปจับที่คอตัวเอง
รอยสักที่ชวนให้ลุ่มหลงนั่นอีกแล้ว ทุกความผิดปกติล้วนเริ่มต้นจากจุดนี้ หนานอี่สัมผัสได้ว่าลูกกระเดือกของฉินอีอวี๋กำลังกลิ้งขึ้นลงอยู่ที่กลางฝ่ามือของเขาอย่างมีชีวิตชีวา มีสติแจ่มใส และยินดีที่จะถูกควบคุม
หนานอี่มองดูรอยสัก จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นมองฉินอีอวี๋พร้อมเลิกคิ้วสูง “คุณจะทำอะไร”
“จูบฉันหน่อยสิ” ฉินอีอวี๋ชะโงกหน้ามามองริมฝีปากของหนานอี่ ใช้น้ำเสียงอ้อนวอน “จูบเหมือนเมื่อคืน”
นักร้องหนุ่มพูดจบก็ชิงประทับจูบก่อน แม้จะเป็นแค่การจูบเบาๆ ครั้งเดียว แต่กลับปลุกความทรงจำมากมายเมื่อคืนขึ้นมา หนานอี่นิ่วหน้า ทำตาโต แต่วินาทีถัดมาฉินอีอวี๋ก็ยกมือขึ้นปิดตาข้างที่ไม่มีที่ปิดของเขาไว้
นักร้องหนุ่มแทรกลิ้นเข้าไปในร่องปากของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล หนานอี่ถูกบังคับให้ชิมรสครีมที่ไม่ได้กินมานาน มันทำให้เขาฉุกคิดถึงภาพที่ฉินอีอวี๋ฉลองวันเกิดให้เขาในความมืดครั้งล่าสุด เปลวเทียนสาดส่องใบหน้าของเขา กลิ่นลูกพลับหอมหวาน
ทว่ามันกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะรอบนี้หนานอี่ได้รสเปรี้ยวจากสตรอเบอรี่ผสานกับรสมิ้นต์จางๆ
ในตอนแรกหนานอี่ยังต่อต้านอยู่บ้าง แต่การรุกเข้ามาของฉินอีอวี๋นั้นเป็นไปด้วยความนิ่มนวล ไม่มีการใช้กำลังหรือบีบบังคับอย่างตอนละเมอ ทำให้หนานอี่ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ การมีสติจึงเป็นเหมือนการเหวี่ยงกำปั้นใส่ดอกฝ้าย*
ปลายลิ้นถูกเกี่ยวออกมาอย่างเชื่องช้า สมองที่ไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปก็ถูกดึงออกมาพร้อมกัน เหมือนครั้งก่อนคล้ายมีบางสิ่งพยายามคืบคลานออกมา ไม่ยอมรับการควบคุมจากเขา
ฉับพลันนั้นหนานอี่รับรู้ได้ว่ามือของฉินอีอวี๋แตะไปที่ช่วงเอวตน มันจั๊กจี้มาก เขาตั้งใจจะหลบตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกจับท้ายทอยไว้
“ถ้าจะหยุด…ให้หยิกฉัน”
จังหวะการพูดและน้ำเสียงของฉินอีอวี๋นั้นราวกับท่องมนตร์สะกด หนานอี่คิดอย่างว้าวุ่น
ทั้งที่นิ้วของอีกฝ่ายแตะถูกจุดที่เปราะบางที่สุดของเขา แต่หนานอี่กลับทำอะไรไม่ได้
จนเขี้ยวถูกลิ้นเลีย หนานอี่ตัวชาวาบไปหนึ่งวินาทีก่อนใช้ฟันงับตามสัญชาตญาณ
กลิ่นคาวเลือดทะลัก ฉินอีอวี๋เจ็บจนร้องคราง ถอยห่างออกไปก้มหน้าลงแล้วใช้มือปิดปากตัวเอง หนานอี่ขยับมือตามทันที ตั้งใจจะแกะมือของฉินอีอวี๋ออกเพื่อดูแผลให้
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เป็นสิ” ฉินอีอวี๋พูดเสียงอู้อี้ เพราะยังไม่ได้เอามือออก “เมื่อคืนนายไม่เห็นกัดฉันเลย”
เลิกพูดเรื่องเมื่อคืนได้ไหม…
หนานอี่ปวดหัวแล้ว
“อย่าแตะฟันผม” หนานอี่พูดเสียงต่ำ “ตำแหน่งอื่นได้หมด”
ฉินอีอวี๋เงยหน้า “ฟันนายเซนซิทีฟมาก ฉันรู้”
“คุณเงียบไปเลย”
“ขอลองแก้โรคบ้าจี้ดูได้ไหม”
หนานอี่อยากหนีไปจากตรงนี้ “ผมไปล่ะ”
“ไม่เอาน่า” ฉินอีอวี๋ดึงมือเขาไว้ “ยังคุยกันไม่จบเลย”
“ยังมีเรื่องอะไรอีก”
“เรื่องจูบ” ฉินอีอวี๋พูดแบบหน้าไม่อาย “เมื่อคืน…”
“เลิกพูดถึงเรื่องเมื่อคืนได้แล้ว” สุดท้ายหนานอี่ก็ทนไม่ไหว ต้องตัดบทพร้อมเตือนอีกฝ่ายว่า “คุณบอกว่าจะทำทุกอย่างเพื่อผมไม่ใช่เหรอ งั้นผมขอคุณอย่างเดียวเลย แต่ละวันให้จูบได้มากที่สุดสามครั้ง”
ฉินอีอวี๋ร้อนใจ “กี่ครั้งนะ”
บนหน้าผากของเขามีเครื่องหมายคำถาม
ใครบ้างที่มีแฟนแล้วยังต้องตั้งกฎว่าแต่ละวันจูบได้กี่ครั้ง ให้จูบได้วันละสามครั้งแบบนี้ มันรักใสๆ เกินไปไหม
หนานอี่ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์ซะหน่อย ทำไมถึงหน้าบางขนาดนี้
เมื่อคืนที่นายกอดฉัน งับฉันสิบกว่าครั้งคือถูกผีเข้าเหรอ
“สามครั้ง” หนานอี่ทำหน้าตาเย็นชา “จะเอาไม่เอา ไม่เอาก็ไม่เป็นไร”
เพราะเห็นอีกฝ่ายจะเดินหนีอีก ฉินอีอวี๋เลยต้องรีบคว้ามือของมือเบสหนุ่มไว้พลางยิ้มปะเหลาะ “ไม่เอาน่า โอเค ฉันยอมนายทุกอย่างแล้ว ฉันสัญญา” นักร้องหนุ่มพูดแบบได้คืบจะเอาศอกว่า “ค่อยเริ่มพรุ่งนี้ได้ไหม”
หนานอี่ลุกขึ้นยืน “เริ่มตอนนี้เลย”
แบบนี้เท่ากับหนานอี่กึ่งยอมรับกึ่งปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดานี้ สมองพยายามจะทำให้ความหมายของคำนี้คลุมเครือ แต่เพราะทุกอย่างมันกลับตาลปัตรกะทันหันอย่างไม่มีเหตุผลเกินไปเลยหลุดการควบคุมของเขา
ทั้งที่หนานอี่แค่อยากเป็นสมาชิกในวงของฉินอีอวี๋ เป็นมือเบสที่สามารถเคียงข้างเขาได้ แต่ทำไมถึงเกือบไปนัวเนียกันบนเตียงซะแล้ว
ฉินอีอวี๋จะคิดยังไง ถ้าการที่นักร้องหนุ่มจูบหนานอี่ตอนละเมอนั้นเกิดจากจิตใต้สำนึก ถ้าอย่างนั้นตอนตื่นล่ะ เมื่อคืนฉินอีอวี๋มีสติครบถ้วน การที่เขาจูบหนานอี่เพราะจูบแล้วไม่แย่ หรือรู้สึกดีใช่หรือเปล่า
หนานอี่คิดอะไรที่นอกเหนือจากนี้ไม่ออก
จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาขีดเส้นแบ่งเขต ส่วนที่อยู่ด้านในเส้นคือความต้องการระบายตัณหาอันบริสุทธิ์ ส่วนที่อยู่ด้านนอกเส้นมีแต่ความว่างเปล่า หนานอี่จึงตัดสินใจเลิกคิด เพราะพอข้ามเส้นไปเขาจะนึกถึงภาพการสารภาพรักหลายต่อหลายครั้งที่เคยเห็นบนดาดฟ้าสมัยเรียนอยู่มัธยมปลาย
ทุกครั้งจะจบลงด้วยความผิดหวัง เนื่องจากฉินอีอวี๋เกิดมามีรูปร่างหน้าตาแบบชวนให้ตกหลุมรัก เขาจึงไม่จำเป็นต้องไขว่คว้า ความรักก็เหมือนกับต้นทุนทางสังคมที่มักจะเทเข้าไปในวงแขนของคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องมีมัน
พอมาสารภาพรักแล้วไม่สำเร็จ คนที่มาสารภาพจะอายจนกลายเป็นโกรธ ในขณะที่ฉินอีอวี๋เอาแต่หัวเราะ
‘เธอจะโมโหไปทำไม ฉันเคยแสดงออกว่าชอบเธอด้วยเหรอ’
‘แบบนั้นเรียกว่าชอบแล้วเหรอ ฉันว่าไม่นะ มันเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นต่างหาก’
ต่อมาใครต่อใครพูดกันว่าสวี่ซือมือเบสของวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์มีซัมธิงกับเขา แถมพอมีภาพสวี่ซือเดินออกมาจากบ้านของฉินอีอวี๋ก็มีข่าวลือว่าพวกเขาแอบคบกัน
หนานอี่ในตอนนั้นไม่เชื่อและไม่ให้เครดิตกับเรื่องนี้ เพราะเขามั่นใจว่าฉินอีอวี๋ไม่มีทางตกหลุมรักใคร
ตัวของฉินอีอวี๋เองก็เปิดเผยในเรื่องนี้มาก จากบทสัมภาษณ์กับสำนักวิจารณ์ดนตรีแห่งหนึ่ง มีคำถามประมาณว่า ‘ทำไมวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์ถึงไม่มีเพลงรัก’ หนานอี่ยังคงจำคำตอบของฉินอีอวี๋ได้ไม่ลืม
‘เพราะผมไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ผมคิดว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนในโลกในนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือต้องบอกว่าพวกเขาแกล้งทำเป็นรู้
มนุษย์ต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกให้มีความสุขเหมือนเล่นเกม ซึ่งการเล่นให้สนุกคือสิ่งสำคัญที่สุด เราจะเสียเวลามากมายไปกับการวิเคราะห์ ถอดรหัสกติกาของเกมแทนเหรอ ผมเลยไม่เคยคิดเรื่องความรักคืออะไร ถ้ามันจะเกิดก็เกิด ถ้าไม่เกิดแปลว่าในเกมของผมไม่มีด่านนี้’
หนานอี่คิดว่าบางทีเกมของเขาอาจจะไม่มีด่านนี้เหมือนกัน ทำให้ทุกคนที่มาสารภาพรักกับเขามักจะเจอปฏิกิริยาเย็นชาเกินความจำเป็น
น่ารำคาญชะมัด
ผมไม่ได้อยากให้คุณรัก เพราะผมรักใครไม่เป็นและไม่เข้าใจความรักด้วย
ความรักของหนานอี่เป็นผลผลิตที่เกิดจากความแค้น ยิ่งอาฆาตมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรักพ่อแม่ของตัวเองและรักญาติมิตรทุกคนที่จากไป นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
ฉินอีอวี๋สอนให้เขาเจาะช่องหายใจออกมาจากชีวิตที่แสนอึดอัด สอนเขาว่าอะไรคือร็อก สอนเขาว่าการตามหาใครสักคนแบบข้ามภูเขาข้ามทะเลเป็นแบบไหน สอนเขาให้รู้จักระบายความรู้สึกกระทั่งเรื่องจุมพิต
แต่น่ากลัวว่าฉินอีอวี๋คงสอนเขาไม่ได้ว่าความรักคืออะไร
“รู้ไหม” ช่างแต่งหน้าที่อยู่ข้างๆ หัวเราะหยุดความคิดของหนานอี่ “ตั้งแต่มานั่งตรงนี้เธอถอนหายใจไปสามครั้งแล้วนะ”
หนานอี่มองตัวเองในกระจกแล้วฝืนกระตุกมุมปาก
“ยิ้มแล้วหล่อก็ยิ้มเยอะๆ หน่อยสิ” ช่างแต่งหน้าใช้แปรงแตะลิปสติก ตั้งใจจะทาให้เขา แต่หนานอี่ไม่ชอบการทาลิป
“ฉันรู้ว่าปกติเธอเป็นหนุ่มหล่อหน้าสด แต่วันนี้ต้องถ่ายภาพรวมของวงเธอ มันไม่เหมือนกัน” ช่างแต่งหน้าพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวต้องถ่ายอีพีสอง วงที่ผ่านเข้ารอบจะได้ถ่ายภาพไปโพสต์ลงเวยป๋อ วันนี้เธออดทนหน่อยนะ พอถ่ายเสร็จค่อยลบออก”
หนานอี่ไม่อยากสร้างปัญหาให้กับงานของช่างแต่งหน้าเลยยอมให้ความร่วมมือ
“ปากเธอแห้งมาก” ช่างแต่งหน้าก้มหน้ามองอย่างละเอียด “แถมแตกอีกต่างหาก”
ช่างแต่งหน้าอีกคนก็บอก “เธอก็เหมือนกัน”
หนานอี่มองผ่านกระจกไปอีกด้านหนึ่งแล้วเจอกับสายตาของฉินอีอวี๋
ปกติฉินอีอวี๋จะทำตัวเกียจคร้าน แต่วันนี้นักร้องหนุ่มทำผมทรงใหม่ เสยผมตรงหน้าผากขึ้น เปิดให้เห็นหน้าหล่อเหลา
“เปิดฮีตเตอร์แรงเกิน ปากเลยแห้งน่ะครับ” ฉินอีอวี๋อธิบาย
คำอธิบายนี้พอจะถูๆ ไถๆ ไปได้ เหยียนจี้กับฉือจือหยางที่แต่งตัวเรียบร้อยถูกพาไปที่สตูดิโอก่อน และอีกสิบนาทีต่อมาหนานอี่กับฉินอีอวี๋ก็ตามไป
ช่างแต่งหน้าคอยเดินตามเพื่อรอเติมหน้า คนอื่นๆ ยังดี แต่ผมของฉือจือหยางฟูง่ายมาก พอถ่ายภาพได้ครู่หนึ่งก็ต้องจัดใหม่
ระหว่างที่รอฉือจือหยางพ่นสเปรย์ล็อกทรงผม ฉินอีอวี๋ก็กอดคอหนานอี่แล้วโยกตัวไปมาจนเห็นกล้องโพลารอยด์ในมือผู้ช่วยช่างแต่งหน้า
“อันนี้มีไว้ทำอะไรเหรอ”
“ถ่ายภาพโพลารอยด์เบื้องหลังการถ่ายทำค่ะ เก็บไว้ให้แฟนคลับจับรางวัล”
“เหรอ” ฉินอีอวี๋นึกสนุก “งั้นถ่ายให้เราสองคนสักรูปสิ เอาแบบนี้เลยนะ!”
ฉินอีอวี๋ขยับตัวเอาแก้มไปแนบแก้มของหนานอี่ นักร้องหนุ่มใช้มือที่โอบไหล่ชูสองนิ้วที่แก้มของหนานอี่ ขยิบตาให้กล้อง ดูไม่เหมือนนักดนตรีเลยสักนิด พอเข้าโหมดทำงานแล้วดูเป็นมืออาชีพยิ่งกว่าไอดอลเสียอีก ผิดกับหนานอี่ที่เอาแต่ทำหน้านิ่งตลอด
“งั้นฉันถ่ายนะคะ” ผู้ช่วยเล็งกล้องมาที่ทั้งคู่ และเพราะทั้งสองคนหน้าตาดีมาก เธอเลยอดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพโคลสอัพ
แต่ใครจะรู้ว่าพอผู้ช่วยกำลังจะกดชัตเตอร์ ฉินอีอวี๋กลับโพล่งถามขึ้นมาว่า “ใช้แฟลชหรือเปล่า”
“หา? ใช้ค่ะ ให้ปิดไหมคะ แต่ปิดแฟลชแล้วภาพไม่สวยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ่ายเถอะ”
พูดจบก็เอามือที่ตอนแรกชูสองนิ้วไปปิดตาทั้งสองข้างของหนานอี่อย่างเบามือ
หนานอี่อึ้งงันไปหนึ่งวินาที แต่ภาพโพลารอยด์ออกมาแล้ว ผู้ช่วยช่างแต่งหน้าดึงกระดาษออกจากกล้องมาสะบัดๆ รอจนภาพค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เธอก็ชิงเอามือถือถ่ายภาพโพลารอยด์ใบนี้เอาไว้ก่อน
“รูปนี้ไม่เอาไปจับรางวัลได้ไหม” ฉินอีอวี๋ถาม
“คะ?” ผู้ช่วยกะพริบตาปริบๆ
“รูปดูเหมือนไม่ค่อยดี ขอผมดีกว่า” ฉินอีอวี๋ยิ้มแบบที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ นักร้องหนุ่มเลยได้รูปนั้นมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างสบายๆ
“คุณจะเอารูปนี้ไปทำอะไร” หนานอี่ถาม
ฉินอีอวี๋ยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของเขาว่า “ที่ระลึกวันแรกของเราไง”
หนานอี่มองหน้าเขา แต่ไม่ได้พูดอะไร แค่ยกมือขึ้นลูบหูตัวเองตามสัญชาตญาณ
พวกเขาไม่รู้เลยว่าหลังถ่ายภาพวงเสร็จได้ไม่นาน ผู้ช่วยช่างแต่งหน้าได้โพสต์ภาพโพลารอยด์หนึ่งใบลงบนแอ็กเคานต์โซเชียลมีเดียของตน ไม่ใช่ภาพโพลารอยด์แบบเต็มใบ แต่เป็นภาพที่ถูกคร็อป ไม่เห็นหน้าเต็ม ซูมเห็นแต่แก้มที่แนบชิดติดกัน
ไม่มีแคปชั่น มีแต่อีโมจิรูปหัวใจอันเดียว
ไม่นานแฟนคลับที่ติดตามรายการนี้ก็หาแอ็กเคานต์ส่วนบุคคลนี้พบ พวกเขาแชร์ภาพนี้ไปจากหนึ่งคนเป็นสิบคน จากสิบคนเป็นร้อยคน จำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไฝบนหน้าของทั้งคู่มีเอกลักษณ์มาก ไม่นานพวกเธอก็รู้ตัวพระเอกสองคนในภาพนี้
หลังอีพีแรกออนแอร์ ความเป็นคู่จิ้นฉินอีอวี๋กับหนานอี่กลายเป็นประเด็นร้อนในศึกเครซี่แบนด์ การที่มีภาพนี้ออกมาจึงเป็นการแจกความหวานอย่างเป็นทางการ
ไม่เพียงแค่นี้ยังมีคนสังเกตเห็นความสวีตชวนช็อกอีกอย่างหนึ่งด้วย
‘สวรรค์! ไฝบนหน้าพวกเขาสองคนพอลากเส้นต่อกันแล้วเป็นรูปหัวใจ!’
* ราศีธาตุไฟ ได้แก่ ราศีเมษ ราศีธนู และราศีสิงห์
* เฉิงตู เป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน
* เหวี่ยงกำปั้นใส่ดอกฝ้าย เป็นสำนวน หมายถึงพยายามที่จะใช้เหตุผลเพื่อแก้ไขปัญหาแต่กลับเปล่าประโยชน์
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.