X
    Categories: everYทดลองอ่านท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3 บทที่ 53 #นิยายวาย

ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3

ผู้เขียน :  จื้อฉู่ (稚楚)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ

การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต

ความรุนแรง การสะกดรอยตาม มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย

และความหลากหลายของกิจกรรมทางเพศ

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 53 เกมไขปริศนา

 

บางครั้งหนานอี่ก็คิดว่าหัวใจของฉินอีอวี๋คงไม่มีวันแก่ชรา

ต่อให้เขาถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส ฉินอีอวี๋ก็จะไม่มีวันกลายเป็น ‘ผู้ใหญ่’ ที่ว่างเปล่าและไร้ชีวิตจิตใจ…พวกผู้ใหญ่ที่ถูกกฎเกณฑ์ทำร้ายจนกลายเป็นซากศพเดินได้ ต้องเพิ่งบุหรี่กับเบียร์เพื่อยับยั้งการเน่าเปื่อย จนวันหนึ่งเมื่อโครงกระดูกโครงนี้เสื่อมสลายก็ทรุดหายไปในสุสาน

ฉินอีอวี๋จะไม่เป็นแบบนั้น เพราะเขายังมีความอยากรู้อยากเห็นต่อโลกใบนี้ ซึ่งมันช่วยรักษาความไร้เดียงสาที่แสนโหดร้ายนี้ไว้

นี่คือสิ่งที่ทำให้ฉินอีอวี๋ต่างจากคนอื่นๆ อย่างสุดโต่ง เป็นจุดที่หนานอี่ชอบที่สุด เมื่อก่อนหนานอี่เข้าใจว่าตัวเองรู้จักฉินอีอวี๋ดี แต่ผิดคาด เมื่อฉินอีอวี๋ยอมรับว่าตัวเองรู้เรื่อง ‘เจ้าผีน้อย’ มานานแล้ว ทำให้ภาพลักษณ์ของฉินอีอวี๋ที่อยู่ในใจของหนานอี่กลายเป็นภาพที่สมบูรณ์

ฉินอีอวี๋คือคนที่สนุกกับทุกสิ่งบนโลกเหมือนเล่นเกม

เพราะแบบนี้ตอนที่ได้ยินคำถามนี้ หนานอี่จึงค้นพบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกแตกตื่นลนลานแบบคนที่ถูกจับโป๊ะได้ แต่กลับทอดถอนใจอยู่ในอกว่าฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้

ตอนที่หนานอี่อดทนต่อแสงสะท้อนจากหิมะที่แสนจ้า ยืนอยู่บนยอดเขา ไถสกีลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนที่เขาบอกหลินอี้ชิงว่าอยากตามหาเบาะแสของโจวไหว ตอนที่เขาเดินทางไปยูนนานและทิ้งของขวัญที่ไม่ได้สะดุดตาอะไรไว้ เขาเคยแอบคาดหวัง

หนานอี่เลยจงใจไม่ขอให้หลินอี้ชิงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และจงใจซื้อขนมรสชาติคล้ายกันให้ฉินอีอวี๋ตอนที่พวกเขาหนีออกจากค่ายเครซี่แบนด์ไปด้วยกัน

หนานอี่มีความขัดแย้งอยู่ในตัวสูงมาก เขาไม่ได้อยากให้ฉินอีอวี๋จับผิดเรื่องนี้ได้ทันที แต่ทิ้งเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ไว้

เหมือนที่เขาไม่อยากเปิดเผยด้านมืดที่แท้จริงต่อหน้าฉินอีอวี๋ และคอยบอกตัวเองว่าเขาไม่ได้อยากให้ฉินอีอวี๋จำตัวเองได้ แต่กลับเผลอแอบทิ้งลายนิ้วมือของตัวเองไว้ในหลายช่วงชีวิตของอีกฝ่าย

ถ้าเขาเป็นฮีโร่ผู้แข็งแกร่งในชีวิตของคนคนนี้ไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ขอเป็นเงาที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตประจำวันที่แสนจะปกติธรรมดาของฉินอีอวี๋แทน

เพราะเหตุนี้หนานอี่จึงทำเรื่องที่ฉินอีอวี๋ต้องรู้สึกประหลาดใจและไม่เคยเข้าใจในทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป

เหมือนฆาตกรต่อเนื่องที่พอก่อเหตุแล้วจะทิ้งเบาะแสไว้ พวกเขาไม่ได้อยากหนีรอดจากการจับกุม แต่สนุกกับการถูกวิเคราะห์ ติดตาม เป็นที่จดจำ

หนานอี่ยังคงก้มหน้าอยู่ เขาใช้นิ้วดีดสายเบสเบาๆ น้ำเสียงเฉยเมย

“เคย”

เขาพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองสายตาคาดหวังของฉินอีอวี๋ สายตาของพวกเขาประสานกันสองสามวินาที

“ทำไมเหรอ”

ฉินอีอวี๋ยิ้มจนตาหยีแล้วถามว่า “นายไปที่นั่นเมื่อไหร่ ไปตรงไหน”

ฉินอีอวี๋ไม่เหมือนปลาที่งับเบ็ดเลยสักนิด

เขาใช้มือจับเบ็ดมาเกี่ยวตัวหนานอี่ไว้ไม่ยอมให้จากไป

เพราะอยู่ต่อหน้ากล้องทั้งคู่จึงเริ่มพูดเป็นปริศนา

“ผมเคยไปยูนนานหลายครั้ง” หนานอี่ลองดีดสายเบสสองสามเสียง “คุณถามถึงครั้งไหน”

คราวก่อนตอนที่ถูกซักว่าเขาหาตัวฉินอีอวี๋เจอได้ยังไง หนานอี่เก็บซ่อนความทรงจำบางส่วนไว้และให้คำตอบที่น่าพอใจไป แต่ความจริงเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะตีเนียนเอาตัวรอดไปได้ หนานอี่รู้ดีว่าฉินอีอวี๋จะต้องสังเกตเห็น

หนานอี่นึกภาพของฉินอีอวี๋ตอนที่รู้ความจริงเอาไว้หลายต่อหลายครั้งว่าฉินอีอวี่จะโกรธไหม จะผิดหวังหรือเปล่า หรือเขาจะรู้สึกว่ามันสนุกดี

ซึ่งดูจากตอนนี้…ท่าทางจะเป็นอย่างหลัง

“ทุกครั้ง” ฉินอีอวี๋ยิ้มแล้วเท้าคางกับขอบโต๊ะ เขานั่งเผชิญหน้ากับหนานอี่แบบสบายๆ “อยู่ดีๆ ฉันก็นึกอยากรู้ขึ้นมาว่าที่นั่นสนุกไหม”

“สนุกดี” หนานอี่ตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “วิวสวยมาก”

“อะไรสวย”

“ดอกไม้ ทุกที่มีดอกไม้และผู้คน” หนานอี่ชำเลืองมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง “คนก็สวยเหมือนกัน”

ฉินอีอวี๋นิ่งไปสองสามวินาทีแล้วหลุดขำ เขายิ้มพลางหมอบตัวลงบนโต๊ะ เอียงหน้ามองหนานอี่

ทำไมถึงมีคนที่น่าสนใจแบบนี้นะ

คนอื่นล้วนเป็นหน้ากระดาษที่มองปราดเดียวก็เห็นหมด มีเพียงหนานอี่ที่ต่างออกไป เพราะเขาคือหนังสือที่ต้องไล่อ่านไปทีละบท แถมเนื้อหาในแต่ละหน้าก็น่าทึ่งกว่าหน้าก่อนด้วย

จังหวะที่ฉินอีอวี๋ตั้งใจจะซักต่อ ประตูห้องซ้อมพลันถูกเปิดออกเสียงดังลั่น “อรุณสวัสดิ์!” เจ้าของเสียงคือฉือจือหยางผู้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

มือกลองหนุ่มแทรกตัวไปตรงกลางระหว่างทั้งคู่อย่างไม่ได้สังเกตอะไรเลย พอได้ยินว่าหนานอี่จะเล่นเบส ฉือจือหยางก็ลากเก้าอี้มานั่งเบียดด้วยทันที

“ขอฉันฟังด้วย”

“เอาสิ” หนานอี่ผงกศีรษะ สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างของฉินอีอวี๋เล็กน้อย

ฉินอีอวี๋นิ่งอย่างผิดปกติ ไม่แสดงท่าทีใดๆ กดเรื่องเล็กๆ ที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาไว้อย่างเงียบๆ กระทั่งคนของกลุ่มบีเดินเข้ามาในห้องซ้อมเรื่อยๆ จนห้องซ้อมแน่น ฉินอีอวี๋ก็โน้มตัวลงไปที่ข้างหูของหนานอี่

“คืนนี้ค่อยคุย”

ลมหายใจที่พาคำพูดนี้มาเหมือนจะวนเวียนอยู่ที่ข้างหูหนานอี่อยู่นานมาก ไม่ว่าเสียงเครื่องดนตรีภายในห้องซ้อมจะดังแค่ไหน สับสนเพียงใดก็ไม่สามารถลบมันให้หายไปได้เลย

เวลาอยู่ต่อหน้ากล้องพวกเขาทำตัวไม่ต่างจากคนอื่นๆ เป็นเพียงนักดนตรีสองคนที่อยู่ในห้องซ้อม เล่นเบส เขียนและซ้อมเพลง หนานอี่คุยเรื่องดีเทลการเรียบเรียงกับอาซวิ่น ส่วนฉินอีอวี๋ทบทวนเรื่องเนื้อเพลงสองสามประโยคกับซิ่วเหยี่ยน

สำหรับทุกคนการเขียนเพลงในหัวข้อ ‘การบูลลี่’ ไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตทุกคนต่างต้องเคยได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อยและพยายามจะก้าวผ่านมัน แต่ตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องเปิดแผลพวกนี้ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

แต่นี่เป็นจุดร่วมเพียงหนึ่งเดียวของนักดนตรีที่มีสไตล์แตกต่างกัน เป็นความเชื่อมโยงทางความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

 

ตอนใกล้เที่ยงน้องชายของอาซวิ่นวิ่งมา

นี่เป็นครั้งแรกที่หนานอี่ได้เห็นทั้งคู่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอย่างเป็นทางการ เขาพิจารณาใบหน้าที่แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันนั้นอย่างละเอียดแล้วรู้สึกทึ่งมาก

“พวกนายจะยัดทุกคนขึ้นไปอยู่บนสเตจเดียวกันจริงอะ” หนีฉือสอดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าหน้าของเสื้อสเว็ตเตอร์พร้อมทำหน้าเหวอ

ฉือจือหยางไม่ชอบที่เขาใช้คำว่า ‘ยัด’ เลยโต้กลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใช่ นายมีคำแนะนำอะไรล่ะ”

“ฉันต้องขอฟังให้จบก่อนถึงจะให้คำแนะนำได้” หนีฉือกอดคออาซวิ่นยิ้มๆ พูดกับเขาว่า “นายไม่เคยเล่นกีตาร์ให้ฉันฟังเลยนะ พี่ชาย แค่การประกวดเอง เห็นฉันเป็นคนนอกไปได้”

แต่ใครจะรู้ว่าสมองของอาซวิ่นยังคงหยุดอยู่เมื่อห้านาทีก่อน เขาจึงสลัดตัวออกจากวงแขนของหนีฉือ เดินมาตรงหน้าหนานอี่แล้วพูดแบบทื่อๆ “นายพูดถูก ระหว่างเสียงร้องนำกับคอรัสต้องมีเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งเป็นตัวประสาน…”

หนานอี่มองอาซวิ่นแวบหนึ่งแล้วมองหนีฉือที่หน้าดำปี๋อยู่ด้านหลังเขา มือเบสหนุ่มผงกศีรษะด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“นายว่าใช้อะไรดี”

“กีตาร์ไฟฟ้าบวกซินธิไซเซอร์…พอไหม” อาซวิ่นพยายามคิด แต่หนีฉือจงใจมาป่วน

“พี่ ไปกินมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยอยากอาหารเลย ผอมซูบหมดแล้ว”

แต่อาซวิ่นกลับไม่โดนเขาป่วน พอปรับสายกีตาร์เสร็จก็ลองเล่นก่อนมองหน้าหนานอี่ “ประมาณนี้เหรอ”

หนานอี่ส่ายหน้า “ยังไม่แหลมพอ ผมว่า…”

ตอนนี้เองอาซวิ่นหาจังหวะหันไปพูดส่งๆ กับน้องชายว่า “ฉันมียาช่วยให้เจริญอาหาร เดี๋ยวเอาให้”

หนีฉือมองตาค้าง

เขารู้จักพี่ชายของตัวเองดีว่าเวลาเขียนเพลงอาซวิ่นจะไม่ได้ยินเสียง แถมยังเป็นคนสมองช้าอยู่อีก พอตอนนี้ความสนใจรวมไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง หนีฉือย่อมไม่มีทางแงะพี่ชายออกมาจากเรื่องนั้นได้

เมื่อหนีฉือไม่สามารถทำอะไรอาซวิ่น เขาเลยหันไปเล่นงานหนานอี่ด้วยการเดินไปนั่งตรงหน้าอีกฝ่าย

“นายรู้ไหมว่านิคที่เป็นมือเบสของวงเราชอบนาย เมื่อสองสามวันก่อนเขาแกะโน้ตเบสเพลงหัวใจสิงห์ที่นายเรียบเรียงใหม่ในการออดิชันได้แล้ว”

“แกะยังไง ไม่มีคลิปออฟฟิเชียล”

“เพราะแบบนี้ฉันถึงบอกไงว่าเขาชอบนาย” น้ำเสียงของหนีฉือค่อนข้างเว่อร์วัง “เขาเสิร์ชหาคลิปจากแฟนแคมในงานออดิชันเยอะมาก เป็นคลิปสั้นทั้งนั้น เอามาไล่ดูทีละคลิปจนหมดเพื่อแกะไลน์เบสทั้งก้อนออกมา เขาไม่สะดวกใจจะมาหานาย ถ้านายว่างเราไปเล่นเพลงที่ห้องซ้อมกันหน่อยไหม พวกเรา…”

หนีฉือพูดยังไม่ทันจบก็มีแขกคนสำคัญแทรกตัวเข้ามาในกลุ่มแออัดสามคนจากมุมเล็กๆ

“ตรงนี้ถ้าใช้กีตาร์ไฟฟ้าจะสร้างอิมแพ็กต์ได้ไม่พอ”

เมื่อได้ยินเสียงของฉินอีอวี๋ หนานอี่ก็เงยหน้าขึ้น ฉินอีอวี๋ไม่ได้มองเขา แต่เหมือนจะกำลังมองอาซวิ่นที่กำลังกอดกีตาร์ยืนอยู่ด้านข้าง

“งั้นเราควรใช้อะไรดี” อาซวิ่นหันหน้าไปมองฉินอีอวี๋ “นายมีไอเดียอะไรไหม”

“ไอเดียน่ะมี…” พูดจบฉินอีอวี๋ก็หันไปมองหนีฉือ “แต่เรื่องนี้ถือเป็นความลับภายใน ฉันไม่อยากให้คู่แข่งรู้”

หลังจากนั้นอีกสามนาทีหนีฉือก็ถูกอาซวิ่นไล่ออกจากห้องซ้อมของกลุ่มบีไปดื้อๆ

“พี่! ทำงี้ได้ไง”

ก่อนอาซวิ่นจะปิดประตู เขาพูดเนิบๆ ว่า “เดี๋ยวฉันไปกินมื้อเย็นด้วย”

“คุณนี่มันเก่งจริงๆ” หนานอี่ที่นั่งอยู่ที่เก่ามองหน้าฉินอีอวี๋ด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

แต่ฉินอีอวี๋กลับบอกว่า “นายก็เก่งเหมือนกัน”

พออาซวิ่นกลับมา ทั้งสามคนทำไลน์เมโลดี้กันอีกครั้งพร้อมกับใส่เนื้อร้อง ฉินอีอวี๋เสนอไอเดียสุดกล้าหาญไอเดียหนึ่งขึ้นมา แต่การจะทำให้มันเป็นจริงนั้นยากมาก

“อันนี้ต้องหัดกันเดี๋ยวนั้น ฉันจะทำเองก็ไม่ได้ เพราะฉันต้องร้องคอรัส”

ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นหนานอี่เป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “งั้นผมเอง อาซวิ่นเป็นกีตาร์หลัก ซิ่วเหยี่ยนเป็นร้องประสาน จุดนี้จะปล่อยว่างไม่ได้”

“แต่…” อาซวิ่นลังเล “จุดนี้มันยากนะ”

“ฉันทำได้” น้ำเสียงของหนานอี่หนักแน่นมาก “วางใจเถอะ ฉันเรียนรู้ไว”

ฉินอีอวี๋สบายใจมาก เพราะเขาเชื่อมั่นในศักยภาพการเรียนรู้ของหนานอี่อย่างที่สุด

“ฉันจะไปขอให้เหยาจิ่งมาช่วยด้วย อาจารย์ที่ปรึกษาสมัยเรียนปริญญาโทของเขาเป็นปรมาจารย์ด้านนี้”

หนานอี่คิดถึงภาพตอนที่เขาไปขอยืมคาลิมบาจากเหยาจิ่งคราวก่อนแล้วลังเลอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง แต่ยังคงผงกศีรษะ เนื่องจากเวลามีไม่มาก เขาจำเป็นต้องเร่งซ้อมพาร์ตของตัวเองเพื่อให้มีเวลาไปเรียนรู้สิ่งใหม่

 

เนื่องจากเมื่อคืนนอนไม่พอ ตอนกินมื้อเย็นหนานอี่เลยซึมๆ เขากินข้าวไปได้นิดหน่อยก็ขอแยกตัวกลับไปนอนชดเชยที่ห้องพัก หลับรวดเดียวถึงสี่ชั่วโมง

ตอนลืมตาเขาเห็นฉินอีอวี๋นั่งมองตัวเองเงียบๆ อยู่ที่ริมเตียง

“ตื่นแล้วเหรอ”

หนานอี่กะพริบตา ในความมืดสลัวเขาจ้องหน้าฉินอีอวี๋จนแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝันก็ลุกขึ้นนั่งแล้วมองเวลา

“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่…”

ฉินอีอวี๋ส่งน้ำขวดหนึ่งให้หนานอี่ “เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน”

“แสดงว่าคุณมานั่งมองอยู่ตรงนี้ครึ่งชั่วโมงแล้ว?” พอดื่มน้ำหมดหนานอี่ก็เอ่ยถาม

ฉินอีอวี๋พยักหน้าแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ฉันอยากลองฟังดูว่านายจะละเมอหรือเปล่า”

“ผมละเมอเหรอ”

ฉินอีอวี๋ส่ายหน้า “น่ากลัวมาก ไม่มีเลยสักประโยค ฉันนึกว่านายจะละเมอเรียกชื่อฉันในฝันซะอีก”

เรื่องน่าขนลุกพรรค์นี้ขนาดตัวคุณยังไม่เคยทำเลย หนานอี่พูดในใจ

“อยากเล่นเกมกับฉันหน่อยไหม” ฉินอีอวี๋เปลี่ยนเรื่อง จับมือหนานอี่ไว้

หนานอี่ยังตื่นไม่เต็มตา สมองเลยทำงานค่อนข้างช้า เขากำลังคิดถึงประโยคที่ฉินอีอวี๋พูดทิ้งท้ายไว้เมื่อเช้า “คุณบอกว่าคืนนี้จะคุยกันไม่ใช่เหรอ”

“คุยกันอย่างเดียวมันน่าเบื่อ” ฉินอีอวี๋ขยับเข้ามาชิดจนเกิดเงาดำผืนใหญ่ทาบทับร่างของหนานอี่เหมือนผ้าคลุม

“รู้ไหมมีช่วงหนึ่งที่ฉันชอบเล่นเกมไขปริศนามากเป็นพิเศษ การเอาเบาะแสที่เป็นจิ๊กซอว์มาค่อยๆ ต่อกันจนได้ความจริง มันสนุกมากเลย”

“คุณจะเล่นกับผมเหรอ” หนานอี่ช้อนตาขึ้นมองเขา “เกมไขปริศนามันมีคำตอบที่เป็นแพตเทิร์น คุณสามารถเอามาเปรียบกันได้ แต่เรื่องที่คุณเดากับเรื่องจริงนั้นต้องออกมาจากปากของผมเท่านั้น มนุษย์ทุกคนโกหกเป็น”

ฉินอีอวี๋ไล่จับนิ้วของหนานอี่ทีละนิ้วแล้วรวบไว้ในมือ “ฉันว่านายไม่มีทางโกหกฉันหรอก อย่างมากนายก็เงียบ”

ไม่ผิดเลยสักนิด ใครอีกคนที่อยู่ในร่างของหนานอี่บอกตัวเองว่านายถูกเขากินหมดตัวแล้ว

“คุณจะเล่นเกมยังไง”

ฉินอีอวี๋ยกศีรษะขึ้น สีหน้าฟ้องว่าเขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าหนานอี่จะต้องตกลง

“ถ้าฉันเดาถูกข้อหนึ่ง นายต้องทำตามคำขอของฉันหนึ่งเรื่อง”

“ถ้าคุณเดาผิดล่ะ” หนานอี่มองหน้าเขา

“ก็สลับกัน นายสามารถขอให้ฉันทำตามได้หนึ่งเรื่อง และฉันต้องตอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไข”

หนานอี่พอจะเดาความคิดของฉินอีอวี๋ได้เกือบทั้งหมด เขาจึงชิงลงมือก่อนด้วยการแกล้งบอกว่า “ห้ามพูดเรื่องจูบ”

ฉินอีอวี๋ทำท่าห่อเหี่ยว “แบบนี้มันเกินไปหน่อยนะ”

“แล้วจะตกลงไหม”

“ตกลงก็ได้” ฉินอีอวี๋กลัวหนานอี่จะเปลี่ยนใจจึงยอมรับคำและรีบเริ่มเกมทันที “งั้นฉันเริ่มนะ”

ถึงหนานอี่จะทำหน้าชิล แต่ความจริงหัวใจเต้นเร็วสุดขีด เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกจับโป๊ะได้ด้วยวิธีนี้ มีเพียงฉินอีอวี๋เท่านั้นที่คิดวิธีนี้ออก

บางทีเขาอาจจะต้องจดจำคืนนี้ไปตลอดชีวิต

“ขอฉันคิดก่อนนะ…” ฉินอีอวี๋นิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่งว่า “นายไปลานสกี Laxx ที่สวิตเซอร์แลนด์ครั้งแรกตอนเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 เพราะปีนั้นหลินอี้ชิงทำเรื่องลาพักร้อนประจำปีแล้วโพสต์รูปลานสกีนั่นขึ้นบนโซเชียลมีเดียในวันที่สามสิบเอ็ดมกราคม นายรู้ว่าเขาเป็นพี่ชายต่างแซ่ของโจวไหวเลยอยากติดต่อโจวไหวเพื่อหาเบาะแสของฉัน นายตามหลินอี้ชิงไปสวิตเซอร์แลนด์ ทำเหมือนกรณีของพี่ชายนักบิดที่นายเคยเล่า คิดหาวิธีเข้าไปช่วยหลินอี้ชิง เข้าหาเขาสำเร็จ จริงหรือเปล่า”

“เขาเล่าเรื่องพวกนี้ให้คุณฟังเหรอ” หนานอี่ถาม

“เปล่า หลินอี้ชิงแค่บอกว่านายไปถามหาโจวไหว แต่ไม่ได้เล่าเรื่องอื่น เราสองคนเป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดา หลินอี้ชิงไม่มีทางเล่าอะไรให้ฉันฟังง่ายๆ หรอก” ฉินอีอวี๋ยิ้ม “แต่ฉันรู้จักเขาดี หลินอี้ชิงเป็นคนระวังตัวสูง เขาไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ใครเข้าถึงตัวได้ง่ายๆ นอกจากเรื่องที่นายช่วยเขาไว้จะเป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ

ฉันเลยไปเสิร์ชข้อมูลที่คนที่ไปลานสกี Laxx ในช่วงนั้นโพสต์ไว้ก็เจอว่าคืนวันที่สิบเอ็ดกุมภาพันธ์มีหิมะตกหนักมาก หลังจากนั้นก็มีคนมากมายหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดพร้อมๆ กันว่ามีคนที่ขึ้นเขาไปเล่นสกีจำนวนไม่น้อยตกค้างอยู่ในหมู่บ้าน หนึ่งในนั้นเป็นชาวเอเชีย เพศชาย พวกเขาบรรยายว่าอายุน้อยมาก

เท่าที่ฉันรู้จักหลินอี้ชิง เขาชอบเล่นสกีนอกเส้นทาง แถมไม่เคยมีบัดดี้ไปด้วย ฉันยังล้อเขาบ่อยๆ เลยว่าคนที่ไปเล่นสกีตายคือคนที่เล่นสกีแบบเขานี่แหละ”

ฉินอีอวี๋จ้องมองใบหน้าเรียบเฉยของหนานอี่

“ฉันเลยเดาว่าเมื่อวันที่สิบสองกุมภาพันธ์ หลินอี้ชิงไปเล่นสกีแล้วตกค้างอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้น เขาถูกหิมะฝัง แต่เพราะนายตามหลังเขาไปเลยช่วยเขาออกมาได้ใช่ไหม”

จิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่เขาถืออยู่เปิดเผยความทรงจำอันยืดยาวของหนานอี่ออกมา

“ใช่”

ฉินอีอวี๋เลิกคิ้ว “งั้นตานี้ฉันชนะ”

การที่ฉินอีอวี๋สามารถหาข้อมูลจำนวนมากขนาดนี้มาปะติดปะต่อกันได้อย่างแม่นยำภายในชั่วระยะเวลาอันสั้นทำให้หนานอี่รู้สึกนับถือ จึงยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความยินดี

แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มดีใจมากกว่าคือการที่ฉินอีอวี๋อยากรู้เรื่องของเขามากขนาดนี้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น น่ากลัวว่าฉินอีอวี๋คงไม่ยอมเสียเวลาและพลังสมองไปค้นหาคำตอบแบบนี้

ณ เวลานั้นหนานอี่คิดไม่ออกว่าฉินอีอวี๋จะขออะไร แต่เขาไม่สนใจ คิดซะว่าเหมือนกำลังเล่นเกมท้าทายอยู่ก็แล้วกัน

“คุณอยากให้ผมทำอะไรบอกมาได้เลย”

ฉินอีอวี๋พิจารณาเขาด้วยดวงตาสีดำสนิท ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงเชือกรูดเสื้อฮู้ดของหนานอี่เบาๆ นักร้องหนุ่มพูดเสียงทุ้ม “ถอดเสื้อตัวนี้ออก”

คำขอนี้ไปไกลกว่า ‘เกมท้าทาย’ ที่หนานอี่เข้าใจ เขาจึงชะงักไปหนึ่งวินาที

ฉินอีอวี๋ยิ้ม มองหน้าหนานอี่แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าบ้องแบ๊วว่า “จะเปลี่ยนใจเหรอ”

“เปล่า” หนานอี่จับชายเสื้อแล้วยกมือขึ้น ถอดเสื้อออกโยนไว้ด้านข้าง จัดเสื้อแขนสั้นสีดำที่อยู่ด้านในให้เรียบร้อยก่อนหันไปมองฉินอีอวี๋ “โอเคหรือยัง”

“โอเค”

ฉินอีอวี๋อมยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจพลางขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นมือไปจัดผมยุ่งๆ ของหนานอี่ที่เกิดจากการถอดเสื้อ ปลายนิ้วสัมผัสใบหูของมือเบสหนุ่มอย่างคล้ายตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจ

“นายไม่คิดจะเล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ฉันฟังหน่อยเหรอ”

ท่ามกลางความมืดพวกเขาอยู่ใกล้กันมากจนได้ยินเสียงลมหายใจได้ชัดเจน

หนานอี่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองกำลังถูกลอกเปลือกออกทีละชั้น แต่เขาไม่ได้ร้องบอกให้อีกฝ่ายหยุด

“ผมไปถึงลานสกี Laxx วันที่สี่ จากนั้นก็คอยตามหลินอี้ชิงอยู่ตลอด”

เสียงของหนานอี่เบามาก เขาเล่ารายละเอียดด้วยท่าทางนิ่งสงบราวกับเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตน

“นอกจากที่ลานสกีแล้วก็ไม่มีจังหวะให้ผมได้เข้าถึงตัวเขาที่อื่นอีก ระหว่างนั้นมีคนเยอะมากที่พยายามเข้าหาเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ผมไม่ได้อะไรเลย จนวันที่สิบสองซึ่งเป็นวันที่สองที่เกิดพายุหิมะ ความจริงวันนั้นไม่เหมาะจะเล่นสกี แต่ผมเห็นหลินอี้ชิงขึ้นเขา ผมเลยตามไป”

“นายจะบ้าเหรอ” ฉินอีอวี๋ตัดบทเขา “หลินอี้ชิงเก่งขนาดวัดกับนักกีฬามืออาชีพได้ แต่ตัวนายล่ะ นายเพิ่งหัดเล่นสกีได้ไม่นาน ความสามารถจำกัดมาก แถมเพิ่งจะอายุสิบหกปี ไม่กลัวเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นหรือไง”

ตอนแรกน้ำเสียงของฉินอีอวี๋ยังเรียกได้ว่านิ่ง แต่อยู่ดีๆ มันกลับค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นมาเหมือนกำลังเกรี้ยวกราด

หนานอี่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงโมโห กับอีแค่รู้ว่าเขาตามสะกดรอยคนคนหนึ่งแบบทุ่มสุดตัว ฉินอีอวี๋คงไม่ได้คิดว่ามันน่ากลัวหรอกมั้ง

“ผมระวังตัวดีน่า”

“นายนึกว่าแค่ระวังแล้วจะรอดเหรอ” ฉินอีอวี๋รู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองเปลี่ยนเป็นหนักขึ้นเลยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หนึ่งครั้งเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง

“นายรู้ไหมว่าตอนที่ฉันอ่านโพสต์ของคนที่ไปติดอยู่ในหมู่บ้านฉันแทบหยุดหายใจ สาเหตุที่ฉันรู้ว่าคนที่เข้าไปติดอยู่ที่นั่นน่าจะเป็นหลินอี้ชิงก็เพราะถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนั้น หลินอี้ชิงคงไม่มีทางช่วยนาย แต่…”

“แต่อะไร” หนานอี่ยังคงไม่เข้าใจ

ฉินอีอวี๋เงยหน้าขึ้น “แต่ฉันกลัวเหลือเกินว่านายจะเป็นอันตราย”

หนานอี่ชะงักไปหนึ่งวินาที

ตัวเขาเองยังไม่เคยนึกภาพการเข้าไปติดอยู่ในหมู่บ้านแล้วถูกหิมะกลบฝัง ทำไมฉินอีอวี๋ถึงคิดแบบนี้

ฉินอีอวี๋กำลังกลัวอะไร หรือเขารู้สึกว่าการที่คนคนหนึ่งเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อตามหาตัวเขา มันทำให้เขาต้องรับผิดชอบ?

เพื่อบรรเทาความรู้สึกนี้ให้ฉินอีอวี๋ หนานอี่จึงบอกว่า “ที่ผมอยากเข้าใกล้หลินอี้ชิง ไม่ได้เพื่อตามหาคุณทั้งหมด แต่เพราะผมมีความต้องการส่วนตัวด้วย”

“นายยังจะมีความต้องการส่วนตัวอะไรอีก” ฉินอีอวี๋จงใจดักคอเขา “หรือนายชอบหลินอี้ชิง?”

หนานอี่รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูทะแม่งๆ แถมอารมณ์ของฉินอีอวี๋ยังรุนแรงกว่าเมื่อครู่ เขาจึงพูดออกไปอย่างไม่ทันคิด “ถ้าผมชอบหลินอี้ชิงแล้วจะจูบคุณเหรอ”

ถึงประโยคย้อนถามนี้จะพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ความรู้สึกดีที่มอบให้คนฟังนั้นพอๆ กับคนที่อยากลดความอ้วนได้ยินคนถามว่า ‘ทำไมนายถึงได้ผอมขนาดนี้’

ฉินอีอวี๋แทบเก็บรอยยิ้มบนหน้าไว้ไม่อยู่

หนานอี่ไม่รู้เลยว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงยิ้มอย่างไม่มีเหตุผลอีก แต่นี่ไม่ใช่วันแรกที่เขารู้จักฉินอีอวี๋ เขาจึงรู้ว่ามายด์เซ็ตของคนคนนี้ไม่เหมือนคนทั่วไป

“ยังจะเล่นเกมต่อไหม”

“เอาสิ”

แต่ก่อนที่ฉินอีอวี๋จะได้พูดการคาดเดาที่สองออกมา เขาพลันขยับเข้าใกล้มาประคองใบหน้าของหนานอี่ จุ๊บริมฝีปากของหนานอี่เบาๆ

อารมณ์อยากเอาชนะของหนานอี่ปะทุขึ้นมาทันที “คุณยังไม่ทายเลย ผมบอกแล้วไงว่าห้ามจูบ…”

“อันนี้มันโควตาประจำวันของฉัน” ฉินอีอวี๋ขยิบตา ทำท่าใสซื่ออย่างยิ่ง “วันนี้ฉันยังไม่ได้จุ๊บเลย”

เกมนี้มีโฆษณาแทรกด้วยเหรอเนี่ย…

ตอนนี้เองที่หนานอี่ฉุกคิดถึงสถานภาพปัจจุบันของตัวเองขึ้นมาได้

“โอเค”

มือของฉินอีอวี๋ยังคงประคองใบหน้าของเขาให้แนบชิดกัน หนานอี่ถูกอีกฝ่ายเข้าประชิดตัวจนหลังติดหัวเตียง ต้องเงยหน้าขึ้น ไม่อาจหลบหนี ได้แต่ยอมจำนน ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าจากด้านบนลงมารดผิวของเขา

ในความมืดสลัวทัศนียภาพไม่ชัดเจน เสื้อไหมพรมสีแดงของฉินอีอวี๋ดูสดใสเหมือนเปลวไฟ ฮีตเตอร์ภายในห้องพักเปิดไว้แรงมาก ขนาดใส่แค่เสื้อยืดบางๆ หนานอี่ยังรู้สึกร้อน ลำคอแห้งผากจนคัน เหมือนจะมีควันร้อนลอยกรุ่น

ลูกกระเดือกของชายหนุ่มขยับ

ฉินอีอวี๋หัวเราะเบาๆ แล้วใช้จมูกคลอเคลียที่สันจมูกของหนานอี่อย่างสนิทสนม…นี่เป็นคำบอกใบ้ที่ทั้งสองต่างรู้กัน นักร้องหนุ่มก้มหน้าลงไปแนบชิดกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ลมหายใจของทั้งคู่สอดประสานกัน

ลมหายใจของหนานอี่สับสน แต่เขาเคยได้รับบทเรียนจากจุมพิตหลายต่อหลายครั้งจึงตอบรับจุมพิตนี้ตามสัญชาตญาณ แนบริมฝีปากเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ จิตใต้สำนึกสั่งให้มือของเขาจับคอของฉินอีอวี๋ไว้ ใช้ฝ่ามือลูบไล้รอยสัก

ทว่าจุมพิตนี้กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะฉินอีอวี๋แกล้งถอยหนี ทิ้งให้หนานอี่ค้างอยู่ในท่าจูบตอบ แถมฉินอีอวี๋ยังเกทับด้วยว่า

“อยากจูบฉันเหรอ…ทนถูกแกล้งไม่ได้ล่ะสิ นายเก่งนักไม่ใช่หรือไง ถึงได้กล้าหนีไปลานสกีคนเดียว…”

ไม่รอให้เขาพูดจบ หนานอี่ก็คว้าคอเสื้อของนักร้องหนุ่มเพื่อใช้จูบดุดันปิดคำสั่งสอนของฉินอีอวี๋ แต่พอมีปลายลิ้นเข้ามาพัวพัน หนานอี่กลับแกล้งใช้ฟันกัดแบบเบาๆ ไม่ได้ทำให้เจ็บจริงจัง

ตอนถอยออกห่าง ริมฝีปากของหนานอี่เป็นสีแดงก่ำ แสงจันทร์สาดกระทบคราบน้ำบางๆ ให้เปล่งประกาย

“แบบนี้สมใจคุณหรือยัง” หนานอี่ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก “อย่าดีใจจนเป็นลมล่ะ”

แต่ใครจะรู้ว่าฉินอีอวี๋จะหงายหลังตึง ล้มลงไปบนเตียงจริงๆ แถมยังยกมือขึ้นกุมอกด้วย

หนานอี่ใช้ปลายเท้าสะกิดข้อศอกของเขา “ไปเป็นลมที่เตียงตัวเองโน่น”

“ฉันยังเล่นเกมไม่จบ” ฉินอีอวี๋ตะแคงข้างมาจับข้อเท้าของหนานอี่ “คืนนี้นายต้องแพ้ตัวล่อนจ้อน”

หนานอี่มองเสื้อยืดตัวบางของตัวเองแวบหนึ่งอย่างไม่เชื่อว่าฉินอีอวี๋จะสามารถใช้ข้อมูลยิบย่อยแค่นี้มาเดาเรื่องทั้งหมดได้

เขาจ้องเสื้อไหมพรมเข้ารูปที่ฉินอีอวี๋สวมอยู่พลางยิ้มบางๆ

“โอเค ใครจะแพ้ตัวล่อนจ้อนก่อนก็ไม่แน่”

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: