X
    Categories: everYทดลองอ่านท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1

ผู้เขียน :  จื้อฉู่ (稚楚)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ

การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต

การสะกดรอยตาม และความรุนแรง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 1 บอกปัดตั้งแต่หน้าประตู

 

ไอ้มือเบสนั่นดังแน่นอน’

 

หลังเกิดเรื่องโจวไหวสงสัยว่านี่จะเป็นข้อความปลอมที่ทำให้ดีใจเก้อ แต่หลังจากที่เขาได้รับข้อความนี้ไม่ถึงสามวินาทีไฟในไลฟ์เฮ้าส์* ก็ดับพึ่บ การแสดงหยุดชะงัก ความคึกคักสนุกสนานเมื่อครู่ถูกดูดหายเข้าไปในความมืด ทุกอย่างเงียบสนิทจนทำให้ทุกคนอารมณ์ค้าง

“ฟัค! ไฟดับเหรอ”

เสียงนี้ทำลายความเงียบและปลุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ดังเซ็งแซ่ขึ้นมา

สิ่งที่ดับลงไปไม่ใช่ไฟฟ้า แต่เป็นอนาคตของวงดนตรีที่อยู่บนเวทีต่างหาก โจวไหวคิด

“ริสต์แบนด์ก็ดับเหมือนกัน เท่ากับพวกเราโหวตคะแนนกันเสียเปล่าเหรอ ถ้าไฟมาแล้วทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิมไหม”

“แล้วถ้ามันไม่กลับเป็นเหมือนเดิมล่ะ การออดิชันเปิดให้โหวตได้ทั้งหมดสามคะแนน ฉันยังต้องโหวตให้วงที่ฉันชอบอีกนะ!”

“ถ้ากลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ฉันก็ไม่โหวตซ้ำแล้ว ใครใช้ให้พวกเขาดวงซวยกันเองล่ะ”

สำหรับการแสดงสดบรรยากาศคือทุกสิ่ง เมื่อไฟถูกน้ำสาดจนดับก็หมดอารมณ์ ต่อให้เป็นเทพยดาจากสวรรค์ชั้นฟ้าก็ช่วยกอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมาไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คะแนนโหวตที่สามารถตัดสินแพ้ชนะก็กลายเป็นศูนย์ไปหมดแล้ว

ซวยแท้

ตอนนี้ไลฟ์เฮ้าส์ที่ถูกปิดเพื่อจัดงานออดิชันกลายเป็นกล่องมืดๆ ทั้งอึดอัดและมองไม่เห็นอะไร คำวิจารณ์ในแง่ลบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่ต่างจากการเหยียบเท้ากันไปมาทำให้ผู้คนยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ

‘ไอ้มือเบส’ ที่ในข้อความพูดถึงยังยืนอยู่บนเวที เทียบกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนแล้วเขาดูนิ่งจนดูเหมือนคนนอก มือข้างหนึ่งจับคอของเบสและมืออีกข้างหนึ่งวางพาดบนไมค์ด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่ยังคงใช้นิ้วเคาะไมค์เบาๆ

ด้านข้างเวทีมีแสงจากไฟฉาย คาดว่าสตาฟฟ์คงกำลังตรวจเช็กต้นตอของเรื่องอยู่ ลำแสงเล็กแคบขยับไปมารอบๆ ส่องให้เห็นนักดนตรี แม้จะเห็นหน้าไม่ชัด ทว่าแสงจากไฟฉายก็ทำให้เห็นเค้าโครงรูปร่างได้เลือนๆ ว่าคนคนนี้ดูโดดเด่น

มีพรสวรรค์และหน้าตาดีขนาดนี้ ต่อให้ไม่อยากดังก็ยากมาก เหมือนฉินอีอวี๋ตอนเข้าวงการใหม่ๆ

เสียดายที่วงของหมอนี่โคตรโชคร้ายถึงได้เจอแต่เรื่องที่เหนือการควบคุม ไม่ผ่านการออดิชันมีสิทธิ์แท้งตั้งแต่ยังไม่ทันได้แจ้งเกิด

ฉับพลันนั้นมือของมือเบสที่วางพาดอยู่บนไมค์ก็ยกสูงขึ้นเล็กน้อย มือเบสขยับนิ้วให้ฝูงชนที่ออกันอยู่ด้านล่างเวทีคล้ายกำลังโบกมือหรือส่งสัญญาณลับบางอย่าง

ดูเหมือนคนที่เขาส่งสัญญาณให้…ก็คือคนที่อยู่ข้างๆ โจวไหวนี่เอง

ตอนที่มือเบสทำการแสดงสดเมื่อกี้ ในสมองของโจวไหวมีความคิดหนึ่ง…คือไอ้หมอนี่มันเงียบขรึม พูดน้อยเหลือเกิน แต่เหมือนมือกับดวงตาจะพูดได้

สิ่งนี้ทำให้โจวไหวคิดถึงเมื่อห้าวันก่อน ตอนที่เขาเจอกับมือเบสคนนี้ครั้งแรก

 

วันนั้นโจวไหวไปรับจดหมายที่ไปรษณีย์แล้วได้รับโทรศัพท์ระหว่างทาง ขณะขับรถกลับไปที่ร้านสักเขาเล่นมุกกับปลายสายว่า

“ไม่ใช่พวกทวงหนี้ แต่เขาหาบ้านนายเจอแล้ว…”

เมื่อใกล้ถึงที่หมายโจวไหวเอารถไปจอดไว้ในช่องจอดรถในซอยก่อนเปิดจดหมายอ่าน เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกถ่วงหนักลง ก่อนจะเก็บจดหมายกลับเข้าซองโดยไม่พูดอะไรสักคำและซ่อนจดหมายไว้ในคอนโซลรถ

เพื่อไม่ให้ถูกจับพิรุธได้ โจวไหวจึงพูดเสียงอวดโอ่กว่าปกติว่า “นี่นายเจอพวกสตอล์กเกอร์หรือไง!”

พอโจวไหวก้าวลงจากรถก็มีกลิ่นหอมหวานลอยมากระทบฆานประสาท

“โฮ่ มันเทศเผานี่หอมจริงๆ” เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วและพูดอย่างหาเรื่องว่า “นายเป็นพวกคลั่งรักหรือไง เรื่องผ่านมาตั้งนานเท่าไหร่แล้วยังอุตส่าห์จำได้อีก”

ปลายสายสบถด่ามาหนึ่งประโยค โจวไหวหัวเราะร่วน แล้วพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแผงขายของเล็กๆ แต่พอโจวไหวเห็นรูปร่างหน้าตาเจ้าของแผงเขาก็เผลอหยุดเท้า

“เชี่ย สมัยนี้คนหล่อๆ เขาออกมาตั้งแผงขายของกันแล้วเหรอ”

คนแก่ขาไม่ดีคนหนึ่งกำลังจะเดินไปที่แผงนี้เหมือนกัน โจวไหวเลยเปิดทางให้เขาไปก่อน ส่วนตัวเองรออยู่ด้านหลังเพื่อพิจารณาหนุ่มหล่อตรงหน้า

ชายหนุ่มคนนี้เงียบผิดปกติ ขนาดมีลูกค้ามาก็ยังเอาแต่เงียบ

เขาสวมชุดสีดำ หมวกเบสบอลสีเทาเข้มกดปีกหมวกต่ำจนบังหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ขนาดเขาใส่เสื้อแจ็กเก็ตขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ ก็ยังดูสะดุดตามาก หล่อเหมือนนายแบบ หุ่นดี เอวบาง ขายาว

แถมผมก็ยาวมากเหมือนกัน

ตอนที่ชายหนุ่มก้มหน้า โจวไหวเห็นผมที่เขารวบไว้ด้านหลังกับต่างหูสีเงินที่หูขวา พระอาทิตย์ในช่วงปลายหน้าร้อนส่องแสงสะท้อนต่างหูให้เปล่งประกาย

โจวไหวจ้องมองเขาอย่างจริงจังแล้วพลันรับรู้ได้ว่าคนแก่ที่เข้าไปเป็นลูกค้าที่หน้าแผงไม่ได้พูดอะไรเลย แม้จะอ้าปาก แต่กลับยื่นมือออกไปทำภาษามือด้วยสีหน้าลำบากใจ

หนุ่มหล่อหน้าตาเย็นชาตรงหน้ามองคนแก่อยู่พักหนึ่งแล้วดึงมือออกจากกระเป๋าเสื้อมาส่งภาษามือกับอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว

“ฟัค”

โจวไหวยังไม่ได้ตัดสาย

คนปลายสายพูดเสียงเกียจคร้าน “เป็นอะไรไป มันเทศเผาเกิดมีขางอกออกมาหนีตามหนุ่มหล่อไปแล้วหรือไง”

“หน้าตาก็ดี” เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเสียง โจวไหวจึงพูดเสียงทอดถอนใจอย่างไม่มีการหลบเลี่ยง “ดันหูหนวกเป็นใบ้ได้ น่าเสียดายจริงๆ”

พอคนแก่ที่เข้าไปซื้อของที่แผงจ่ายเงินเสร็จก็จากไป โจวไหวยื่นมือไปชี้เตาเผาและชูนิ้วบอกว่าหนึ่ง เขานิ่งเล็กน้อย ทำมือบอกให้พ่อค้ารอเดี๋ยวเพื่อสอบถามคนที่ปลายสาย

“ฉินอีอวี๋ นายจะเอามันเทศเผาด้วยไหม”

โจวไหวไม่ทันสังเกตเห็นว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าเงยหน้าขึ้นทันที

“ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวกินแล้วหยุดไม่อยู่”

โจวไหวเบะปาก แต่พอตั้งใจจะทำนิ้วบอกว่าหนึ่งอีกครั้ง ใครจะรู้ว่ามีพี่ชายคนหนึ่งวิ่งมาขอบคุณพ่อค้าหนุ่มหล่อไม่ขาดปาก

“ขอบใจที่ช่วยดูแผงให้นะพ่อหนุ่ม ช่วงนี้ในซอยนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะเลยต้องต่อแถวเข้าห้องน้ำกัน”

หนุ่ม ‘ใบ้’ สุดหล่อพูดเสียงต่ำ “ไม่เป็นไรครับ”

ฟัค

เขาพูดได้??

แถมเสียงยังหล่อด้วย!

“เจ้าของร้านกลับมาแล้ว” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนหมุนตัวเดินจากไป “คุณซื้อกับเขาได้เลยครับ”

ในชีวิตนี้โจวไหวไม่เคยอับอายขายหน้ามากขนาดนี้มาก่อน

ระหว่างที่เขายังอึ้งอยู่ น้ำเสียงของฉินอีอวี๋ที่อยู่ในสายก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น ทั้งยังฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อย

“เจ้าอ้วนนั่นมาหาเรื่องอีกแล้ว นายอย่าเพิ่งกลับร้านนะ เหลือมันเทศเผาให้ฉันด้วย”

 

ฉินอีอวี๋วางสายแล้วนวดขมับ ปั้นหน้าทะเล้นเกาะเคาน์เตอร์พลางโบกมือให้นักเลงท้องถิ่น “สวัสดีตอนเช้าครับ มาโชว์พาวอีกแล้วเหรอ ตอนนี้ไหวจื่อไม่อยู่ ไว้มาวันหลังดีไหม”

“มาพ่องสิ!” เจ้าอ้วนกระชากคอเสื้อเขาพลางอ้าปากทักทายบรรพบุรุษเป็นชุด แต่พูดๆ ไปมันก็วนเวียนอยู่แค่สามเรื่องคือ…ลายสักไม่สวย เอาเงินคืนมา ไม่งั้นมีเรื่อง!

นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่ของเดือนนี้แล้วเนี่ย

ร้านโทรมๆ แห่งนี้ก็ไม่มีลูกค้าอยู่แล้ว แค่มองดูก็รู้ว่าไม่มีเงินให้รีดไถ

ฉินอีอวี๋ฉีกยิ้ม “ลายสักไม่สวยตรงไหนเหรอครับ ขอผมดูหน่อยได้ไหม”

“ตรงนี้ แกแหกตาดู!” มันถกเสื้อให้เขาดูจริงๆ

ภาพนี้เหมือนจะทำร้ายสายตา ชายหนุ่มจึงหรี่ตาลงทันที

“จะพูดยังไงดี…” ฉินอีอวี๋พิงเคาน์เตอร์พูดยิ้มๆ “ภาพที่วาดบนกระดาษกับภาพที่วาดบนเนื้อหมูไม่มีทางเหมือนกันอยู่แล้ว แต่มันก็ดูใกล้เคียงอยู่นะครับ คุณก็หยวนๆ หน่อยเถอะ”

เจ้าอ้วนด่ากราด “แกบ้าไปแล้วหรือไง!”

ใครจะรู้ว่าฉินอีอวี๋จะถือโอกาสจบเรื่องนี้ทันที “อะไรกัน นี่คุณรู้จักผมดีขนาดนี้เชียวเหรอ! การที่คุณดูผมออกแบบนี้แสดงว่าเรารู้ใจกันสินะครับ!”

ฉินอีอวี๋จับมือเจ้าอ้วนเขย่าแรงๆ

เจ้าอ้วนสะบัดมือออกอย่างแรงด้วยความโมโห ก่อนจะคว้าขวดสีที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์ปาใส่หน้าฉินอีอวี๋ “กูจะกระทืบมึง!”

นิสัยหมาๆ

ฉินอีอวี๋ขี้เกียจหลบเลยไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง เขาเตรียมตัวถูกฟาดแล้วล้มลงบนพื้นเพื่อแกล้งตาย

คนที่ต่อยตีเป็นจะรู้ว่าโดนตรงไหนแล้วไม่ตาย

แต่ขวดแก้วนั่นกลับไม่ได้ฟาดลงมาอย่างที่ฉินอีอวี๋คาดการณ์ไว้

เขาคงไม่ได้เมาค้างจนประสาทรับรู้ความเจ็บปวดมีปัญหาไปแล้วใช่ไหม

“แม่งเอ๊ย มึงเป็นใครวะ…”

หืม?

ฉินอีอวี๋ช้อนตาขึ้นมองแล้วเห็นมืออวบๆ ของเจ้าอ้วนค้างอยู่กลางอากาศเพราะถูกมือเรียวสวยขาวผ่องข้างหนึ่งจับไว้

พอเจ้าอ้วนเปิดปาก มันก็ถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนตัวโงนเงนถอยหลังไปสองสามก้าวเหมือนกำแพงใกล้พัง จากนั้นก็หงายหลังตึง และในจังหวะที่เจ้าอ้วนยังตั้งตัวไม่ได้ เท้าข้างหนึ่งของผู้มาใหม่ก็เตะฟึ่บ

“แม่ง!”

มองเผินๆ ไม่แรงมาก แต่กลับทำให้เจ้าอ้วนล้มลงบนพื้นจนหลังชนพวกลูกน้องได้ เนื้ออวบอูมบนหน้าย่นเป็นก้อน

เจ้าอ้วนเจ็บที่ท้อง สมองมีเสียงดังวิ้ง แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ลุกขึ้น อีกฝ่ายก็เดินมาก้มตัวดึงคอเสื้อของเขาแล้วลากออกจากร้านไปด้วยมือข้างเดียว

ท่าทางนั้นดูสบายๆ มาก เหมือนลากสุนัขตัวหนึ่ง

ฉินอีอวี๋เผลอเลิกคิ้ว เพราะผู้มาใหม่ดูคล่องพอๆ กับฆาตกรโรคจิตในหนัง หากเขาจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็คงขวัญกระเจิงไปแล้ว

เจ้าอ้วนนั่งแปะอยู่บนพื้นแบบเห็นดาว ลำคอถูกคอเสื้อรัดจนแดง ต้องใช้เวลาอยู่สองสามวินาทีกว่าเจ้าอ้วนจะกลับมาได้สติแล้วเริ่มด่า “ไอ้หมาตัวไหนวะ! มึง…”

พูดยังไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ยกเท้าขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาเจ้าอ้วนหงอไปทันที เจ้าอ้วนยกมือขึ้นกันตามสัญชาตญาณ เลิกส่งเสียงไปโดยปริยาย

ขาข้างนั้นของผู้มาใหม่จึงไม่ได้เตะร่างเจ้าอ้วน และถูกวางกลับลงไปที่เดิม

เจ้าอ้วนที่ตั้งใจมาขูดรีดแต่ไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเกาะกรอบประตูเพื่อลุกขึ้นยืน สายตาชำเลืองมองไปด้านหลังอย่างตั้งใจจะก่นด่าฉินอีอวี๋ด้วยสีหน้าดุดันสักสองสามประโยค แต่ไอ้หมอนั่นดันยิ้มน้อยๆ และโบกมือให้เขาอย่างเจ้าเล่ห์

วินาทีต่อมาหนุ่มหล่อตรงหน้าก็เอียงคอมาบังสายตาของเจ้าอ้วนในระยะใกล้มาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเงยหน้าขึ้นมองคนคนนี้ตรงๆ

ใต้ปีกหมวกมองเห็นตรงกระดูกคิ้วด้านซ้ายมีหมุดสีเงิน หนึ่งเม็ดบนและอีกหนึ่งเม็ดล่างเปล่งประกายโลหะคมปลาบ

สายตาคู่นี้ทำเอาเจ้าอ้วนตัวสั่น

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวยาวมีจุดเทาที่กลางม่านตา ดูคล้ายดวงตาของสัตว์ร้ายอย่างยิ่ง

“ฉันมาได้ทุกวัน” สีหน้าของหนุ่มหล่อไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เขาพูดเสียงเบามาก “เจอกันพรุ่งนี้เลยไหม”

หากคนไม่รู้เรื่องมาได้ยินประโยคนี้คงรู้สึกว่ามันเหมือนคำเชื้อเชิญที่แสนอบอุ่น

โจวไหววิ่งกระหืดกระหอบกลับมาเจอเจ้าอ้วนเดินกะเผลกออกจากซอย มันเดินพลางบ่นขรมจนไม่สังเกตเห็นโจวไหว

โจวไหวรู้สึกแปลกๆ แต่พอเดินเข้าไปในร้านเขาก็ต้องแปลกใจหนักกว่าเดิม

“เอ๋? นี่มันหนุ่มใบ้สุดหล่อที่ไปช่วยขายมันเทศเผาเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ”

ฉินอีอวี๋กำลังชูนิ้วโป้ง พอได้ยินโจวไหวพูดแบบนี้เขาก็อารมณ์ดี “ที่แท้ก็เป็นนายนี่เอง ไม่สิ ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้วล่ะ”

“เอ๋?” คำพูดประโยคนี้ทำให้โจวไหวรู้สึกทะแม่งๆ “พวกนายสองคน…รู้จักกันเหรอ”

“หมอนี่คือคนที่ฉันเล่าให้นายฟังว่าเขาไปตามตัวฉันที่บ้านไง”

เวลานี้เจ้าของเรื่องมายืนอยู่ตรงประตูแล้ว ฉินอีอวี๋ยกมุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มขณะหันไปมองอีกฝ่าย “หนานอี่ใช่ไหม”

ชื่อนี้จำง่ายมาก

โจวไหวได้ยินแล้วทำตาโต หันไปทำปากว่า ‘เจ้าหนูคนนั้นเหรอ’ กับฉินอีอวี๋

“เจ้าหนูบ้านนายสิ” ฉินอีอวี๋คว้ากล่องทิชชูที่อยู่ข้างมือมาปาใส่

หนานอี่ได้ยินเต็มสองหูแต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน สนใจแต่คำพูดประโยคก่อนหน้าที่ฉินอีอวี๋พูดกับตนด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนที่มีเรื่องวิวาทเมื่อกี้เป็นคนอื่น

“ผมมาหาคุณเลยถือโอกาสช่วย”

ฉินอีอวี๋ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจจนจะเอาตัวเองตอบแทนบุญคุณคนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว

ชายหนุ่มบิดขี้เกียจ “ขอบใจที่นายผ่านมาเห็นความอยุติธรรมแล้วเข้ามาช่วย แต่ฉันทำตามคำขอของนายไม่ได้ คราวก่อนฉันพูดชัดเจนแล้ว”

พูดถึงเรื่องคราวก่อนฉินอีอวี๋ยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย เหมือนเขาไม่ได้พบเจอกับคู่ปรับที่ตึงมือขนาดนี้มานานมาก

ทุกครั้งหนานอี่จะโผล่มาแบบไม่ให้เขาได้ตั้งตัว โดยเฉพาะสัปดาห์ที่แล้วหนานอี่ทำให้เขาตกใจหนักยิ่งกว่านี้อีก

เพราะวันนั้นฉินอีอวี๋ยังไม่ตื่นก็ต้องฝืนแหกขี้ตาขึ้นมาเปิดประตู เห็นหมอนี่ใส่ชุดสีดำมายืนอยู่หน้าประตู แถมยังใส่หมวกเหมือนวันนี้เป๊ะ

โถงทางเดินมืดจนมองไม่เห็นหน้า แถมขวดเหล้าที่เขาถือไว้ในมือก็เปล่งประกาย

ปฏิกิริยาแรกของฉินอีอวี๋คือ ‘นายมาทวงหนี้เหรอ’

‘เปล่า’ อีกฝ่ายโยนขวดเหล้ากลับคืนที่เดิม…คือลังใส่ขยะหน้าประตูแล้วปัดมือ

ฉินอีอวี๋โล่งใจ ยกมือขึ้นลูบอก

‘แล้วทำไมถึงทำหน้าตาแบบนี้ ขวัญกระเจิงหมด’

ถึงเขาจะมองใบหน้าครึ่งที่พ้นปีกหมวกออกมาได้ไม่ชัด แต่ฉินอีอวี๋กลับประทับใจในคำตอบของหนานอี่มาก

‘มันเป็นมาตั้งแต่เกิด’

หนานอี่ไม่ได้มองหน้าฉินอีอวี๋ตรงๆ เอาแต่จ้องรอยสักที่คอของเขา จากนั้นก็เลื่อนสายตาลงไปหยุดที่รอยสักที่ข้อมือ ก่อนแนะนำตัวแบบปุบปับว่า ‘ผมชื่อหนานอี่’

วันนั้นฉินอีอวี๋ยังไม่ตื่นดี ข้อมูลที่หนานอี่ยืนป้อนให้เขาอยู่ตรงหน้าเหมือนหุ่นยนต์นั้นเขาถึงได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคและจำได้แต่ชื่อของอีกฝ่าย

รวมถึงคำขอว่าอยากให้ฉินอีอวี๋ไปร่วมวงของตัวเอง

ร่วมวง?

แบบนี้มาทวงหนี้เขาเลยดีกว่า

ฉินอีอวี๋หัวเราะฮ่าๆ เหมือนได้ยินเรื่องตลกขบขัน ‘ฉันได้ยินคำว่าวงก็ขนลุกแล้ว เลิกพูดเถอะ เดี๋ยวฉันอ้วกใส่รองเท้านาย’

การที่อีกฝ่ายขุดดินสามฉื่อ* เพื่อกระชากตัวเขาออกไปแบบนี้ถือว่าบ้าเอาเรื่องทีเดียว

แน่นอนว่าเมื่อสองสามปีก่อน ฉินอีอวี๋มีแฟนคลับที่คลั่งไคล้เขาจำนวนไม่น้อย

มีทั้งแบบแอบไปดักซุ่มอยู่ที่ลานจอดรถในคอนโดฯ ของเขา แบบที่วิ่งมาพังประตูห้องพักในโรงแรมของเขา แบบที่วิ่งมาหลังเวทีแล้วถอดเสื้อผ้ากระโจนใส่เขา เอาเพี้ยนแค่ไหนก็มีทั้งนั้น ต่อมาเมื่อฉินอีอวี๋ถูกเตะออกจากวงก็ยังมีค่ายกับโปรดิวเซอร์อีกหลายคนที่พยายามคิดหาทางจับเขาเซ็นสัญญาด้วยวิธีบีบบังคับและหลอกล่อ ต่อให้เขาพยายามหลบแค่ไหนก็ไม่พ้น แถมยังมีพวกโรคจิตที่ผันตัวจากแฟนคลับไปเป็นแอนตี้แฟนคอยตามสะกดรอยและเอาแผ่นซีดีของวงเก่ามาปาใส่หน้าเขา

เป็นครั้งแรกที่ฉินอีอวี๋ได้รู้ว่าหากใช้แรงมากพอแผ่นซีดีก็สามารถเรียกเลือดได้เหมือนกัน

ฉินอีอวี๋ในตอนนั้นใช้มือเช็ดเลือดบนหน้าผากแล้วอดเอ่ยอย่างทอดถอนใจไม่ได้ว่า ‘ฟัค แผ่นซีดีนี่คุณภาพดีจริงๆ’

ตอนยังไม่พูดถึงเรื่องวง ทุกอย่างก็ยังดี แต่พอพูดถึงเรื่องวงแล้วเรื่องน่าหงุดหงิดทั้งหลายก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาตามฤทธิ์แอลกอฮอล์

แม้ว่าทุกอย่างจะผ่านไปนานมากจนเขาเป็นเหมือนคนที่ตายจนไม่อาจจะตายได้อีก นอกจากติดแหง็กอยู่ในช่วงดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง** ที่สะพานไน่เหอ*** และเพราะอยากจะลืมเรื่องราวทุกข์ระทมทั้งหลายให้หมดเขาจึงดื่มน้ำแกงอย่างดุดันจนตัวเองสำลัก

ฉินอีอวี๋เกือบอาเจียนออกมาจริงๆ

ทั้งที่เวลาคิดถึงวงเขาควรจะคิดถึงเสียงกีตาร์ไฟฟ้า แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยเสียงหวอของรถพยาบาล

ชายหนุ่มพูดอย่างรวบรัดว่า ‘อย่ามาดักรอฉันที่บ้านอีก ไม่งั้นฉันจะแจ้งความ’

พูดไปแล้วก็แปลก ฉินอีอวี๋กะว่าหนานอี่จะต้องมาตามตื๊อเขาอีกสักสองสามวัน ทำให้ทุกครั้งที่เขาเปิดประตูจะต้องเตรียมใจให้พร้อมก่อน แต่หมอนั่นกลับไม่เคยกลับมาอีกจริงๆ

ผ่านไปสองสามวันจนฉินอีอวี๋เข้าใจว่าหนานอี่คงยอมรับความจริงได้แล้ว

ใครจะไปคิดได้ว่าหนานอี่จะมาเจอร้านของโจวไหว

หนานอี่หาร้านของโจวไหวเจอได้ยังไง เรื่องนี้ทำให้ฉินอีอวี๋แปลกใจมาก หมอนี่น่าจะไปทำงานเป็นสายลับมากกว่ามาตั้งวงดนตรีอีก

“คุณไปดูวงเรา…”

คำว่าซ้อมยังไม่ทันหลุดออกมาจากปาก ฉินอีอวี๋ก็ตัดบทอย่างไร้เยื่อใยว่า “ไม่ได้”

“ทำไม”

“ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบตั้งคำถามกับทุกเรื่องคงเหนื่อยตาย”

ฉินอีอวี๋ยังไม่ช้อนตาขึ้นมามองเลย “ถ้านายมาที่นี่เพราะเรื่องนี้ ฉันก็คงได้แต่บอกนายว่าไม่ว่านายจะมาสักกี่ครั้ง ฉันก็จะตอบแบบเดิมคือไม่”

ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากันโดยไม่พูดอะไร

การเป็นเพื่อนสนิทกันมานานหลายปีทำให้โจวไหวรู้จักฉินอีอวี๋ดีว่าอีกฝ่ายผ่านเรื่องราวมามากมายจนไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป

กับเรื่องอื่นฉินอีอวี๋ยังพอทำตัวเลอะเลือนได้ แต่ถ้าจะให้เขากลับไปทำวง ชาตินี้ไม่มีทาง

ช่วงปลายฤดูร้อน ลมร้อนพัดใบไม้ใบหนึ่งให้หมุนลอยเข้ามาในร้านและตกลงที่ข้างเท้าของหนานอี่

ชายหนุ่มก้มหน้ามองแวบหนึ่ง “แล้วเรื่องอื่นล่ะ”

“เรื่องอื่น? นายนี่มันเรื่องเยอะจริงๆ”

ฉินอีอวี๋มีรอยยิ้มไม่ยี่หระและพูดจาเพ้อเจ้อตามความเคยชินว่า “คงไม่ใช่จะให้ฉันสักให้นายหรอกใช่ไหม เมื่อกี้นายก็เห็นหมอนั่นแล้วไม่ใช่เหรอ หรือถ้าคุณลูกค้าผู้แสนดีของฉันจะสักจริงๆ ก็อย่ามาหาเรื่องฉันอย่างเขาเลยนะ มันช้ำใจน่ะ”

โจวไหวทนให้คนอื่นด้อยค่าผลงานของตัวเองไม่ไหวเลยชักสีหน้าทันที “เฮ้ย ไอ้นี่…”

“รูปนั้นคุณไม่ได้สัก” หนานอี่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ฉินอีอวี๋ย่นหัวคิ้ว “นายรู้ได้ไง”

เพราะคุณวาดรูปได้ห่วยกว่าเด็กอนุบาล แล้วจะสักลายลงบนร่างกายมนุษย์ได้ยังไง

หนานอี่ไม่ได้ตอบคำถามของฉินอีอวี๋ แต่เบือนหน้าไปมองต่างหูที่แขวนเป็นแถวบนผนัง

“ช่วยเจาะหูให้ผมหน่อยสิ”

ฉินอีอวี๋คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าหนานอี่จะขอเรื่องง่ายๆ แบบนี้

“เอาสิ แค่นายจ่ายเงินมาก็พอ จะเจาะเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม”

“ยังครับ”

“แล้วจะเจาะเมื่อไหร่”

“เร็วๆ นี้”

หนานอี่พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป

หมอนี่เล่นเกมปริศนาทายอะไรอยู่เนี่ย

“นี่ ต่อไปนายอย่ามาที่นี่อีกนะ เพราะอีกหน่อยฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว”

แต่หนานอี่ไม่พูดอะไรและไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วย

ฉินอีอวี๋มองแผ่นหลังของชายหนุ่มแล้วก็ใจลอยอยู่นาน ในชั่วพริบตาหนึ่งเขาพลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเขาเคยเจอที่ไหนมาก่อนแต่กลับนึกไม่ออก

ฉินอีอวี๋ถึงขั้นมีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาว่าอยากถอดหมวกของหมอนี่ออกจะได้มองหน้าเขาได้ชัดๆ เต็มๆ ว่าหนานอี่หน้าตายังไง เพื่อที่เขาจะได้หลบอีกฝ่ายได้ดีกว่าเดิม

ฉินอีอวี๋พยายามหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นให้ความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีที่มานี้

แต่แน่นอนว่าเขายังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด หนานอี่ก็เดินหนีไปก่อนแล้ว

พอเกิดเรื่องร้านก็เละเทะ โจวไหวถอนหายใจ

“นายว่านายเป็นตัวซวยหรือเปล่า นายเพิ่งมาดูร้านให้ฉันแค่สองสามวันก็เรียกภูตผีปีศาจมาเป็นฝูง…เฮ้อ นายสอนเด็กเล็กร้องเพลงอยู่ไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ วัดเล็กๆ ของฉันรับหลวงพ่อองค์ใหญ่อย่างนายไม่ไหวหรอก*

“คลาสทฤษฎีดนตรี งี่เง่าชะมัด” ฉินอีอวี๋เก็บขวดสี “ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าเมื่อสองวันก่อนเถ้าแก่กลับไปบ้านเดิมเลยไม่ได้จัดคลาสให้ฉัน วันมะรืนเขาถึงจะกลับ”

“โอเค”

อยู่ดีๆ โจวไหวก็นึกถึงจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เลยถามเสียงค่อยว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า สองสามวันนี้พวกทวงหนี้มาหานายอีกเหรอ”

“เปล่า ฉันเพิ่งย้ายบ้านมาแค่ไม่กี่วัน พวกนั้นยังตามฉันไม่เจอ” ฉินอีอวี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วฉุกคิดถึงชายหนุ่มคนเมื่อกี้ขึ้นมา

ถ้าหมอนั่นไม่เป็นสายลับ ไปทำงานในบริษัทเร่งรัดหนี้สินก็ดี รับรองว่าต้องได้แชมป์นักทวงหนี้แน่นอน

“เหรอ” โจวไหวฝืนกลืนถ้อยคำกลับลงคอ

ฉินอีอวี๋สังเกตเห็นว่าเขาทำตัวแปลกๆ “เป็นอะไรไป”

โจวไหวไม่มองหน้าอีกฝ่าย “ไม่ได้เป็นอะไร แค่ถามไปเรื่อย”

เขาก้มตัวกวาดเศษกระจก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเก็บกระเป๋าใส่การ์ดสีดำใบหนึ่งได้จากมุมผนัง โจวไหวหยิบมาดูแล้วโยนใส่หน้าอกฉินอีอวี๋

“ทำไมไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั่นถึงได้ทิ้งของไว้เกลื่อนแบบนี้นะ”

ฉินอีอวี๋รับของไว้ตามสัญชาตญาณ

กระเป๋าใส่การ์ดดูผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้ว มันเป็นสีดำ ตรงมุมล่างขวาปักตัวอักษร NY แบบพิมพ์ใหญ่

เป็นงานสั่งทำ มีความเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ว่าคงเป็นของที่ได้จากผู้หญิง

ฉินอีอวี๋รูดซิปเปิดออกดูก็พบว่าข้างในมีบัตรเดบิตสองสามใบและมีบัตรเข้าสอบวิชาภาษาอังกฤษพับอยู่หนึ่งใบ ตรงช่องชื่อของผู้เข้าสอบเป็นชื่อของหนานอี่กับมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่…เป็นมหาวิทยาลัยที่ฉินอีอวี๋คุ้นเคยที่สุด

เวลาสอบคือเช้าวันพรุ่งนี้

โจวไหววางมือประสานไว้บนหัวไม้กวาด พูดยิ้มๆ “ไอ้หยา บังเอิญจัง อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับนายซะด้วย”

ฉินอีอวี๋ขี้เกียจจะสนใจเลยยัดบัตรเข้าสอบกลับคืนที่เดิมแล้วรูดซิปปิดกระเป๋า โยนมันไว้บนเคาน์เตอร์แล้วกลับไปงีบที่เก้าอี้ต่อ

“ดูเป็นของสำคัญนะ บางทีอีกเดี๋ยวเขาคงกลับมาเอา”

ฉินอีอวี๋ปรือตาลง พูดในใจว่าใครจะรู้

หนานอี่บอกว่าจะมาทุกวัน แถมยังบอกว่าพรุ่งนี้เจอกัน

แต่ฉินอีอวี๋ก็บอกเขาว่าไม่ต้องมา ทว่าเจ้าหนุ่มนั่นดูจะเป็นคนรักษาคำพูดมาก

ฉินอีอวี๋บีบมือซ้ายตามความเคยชินแล้วพลิกตัว ขี้เกียจคิดต่อ

 

หนานอี่กลับไปที่มหาวิทยาลัย พอจอดรถเรียบร้อยก็หยิบบัตรประชาชนกับบัตรนักศึกษาออกมาจากกระเป๋า ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ที่ช่องในกระเป๋า แต่พอเขาหันหน้าไปก็เจอฉือจือหยาง…กับผมสีขาวที่เพิ่งย้อมมาใหม่ดูเด่นสะดุดตามาก

ฉือจือหยางนั่งอยู่บนขอบแปลงดอกไม้คล้ายรออยู่นานแล้ว พอสบตากันฉือจือหยางก็กระเด้งตัวลุกขึ้นวิ่งเหยาะๆ มาจนผมปลิว เปียเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังสะบัดไปมาเหมือนหาง

เขารู้ว่าหนานอี่ไปหาฉินอีอวี๋เลยโดดเรียนมาหา เพราะเวลาเหลือน้อยจนไฟลนก้นแล้ว

พอเห็นหนานอี่ไม่พูด ฉือจือหยางก็ซักไซ้อย่างใจร้อนว่า “สำเร็จไหม เขาว่าไงบ้าง แล้วเขาจำนายได้หรือเปล่า”

เมื่อเจอกับสามคำถามนี้หนานอี่ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหน เพราะเขารู้สึกว่ามันคล้ายๆ กันไปหมด

“ยัง”

ยังไม่สำเร็จ และฉินอีอวี๋ไม่ได้พูดอะไรเลย

ส่วนเรื่องที่ว่าฉินอีอวี๋จำหนานอี่ได้ไหม

หนานอี่ไม่เคยตั้งใจจะทำให้ฉินอีอวี๋จำเขาได้ด้วยซ้ำ

ยังไม่ทันได้เศร้าใจ ฉือจือหยางก็เห็นหนานอี่ยัดบัตรประชาชนใส่กระเป๋าก็นิ่วหน้า “อ้าว กระเป๋าใส่การ์ดของนายล่ะ?” ปกติหนานอี่จะพกกระเป๋าใส่การ์ดติดตัวตลอด

หนานอี่สะพายกระเป๋า พูดเสียงเรียบ “หาย”

“หาย?” นั่นมันเป็นกระเป๋าใส่การ์ดที่คุณยายของเขาทำให้เองกับมือเลยนะ!

ในฐานะเพื่อนสมัยเด็ก ฉือจือหยางร้อนใจมากกว่าหนานอี่เองเสียอีก เขารีบถามว่า “งั้นทำไงดี นายไปทำหายที่ไหน จำได้ไหม แล้วจะหาเจอไหมเนี่ย”

“อืม” น้ำเสียงของหนานอี่ฟังดูนิ่งตลอด “เดี๋ยวก็มีคนเอามาคืน”

* ไลฟ์เฮ้าส์ (Live House) คือสถานที่จัดแสดงดนตรีสดขนาดย่อม โดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายบาร์ แต่ไม่มีโต๊ะเก้าอี้มากนัก เน้นพื้นที่โล่งสำหรับผู้ชมยืนชมการแสดง

* ขุดดินสามฉื่อ ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายการค้นหาบางสิ่งเป็นวงกว้าง ค้นทุกหนทุกแห่ง

** น้ำแกงยายเมิ่ง หรือน้ำเบญจรส คือน้ำที่วิญญาณต้องดื่มเพื่อให้ลืมความทรงจำทั้งหมดก่อนข้ามสะพานไน่เหอ

*** สะพานไน่เหอ เป็นสะพานที่เชื่อมชายฝั่งทั้งสองของแม่น้ำลืมเลือนเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนข้ามสะพานจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่คนตายจะยังมีความทรงจำของชาตินี้อยู่

* วัดเล็กรับหลวงพ่อองค์ใหญ่ไม่ไหว เปรียบเปรยถึงสถานที่คับแคบหรือไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรองรับคนมีความสามารถหรือผู้สูงส่ง

บทที่ 2 หนทางสู่ความสุขนั้นมักเต็มไปด้วยอุปสรรค

 

เวลาสองทุ่ม

อีกสิบสองชั่วโมงจะสอบ

และอีกห้าวันจะยุติการลงทะเบียนสมัครเข้าไปออดิชันของเครซี่แบนด์

ฉือจือหยางรีเฟรชหน้าลงทะเบียนกับหน้าประกาศรับสมัครจนปวดตาแล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองหนานอี่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล…ชายหนุ่มยืนพิงต้นไหวซู่ ตามองออกไปนอกประตูรั้ว ปีกหมวกกดต่ำบังไปครึ่งหน้าทำให้ดูเหมือนสายลับที่ถูกว่าจ้างให้มาทำภารกิจบางอย่าง

เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมหนานอี่ถึงมารออยู่ที่นี่แทนที่จะไปรอตรงประตูใหญ่ และทำไมถึงต้องมาแอบอยู่ที่หลังป้อมยาม มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีประตูหลายแห่ง ใครจะรู้ว่าฉินอีอวี๋จะโผล่มาทางประตูไหน

การเฝ้าตอรอกระต่าย* แบบนี้มันเวิร์กจริงๆ เหรอ

ฉือจือหยางใช้โทรศัพท์มือถือเข้าเพจนั้นเพจนี้แล้วเผลอเข้าไปในเวยป๋อ** เขาปรายตามองข่าวบันเทิงที่ถูกโพสต์โดย YXH*** บังเอิญว่ามันเป็นคลิปแอบถ่ายตอนที่เฉินอวิ้น คุณชายบริษัทเฉิงหงเอ็นเตอร์เทนเมนต์กับดาราสาวชื่อดังจูบกันในลานจอดรถชั้นใต้ดิน

แค่เห็นหน้านี้กับชื่อนี้ฉือจือหยางก็รู้สึกรังเกียจจนสบถด่าออกมาเบาๆ หนึ่งประโยค เขาจัดการบล็อกข่าวนี้และภาวนาขอให้หนานอี่อย่าปัดมาเจอสิ่งอัปมงคลนี้เลย

ภาพในอดีตผุดขึ้นมาให้ฉือจือหยางเห็นอย่างไม่มีเหตุผล…ในซอยตันหลังประตูทิศเหนือของโรงเรียนมัธยมต้นที่ทั้งมืดและแคบ เงาของคนเจ็ดแปดคนกลืนหายไปในความมืด ปิดทางรอดทั้งหมด ฉือจือหยางปีนข้ามกำแพงแล้ววิ่งสุดชีวิต แต่พอเขาไปถึงทุกอย่างก็จบลงแล้ว

คนต่างล้มกันระเนระนาด เงาดำของใครคนหนึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงกดหน้าอกคนบนพื้นอย่างแรง ท่ามกลางเสียงหอบหายใจฉือจือหยางได้ยินเสียงอ้อนวอน เสียงนั้นเป็นของเฉินอวิ้น

‘เสี่ยวอี่!’

วินาทีที่ฉือจือหยางตะโกนออกไป เงาดำพลันลดหมัดลงแล้วลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ เดินมาหาเขา ท่าทางนิ่งสงบของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าความมืด ไฟริมทางที่เสียแล้วเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ แสงกะพริบสาดส่องใบหน้าของหนานอี่

ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกนั้นเปื้อนเลือด

ฉือจือหยางจดจำภาพนี้ได้เสมอ

หึ่งๆ

เจ้ายุงที่ไม่รู้จักกาลเทศะตัวหนึ่งดึงฉือจือหยางออกมาจากห้วงความทรงจำแล้วมาหยุดอยู่บนหลังมือซ้ายของเขา

เพียะ…

ตบเดียวถึงตาย ซากยุงแบนแต๊ดแต๋อยู่กลางรอยสักรูปพระอาทิตย์บนหลังมือของเขาพอดี

ยุงเดือนเก้าร้ายกว่ายุงในช่วงที่อากาศร้อนจัดเสียอีก

ในระยะสายตาฉือจือหยางเห็นหนานอี่ผละออกจากต้นไหวซู่แบบปุบปับแล้วก้าวไปทางป้อมยาม

ฉือจือหยางมองตามอีกฝ่ายไปแล้วลุกพรวดขึ้นมายืน “เชี่ย มาจริงเหรอ”

แต่เขานั่งยองจนขาชาเลยตามไปไม่ได้ ได้แต่มองหนานอี่เดินอ้อมหลังป้อมยามไปที่ประตูเพื่อดักหน้าฉินอีอวี๋ที่ตั้งใจเอาของที่เก็บได้มาส่งคืนแล้วจากไป

ไม่ได้เจอฉินอีอวี๋ในสภาพเป็นผู้เป็นคนมานานจนฉือจือหยางรู้สึกว่าเขาไม่ได้เห็นคนคนนี้มาหลายวัน

ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นฉินอีอวี๋คือเมื่อสี่ปีก่อน ในการแสดงที่ไลฟ์เฮ้าส์ของ RS พอฉินอีอวี๋ร้องเพลงไปได้ครึ่งหนึ่งก็ตีกับมือกลองแล้วทุบเบส Fender MB รุ่นลิมิเต็ดอีดิชั่นจนงานเละเทะ

คิดไม่ถึงว่าคนเก่งที่มีความลำพองในอดีตคนนั้นจะหายตัวไปนานขนาดนี้ มิหนำซ้ำวันนี้ยังโผล่มาในลักษณะนี้อีก

เมื่อกี้ตอนที่ได้ยินฉินอีอวี๋ทัก รปภ. หนานอี่ก็รู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกม เขารีสตาร์ตและรีโหลดซ้ำแล้วซ้ำอีก

เนื่องจากบทสนทนาของพวกเขาแทบจะเหมือนภาพที่อยู่ในหัวพอดี ฉินอีอวี๋เป็นคนปากเสียติดจะกวนๆ หน่อยๆ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูมาก

นี่เป็นประตูข้างของมหาวิทยาลัยที่ฉินอีอวี๋ใช้เข้าออกบ่อยที่สุด แถม รปภ. ที่สนิทกับเขายังเข้าเวรอยู่ที่ประตูนี้ด้วย

เมื่อสองสามวันก่อนตอนที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง หนานอี่สามารถร่ายความเปลี่ยนแปลงของฉินอีอวี๋ในใจได้อย่างชัดเจน เหมือนนับสมบัติในบ้าน*…ว่าอีกฝ่ายผอมลง ผมหยักศกนิดๆ แต่ยาวขึ้นเยอะ ผิวคล้ามแดด ไม่ได้ใส่ห่วงปาก แสดงว่าเจ้ารูเล็กๆ นั่นตันแล้วเหรอ และบนตัวมีรอยสักเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างน้อยสามแห่ง

จุดที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดแต่เล็กที่สุดคือแววตาของฉินอีอวี๋ที่เปลี่ยนไป

สิ่งเหล่านี้เหมือนจะเตือนหนานอี่ว่าคนคนนี้คือฉินอีอวี๋ตัวจริง ไม่ใช่ฉินอีอวี๋ที่มีตัวตนอยู่แค่ในความทรงจำของเขาและไม่ใช่ฉินอีอวี๋ที่มีชีวิตอยู่ในสมองของเขามานานหลายปี

แต่ถ้าสลัดรายละเอียดพวกนี้ทิ้งไป ฉินอีอวี๋ก็เหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย อย่างน้อยหนานอี่ก็สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจนว่าฉินอีอวี๋จะทำอะไรและจะพูดแบบไหน

ตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่ฉินอีอวี๋รู้ตัวว่าถูกเขาดักรอที่นี่

“ฉันว่านะรุ่นน้อง…” ฉินอีอวี๋แสดงท่าทีโกรธจนขำเหมือนภาพจำลองในสมองของเขา “นายนี่มันทุ่มสุดตัวจริงๆ”

หนานอี่เป็นคนที่ถูกกระตุ้นความรู้สึกได้ยากมาก แต่พอได้ยินคำว่า ‘รุ่นน้อง’ หางตาของเขากลับกระตุกอย่างหลุดการควบคุม เขาบอกตัวเองว่ารุ่นน้องคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับรุ่นน้องคนนั้น

ในสายตาของฉินอีอวี๋ พวกเขาคือคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ และตอนนี้ก็แค่มีป้าย ‘เพื่อนร่วมสถาบัน’ ติดเพิ่มเข้ามาเท่านั้น

สายตาของหนานอี่ไปหยุดอยู่ที่ไฝบนแก้มของฉินอีอวี๋ก่อนเลื่อนต่ำลงไปมองรอยสักที่ลูกกระเดือกของเขา

“ผมต้องการคุณ” หนานอี่พุ่งเข้าประเด็นทันที

ฉินอีอวี๋ชะงักไปหนึ่งวินาที แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะเหมือนได้ยินเรื่องขำขัน เนื่องจากเขานึกได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรกหนานอี่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน

หนานอี่บอกว่าวงของเขาต้องการนักร้องนำที่เล่นกีตาร์เป็น ซึ่งคำว่าต้องการนี้มีแต่จะทำให้ฉินอีอวี๋อยากเผ่นหนีมากกว่าเดิม

“ตรงดี”

ดวงตาที่เป็นเส้นโค้งของฉินอีอวี๋ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นราบเรียบ “แต่มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”

เห็นได้ชัดมากว่าหนานอี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการแสดงออกของอีกฝ่าย ถึงขั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลย ชายหนุ่มแค่นิ่งไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ

“เร็วๆ นี้จะมีการประกวดเครซี่แบนด์ พวกเราอยากสมัครเข้าร่วม แต่ตอนนี้ยังขาดมือกีตาร์”

เขายัดโปสเตอร์ใส่มือของฉินอีอวี๋ในจังหวะที่ฉือจือหยางวิ่งมายืนห่างจากพวกเขาไปประมาณสี่ถึงห้าเมตร

หนานอี่ชี้นิ้วไปที่ฉือจือหยางแล้วแนะนำว่า “เขาเป็นมือกลอง ส่วนผมเป็นมือเบส ห้องซ้อมอยู่แถวนี้ ผมรู้ว่าตอนนี้คุณยังไม่อยากเข้าร่วมวงเรา แต่คุณลองไปดูการซ้อมก่อนได้ ถ้าไม่รีบ”

ฉินอีอวี๋ปรายตามองโปสเตอร์แล้วเลื่อนสายตาไปที่มือกลองซึ่งย้อมผมเป็นสีขาวทั้งหัว สุดท้ายก็หันกลับมามองหนานอี่ เขาเกือบหัวเราะออกมา

หมอนี่พิลึกคนจริงๆ จะบอกว่าหัวรั้นก็ได้ ทว่าก็ฉลาดด้วย ถึงวางแผนให้ฉันมาที่นี่ได้ แต่ถ้าจะบอกว่าคนคนนี้เจ้าเล่ห์ก็ไม่ใช่ ทักษะการพูดล็อบบี้ของเขากากมาก ไม่มีทางหลอกคนให้เข้าร่วมด้วยได้เลย

นอกจากนี้ฉินอีอวี๋สังเกตเห็นว่าต่อให้พวกเขาเจอกันมาสามครั้งแล้ว เขาก็ยังจำหน้าหนานอี่ได้ไม่ชัดเลย เนื่องจากอีกฝ่ายเอาแต่ใส่หมวกปิดหน้าปิดตาตลอด เขาจึงได้แต่มองปากของชายหนุ่มพูดนั่นพูดนี่ แม้รูปปากของหนานอี่จะสวยและเหมาะกับหมุดปากก็ตาม

ไม่ถูกสิ นี่ออกนอกประเด็นแล้ว

ฉินอีอวี๋ปัดความคิดประหลาดๆ ในสมองออกไปเพื่อย้อนกลับมาที่ประเด็นสำคัญ

“ฉันไม่รีบก็จริง แต่ขอโทษด้วยที่ฉันมันเป็นขยะเลยไม่สนใจมือกลอง มือเบส หรือวงดนตรีอะไรทั้งนั้น”

ชายหนุ่มขยำโปสเตอร์เป็นก้อนกลมแล้วกระแทกไหล่ของหนานอี่ให้เปิดทาง พูดเสียงเกียจคร้าน “ขยะก็มีสิทธิ์อยากอยู่ในถังโดยไม่ถูกเก็บกลับมาเหมือนกัน”

ฉินอีอวี๋เดินจากไป ทิ้งภาพแผ่นหลังไว้ให้หนานอี่

“ทำวงอะไรกัน ตั้งใจเรียนหนังสือดีกว่านะครับ น้องเฟรชชี่”

ฉือจือหยางรับรู้ได้ว่ามีเรื่องสนุกให้ดูแล้วจริงๆ

เมื่อสองสามปีก่อนภาพลักษณ์ในด้านลบของฉินอีอวี๋ได้เข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้คนพอๆ กับดนตรีของเขา…ทั้งความโรคจิต หัวแข็ง หลงตัวเอง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ชอบกดข่มทีมงาน ทำตัวไม่เหมาะสมอย่างที่สุด ฉินอีอวี๋เป็นเหมือนพายุเฮอร์ริเคนที่อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาพัดทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา เหลือแต่ซากระเกะระกะเกลื่อนพื้น

เหตุผลที่เขาหายตัวไปนั้นไม่ชัดเจนและไม่มีใครรู้ แม้แต่หนานอี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน

หนานอี่มาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เพื่อตามหาฉินอีอวี๋ แต่สิ่งที่เขาได้คือข่าวการพักการเรียนของอีกฝ่าย

จากนั้นเขาก็เห็นว่าวงเก่าของฉินอีอวี๋มีการเปลี่ยนตัวนักร้องนำกับมือกีตาร์แล้วเดินหน้าต่อ เหมือนอีกหลายๆ วงที่มีการเปลี่ยนตัวสมาชิก เพียงแต่ไม่มีใครสามารถลบตัวตนของฉินอีอวี๋ได้ ความสำเร็จที่เขาสร้าง เศษซากที่เขาทิ้งไว้ การร้องที่มีเอกลักษณ์กับสไตล์ที่เขาครีเอต แฟนคลับที่รักเขาสุดใจกับแอนตี้แฟนที่ชังน้ำหน้าเขา…ทุกอย่างเหมือนถูกนาบด้วยเหล็กที่ถูกเผาจนร้อนจัด ทิ้งเครื่องหมายที่เป็นนิรันดร์เอาไว้

อาจเพราะตัวตนของฉินอีอวี๋นั้นอันตรายมากเลยไม่เหมาะจะแทรกเข้าไปในวงไหน จนถึงตอนนี้ในช่องคอมเมนต์เพลงที่พวกเขาใช้เดบิวต์ก็ยังมีคอมเมนต์ชื่นชมสรรเสริญแต่รุนแรงเลือดสาด

 

ไม่ว่าฉินอีอวี๋จะไปโผล่ที่ไหน ที่นั่นจะโดน ‘ออร่าคำสาป’ ของเขา’

 

ฉือจือหยางเคยพูดไว้นานแล้วว่าคนแบบนี้ไม่มีทางถูกหนานอี่สอยมาร่วมวงได้หรอก เพราะอัจฉริยะผู้สร้างตำนานคนไหนจะยอมลดตัวมาตั้งต้นกับคนหน้าใหม่ แถมคนคนนั้นยังเป็นฉินอีอวี๋ที่ไม่เคยแคร์ใครอีกต่างหาก การเอาชื่อนี้มาผูกกับประโยคนี้จึงเหมือนเรื่องชวนหัว

แต่หนานอี่ไม่เคยฟัง

“ไม่นะ ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้! ฉัน…” พอคิดถึงความยึดมั่นถือมั่นที่หนานอี่มีต่อฉินอีอวี๋แล้ว ฉือจือหยางก็กลืนคำหยาบกลับลงคอไป “เราหาคนอื่นก็ได้!”

แต่หนานอี่ดูไม่เหมือนคนแพ้ แค่ดวงตาฉายแววฉงน

ชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิมสักพักก็หมุนตัวไปหยิบกระเป๋าใส่การ์ดกลับมาจากป้อมยาม เขาไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธคำพูดของฉือจือหยาง “กลับกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีคลาสอีกไม่ใช่เหรอ”

“ก็ได้” ฉือจือหยางถอนหายใจ “ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่เขาก็ได้”

พูดจบฉือจือหยางก็รู้สึกว่าการพูดแบบนี้มันไม่ค่อยดีและไม่ช่วยปลอบประโลมจิตใจ แต่เดิมทีหนานอี่ไม่ได้ต้องการคำปลอบใจอยู่แล้ว เขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้นายจะไปรับจ็อบที่ 029 หรือเปล่า สายขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีสอบอีกจะอ่านหนังสือยังไง”

029 เป็นคลับขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่แถวๆ มหาวิทยาลัย เนื่องจากบ้านเกิดของเถ้าแก่เนี้ย* อยู่ซีอาน เธอเลยเอาเบอร์ขึ้นต้นประจำจังหวัดมาเป็นชื่อร้าน

“ไม่ต้องอ่านหรอก” หนานอี่เช็กของในกระเป๋าเก็บการ์ด พอรู้ว่าไม่มีอะไรหายไปก็โยนมันใส่กระเป๋า “ฉันเปลี่ยนกะไปบ่ายวันพรุ่งนี้แล้ว พอสอบเสร็จก็ไม่มีคลาส”

ไอ้หมอนี่เปลี่ยนกะงานพาร์ตไทม์เพราะตั้งใจจะรอฉินอีอวี๋อยู่ที่หลังป้อมยามประตูนี้ทั้งคืนจริงๆ

ฉือจือหยางเกาศีรษะ

ตอนแรกเขาตั้งใจจะสารภาพเรื่องที่ตัวเองโพสต์รับสมัครนักดนตรี แต่เห็นได้ชัดว่าหนานอี่ในตอนนี้คงไม่อยากได้ใครอื่นนอกจากฉินอีอวี๋

“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่ห้องซ้อม” ฉือจือหยางบริหารแขนเล็กน้อย “เหมือนว่าช่วงนี้ฉันคงซ้อมหนักเกินไป แขนเลยปวดจนยกไม่ขึ้น ต้องกลับไปทายาก่อน นายกลับบ้านแล้วก็อย่าซ้อมเบสอีกล่ะ พักผ่อนเร็วๆ”

“อืม” หนานอี่ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาตบไหล่ฉือจือหยางแล้วส่งยิ้มให้

หนานอี่มีฟันเขี้ยวทั้งสี่ที่ยาวและแหลมคมกว่าคนปกติ เข้ากับหางตาที่ยกสูงและดวงตาสีอ่อนที่หาได้ยาก เมื่อนำทุกอย่างมาผสมกันก็กลายเป็นความดิบเถื่อนที่ดูควบคุมได้ยาก แต่คนที่มีฟันแบบนี้จะมีลักยิ้มกันเกือบทุกคน หนานอี่ก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ลักยิ้มของหนานอี่บางมากและมีแค่ที่ด้านขวาด้านเดียว เวลาเขายิ้มจะมีลักยิ้มโผล่ออกมาให้เห็นแบบเลือนๆ

“ทันอยู่แล้ว สบายใจได้”

เนื่องจากหอพักอยู่ไกลหนานอี่ต้องขี่รถกลับ ตอนที่ผ่านทางม้าลายเขาได้ยินเสียงแว่วในหัวเป็นเสียงชนดังสนั่นประสานกับเสียงหวอของรถพยาบาล แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แต่เขาก็ยังคงปรับตัวให้ชินไม่ได้ ต้องใส่หูฟังเสมอ และบังเอิญว่าเพลงแรกที่เขาเปิดเป็นเพลงเก่าของฉินอีอวี๋

เสียงแว่วนั้นค่อยๆ ถูกเสียงของฉินอีอวี๋กลบทับและพอเขากำลังจะถึงหอพักเสียงนั่นก็หายไป

หนานอี่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงไม่ร้องเพลงต่อ

การสังเกตและการวิเคราะห์พฤติกรรมเป็นสิ่งที่หนานอี่ทำไปตามความเคยชิน เนื่องจากเบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์ทุกคนล้วนมีแรงขับเคลื่อนและเหตุผลที่สามารถนำมาจำแนกแยกแยะ ยิ่งวิเคราะห์ได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมองเห็นภาพได้ชัดและควบคุมได้มากขึ้น

สมองของเขาวาดภาพทั้งหมดของฉินอีอวี๋ขึ้นมาเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ ถึงได้ไปพูดจาโน้มน้าวอีกฝ่ายแบบนั้น แต่มันอาจขาดเบาะแสสำคัญบางอย่าง ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เป็นอย่างที่หวัง

ซึ่งหนานอี่จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร

เที่ยงวันถัดมาฉินอีอวี๋กินไอศกรีมพลางเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนถนนซีซื่อ พอเดินมาถึงโบสถ์ซีสือคู่* เขาก็ได้รับข้อความจากโจวไหว

 

ไหวจื่อ นายพูดถึงการประกวดอะไรนะ เครซี่แบนด์ใช่ไหม ฉันไปเช็กดูมาแล้วนะ มันดังเอาเรื่องเลยทีเดียว

ไหวจื่อ ได้ยินว่าหนึ่งในนักลงทุนที่อยู่เบื้องหลังคือค่ายเฉิงหง เพราะงั้นขอแค่นายเข้าร่วมการออดิชันก็ได้เงินแล้ว ถ้าได้รางวัลก็จะได้เงินเยอะขึ้นไปอีก ขนาดที่สามยังได้เงินเป็นล้าน นอกจากชนะจะได้เงินรางวัลเป็นตัวเลขสูงลิบแล้ว ทั้งวงยังจะได้เซ็นสัญญากับค่าย ZIA ที่อยู่ในเครือของเฉิงหง ได้ออกแสดงเป็นวงรองสุดท้ายในสามงานเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่พอๆ กับที่นายเคยไปเล่นเลย

 

ฉินอีอวี๋คาบไอศกรีมไว้ในปากขณะพิมพ์ตอบ

 

อวี๋ งานประกวดแบบนี้มีน้อยนักเหรอ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย

ไหวจื่อ นายอย่ามาพูดเลย พี่ชายคนหนึ่งของฉันมีไลฟ์เฮ้าส์อยู่ในปักกิ่งสองแห่ง ไลฟ์เฮ้าส์แห่งหนึ่งของเขาได้รับข้อเสนอให้เป็นสถานที่จัดงานออดิชัน ที่ที่นายทำการแสดงครั้งแรก ดรีมไอแลนด์ นึกออกไหม

อวี๋ หยางซีเหรอ จำได้สิ หยางซีเขาก็เหมือนนายใช่ไหม ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเกย์อย่างพวกนายมีแรงดึงดูดพิเศษอะไรต่อกันหรือเปล่า ถึงได้เหมือนนกกระจอกที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงในสวนสาธารณะเป่ยไห่**

ไหวจื่อ พูดบ้าอะไรฮะ พ่อชายแท้

 

ฉินอีอวี๋ส่งอีโมจิหน้ากลมๆ เหลืองๆ ท่าทางชั่วร้ายเพื่อทำให้โจวไหวขยะแขยงจนยอมกลับเข้าประเด็น

 

ไหวจื่อ

ไหวจื่อ ได้ยินว่าการประกวดครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะมีลูกเล่นเยอะ ไม่แน่ว่านายอาจคัมแบ็กจริงๆ ก็ได้

ไหวจื่อ รับรองว่าจะต้องมีคนคัฟเวอร์เพลงนาย

อวี๋ อย่าเลย ทำไมต้องเพลงฉันด้วยล่ะ ระวังถูกทนายฟ้องเอานะ

 

ฉินอีอวี๋ในตอนนี้ไม่เหมือนตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องใหม่ๆ เพราะฉินอีอวี๋ในตอนนี้สามารถพูดเรื่องระยำตำบอนพวกนี้ได้เป็นปกติ ถึงขั้นสามารถเอามันมาคุยเล่นกับโจวไหวได้ด้วย

เพราะเขาไม่ได้ติดใจอะไรอีกแล้ว

 

ไหวจื่อ แม่แกสิ นั่นมันเพลงของนายนะเฟ้ย!

 

อากาศดีมาก สายลมพัดยอดไม้อย่างอ่อนโยน โบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเริ่มประกอบพิธีทางศาสนา มีเสียงคณะขับร้องประสานเสียงดังแว่วมา ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และสุขสงบ ฉินอีอวี๋หรี่ตา ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นทางเดิน คนเดินเท้าที่เดินผ่านไปมาพากันปรายตามอง แต่ฉินอีอวี๋ไม่ใส่ใจ เพราะเขาแค่อยากอาบแดดเหมือนปลาตายเท่านั้น

ที่ข้างถนนมีเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดคนหนึ่ง พอเขาเห็นฉินอีอวี๋เป็นแบบนี้ก็เอ่ยถามอย่างมีน้ำใจว่า “พ่อหนุ่มไม่เป็นไรใช่ไหม!”

“ไม่เป็นไรครับ คุณสบายใจได้! ผมสติไม่ดี!”

เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดทำไม้กวาดร่วงลงพื้นจนเกิดเสียง

ท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า วินาทีที่ถูกเสียงดังเซ็งแซ่โอบล้อม ฉินอีอวี๋ได้ย้อนกลับไปในอดีต ความรู้สึกตอนที่นอนอยู่บนดาดฟ้าสมัยเรียนมัธยมปลายกับความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้ต่างกันเลย

เมื่อมือถือสั่นความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้ก็ถูกทำลาย

ซึ่งเขารู้อยู่แล้วว่าการที่อยู่ดีๆ โจวไหวก็ส่งข้อความมาตั้งเยอะตั้งแยะ พูดนั่นพูดนี่ก็เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องอื่น

 

ไหวจื่อ ฉันแค่จะบอกให้นายระวังตัวเอาไว้หน่อย อย่าถูกใครหลอกใช้ นายก็รู้ใช่ไหมว่าทำไมหนุ่มหล่อนั่นถึงพยายามตามหานาย ถ้าเขาดึงคนจากวงดังที่โดนกระแสวิจารณ์อย่างหนัก แถมยังดังสุดๆ ไปเดบิวต์วงได้ ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ชาร์ตก็ต้องขึ้น ยิ่งนายทั้งดังทั้งเก่งเบอร์นี้ ใครมันจะไม่อยากเกาะกระแส

 

เดิมทีโจวไหวไม่ได้ตั้งใจพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้ แต่เขาทนเห็นเพื่อนต้องล้มลุกคลุกคลานและถูกผีดูดเลือดตัวใหม่ตามตื๊อไม่ได้

ในที่สุดก็มีคำว่า ‘คู่สนทนากำลังพิมพ์ข้อความ…’ ขึ้นมาในหน้าต่างการสนทนา

ดูท่าคำนี้จะโดนใจนายล่ะสิ

อีกเดี๋ยวต้องมีบทความพร่ำรำพันกับเขาเด้งขึ้นมาแน่นอน

แต่สุดท้ายโจวไหวกลับได้รับข้อความแค่ประโยคเดียวว่า

 

อวี๋ นายพูดถูก ฉันโคตรเจ๋งเลย

 

* เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวน หมายถึงนั่งรอให้โชคลาภหรือโอกาสลอยมาหา มีตำนานเล่าว่าในสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย เขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก

** เวยป๋อ คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างหนึ่งของจีน คล้ายกับเฟซบุ๊ก

*** YXH คือบัญชีที่มักจะโพสต์ข้อความที่สร้างความเสียหายแก่บุคคลดังหรือสร้างความแตกแยกระหว่างกลุ่มแฟนคลับ

* เหมือนนับสมบัติในบ้าน เป็นสำนวน หมายถึงรู้เรื่องนั้นๆ อย่างละเอียดชัดเจนราวกับกำลังนับสิ่งของมีค่าในบ้านของตัวเอง

* เถ้าแก่เนี้ย เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ใช้เรียกภรรยาของเถ้าแก่หรือผู้หญิงที่เป็นเจ้าของกิจการ

* โบสถ์ซีสือคู่ (Church of the Saviour) เป็นโบสถ์คาทอลิกที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่แห่งหนึ่งในปักกิ่ง

** สวนสาธารณะเป่ยไห่ (Beihai Park) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดในปักกิ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: