ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
การสะกดรอยตาม และความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5 เล็งยิงตรงที่หัวใจ
ฝนสาดซัดกระจกหน้าต่างอย่างแรง แต่ภายในห้องกลับเงียบอย่างน่าประหลาด
หนานอี่ไม่มั่นใจว่ามันเป็นเพราะอะไร เขารู้แค่ว่าฉินอีอวี๋ยังมองจ้องเขาอย่างตั้งใจและมองลึกราวกับจะมองทะลุกระดูกเข้าไปให้เห็นแจ่มแจ้ง ซึ่งมันทำให้หนานอี่รู้สึกอึดอัด
เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาจ้องแบบนี้เอามากๆ
เนื่องจากหนานอี่มีตาสีอ่อนที่ผิดไปจากคนทั่วไป เขาจึงตกเป็นเป้าสายตามาตั้งแต่เล็ก แต่ความจริงลักษณะพิเศษนี้บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ
ตอนอายุห้าขวบมีคนสังเกตว่าสายตาของเขาไม่ดีเป็นครั้งแรก หนานอี่จึงถูกพ่อแม่พาไปหาหมอและต้องหาหมอยาวมาอีกหลายปี แต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้แค่บรรเทาอาการ ไม่สามารถรักษาให้หายขาด
อาจเพราะหนานอี่เกิดมาในครอบครัวที่มีความสุข ตัวเขาในวัยเด็กจึงไม่ใส่เรื่องนี้มากนัก และค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนได้ เพียงแต่เด็กชายชอบไว้ผมหน้าม้า ใส่แว่นเวลาเรียน และชินกับการไม่มองตาคู่สนทนา
จนปีที่เขาอายุเจ็ดขวบ หนานอี่ขึ้นชั้นประถมปีที่สอง ความจริงวันนั้นก็เป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง คุณยายมารับเขาหลังเลิกเรียนเพื่อพาเขาไปหาหมอ กว่าจะได้ผลตรวจก็เย็นมาก แต่พอตรวจเสร็จพวกเขากลับไม่ได้ตรงกลับบ้านกันทันที
คุณยายรักหนานอี่มาก และรู้ว่าหลังตรวจกับคุณหมอแล้ว เด็กชายจะอยากกินของหวาน คุณยายเลยจูงมือเขาไปซื้อขนมเยอะแยะ มีทั้งขนมเค้ก ขนมปังไส้เนย และพุดดิ้งราดซอสผลไม้ใสๆ
แต่ของพวกนี้หนานอี่ไม่เคยได้ลิ้มรส เพราะสุดท้ายพวกมันจมอยู่ในกองเลือด
เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่นาที หนานอี่ตื่นตะลึงอยู่ในกองเลือดจนคนผ่านทางคนแรกมาพบ
ความเป็นเด็กทำให้เขาไม่รู้ว่ามีอะไรผิดพลาดที่ตรงไหน ทั้งที่เขากับคุณยายเดินข้ามถนนที่ทางม้าลายเหมือนที่ถูกสอนมาตั้งแต่เล็ก หนานอี่คอยนับถอยหลังตามไฟแดง เวลาผ่านไปทีละวินาที เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นไฟเขียวเขาก็ชูมือข้างที่ถูกคุณยายจูงขึ้นอย่างร่าเริง
‘คุณยายครับ ข้ามถนนได้แล้ว’
แต่ชั่วพริบตานั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มีเสียงชนดังแสบแก้วหู ภาพสยองเหมือนฝันร้ายและรถที่ขับหนีไป
เด็กชายยืนอยู่ตรงนั้น เลือดสาดเต็มหน้าและเหมือนจะกระเซ็นเข้าไปในดวงตา เขาทั้งแสบทั้งเจ็บ ภาพทุกอย่างพร่ามัวเหมือนถูกทับด้วยแผ่นฟิล์มพลาสติกสีขาวทำให้เขาหายใจไม่ออก
แต่พอมีเสียงคนกรี๊ดดังมาจากริมถนน แผ่นฟิล์มก็ฉีกขาด ความรู้สึกแปลกประหลาดที่อัดแน่น ทั้งเจ็บปวดและหมดแรงต่างท่วมท้นขึ้นมา หนานอี่ตัวกระจ้อยทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้น เขาใช้มือปิดปากคุณยายอย่างลนลานด้วยความหวังว่าจะช่วยห้ามเลือดที่ทะลักออกมาได้
คุณยายไม่ได้อ้าปาก เพียงใช้แรงเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของหนานอี่
จนถึงวันนี้คราบเลือดที่ติดอยู่บนปลายนิ้วสากๆ นั้นเหมือนจะไม่เคยหายไป
หากเขาไม่มีดวงตาที่มองไม่ชัดคู่นี้ก็คงไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นใช่ไหม
สำหรับเด็กน้อยคนหนึ่งการได้เห็นคนในครอบครัวจากไปต่อหน้าต่อตานั้นสะเทือนจิตใจจนไม่สามารถทนรับได้ หลังจากเหตุการณ์นั้นหนานอี่ก็ไม่เปิดปากพูดอีกเลย และไม่สามารถไปเรียนหนังสือตามปกติได้ ทำได้เพียงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
พ่อกับแม่พยายามมอบความห่วงใยและความรักให้เขาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้
เพราะหนานอี่สูญเสียทักษะการพูดและมีภาวะ PTSD* ส่งผลให้ตัวเขาในวัยเยาว์ไม่สามารถโต้แย้งในชั้นศาล ทนายแก้ต่างของฝ่ายตรงข้ามจึงฉวยโอกาสอ้างว่าคำให้การของเด็กที่มีภาวะ PTSD ไม่มีน้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ สามารถพลิกคดีได้อย่างง่ายดาย
คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งจำเลยเป็นแค่คนขับรถที่ถูกส่งตัวมาเป็นแพะรับบาป ไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง หนานอี่ในวัยเด็กชี้หน้าเขาพลางร้องไห้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
พ่อแม่ของหนานอี่พาเด็กชายผู้เงียบขรึมตระเวนไปหาหมอถึงสองปีเต็มๆ แต่กลับไร้ผล การฟื้นฟูทักษะทางภาษาในวัยเรียนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาจึงเตรียมใจว่าหนานอี่อาจจะพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิตจึงไปเรียนภาษามือกับเขาตามคำแนะนำของแพทย์
แต่พอหนานอี่ยื่นมือทั้งสองข้างออกไป เขากลับทำภาษามือไม่ได้เลย นอกจากน้ำตาไหลเงียบๆ
เพราะเขามองเห็นภาพหลอน เห็นสองมือของตัวเองเปื้อนเลือด
ในช่วงที่อากาศหนาวจัดหลังผ่านปีที่สอง หนานอี่นั่งรอพ่ออยู่บนม้านั่งยาวภายในโรงพยาบาลตามลำพัง พ่อไปรับผลตรวจนานมากแล้ว ทว่าหนานอี่รอเท่าไหร่พ่อก็ไม่มาเสียที
เด็กชายจึงลุกไปตามหา เขาเดินผ่านญาติผู้ป่วยที่คุกเข่าให้หมออยู่ตรงทางเดิน เดินผ่านผู้ป่วยที่ต้องถือน้ำเกลือเองพลางกินเกี๊ยวที่สั่งมาจากร้านข้างนอก เดินผ่านความทุกข์ของมนุษย์จำนวนมากมายมหาศาล และสุดท้ายเขาก็เจอตัวพ่อที่โซนโรงอาหาร
ความเจ็บปวดของภรรยา การฟ้องร้องที่ไม่เป็นผล ความป่วยไข้ของลูกชาย ทุกอย่างล้วนกดทับอยู่บนบ่าของเขาทำให้เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจนผมหงอกไปเกินครึ่ง แต่เพราะแบบนี้แค่เห็นแผ่นหลังของพ่อ หนานอี่ก็จำได้ทันที
เวลาอยู่ต่อหน้าเขา พ่อจะยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ แต่ตอนนี้พ่อกำลังกุมศีรษะร้องไห้อยู่หลังตู้กดน้ำ
ในความเงียบสงัด หนานอี่ที่ผ่านการฉลองวันเกิดแบบอึมครึมมาสองครั้งได้ก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นเด็กน้อย หนานอี่เดินไปหาพ่อ ย่อตัวลงแล้วซบไหล่ ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาแดงก่ำของพ่อเหมือนอย่างที่คุณยายทำ
‘พ่อครับ…อย่าร้องไห้’
จนถึงวันนี้หนานอี่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาเปล่งเสียงอีกครั้งได้ยังไง เขาจำได้แค่ว่าพ่อร้องไห้หนักกว่าเดิมและสวมกอดเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่ เพราะอีกไม่นานจะมีเรื่องเศร้าถาโถมเข้ามาอีกเรื่อยๆ ชนิดไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พักหายใจ ทำให้ครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมถูกทำลายจนยับเยิน
บางครั้งหนานอี่ก็คิดว่าทำไมถึงต้องเป็นครอบครัวของพวกเขา
โชคชะตาต้องการทำลายสิ่งดีๆ เพื่อสำแดงเดชว่าอำนาจของโชคชะตาไร้ผู้ต้านเหรอ
การที่หนานอี่สูญเสียทักษะการพูดไม่ใช่เป็นบาดแผลเพียงหนึ่งเดียว…เพราะหลังจากนั้นทุกครั้งที่ต้องข้ามถนน เวลายืนอยู่หน้าทางม้าลายหนานอี่จะมีอาการหูแว่ว
แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความผิดปกติอะไร เลยไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อผู้เหนื่อยล้าฟัง
กาลเวลาฉุดลากให้เขาเดินไปข้างหน้า ตอนแรกหนานอี่เข้าใจว่าพอขึ้นมัธยมต้นแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น แต่เด็กชายกลับพบว่าตัวเองก้าวลงไปสู่เหวลึกกว่าเดิม
หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นานเขาก็ถูกบูลลี่ในโรงเรียน
ตัวการเป็นนักเรียนมัธยมต้นปีที่สามที่โตกว่าเขาสามปี ชื่อเฉินอวิ้น
ตอนแรกอีกฝ่ายก็แค่เย้ยหยันด้วยคำพูด ดูแคลนร่างกายที่ยังไม่โตเต็มที่ของเขา และเอาเรื่องดวงตาที่ไม่เหมือนคนอื่นของหนานอี่ไปล้อเลียน ต่อมาเขาก็สั่งให้เพื่อนร่วมชั้นของหนานอี่บอยคอต เอาหนังสือของเขาไปทิ้งและฉีกการบ้านของเขา
พอหนานอี่เริ่มสู้กลับ ความขัดแย้งก็ยกระดับขึ้น เด็กชายถูกจับขังในห้องน้ำ ถูกดูแคลนและทำร้ายร่างกาย
เขาได้ยินสาเหตุของการกลั่นแกล้งจากปากของเพื่อนร่วมชั้นว่าเพราะสาวที่เฉินอวิ้นตามจีบอยู่ชอบหนานอี่ ซึ่งเรื่องนี้ไปทำลายอีโก้ของอีกฝ่าย
การที่หนานอี่เงียบขรึม ไม่เข้ากลุ่มกับใคร แต่มีผลการเรียนโดดเด่นกับรูปร่างที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ผอมบาง ตัวเล็ก นิสัยดื้อด้าน…กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกรังแก
เดิมทีเรื่องนี้ควรหยุดอยู่แค่การบูลลี่ แต่วันหนึ่งหนานอี่บังเอิญเห็นคนที่มารับเฉินอวิ้นกลับบ้าน
คนคนนั้นคือคนที่ขับรถชนคุณยายของเขา…เฉินซั่นหง อีกฝ่ายถึงขนาดใส่เสื้อฮาวายที่คล้ายกับวันเกิดเหตุด้วย
หนานอี่ทนไม่ไหว เขาขี่จักรยานไล่ตามรถปอร์เช่อย่างบ้าคลั่งจนล้มกระแทกขอบทางอย่างแรง
แต่เรื่องน่าขำคือตอนที่เขาบุกเข้าไปในห้องเรียนของนักเรียนปีสูงกว่าเพื่อคว้าคอเสื้อของเฉินอวิ้นเหมือนถูกผีร้ายสิงร่างในวันต่อมา วินาทีที่หนานอี่ตั้งใจจะถาม เขากลับสูญเสียทักษะการพูดอีกครั้ง อารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้เด็กชายทำได้แค่ตะโกนเสียงแหบไม่กี่คำว่า
‘ฆ่าคนต้องชดใช้! ฆ่าคน…’
เขาไม่มีวันลืมสายตาของเฉินอวิ้นในตอนนั้น เด็กชายไม่รู้เรื่องอะไรเลย หน้าเหวอสนิท เฉินอวิ้นด่าหนานอี่ว่าไอ้โรคจิตแล้วให้พรรคพวกลากตัวหนานอี่ไปกระทืบอย่างหนัก
ที่แท้เฉินอวิ้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง
เด็กชายไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าคนตาย และไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองทำอะไรกับครอบครัวของหนานอี่
สำหรับเฉินซั่นหง เรื่องใหญ่อย่างการสูญเสียหนึ่งชีวิตและทำให้ครอบครัวของหนานอี่พังทลายไม่ได้มีความหมายอะไร เขาไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเล่าให้ลูกของตัวเองฟัง
หนานอี่เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องพยาบาลด้วยตัวเอง เด็กชายกัดฟันขณะแอบสาบานกับตัวเองว่าเขาจะไม่มีวันพูดถึงเรื่องนี้อีก
แต่สักวันเขาจะต้องจัดการไอ้ชาติชั่วนั่นให้ได้
การบูลลี่ที่โรงเรียนนี้กินเวลายาวนานทำให้ชีวิตในโรงเรียนกลายเป็นหนองน้ำดำมืด ความเจ็บแค้นทบเท่าทวีทำให้เขาติดอยู่ในนั้นอย่างโดดเดี่ยว ไม่สามารถนอนหลับหรือคิดอย่างเด็กปกติได้ นับวันอาการก็ยิ่งหนักขึ้นจนยากจะถอนตัว
แต่วันที่แสนธรรมดาวันหนึ่ง…วันที่ยี่สิบสามเดือนธันวาคม ปลายภาคเรียนที่หนึ่ง
ช่วงนั้นปักกิ่งมีหิมะตกหนักอย่างหาได้ยาก ซึ่งดวงตาของหนานอี่ก็สู้แสงแรงๆ ไม่ได้อยู่แล้ว ในช่วงหลายวันมานี้มีแสงสะท้อนจากหิมะทำให้ดวงตาข้างซ้ายของเขามีปัญหาอย่างรุนแรงจนต้องใส่ที่ปิดตาหนึ่งข้าง
ตอนเที่ยงหนานอี่เดินออกจากโรงอาหารแล้วถูกพวกเฉินอวิ้นดักที่ใต้อาคารอเนกประสงค์
‘เอาผมปิดตาทั้งวัน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม’
‘นี่นายรู้จักหมาป่าตาขาว* ไหม ลูกตานายมันก็เหมือนอยู่นะ ฮ่าๆๆ’
‘ตัวก็เตี้ยแล้วยังไว้ผมยาวให้ดูลึกลับอีก แถมตอนนี้ยังใส่ที่ปิดตาด้วย ตั้งใจจะทำเท่แบบมังกรตาเดียวใช่ไหม ไอ้ทึ่มเอ๊ย’
พวกนั้นจับแขนของหนานอี่ไว้แล้วเฉินอวิ้นก็เดินมาเตะท้องเขาหนึ่งครั้ง
‘มองอะไร! ขืนมองอีกเดี๋ยวพ่อก็ทำให้ตาบอดอีกข้างหรอก!’
หนานอี่ของขึ้นทันที เขาดิ้นราวกับสัตว์ป่า และจังหวะนั้นเองหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างก็เปิดผาง คนตรงหน้าต่างยื่นตัวออกมาครึ่งตัว ตาปรืออย่างง่วงงุน ปลายผมกระดก
เขาสวมเสื้อแจ็กเก็ตโรงเรียนที่เป็นสีขาวดำของนักเรียนมัธยมปลาย เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ อย่างเกียจคร้านแล้วยิ้มให้เฉินอวิ้นที่ชูหมัดหรา ‘แกล้งเพื่อนอยู่เหรอ’
ตอนพูดมีควันสีขาวลอยออกมาจากปาก แม้สีหน้าท่าทางจะดูอ่อนโยน แต่หนานอี่สังเกตเห็นว่าหลายคนที่อยู่รอบตัวกลับเผลอเกร็งตัวขึ้นและหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด
เฉินอวิ้นอึ้งงันไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ส่งเสียงอีก แต่ใครจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะกระโดดข้ามหน้าต่างออกมาหาพวกเขา อีกฝ่ายตัวสูงกว่าเด็กๆ กลุ่มนี้มากจึงให้ความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
‘หนวกหูชะมัด’ เขายืดตัวบิดขี้เกียจและหักนิ้วเสียงดังกร๊อบ ‘ฉันกำลังนอนสบายๆ ฝันว่าถูกล็อตเตอรี่ กำลังจะไปขึ้นรางวัล แต่ชวดหมด! บอกมาซิว่าพวกนายจะชดใช้ยังไง’
คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เพราะในโรงเรียนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักใบหน้านี้ และเป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนน้อยนิดที่หนานอี่ผู้เอาแต่อยู่ในโลกของตัวเองยังรู้จัก
ทุกคนมองหน้ากันแล้วสุดท้ายก็หันไปมองเฉินอวิ้น
เฉินอวิ้นเก็บสีหน้าไม่อยู่ ผลักจางจื่อเจี๋ยที่อยู่ข้างตัวหนึ่งครั้ง…จางจื่อเจี๋ยเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขา
‘มัวอึ้งอะไรอยู่ ลากตัวเขาไปสิ’
จางจื่อเจี๋ยกลืนน้ำลายและฝืนปั้นหน้ากระชากแขนหนานอี่ ‘ไปสิ!’
ไม่รอให้หนานอี่ได้ขัดขืน วินาทีต่อมาขาข้างหนึ่งก็เตะมาอย่างแรง จางจื่อเจี๋ยร้องโอ๊ยพร้อมทรุดตัวลงทันที ซึ่งแรงนั้นเกือบทำให้หนานอี่ล้มตามลงไปด้วย เพราะเขาถูกจางจื่อเจี๋ยดึงแขนข้างหนึ่งไว้
แต่หนานอี่ก็ไม่ได้ล้มตามจางจื่อเจี๋ยลงไป เพราะแขนอีกข้างหนึ่งถูกใครอีกคนจับเอาไว้แน่น
แต่ไม่นานคนทำก็ปล่อยแขนเขาแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรสุดๆ เด็กหนุ่มก้มตัวลงมาดึงตัวจางจื่อเจี๋ยให้ลุกขึ้นอย่างมีน้ำใจ ‘ขอโทษๆ ขาฉันไม่ดี เข่ามันเด้งแรง ไม่เชื่อนายก็ดู…’
เขาพูดจบก็ตั้งใจจะยกขาขึ้นอีกครั้งทำให้พวกเฉินอวิ้นถอยกรูดกันตามสัญชาตญาณ
จางจื่อเจี๋ยลุกไม่ขึ้นเลยคลานหนี ทำให้เฉินอวิ้นเสียหน้า แต่เขาจะหาเรื่องคนดังของฝ่ายมัธยมปลายไม่ได้ เลยได้แต่ด่าหนานอี่อย่างดุดันหนึ่งประโยคแล้วสะบัดหน้าหนีไป
คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าอยู่ต่อเลยเผ่นตาม
‘หนีเร็วขนาดนี้ ไม่แน่จริงนี่หว่า…’ ชายหนุ่มเสยผมที่กระดกเพราะถูกนอนทับแล้วปรายตามองหนานอี่ที่ก้มหน้าอยู่ข้างๆ เขาร้องเอ๋? ที่เห็นหนานอี่นิ่งเลยดึงแขนเด็กชายแล้วเรียกเสียงเบา ‘รุ่นน้อง…ไม่เป็นไรใช่ไหม ให้ฉันพานายไปห้องพยาบาลดีหรือเปล่า ฉันรู้จักที่นั่นดี’
หนานอี่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตอนแรกเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะปล่อยมือ แต่คิดไม่ถึงว่ารุ่นพี่จะไม่ได้ปล่อยแขนตน แถมยังยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาด้วย ชายหนุ่มก้มตัวตั้งใจจะปัดผมหน้าม้าของหนานอี่ขึ้นเพื่อตรวจดูบาดแผล ทว่าปลายนิ้วแตะถูกที่ปิดตาสีดำเข้าเสียก่อน
‘อย่าเอาแต่ก้มหน้าสิ ขอฉันดูหน่อยนะ นายตาเจ็บเหรอ’
‘เปล่าครับ ขอบคุณครับรุ่นพี่’ หนานอี่รีบถอยห่างและกล่าวคำขอบคุณอย่างรีบร้อนก่อนหมุนตัววิ่งหนีไป
ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเป็นทางกลางพื้นหิมะ
แม้หนานอี่จะหนีไปตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเขาก็อยากรู้ชื่อของรุ่นพี่มาตลอด อยากรู้มากๆ
อีกไม่กี่วันก็ถึงการแสดงวันส่งท้ายปีเก่าของโรงเรียน
มีการร่ายบทกวีที่แสนน่าเบื่อ การร้องโซโล่ การร้องเพลงประสานเสียง การเต้นรำ และการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ทำเอาผู้ชมทุกคนพากันง่วงเหงาหาวนอน ส่วนหนานอี่เอาแต่เหม่อลอย และรายการต่อไปก็เป็นการร้องโซโล่อีก ซึ่งเพลงที่พิธีกรบอกคือ ‘ซึ้งในพระคุณ’
ซึ้งในพระคุณ…แค่ได้ยินคำนี้เขาก็ไม่อยากสนแล้วว่าใครเป็นคนร้อง
หนึ่งวินาทีถัดมาก็มีเงาของใครคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเวที เขายืนอยู่ที่หน้าไมค์ด้วยท่าทีไม่ค่อยสำรวม และพริบตาที่เสียงดังขึ้นหนานอี่ก็ย่นหัวคิ้ว
พอเงยหน้าขึ้นภาพใบหน้าคุ้นตาก็พุ่งเข้ามาในจักษุประสาท ชายหนุ่มทำหน้าตาทะเล้น เลิกคิ้วสูง บอกว่าตัวเองคือฉินอีอวี๋ ชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่ง ห้องเก้า
ฉินอีอวี๋
ดนตรีประกอบยังไม่มาฉินอีอวี๋ยิ้มพลางร้องเทสต์สองประโยค จู่ๆ ก็หยุด หันหน้าไปชูแขนขึ้นสูงเพื่อกวักเรียกคนที่อยู่หลังเวที
พึ่บพั่บ
มีคนวิ่งออกมาจากหลังม่านที่แขวนอยู่ด้านข้างเวทีสามคน และในจังหวะที่อาจารย์ทั้งโรงเรียนทำหน้าเหวอ ผ้าม่านสีแดงเขียนข้อความว่า ‘Merry Xmas and Happy New Year’ ที่ติดอยู่ด้านหลังก็หลุดร่วงลงมา เผยให้เห็นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่หลังม่าน มีกลองชุด กีตาร์ เบส และลำโพง
พวกเขาทุกคนเข้าประจำที่กันอย่างกระตือรือร้น แล้วมองไปทางพระเอกตัวจริง
ฉินอีอวี๋วิ่งไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้ามาสะพายก่อนพุ่งตัวกลับไปที่ไมค์ วินาทีที่มือกลองตีไม้แรก เขาก็บรรเลงท่อนริฟฟ์* ที่แสนจะมีสีสันและทรงพลังออกมาท่อนหนึ่ง
จนถึงวันนี้หนานอี่ก็ยังจดจำแรงปะทะในนาทีนั้นได้ มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแห่งความสดใสแล่นปราดไปทั่วร่างกายอันด้านชาของเขา บดขยี้ร่างกายทุกส่วนให้กลายเป็นผุยผง แต่วินาทีถัดมาเขาก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
เพลงซึ้งในพระคุณเป็นแค่ตัวหลอก ฉินอีอวี๋ร้องเพลงร็อกแอนด์โรลที่ตัวเองแต่งต่อหน้าอาจารย์ทั้งโรงเรียนด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์และเป็นกบฏ เพลงหัวใจสิงห์
เสียงกีตาร์ไฟฟ้าดังสนั่นเหมือนเชื้อเพลิงที่ระเบิดตูมตาม จุดไฟอันเร่าร้อนขึ้นภายในงาน อัคคีไล่ลามไปทั่วห้องทำให้นักเรียนทุกคนต่างส่งเสียงเฮและเรียกชื่อฉินอีอวี๋ พวกเขาร้องกรี๊ดและปลดปล่อยตัวเองกันเต็มที่ ความหงอยเหงาเบื่อหน่ายตลอดทั้งช่วงเย็นถูกแผดเผาหมดเกลี้ยง
เหมือนความฝันกลายเป็นความจริง หนานอี่ที่อยู่ด้านล่างเวทีจมหายไปในเสียงกรี๊ด เขาแอบท่องชื่อนี้เงียบๆ
ฉินอีอวี๋ ฉินอีอวี๋
ชั่วอึดใจนั้นผู้คนที่อยู่บนและล่างเวทีต่างมลายหายไป เหลือแต่ฉินอีอวี๋กับตัวเขาแค่สองคน
แม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่เสียงของคนคนนั้นกลับเป็นเหมือนมีดคมที่ทำลายกุญแจที่ปิดตายหัวใจของหนานอี่อย่างรุนแรง และเพียงไม่นานความโกรธแค้นที่ถูกเก็บกดไว้ในใจพวกนั้นก็กลายเป็นคลื่นสีแดงโลหิตเหนียวหนึบทะลักทลายออกมา ท่วมมิดพวกเขาพร้อมกัน
แต่เพลงนี้ก็ร้องได้ไม่จบตามที่คาดการณ์เอาไว้ เมื่อเครื่องเสียงถูกดึงปลั๊กออก พวกฉินอีอวี๋ก็ถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองไล่ลงจากเวที ทว่าฉินอีอวี๋ยังยิ้มได้จนนาทีสุดท้าย
ชายหนุ่มชูสองมือขึ้นโบกหย็อยๆ และโค้งคำนับท่ามกลางเสียงบริภาษของอาจารย์ฝ่ายปกครอง แถมตอนที่ยืดตัวขึ้นฉินอีอวี๋ยังใช้สองมือป้องปากตะโกนว่า
‘Happy New Year!’
รอยยิ้มนี้ทำให้แม่น้ำโลหิตที่ไหลเชี่ยวพังทลายและหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ผนึกเป็นจุดสีแดงกลางฝ่ามือของหนานอี่
ความวุ่นวายนี้ยุติลงพร้อมกระแสวิพากษ์วิจารณ์
ว่ากันว่าตอนแรกอาจารย์ฝ่ายปกครองให้ฉินอีอวี๋เขียนเรียงความสำนึกผิดแล้วนำมาอ่านให้อาจารย์ทั้งโรงเรียนฟัง แต่เรียงความสำนึกผิดที่ชายหนุ่มส่งนั้นไม่เข้าท่าอย่างมาก อาจารย์เลยยกเลิกการเขียนเรียงความแล้วให้ฉินอีอวี๋ไปยืนประจานความผิดแทน
ที่ลานกว้าง หนานอี่ได้ยินคนห้องข้างๆ เม้าท์กันสนั่น
‘ครั้งล่าสุดที่ฉินอีอวี๋ยืนอยู่หน้าคนทั้งโรงเรียนก็คือตอนเป็นตัวแทนนักเรียนกล่าวสุนทรพจน์’
‘จริงด้วย เดือนที่แล้วเขาก็ได้เหรียญทองจากการแข่งขันวิชาฟิสิกส์ด้วย’
‘ฉันได้ยินมาว่าบ้านเขารวยมาก พ่อทำธุรกิจ ส่วนแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แถมตัวเขายังหน้าตาดี เป็นคุณชายของแท้ แต่ติดที่นิสัยกบฏเหลือเกิน ใครก็เอาไม่อยู่’
‘แต่ฉันว่าเท่ดีออกนะ เขาร้องเพลงเพราะมาก’
‘อย่าพูดเรื่องนี้เลย พวกอาจารย์โมโหกันจะตายอยู่แล้ว ตอนที่ฉันเอาแบบฝึกหัดไปส่งได้ยินเสียงอาจารย์ด่าอยู่ในห้องพักอาจารย์เสียงดังเลยว่าไม่เคยเจอเด็กแสบที่ทำตัวไม่เอาไหนแบบนี้มาก่อน! ทั้งทะเลาะวิวาท โดดเรียน ก่อเรื่อง ครบหมด ทั้งที่เรียนดี สอบติดสามอันดับแรกทุกรอบ แต่พอมีใครพูดจาไม่เข้าหูก็มีเรื่องกับเขาไปทั่ว! แถมตอนถูกอาจารย์ด่าเขายังทำหน้าตาทะเล้น เห็นแล้วปวดหัวจริงๆ!’
เพราะพูดเลียนเสียงอาจารย์ตอนด่าได้อย่างสมจริง พวกนักเรียนมัธยมต้นที่อยู่รอบๆ จึงพากันหัวเราะเบาๆ มีเพียงหนานอี่ที่ทำหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก สายตาจ้องมองฉินอีอวี๋ที่อยู่บนเวทีอย่างละเอียด มองดูรอยยิ้มของเขา พิจารณารูปร่างผอมสูงและคล้ามแดดของเขา
หลังเลิกเรียนวันนั้นหนานอี่ขี่จักรยานผ่านร้านเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง เขาหยุดจักรยานแล้วถอยหลังกลับ เด็กชายลังเลอยู่สองสามวินาทีก่อนเดินเข้าไปในร้าน
‘ผมอยากเจาะหูครับ’ เขาบอก ‘หูซ้าย’
ตอนที่ถูกเข็มแทงหนานอี่ไม่รู้สึกเจ็บ เขาส่องกระจกเช็กดูอย่างละเอียดเหมือนสิ่งที่เขากำลังมองดูไม่ใช่รูที่ถูกเจาะ แต่เป็นเครื่องหมายอันหนึ่ง
เหมือนเครื่องหมายถูกที่ติ๊กในเช็กลิสต์ เป็นของที่ระลึกเมื่อบรรลุเป้าหมาย
‘ทำไมถึงอยากเจาะหูเหรอ’ พี่สาวเจ้าของร้านยิ้มอย่างอ่อนโยน ‘มีเด็กผู้ชายอายุเท่าเธอมาเจาะหูไม่มากหรอกนะ’
หนานอี่นิ่งไปสองวินาทีแล้วคิดว่าการบอกเล่าเรื่องพวกนี้ให้คนแปลกหน้าฟังไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
‘เพราะผมได้รู้จักคนคนหนึ่งและรู้ชื่อของเขาแล้ว’
นี่จึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าความฝันของเขาเป็นจริง
ตัวของฉินอีอวี๋เองก็เป็นเหมือนเข็มที่ใช้เจาะหูอันนี้คือทะลุเนื้อเข้าไปในชีวิตสีเทาหม่นของหนานอี่และกลายเป็นสิ่งพิเศษ
หนานอี่มีความปรารถนาที่จะทำความเข้าใจอย่างมากถึงมากที่สุด เขาอยากจะเข้าใจเรื่องของคนคนนี้ในทุกแง่มุม
รากเหง้าของพลังชีวิตอันคึกคักแจ่มใสนั่นคืออะไร ทำไมฉินอีอวี๋ถึงชอบยิ้มขนาดนั้น ทำไมเขาถึงสามารถใช้ชีวิตนอกกรอบได้ เขาเจ็บปวดบ้างไหม หากถูกทำร้ายจะทำยังไง ร้องไห้เป็นหรือเปล่า เคยเสียใจจนพูดไม่ออกเหมือนเขาไหม
หนานอี่อยากชำแหละฉินอีอวี๋เพื่อศึกษาตัวตนให้ชัด จากเนื้อหนังลงไปถึงกระดูกและหัวใจ
และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ
นับตั้งแต่นั้นหนานอี่ก็คอยตามติดเชื้อไฟนี้เหมือนเงา เขาคอยอยู่ใกล้และสำรวจตรวจดูอย่างเงียบเชียบในทุกเวลาและทุกสถานที่ หนานอี่ไม่ได้คาดหวังว่าฉินอีอวี๋จะมองเห็นเขา และตัวเขาก็ไม่ได้อยากให้ฉินอีอวี๋มองเห็น เพราะหนานอี่เกลียดที่ตัวเองเป็นคนอ่อนแอที่ต้องรอรับความช่วยเหลือจากคนอื่นและกลัวว่าจะมองเห็นแววตาเวทนาสงสารจากดวงตาของฉินอีอวี๋
ด้วยเหตุนี้หนานอี่จึงพยายามเก็บซ่อนตัวเองไว้
จนเขารู้ว่าฉินอีอวี๋อยากได้มือเบสที่สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ได้สักคน
แล้วทำไมมือเบสคนนั้นจะเป็นฉันไม่ได้
ที่แท้ฉินอีอวี๋ก็ตกต่ำได้เหมือนกัน
ที่แท้พอเห็นเขาตกต่ำแล้ว ฉันก็ปวดใจ
การเป็นเงาไม่เพียงพออีกต่อไป เขาต้องผันตัวเป็นผู้ล่า ด้วยเหตุนี้หนานอี่จึงค่อยๆ วางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม เพื่อที่ว่าสักวันเขาจะได้ไปปรากฏตัวตรงหน้าฉินอีอวี๋อย่างเปิดเผยอย่างผู้แข็งแกร่งและเป็นที่ต้องการของฉินอีอวี๋ ได้ดูแลชีวิตที่ไร้ระเบียบของเขา ประคองความสับสนและอ่อนแอของฉินอีอวี๋ไว้กลางฝ่ามือ
ในช่วงวัยรุ่นที่แสนเจ็บปวด ในสายตาอันพร่ามัวของหนานอี่มีเป้าหมายสองอย่าง เป้าหมายแรกนั้นเปื้อนโคลนและเลือด ส่วนเป้าหมายที่สองนั้นเปล่งประกายสว่างไสว
ตอนนี้เป้าหมายที่สองได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาและกำลังมองเข้ามาในดวงตาของเขา
หลังจากใช้เวลาหกปีเต็ม
* PTSD (Post-traumatic stress disorder) คือภาวะความผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดความเครียดจนกระทบกับการใช้ชีวิต
* หมาป่าตาขาว เป็นสำนวน หมายถึงคนเนรคุณ
* ริฟฟ์ (Riff) คือท่อนดนตรีสั้นๆ ที่เล่นซ้ำๆ ให้จดจำและติดหู ซึ่งถูกแต่งให้เข้ากับแนวของเพลง
บทที่ 6 ทางออกของวิญญาณ
ฉินอีอวี๋ปล่อยมือจากคอเสื้อของหนานอี่
เขาถอยหลังสองก้าวแล้วหัวเราะ เพียงแค่ชั่วอึดใจชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แต่เพราะภายในห้องมืดเกินไปและหนานอี่ไม่ได้สวมแว่น เขาจึงสงสัยว่าตัวเองอาจจะตาฝาด
พวกเขาอยู่กันอย่างเงียบเชียบภายในห้องมืดมิดนานมาก
สิบนาทีต่อจากนั้นฉินอีอวี๋เหมือนตามหาจิตวิญญาณที่หายไปคืนมาได้ เขาจึงหมุนตัวไปนั่งบนโซฟาและถือโอกาสเปิดโคมไฟที่อยู่ข้างมือ
แสงไฟสีเหลืองหม่นสาดส่องไปทั่วห้อง ฉายให้เห็นหนังสือเก่า ขวดเหล้า เตียงเดี่ยวสีน้ำเงิน วอลล์เปเปอร์ที่ถูกขีดเขียนจนเละเทะและกระดาษโพสต์อิตที่ถูกติดอยู่มากมาย
ที่นี่ไม่มีกีตาร์ ไม่มีลำโพง ไม่มีหูฟังมอนิเตอร์ ไม่มีอุปกรณ์ทำเพลง ไม่มีแม้แต่โน้ตสักแผ่น ในชีวิตของฉินอีอวี๋ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับดนตรีอีกแล้ว
เขาแหงนหน้าพิงโซฟาเงียบๆ ตามองฝ้าเพดาน ในอึดใจต่อมาชายหนุ่มก็หันมามองหนานอี่พร้อมจ้องดวงตาของอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ฉายแววอยากสอบถามเรื่องบางอย่าง
หนานอี่อ่านสายตาของเขาไม่ออก เพราะมันดูดื้อดึงและสับสนเหมือนมีเรื่องเจ็บช้ำใจ
แต่ไม่นานอารมณ์รุนแรงนี้ก็ถูกเขาเก็บงำไว้ทั้งหมด และเมื่อฉินอีอวี๋เปิดปากอีกครั้ง เขาก็ชวนคุยด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนว่า
“เมื่อก่อนนาย…เคยอยู่วงไหน”
น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนกว่าตอนแรกมาก ถึงขั้นทำให้หนานอี่คิดถึงฉากที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก น้ำเสียงของฉินอีอวี๋ฟังดูจริงจังอย่างหาได้ยาก แต่เขาก็จงใจพูดให้เบาลงด้วย
ทว่าหนานอี่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้
“ไม่เคย”
ฉินอีอวี๋นิ่วหน้า “อะไรนะ”
หนานอี่หยุดนิ่งเล็กน้อย “ผมไม่เคยอยู่วงไหนเลย”
นาทีนั้นสีหน้าของฉินอีอวี๋เปลี่ยนไปเป็นลังเลอย่างเห็นได้ชัด หนานอี่รู้สึกสนุกและคิดว่าตอนนี้ในใจของฉินอีอวี๋คงอยากด่าเขาจับใจ
แต่ฉินอีอวี๋กลับไม่ได้เอ่ยผรุสวาทออกมา ซ้ำยังหัวเราะ
นี่เป็นครั้งแรกที่หนานอี่คาดการณ์ผิด และมันทำให้เขาประหลาดใจ
ฉินอีอวี๋เอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วห้องซ้อมของพวกนายอยู่ที่ไหน”
“ถนนจงกวานชุนฝั่งตะวันออก ห้องใต้ดินในตึกเตี้ยสีฟ้าหลังอาคารซิ่งอวิ้น ห้องในสุด พวกเราจะอยู่ที่นั่นกันทุกคืน”
“อ้อ” พอฉินอีอวี๋ถามจบก็เงียบไปอีกครั้ง
หนานอี่สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเอาแต่มองจ้องตาของตน
เขาจึงหลุบตาลงตามสัญชาตญาณ
ฉินอีอวี๋ดึงสายตากลับไปแล้วหันไปมองกล่องเบสที่ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง
“ไหนๆ ก็มาแล้ว เล่นให้ฉันฟังสักเพลงแล้วกัน”
เขาไม่สนใจไม่ใช่เหรอ
หนานอี่นึกกังขาแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะนิสัยของฉินอีอวี๋ไม่เคยเอาแน่เอานอนได้อยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร หนานอี่ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ
เพียงแต่ที่นี่ไม่เหมือนห้องซ้อม หนานอี่เปลี่ยนใจมาที่นี่กะทันหันเลยไม่ได้เอาอุปกรณ์อะไรมาด้วย
ระหว่างที่หนานอี่กำลังลังเลว่าจะเอาอะไรออกมาขาย ฉินอีอวี๋ก็ลุกเดินเข้าไปในห้อง ไม่นานเขาก็หยิบแอมป์กีตาร์ Spark* ออกมา
“เสียบปลั๊กเข้ากับเจ้านี่ได้” เขาหมุนปุ่มแรกไปที่การตั้งค่าเบสและปรับการตั้งค่าเอฟเฟ็กต์ “เสียงย่านความถี่ต่ำของแอมป์ตัวนี้อาจจะสู้แอมป์เบสไม่ได้ แต่พอถูไถ”
หนานอี่เลิกคิ้ว
เขาเข้าใจว่าฉินอีอวี๋เผาทุกอย่างที่เกี่ยวกับดนตรีไปหมดแล้ว
“ครับ” หนานอี่หยิบเบสออกมา
ฉินอีอวี๋มองเบสแบบธรรมดาสำหรับผู้เริ่มเรียน สีออมเบรดำเทา เป็นเบสทั่วไปที่มือใหม่ชอบใช้
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ มันก็ตรงกับที่เขาคาดการณ์ไว้
ฉินอีอวี๋ไม่ได้คาดหวังทักษะทางดนตรีของหนานอี่มาก เพราะอีกฝ่ายก็อายุประมาณหนึ่งแล้ว และไม่เคยมีประสบการณ์การทำวงเลย
บางทีหนานอี่อาจจะสนใจดนตรีแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แบบพอนึกชอบดนตรีก็ไปชมงานเทศกาลดนตรีและชอบวงดิสออเดอร์คอนเนอร์เลยชอบตัวเขาในอดีต ถึงได้เอ่ยปากชวนเขาไปทำวงด้วยกันอย่างกระตือรือร้นโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฉินอีอวี๋คงไม่ให้โอกาสและไล่เปิดไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องจะให้อีกฝ่ายมาเล่นเบสต่อหน้าเขา ถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากๆ
แต่นี่เพราะเป็นหนานอี่
หากฉินอีอวี๋ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายสักครั้งก็ดูใจร้ายเกินไป
แต่ฉินอีอวี๋ก็ใจร้ายต่อตัวเองเหมือนกัน เพราะความหวาดผวาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นของจริง
ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกต แต่จนแล้วจนรอดเขาก็เผลอมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
หนานอี่ต่อแอมป์แล้วหลุบตาเพื่อตั้งเสียง “คุณอยากฟังเพลงอะไร”
ฉินอีอวี๋ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ดูก็รู้ว่าเขายังไงก็ได้
“แล้วแต่ อะไรก็ได้ มันก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ”
เขาไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่ได้คาดหวังต่อตัวเอง เพราะไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
ต่อให้ฉินอีอวี๋ตามหาเจ้าของดวงตาปริศนาเจอแล้วจะยังไง เมื่อพวกเขาเจอกันในช่วงที่ฉินอีอวี๋พีคที่สุด แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เขามีสภาพเหมือนหมาข้างถนน ได้แต่รับความเมตตาด้วยความเวทนาสงสาร
ทุกคนมีสิทธิ์ยื่นมือให้เขา ทุกคนมีสิทธิ์เวทนาเขา ยกเว้นคนคนนี้
ดวงตาของฉินอีอวี๋ฝ้าฟางด้วยละอองน้ำ เขาจึงเบือนหน้าไปทางอื่น เพราะไม่อยากหันไปเผชิญหน้ากับหนานอี่ ฉินอีอวี๋ใช้น้ำเสียงสุภาพจนเรียกได้ว่าอ่อนโยนเพื่อพูดสิ่งที่เด็ดขาดมากขึ้น
“เล่นเสร็จนายก็ไปได้ แล้วอย่าโผล่หน้ามาเจอฉันอีก โอเคไหม”
ในช่วงสองสามวันสั้นๆ นี้ฉินอีอวี๋พูดคำนี้กับหนานอี่หลายครั้งหลายหน แต่นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้หนานอี่เคยอยากให้ฉินอีอวี๋ประทับใจในความสามารถของเขาถึงได้ตั้งใจชวนอีกฝ่ายไปที่ห้องซ้อม เพราะเขาบังเอิญรู้มาว่าเมื่อก่อนฉินอีอวี๋เคยอยากได้มือเบสเก่งๆ มากๆ
นี่คือสิ่งที่หนานอี่ได้ยินกับหูเมื่อหกปีก่อน
ตอนนั้นหนานอี่ผู้จมอยู่ในความแค้นแทบจะสูญเสียความสุขของเด็กมัธยมธรรมดาๆ ไปและสูญเสียความปรารถนาที่จะแสดงออกไปแล้ว
ยิ่งเขาโกรธแค้นลำคอก็ยิ่งตีบตัน ฝืดเฝื่อน ว่าใครไม่ได้ ส่งเสียงร้องไม่ได้ ทำได้แค่เดินอยู่ในตรอกมืดๆ เงียบสนิทสายหนึ่งตามลำพัง
จนฉินอีอวี๋ปรากฏตัว ฉินอีอวี๋ได้ใช้บทเพลงที่เขาร้องไม่จบเจาะโพรงหนึ่งขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่สนใจสิ่งใด ชายหนุ่มยิ้มแล้วบอกหนานอี่ว่าเห็นไหม นี่แหละดนตรีร็อก
ทำให้หนานอี่หนีพ้นจากความเจ็บปวด ความทรมาน ความอยุติธรรม ความคับแค้น และความน้อยเนื้อต่ำใจได้ชั่วคราว หนานอี่หายใจแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องกักขังตัวเองไว้ในความเกลียดแค้นอีก และไม่ได้มีตัวเลือกในชีวิตแค่อย่างเดียว
เขาสามารถไล่ตามหลังคนคนนั้นโดยที่วิ่งไปและหอบไปได้ ทั้งยังคิดไปด้วยว่าความจริงมันก็มีสิ่งที่สามารถสื่อความรุนแรงในจิตใจของฉันได้ มีสิ่งที่สามารถยืนอยู่ในโคลนเลนและตะโกนด่าพายุแทนฉันว่า ‘ไอ้โลกเส็งเคร็ง!’ มีสิ่งที่บอกฉันว่าความเงียบไม่ใช่ความอ่อนแอ และสักวันฉันจะสามารถเอาชนะความด้านชาและความเจ็บปวดทุกอย่าง
ที่แท้ฉินอีอวี๋ก็เป็นคนแบบนี้ เขาอยากได้มือเบสที่สามารถร่วมสู้ไปด้วยกันได้ใช่ไหม ฉันจะหัดมันให้เร็ว เร็วมากๆ
ฉันไม่กลัวถูกออร่าของอัจฉริยะแผดเผา ฉันจะเติมเต็มช่องว่างนั้นเอง
ฉันจะเป็นทางออกที่สร้างขึ้นใหม่ให้แก่เขาที่อยู่ในตรอกมืด
แต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริงๆ หนานอี่กลับไม่มั่นใจที่จะยืนอยู่ตรงหน้าฉินอีอวี๋ในฐานะมือเบส
เพราะเขารู้ว่ามือเบสคือสิ่งที่ฉินอีอวี๋ในอดีตต้องการ
แต่ตอนนี้ล่ะ? หนานอี่ไม่มั่นใจว่ามือของฉินอีอวี๋จะสามารถเล่นกีตาร์ได้อีกหรือไม่ ในเมื่อชีวิตของเขาถูกทำลายจนยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ความไม่มั่นใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้หนานอี่รู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปตอนหัดเบสใหม่ๆ
ตอนนั้นหนานอี่อายุสิบสามปี เขาใช้เงินรางวัลที่ได้มาจากการแข่งขันจำนวนหนึ่งพันไคว่* ซื้อเบสตัวแรกในชีวิต และเห็นแอ็กเคานต์ของฉินอีอวี๋อยู่บนแพลตฟอร์มดนตรี ตอนนั้นวงดิสออเดอร์คอนเนอร์เพิ่งเริ่มดังและฉินอีอวี๋เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปี เขาจึงใช้แอ็กเคานต์บุคคลโพสต์เพลงเดโมลงบนแพลตฟอร์ม
สไตล์การตั้งชื่อเดโมของฉินอีอวี๋นั้นแปลกมาก เพราะเขาชอบตั้งชื่อยาว ตัวอย่างเช่น ‘ฉันขอเลี้ยงแมวสามสิบตัวได้ไหม’ ‘ชอบชื่อใหม่ของเธอจริงๆ’ ‘ใครไม่ยอมให้ฉันกินอาหารข้างทาง ฉันจะเล่นมันซะ’ แน่นอนว่าต่อมาเดโมพวกนี้ถูกเอาไปทำเป็นเพลงจริงๆ ทำให้ชื่อถูกเปลี่ยนไปใช้คำที่สวยกว่า
ในบรรดาเดโมเหล่านั้นมีเดโมหนึ่งที่ตั้งชื่อได้เรียบง่ายเป็นพิเศษ มีแค่เครื่องหมายจุดไข่ปลา
มันเป็นเดโมเดียวที่ไม่ได้ถูกเอาไปทำเป็นเพลง
ฉินอีอวี๋เคยคอมเมนต์เพลงนี้โดยเขียนเหมือนพูดกับตัวเองว่า
‘ไลน์เบส** ที่เขียนไว้ไม่มีอันไหนที่เข้ากันเลย’
อาจเพราะการทำวงต้องการความเข้ากัน เมื่อเจอคำติแบบนี้เดโมนี้เลยถูกลบทิ้ง
แต่หนานอี่จดจำขึ้นใจ
เขาฟังเดโมนี้นับครั้งไม่ถ้วน ฟังตอนขี่จักรยาน ฟังตอนทำการบ้าน ฟังตอนนอน และในคืนที่เขานอนไม่หลับคืนหนึ่ง หนานอี่ก็หอบเบสวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าคอนโดฯ ใช้เวลายี่สิบนาทีเขียนไลน์เบสออกมาหนึ่งชิ้น
ตอนที่เดินกลับลงมาจากดาดฟ้า ปลายนิ้วของหนานอี่แข็งเพราะความหนาว แต่ฝ่ามือกลับร้อนจัด
หนานอี่มองมือตัวเอง เสียงฝนค่อยๆ ดังขึ้น ดึงความคิดของเขาออกจากคืนในฤดูหนาวกลับมาสู่ห้องเช่าของฉินอีอวี๋ห้องนี้
หนานอี่ไม่พูด เขาใช้โทรศัพท์มือถือเปิดเดโมเพลงนั้นแล้วใช้นิ้วกดสายเบาๆ
เมื่อได้ยินการเรียบเรียงโน้ตที่คุ้นหูที่สุด ฉินอีอวี๋ก็อึ้งงัน
เมื่อสองสามนาทีก่อนฉินอีอวี๋ยังตั้งท่า ‘แน่จริงก็มาสิ’ ขณะนึกภาพเพลงที่หนานอี่จะเลือก ในสมองมีเพลงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเพลงนี้
เพลงที่เขาเขียนให้แม่
สไตล์การเรียบเรียงเดโมมีความใกล้เคียงกับมิดเวสต์ อีโม* กับแม็ธร็อก** จังหวะกีตาร์มีการกระโดด ซึ่งการเรียบเรียงแบบไม่บาลานซ์ของกลองเป็นสิ่งที่ฉินอีอวี๋เสนอ แต่ตอนแรกเขาไม่ชอบไลน์เบสที่สวี่ซือเรียบเรียงให้เพราะจังหวะมันผิด พอเข้าคู่กับกีตาร์แล้วเหมือนเป็นสมอถ่วงลากเอาท่วงทำนองของทั้งเพลงลง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ใส่เบสเข้าไปในเดโมและไม่ได้เอาเดโมนี้ไปทำเพลง เนื่องจากฉินอีอวี๋จริงจังกับเรื่องดนตรีมาก ไม่ได้คือไม่ได้ ขาดไปนิดเดียวก็ไม่เอา โดยเฉพาะเพลงพิเศษแบบนี้
แต่ตอนนี้วินาทีที่เบสของหนานอี่แทรกเข้าไป ทุกอย่างก็เปลี่ยน
ซอกมุมสีเทาๆ ที่ฝุ่นจับอยู่ในใจของเขามาเนิ่นนานถูกจุดประกายขึ้นมาอย่างฉับพลัน
นี่คือความรู้สึกของการถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้งเหรอ
เบสไลน์ของหนานอี่แตกต่างจากเบสไลน์ของเดิมตั้งแต่วินาทีแรก เขาแสดงเทคนิคทูแฮนด์แท็ปปิ้ง*** ได้อย่างงดงาม ซึ่งนี่มันดึงดูดใจอย่างที่สุด ระหว่างที่เขาแท็ปปิ้งนั้นยังใช้เทคนิคสแล็ป**** แทรกแบบเป็นจังหวะ ดูไม่น่าอึดอัดและได้จังหวะยอดเยี่ยม
ใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเศษๆ คีย์โน้ตของเบสที่มีความเฉพาะตัวก็ถูกเบาเสียงลง มันไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ตัวเสริม แต่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ช่วยขับให้โดดเด่น
ประชันกับกีตาร์ของเขาอย่างเปิดเผย
เล่นมาก็เล่นกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่กลับรักษาอารมณ์ในความถี่เดียวกันเอาไว้ได้ ทุกจังหวะล้วนพอเหมาะพอเจาะราวกับสวรรค์สร้าง เหมือนหนานอี่เข้าใจเพลงที่ฉินอีอวี๋เขียนอย่างทะลุปรุโปร่ง
ฉินอีอวี๋กำหมัดแน่นตามสัญชาตญาณ นาทีนี้จิตวิญญาณของชายหนุ่มเหมือนกลับคืนมาสู่ร่างนี้อีกครั้ง และร่วมบรรเลงอย่างเมามันสุดเหวี่ยงไปกับชายหนุ่มตรงหน้า
หนานอี่ก้มศีรษะทำให้ผมหน้าม้าเปียกชื้นปิดหน้าปิดตาไปครึ่งหนึ่ง เบสออมเบรสีดำเทาเหมือนจะงอกเชื่อมติดตัวเขา น้ำบนปลายผมหยดลงบนตัวเบสประหนึ่งตัวโน้ต
การใช้นิ้ว จังหวะ และการเรียบเรียงจังหวะ ทุกอย่างไม่มีที่ติ คล่องแคล่วจัดเจน เมโลดี้ทุ้มต่ำของเบสนั้นราวกับสายฝนที่ตกลงมาอยู่นอกกระจก ทุกอย่างได้สัดส่วนพอเหมาะและไหลรินไม่หยุดพัก
ถ้าหลับตาฟังจะต้องเข้าใจว่าคนเล่นเป็นมือเก๋าที่ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเขียนไลน์เบสแบบนี้ออกมาได้และมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ต่อให้เอาไลน์เบสนี้ไปให้คนอื่นหัดก็คงมีไม่กี่คนที่เล่นได้เฉียบขนาดนี้
ในขณะที่หนานอี่เพิ่งจะอายุสิบแปดปี
แต่พอคิดถึงคำที่หนานอี่พูดเมื่อกี้ ฉินอีอวี๋ก็นึกปฏิเสธอยู่ในใจว่าหนานอี่จะเล่นเบสเพราะเขาได้ยังไง
ในเมื่อเห็นอยู่ว่าคนคนนี้…เกิดมาเพื่อเป็นมือเบสอยู่แล้ว
เมื่อสิ้นเสียงสุดท้ายหนานอี่ก็ใช้มือกดสายเบาๆ
ตัวเดโมยาวประมาณสองนาที เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่พอเล่นเพลงนี้จบเขากลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปนานหลายปี
หนานอี่ถือเบสตัวแรกที่เขาได้เป็นเจ้าของ เล่นไลน์เบสแรกที่เขียนให้เพลงของฉินอีอวี๋ ในที่สุดเขาก็เดินมาอยู่ตรงหน้าฉินอีอวี๋แล้ว
แม้จุดที่เขายิงลูกธนูเข้าเป้าจะไม่ใช่วงรัศมีสิบแต้ม แต่ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้วใช่ไหม
หนานอี่ไม่มั่นใจ แต่เขาชอบมอบสิทธิ์ในการเลือกไว้ในมือของฝ่ายตรงข้าม
“ขอบคุณสำหรับแอมป์ของคุณนะครับ ใช้ดีไม่เลวเลย” ชายหนุ่มถอดสายสะพายเบสแล้วเก็บหมวกบนพื้นขึ้นมา เขามองฉินอีอวี๋ที่นั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา เส้นผมของชายหนุ่มสยายอยู่รอบกรอบหน้าบดบังอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทำให้ฉินอีอวี๋ดูนิ่งผิดปกติ
หนานอี่ไม่กล่าวลา เขาเปิดประตูแล้วเดินจากไป
เมื่อลงไปถึงชั้นล่างหัวใจของหนานอี่ยังคงเต้นแรงมาก เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วต่อสายหาฉือจือหยาง แต่สายไม่ว่าง
ฝนข้างนอกยังตกอยู่ หนานอี่ใส่หมวก ตั้งใจจะขี่จักรยานไปที่ห้องซ้อมเหมือนเคย
แต่จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างแต่ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์
“นี่ มือเบส”
หนานอี่เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสายฝน มองตามเสียงไป ฝนสาดใส่หน้าเขาทำให้สองตาพร่ามัว ความทรงจำที่ถูกผนึกไว้ก็เปิดออกโดยกะทันหัน เมื่อภาพที่ฉินอีอวี๋เปิดหน้าต่างนั้นซ้อนทับกับภาพของอีกฝ่ายเมื่อหกปีก่อนพอดี
ชายหนุ่มยื่นตัวออกมาข้างนอกครึ่งตัว เอียงศีรษะ โยนร่มลงมาให้หนึ่งคัน
“อย่าตากฝน เดี๋ยวเบสพัง”
* Spark เป็นชื่อรุ่นของแอมพลิไฟเออร์สำหรับกีตาร์ไฟฟ้า (และเบสบางรุ่น) ที่ผลิตโดยบริษัท Positive Grid ซึ่งโดดเด่นด้วยความสามารถในการจำลองเสียงแอมป์และเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ผ่านระบบ Digital Modeling และการเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นบนมือถือหรือแท็บเลต
* ไคว่ เป็นภาษาพูดที่คนจีนทั่วไปใช้กัน หมายถึงหยวนซึ่งเป็นค่าเงินของจีน
** ไลน์เบส (Bassline) คือแนวทำนองที่เล่นโดยเครื่องดนตรีเสียงต่ำ เช่น เบสกีตาร์ คีย์บอร์ดเบส หรือซินธิไซเซอร์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นรากฐานของเพลง มักเล่นในจังหวะที่สอดคล้องกับกลองและรองรับคอร์ดหรือเมโลดี้หลักของเพลง
* มิดเวสต์ อีโม (Midwest Emo) คือแนวเพลงย่อยของดนตรีอีโม (Emo) ที่เกิดขึ้นในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา โดยมีการพัฒนามาจากแนวฮาร์ดคอร์พั้งก์ให้เมโลดี้มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากขึ้น
** แม็ธร็อก (Math Rock) คือหนึ่งในสไตล์เพลงอินดี้ร็อก ซึ่งพัฒนามาจากโพสต์ฮาร์ดคอร์ โดยมีจังหวะดนตรีที่แปลกไปจากปกติ
*** ทูแฮนด์แท็ปปิ้ง (Two-Hand Tapping) คือเทคนิคที่ใช้กับเครื่องสายโดยเฉพาะกีตาร์หรือเบส โดยใช้มือทั้งสองข้างดีดหรือเคาะลงบนสายที่เฟร็ตบอร์ด (Fretboard) ตรงๆ
**** สแล็ป (Slap) คือเทคนิคการเล่นเบสที่ใช้การตบสายด้วยนิ้วโป้งแล้วดึงสายด้วยนิ้วชี้หรือนิ้วกลาง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.