ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
การสะกดรอยตาม และความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7 เรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน
เวลาสี่ทุ่ม ฉือจือหยางนั่งอยู่บนรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังห้องซ้อม
สามวันสุดท้ายก่อนงานออดิชัน
แค่คิดถึงตรงนี้หัวใจของเขาก็เต้นรัวเป็นจังหวะสามร้อยบีพีเอ็ม*
เมื่อคืนฝนตกหนัก หนานอี่เลยมาถึงห้องซ้อมช้ามาก ชายหนุ่มดูเงียบขรึมกว่าปกติ ทั้งตอนปรับจูนเครื่องเสียง ตอนซ้อมเดี่ยว และตอนซ้อมวง แต่ฉือจือหยางไม่ถามอะไร เพราะเขามีเซ้นส์ว่าหนานอี่น่าจะไปหาฉินอีอวี๋มา เพราะเวลาที่เจอฉินอีอวี๋ หนานอี่จะมีอาการแปลกๆ
หลังซ้อมเสร็จฉือจือหยางจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่
‘เขายังไม่ตอบรับ’ หนานอี่ตอบแค่ประโยคนี้ประโยคเดียว
‘งั้นเราก็หาคนอื่นสิ โอเคไหม’ ฉือจือหยางงึมงำเบาๆ ‘นายยังไม่รู้นิสัยของฉินอีอวี๋อีกเหรอ ต่อให้เอามีดไปจ่อคอเขา ถ้าเขาไม่อยากทำก็ไม่มีทางตอบรับ บางทีเขาอาจจะหัวเราะแล้วเอามีดปาดคอตัวเองเลยก็ได้!’
หนานอี่ฟังแต่ไม่พูด เอาแต่ก้มหน้ามองร่มในมือที่เก็บเรียบร้อยด้วยท่าทางเหม่อลอย
จนเวลาผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้เอ่ยขึ้นว่า ‘รับสมัครมือกีตาร์ใหม่เถอะ’
‘อะไรนะ’ ฉือจือหยางสงสัยว่าตัวเองจะหูฝาด
หนานอี่ยอมให้คนอื่นเป็นมือกีตาร์จริงเหรอ
‘นายสาละวนกับเรื่องนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ’ หนานอี่หันไปมองฉือจือหยางพร้อมรอยยิ้ม ฉือจือหยางตาโต คิดไม่ถึงว่าเพื่อนจะจับได้ทั้งที่เขาตั้งใจจะปิด
ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็ไม่เคยปิดบังหนานอี่ได้เลย
‘แล้ว…จะไม่ไปจีบฉินอีอวี๋แล้วจริงๆ เหรอ’
หนานอี่วางร่มลงแล้วหยิบลูกดอกลูกหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะแล้วปาใส่เป้าที่แขวนอยู่บนผนังเบาๆ อย่างไม่อินังขังขอบ ลูกดอกเข้าจุดแดงตรงกลางจนเป้านั้นหมุนตามแรงกระแทกเบาๆ ครึ่งรอบ
‘ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น’
ฉือจือหยางไม่เข้าใจว่าท่าทีแบบนี้แปลว่าอะไร ทั้งที่ถูกปฏิเสธ แต่หนานอี่กลับนิ่งได้ถึงขนาดนี้ หากคนไม่รู้มาดูคงนึกว่าฉินอีอวี๋ตอบรับเข้าวงพวกเขาแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโตเรื่องที่หนานอี่คำนวณจะเป็นไปตามนั้นทุกเรื่อง หากเขาตั้งใจจะทำอะไรย่อมสำเร็จ
ไม่รู้ว่าฉินอีอวี๋จะเป็นเคสพิเศษหรือเปล่า
แม้หนานอี่จะไม่แสดงท่าทีชัดเจน แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาลอง ซึ่งถือเป็นการยอมถอยให้อย่างมากที่สุดแล้ว ฉือจือหยางโล่งอก
ขอให้ได้มือกีตาร์ฝีมือไม่เลวสักคนจะได้ไม่พลาดการออดิชัน
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับนักดนตรีตำแหน่งอื่นแล้ว มือกีตาร์มีจำนวนเยอะที่สุดและหาตัวได้ง่ายที่สุด
แต่ฉือจือหยางในวันนี้ไม่ได้มีความคิดไร้เดียงสาอย่างเมื่อวานแล้ว เพราะมือกีตาร์ที่เป็นคนปกติมี-ไม่-เยอะ-เลย-จริงๆ
แค่คิดถึงเรื่องที่ถูกเท ฉือจือหยางก็โมโหแทบขาดใจจนต้องขอระบายความอัดอั้นยาวเหยียดให้หนานอี่ฟังระหว่างที่นั่งรถไฟ
“ฉันไม่เคยเห็นคนหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย นี่ขนาดยังไม่เจอตัวก็รีบต่อรองเงื่อนไขกับส่วนแบ่งเงินรางวัลแล้ว แต่พอให้ส่งคลิปโซโล่กีตาร์มาก็ทำเนียนไม่ยอมส่งตั้งครึ่งค่อนวัน ไอ้ห่า ฉันเลยบล็อกไอ้พวกสถุลนั่น อย่ามาหาฉันที่ห้องซ้อมเชียวนะ อารมณ์เสีย
นายไม่รู้หรอกว่าไอ้หมอนั่นมันคุยโวว่าตัวเองเขียนเพลงเก่ง แถมยังขอรูปถ่ายของเราสองคนจากฉันด้วย บอกว่าอยากเห็นหน้า ฉันเลยส่งเครื่องหมายคำถามเป็นพรวนกลับไป ถามว่าจะเอารูปไปทำห่าอะไร ผลคือไอ้หมอนั่นบอกว่ามันไม่ปลื้มถ้าจะต้องทำวงกับไอ้หนุ่มหน้าขาว บอกว่าสมัยนี้มีแต่แฟนคลับที่ชอบดนตรีแค่เปลือก เพราะพวกสาวๆ ดูคนที่หน้าตา แบบที่ยิ้มทีแล้วละลาย ฉันยังไม่ติดเรื่องทำวงกับคนหน้าตาทุเรศเลย คนไม่รู้เขาจะนึกว่าเหล่าจื่อเอาหาบขายของมาทำเป็นกลองชุด! เราสองคนหน้าตาเป็นยังไง มันเกี่ยวอะไรกับหมอนั่นด้วย!”
หลังส่งข้อความเสียงไปสองสามข้อความ ฉือจือหยางก็ผ่อนลมหายใจยาวเหยียดและดึงขอบหมวกไหมพรมลง ไม่นานเขาก็ได้รับข้อความเสียงตอบกลับจากหนานอี่เลยเปิดฟัง เสียงของหนานอี่เฉื่อยเนือย แถมยังกลั้วหัวเราะ
“นายบอกเองนะว่าพวกเราคนหนึ่งเป็นราชาเขาทองและอีกคนเป็นราชาเขาเงิน*”
ถ้ากล้าก็ขานรับแล้วเข้าไปอยู่ในน้ำเต้า** ใช่ไหม
ขนาดสถานการณ์เร่งด่วนจนไฟลามมาถึงขนคิ้วแล้ว หนานอี่ยังมีอารมณ์พูดเล่นได้ ทำเอาฉือจือหยางไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงไปชั่วขณะหนึ่ง
พี่ครับตั้งแต่เล็กจนโตนี่มีวันไหนที่พี่หลุดมาดนิ่งบ้างหรือเปล่า
หลังจากนั้นก็มีข้อความเสียงส่งมาอีกครั้ง
“เมื่อกี้ฉันเห็นโพสต์ของนายแวบๆ มีคนมาตอบใหม่ แต่ไม่ใช่มือกีตาร์”
ในข้อความเสียงนั้นวุ่นวายมาก แถมยังมีเสียงนกหวีดด้วย
ฉือจือหยางไม่ได้สนใจข้อความตอบกลับ “นายขี่มอเตอร์ไซค์อยู่เหรอ งั้นก็อย่าตอบฉันสิ ระวังด้วย!”
“โอเค”
ช่วงท้ายในข้อความเสียงอันใหม่มีเสียสตาร์ตดังกระหึ่ม
พอได้ยินว่าคนที่มาตอบโพสต์ไม่ใช่มือกีตาร์ ฉือจือหยางก็ขี้เกียจจะไปดู เครื่องดนตรีสามชิ้นสำคัญของวงดนตรี ได้แก่ กีตาร์ เบส กลอง ตอนนี้ยังขาดอยู่หนึ่งอย่าง
ฉือจือหยางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถหาคนที่ไว้ใจได้
เขาผ่อนลมหายใจยาวเหยียดพลางปลอบตัวเองว่าใจเย็นไว้แล้วล็อกหน้าจอ ใส่หูฟัง ปลดปล่อยความสนใจไปกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะบังเอิญเหลือบไปเห็นคนโรคจิตในรถไฟ
ฝั่งตรงข้ามที่อยู่เยื้องๆ กันมีชายวัยกลางคนหัวล้านคนหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือไว้ในมือ กำลังค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวซึ่งเป้าหมายคือใต้กระโปรง
หญิงสาวหันหลังให้เขาและหันหน้าไปทางประตูรถ คาดว่าคงกำลังจะลงจากรถแล้วจึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้
ฉือจือหยางกำลังฟังเพลงแนวโพสต์พั้งก์* เสียงกลองรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไฟลุก
เขากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่เลย!
ปั้บ! ฉือจือหยางถอดหูฟังมาคล้องไว้ที่คอและลุกขึ้นไปหย่อนก้นที่เบาะด้านขวาของชายบ้ากาม
ไม่รอให้เขาเปิดปาก ฉือจือหยางก็ได้ยินเสียง “ขอโทษ” ทุ้มต่ำ เขาจึงมองตามเสียงไป พบว่ามีชายหนุ่มแต่งตัวภูมิฐานแบบพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งเบียดตัวเข้ามาที่ด้านซ้ายของชายบ้ากาม แถมเขายังอุ้มกล่องกระดาษใบใหญ่มาด้วย ข้างในใส่อุปกรณ์สำนักงานจำนวนมากระเกะระกะไปหมด ท่าทางเหมือนเพิ่งออกจากงาน
ฉือจือหยางรู้สึกคุ้นหน้าคนคนนี้โดยไม่มีเหตุผล แต่เขานึกไม่ออกว่าเคยเจออีกฝ่ายที่ไหน
แต่ตอนนี้เรื่องนั้นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะพอมีพวกเขาขนาบซ้ายขวาก็ประกบตัวคนร้ายไว้ได้พอดี
ไม่รู้ว่าหนุ่มออฟฟิศตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาเหมือนจะจงใจเบียดตัวเข้ามาทำให้ชายบ้ากามต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่งและกดปุ่มปิดหน้าจอ ทว่าพอชายบ้ากามกำลังจะเก็บโทรศัพท์มือถือก็ถูกฉือจือหยางคว้าข้อมือไว้
ฉือจือหยางเป็นมือกลองจึงมีแรงแขนและมือเยอะ แค่บีบมือฝ่ายตรงข้ามเล่นๆ ก็ทำให้มันร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บปวดและคลายนิ้วโดยอัตโนมัติทำให้โทรศัพท์มือถือตกลงบนพื้น
บังเอิญว่าหนุ่มออฟฟิศที่อยู่ด้านซ้ายก็ยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นได้พอดี
นี่ก็ไวเหมือนกัน
“คุณทำอะไรน่ะ!” ชายบ้ากามลุกขึ้น ตั้งใจจะวิ่งหนี แต่ถูกฉือจือหยางดึงตัวกลับ
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเย็นแล้วออกแรงบีบมากขึ้น “ยังจะกล้าถามอีกเหรอ นึกว่าคนอื่นเขาสมองกลวงหรือไง”
หนุ่มออฟฟิศที่อยู่ทางซ้ายยกโทรศัพท์มือถือของชายบ้ากามขึ้น “สวัสดีครับ มองทางนี้”
เวลาแตกตื่นผู้คนจะทำตามคำสั่งตามสัญชาตญาณ ชายบ้ากามจึงหันหน้ามาอย่างว่าง่าย
หนุ่มออฟฟิศเอาโทรศัพท์มือถือไปจ่อหน้าเขาแล้วสามารถปลดล็อกโทรศัพท์ได้อย่างง่ายดาย “เยี่ยมมากครับ”
เขาเปิดอัลบั้มเพื่อลบคลิปอย่างว่องไวมาก
“แก!” ชายบ้ากามโมโหจึงตะโกนเสียงดังลั่น แต่ไม่นานก็ถูกคำพูดของฝ่ายตรงข้ามอุดปาก
“ผมว่ากระเป๋าเอกสารของคุณดูคุ้นๆ นะ คุณทำงานอยู่ที่ย่านการเงินใช่ไหม นี่เป็นของที่ธนาคารแจกให้พนักงานภายในองค์กรไม่ผิดแน่” หนุ่มออฟฟิศส่งยิ้มมาตรฐานให้ “คุณคงไม่อยากให้คลิปพวกนี้เข้าไปอยู่ในกรุ๊ปที่ทำงานของคุณหรอกใช่ไหม”
ชายบ้ากามมีสีหน้าหวาดผวาและพยายามกลบเกลื่อนความผิด “ฉันเปล่านะ! แกอย่าพูดมั่วซั่ว!”
“พูดมั่วซั่ว? คุณชื่ออะไร เมื่อกี้คุณทำเรื่องชั่วอะไรลงไป ตัวเองก็รู้แก่ใจดีไม่ใช่เหรอ?!” ฉือจือหยางถามเสียงดัง เรียกให้ผู้คนจำนวนมากพากันมามุงดู รวมถึงผู้เสียหายด้วย
พอหญิงสาวหันมามองพวกเขา หนุ่มออฟฟิศก็ชูโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นขึ้นแล้วพูดเสียงเครียดว่า “สวัสดีครับ เมื่อกี้หมอนี่แอบถ่ายคุณ ผมช่วยลบคลิปให้คุณแล้ว แต่ไม่มั่นใจว่ามีแบ็กอัพไว้หรือเปล่า ผมขอแนะนำให้คุณแจ้งความนะครับ”
หญิงสาวเบิกตาโตและหมุนตัวถอยห่างไปครึ่งก้าว “อะไรนะคะ แอบถ่ายเหรอ”
“ใช่ครับ ผมเป็นพยานได้” ฉือจือหยางยึดตัวชายบ้ากามไว้แน่น “เมื่อกี้ผมเห็นจะจะเลยว่าไอ้สวะโรคจิตบ้ากามนี่มันแอบถ่ายคุณ”
รถไฟมาถึงสถานีพอดี ชายบ้ากามจึงฉวยโอกาสดีดตัวอย่างแรงเพื่อหนีออกไปนอกขบวนรถไฟ แต่หนุ่มออฟฟิศยื่นขายาวๆ ออกไปทำให้อีกฝ่ายสะดุดล้ม
“จะหนีเหรอ?!” ฉือจือหยางจับมือทั้งสองข้างของชายคนนั้นไพล่หลังและพยักพเยิดหน้าให้หญิงสาวเป็นการบอกให้เธอลงรถไฟไปพร้อมพวกเขา
หนุ่มออฟฟิศหอบลังกระดาษเดินตามทั้งสามคนออกมาด้วย และบังเอิญเจอกับเจ้าหน้าที่รถไฟเข้าพอดี อีกฝ่ายจึงรีบแจ้งความและสอบถามอาการของหญิงสาว
ฉือจือหยางได้ช่วยคนอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขามองหนุ่มออฟฟิศที่ให้ความช่วยเหลือเมื่อครู่ พบว่าหมอนี่ตัวสูงกว่าเขาครึ่งศีรษะ หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างก็ไม่เลว ยิ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวยิ่งดูเหมือนพวกชนชั้นสูง
“จริงสิ เมื่อกี้ผมอัดคลิปตอนที่เขาแอบถ่ายไว้ ใช้เป็นหลักฐานได้นะครับ” หนุ่มออฟฟิศพูดแล้วหันมามองตาฉือจือหยาง “ผมขอแอดวีแชตเพื่อส่งคลิปให้คุณได้ไหม”
ฉือจือหยางไม่ได้ทึ่มจึงพยักพเยิดหน้าไปทางผู้เสียหาย “คุณแอดเธอเลยดีกว่า”
คาดว่าหญิงสาวคงได้ยินบทสนทนาจึงรีบเดินมา เธอกล่าวคำขอบคุณไม่หยุดและเอ่ยถามว่าพวกเขาจะไปสถานีตำรวจเป็นเพื่อนเธอได้หรือไม่
ฉือจือหยางบอกตรงๆ ว่า “เดี๋ยวผมต้องไปทำธุระ ตำรวจใกล้จะมาถึงแล้ว ไว้คุณไปกับตำรวจนะครับ”
หญิงสาวจึงหันไปมองหนุ่มออฟฟิศ
“ผมก็มีธุระเหมือนกัน ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“แล้วคลิป…” หญิงสาวกะพริบตาให้หนุ่มออฟฟิศและเปิดคิวอาร์โค้ดสำหรับแอดเพื่อนในวีแชต
“เกือบลืม” หนุ่มออฟฟิศมองโทรศัพท์มือถือของเธอแวบหนึ่ง “ผมส่งแอร์ดร็อปให้คุณได้ครับ”
ตำรวจในพื้นที่มาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อภารกิจลุล่วงฉือจือหยางก็ถอนตัวออกไปอย่างสมเกียรติ เขากลับเข้ารถไฟเพื่อนั่งต่อไปอีกสามสถานี
พอเดินออกจากสถานีก็พบว่าบนถนนมีผู้คนบางตา ทางก็มืดมาก แต่เขาเดินบนถนนสายเล็กสายนี้เกือบทุกวันจนชินแล้ว เลยก้มหน้าเดินพลางส่งข้อความให้หนานอี่
หยาง ฉันใกล้ถึงห้องซ้อมแล้ว
ไม่นานหนานอี่ก็ตอบกลับ
เสี่ยวอี่ คืนนี้ไม่กลับหอเหรอ
หยาง ไม่ล่ะ จะนอนที่นี่ พอซ้อมเหนื่อยแล้วก็นอนเลย สะดวกดี
พอส่งข้อความเสร็จ อยู่ดีๆ ในใจเขาก็มีลางสังหรณ์แปลกๆ และรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมา แต่พอหันหน้าไปมองกลับไม่เห็นใครเลย
ห้องซ้อมที่พวกเขาเช่าอยู่ในคอนโดฯ เก่าที่ยังไม่ถูกรื้อทิ้ง ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่ย้ายออกไปนานแล้วราคาเลยถูก และไม่มีใครมาร้องเรียนเรื่องการฝึกซ้อมของพวกเขา
ปัญหาข้อเดียวคือตอนกลางคืนนั้นวังเวงและเงียบเหงามาก
“แปลกจัง” ฉือจือหยางถอดหมวก เดินก้าวยาวๆ เข้าไปทางประตูตึก
เขาไม่ได้ตรงไปที่ห้องใต้ดิน แต่รออยู่หลังประตูเงียบๆ หนึ่งนาที ผลคือมีเงาดำมุดเข้ามาตามคาด
วันนี้มันวันอะไรวะ ทำไมถึงซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้!
ฉือจือหยางกระทืบเท้าและยื่นมือไปคว้าตัวอีกฝ่ายเต็มมือ
“อย่าหนีนะ!”
เสียงนี้ทำให้ไฟสั่งด้วยเสียงตรงทางเดินสว่าง แต่เขาคิดไม่ถึงว่ารอบนี้คนที่เขาจับได้จะเป็นหนุ่มออฟฟิศที่ทำงานร่วมกับเขาในรถไฟได้อย่างเพอร์เฟ็กต์คนเมื่อกี้
“ทำไมถึงเป็นคุณ!”
ฉือจือหยางยืนอึ้งอยู่ที่เดิม แต่ไม่นานเขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้แล้วตอบกลับว่า “คิ้วเข้มตาโตแบบนี้ มิน่าเมื่อกี้ถึงอยากขอแอดวีแชตผม ฟัค! ผมก็นึกว่าคุณเป็นคนดี! นี่เล่นสะกดรอยเลยเหรอ คุณตั้งใจจะทำอะไร!”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีอาการพูดไม่ออกอยู่หนึ่งวินาที แต่พอเปิดปากน้ำเสียงกลับอ่อนโยน “คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมตั้งใจมาที่นี่เหมือนกัน ไม่ได้ตามคุณมา”
“น้อยๆ หน่อย! คุณเห็นผมโง่เหรอ” ฉือจือหยางค้อนเกือบตากลับ “พอผมเดินเข้ามาปุ๊บ คุณก็เดินตามเข้ามาปั๊บ แบบนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ตามผมมาอีกเหรอ ดูท่าวันนี้เรื่องคงต้องถึงสถานีตำรวจ…”
ยังด่าไม่ทันจบหนุ่มออฟฟิศก็วางลังกระดาษลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพจยื่นมาตรงหน้าเขา
ฉือจือหยางเพ่งมอง พบว่ามันคือโพสต์รับสมัครนักดนตรีที่เขาลงไว้
“ผมทิ้งข้อความไว้ให้คุณแล้ว และคุณลงที่อยู่ไว้ใต้โพสต์ ผมเห็นคุณไม่ตอบเลยตรงมาหา”
หนุ่มออฟฟิศยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “สวัสดีครับ ผมมือคีย์บอร์ดที่มาขอสมัครเข้าวง ผมชื่อเหยียนจี้”
ทิ้งข้อความ?
ฉือจือหยางฉุกคิดเรื่องที่หนานอี่พูดขึ้นมาได้จึงพิจารณาคนตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง
เหยียนจี้ดูเหมือนคนที่ชาตินี้เขาไม่มีทางได้เกี่ยวข้องด้วย และยิ่งไม่มีทางมาโผล่อยู่ในห้องซ้อมดนตรีใต้ดินในคอนโดฯ เก่าๆ…ชุดสูทกับรองเท้าหนัง ท่าทางสุภาพมีมารยาท แผ่ออร่าความนิ่งและเนิบช้าอย่างที่มนุษย์ทำงานพึงมี ฟ้องว่าเขาควรอยู่ในตึกสูงบนถนนย่านการเงินที่เปิดไฟสว่างไสวเพื่อดื่มกาแฟและทำโอทีถึงจะถูก
“คุณ? ทิ้งข้อความไว้ให้ผม” ฉือจือหยางชี้นิ้วใส่ตัวเอง “คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผมหานักดนตรีไม่ใช่ที่ปรึกษาทางการเงิน ผมไม่มีเงิน”
“ไม่ผิดหรอกครับ” เหยียนจี้มองเขาตรงๆ แล้วยิ้มน้อยๆ “ผมเป็นมือคีย์บอร์ด”
การที่อยู่ดีๆ ก็มีมือคีย์บอร์ดโผล่เข้ามาในโพสต์รับสมัครนักดนตรีที่ฉือจือหยางโพสต์เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ตอนที่หนานอี่เห็นข้อความตอบในโพสต์ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแปลกๆ เลยเข้าไปดูรูปโพรไฟล์ของหมอนั่นตามความเคยชินและเช็กแอ็กเคานต์ของเขา แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ทว่าไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวงดนตรีเลย
ทว่าเหยียนจี้กลับตรงไปที่โพสต์ของฉือจือหยางโดยไม่สนใจหัวข้อตัวใหญ่คำว่า ‘มือกีตาร์’ เลย
พิลึก หนานอี่คิด
ตกดึกพอหนานอี่ทำงานเสร็จแล้วกลับไปที่ห้องซ้อม
พอเขาจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าประตูตึกเสร็จ มือถือก็สั่น ระหว่างเดินลงบันไดไปที่ห้องซ้อมหนานอี่เช็กข้อความใหม่แล้วรู้สึกแปลกใจ
ฉิวเซิ่ง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องให้นายวิ่งมาด้วยเหรอ แชร์โลฯ มา คราวหน้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้เลย ฉันเห็นนายเป็นน้องแท้ๆ อย่าเกรงใจพี่สิ
เมื่อกี้ตอนที่เขาไปหาฉิวเซิ่ง อีกฝ่ายไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าจะได้รับข้อความตอบเร็วขนาดนี้
หนานอี่เลยแชร์ที่อยู่ไปและตอบขอบคุณ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับคนดีมีคุณธรรมขนาดนี้ทำให้เรื่องทุกอย่างสะดวกราบรื่นกว่าที่เขาคิด
สิบวินาทีต่อมาหนานอี่ก็พบว่าที่แท้นี่ยังไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์เพียงเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นในวันนี้
เพราะพอเขาเดินเข้าไปในห้องซ้อมก็เจอกับภาพความกลมเกลียวที่น่าเหลือเชื่อ…เมื่อฉือจือหยางที่เป็นคนเจ้าอารมณ์และไม่ชอบคนแปลกหน้ากำลังซ้อมเพลงกับคนแปลกหน้าหนึ่งคน ท่าทางเข้ากันได้ดีแถมยังดูสนุกมากอีกด้วย
การปรากฏตัวของหนานอี่ทำลายจังหวะที่เข้ากันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดนี้ลง ทั้งคู่หันมามองเขาพร้อมกัน
นี่มือคีย์บอร์ดคนนั้นมาจริงๆ เหรอ
ห้านาทีต่อมาด้วยการแนะนำของฉือจือหยาง หนานอี่ก็ได้รู้เรื่องทั้งหมด
“เข้าใจแล้ว พวกนายต่อเถอะ”
จากคำบอกเล่าของฉือจือหยาง เขาแค่พอใจในฝีมืออันยอดเยี่ยมของนักดนตรีคนใหม่คนนี้จริงๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นเขารู้น้อยมาก
ส่วนหนานอี่ไม่ชอบถามไถ่เรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว เพราะเขาชอบสังเกตด้วยตัวเองมากกว่า
ตัวอย่างเช่นหนานอี่สังเกตเห็นว่าเหยียนจี้ทำงานสายการเงิน เพราะแก้วน้ำเก็บอุณหภูมิที่อีกฝ่ายหยิบออกมาจากลังกระดาษเป็นของแจกจากบริษัท บนแก้วมีพิมพ์ชื่อองค์กรไว้ เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงมาก
อีกตัวอย่างคือหนานอี่สังเกตเห็นว่าการเรียบเรียงและลีลาของคนคนนี้เข้ากับฉือจือหยางได้อย่างน่าทึ่ง เหมือนพวกเขาเคยซ้อมด้วยกันมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งแล้ว นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก เนื่องจากจังหวะกลองของฉือจือหยางไวสุดๆ และเปลี่ยนได้หลากหลายแบบ แถมยังชอบใส่ลูกเล่น ทำให้เมื่อก่อนตอนทำงานร่วมกับนักดนตรีหลายๆ คนจะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไล่ตามเขาทันทำให้ฉือจือหยางต้องออมมือและต้องใช้เวลาในการปรับจูนกัน
แต่เหยียนจี้กลับไม่ต้องให้เขาออมมือ
แถมเขายังเอาฉือจือหยางอยู่ด้วย
ถ้าจะให้พูดกันจริงๆ คือหนานอี่ไม่ได้คาดหวังเรื่องการเปิดรับสมัครนักดนตรีมากนัก เพราะคนที่เขาตั้งใจจะดึงมามีแต่ฉินอีอวี๋คนเดียว
แต่ตอนนี้มือคีย์บอร์ดที่ดูเหมือนจะไม่เคยมีประสบการณ์ฟอร์มวงดนตรีมาก่อนคนนี้กลับมีฝีมือทางดนตรีเหนือความคาดหมายของเขา อีกฝ่ายไม่เพียงเล่นเก่ง แต่สิ่งที่หาได้ยากคือความเข้ากันได้ แม้ความพิเศษนี้จะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ทว่าสำหรับวงดนตรีแล้ว มันเป็นสิ่งเลอค่าอย่างยิ่ง
พอฟังไปนานๆ หนานอี่ก็เริ่มอยากหยิบเบสมาซ้อมกับพวกเขาด้วย
แล้วเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ
พอได้เล่นเพลงด้วยกันทุกคนก็ลืมเวลา โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอยู่ในห้องใต้ดินที่มองไม่เห็นท้องฟ้า
เสียงดนตรีที่ดังแสบแก้วหูปกคลุมทุกสิ่งจนนาฬิกาปลุกที่หนานอี่ตั้งไว้ตอนหกโมงดังทำให้ทั้งสามคนตื่นจากฝัน
“โคตรมันส์” ฉือจือหยางยังติดใจไม่หาย เขาผ่อนลมหายใจยาวแล้วหมุนคอ “ไม่ได้เล่นยาวๆ แบบนี้มานานมาก เมื่อก่อนมีฉันกับเสี่ยวอี่ซ้อมกันอยู่สองคน พอตอนนี้มีนายเข้ามาแล้วความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิมเลย”
สายตาของเหยียนจี้ไล่ตามฉือจือหยางไปแล้วเห็นผมเปียเล็กๆ ที่เขาสะบัดมาพาดไว้บนไหล่ ใบหน้าผุดรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
“แบบนี้ถือว่าสัมภาษณ์ผ่าน ได้เข้าทำงานแล้วใช่ไหม”
ฉือจือหยางยิ้มสดใส เอาไม้ตีกลองตีฉาบเสียงดัง “แน่นอน!” พูดจบเขาก็หันไปมองหนานอี่ด้วยตาเป็นประกาย เหมือนคาดหวังว่าเขาจะคอนเฟิร์มคำตอบนี้
ไม่มีทางที่คนเราจะได้ดั่งใจเสมอไป หนานอี่เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบรับด้วยความยินดี
ชายหนุ่มถอดเบสออกจากตัวแล้วพิงผนัง เขาพูดพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้เหยียนจี้ว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงของเรา”
“Nice!” ฉือจือหยางตื่นเต้นจนตีกลองติดกันสิบกว่าครั้ง “ฉันว่าเราไม่มีมือกีตาร์ก็ได้นะ! จริงๆ นะ อยากได้เสียงโทนไหน เหยียนจี้ก็จัดให้ได้ ใช่ว่าจะไม่มีกีตาร์ไม่ได้เสียหน่อย ถึงมันจะไม่เหมือนกับการมีกีตาร์จริงๆ ก็เถอะ”
สรุปคือตกลงตามนี้
ถึงยังไงก็มีวงดังๆ ที่ไม่มีมือกีตาร์อยู่เหมือนกัน
หากเป็นหนานอี่ในช่วงก่อนหน้านี้เขาคงไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้
แต่เมื่อรู้ว่าฉินอีอวี๋มีสิทธิ์จะเล่นกีตาร์ไม่ได้สูงมาก หนานอี่ก็ต้องประหลาดใจที่ได้พบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกหมดหวัง แถมยังยิ่งกระหาย อยากได้ฉินอีอวี๋มาร่วมวงมากกว่าเดิม ต่อให้พิการ มีข้อบกพร่อง ตกต่ำ สับสน ยังไงก็ได้ เพราะเขาอยากฉุดมือของฉินอีอวี๋ให้ลุกขึ้น พากลับสู่วิถีชีวิตที่ถูกต้อง
บางทีสิ่งที่หนานอี่ปักใจคงไม่ใช่ทักษะการเล่นกีตาร์ของฉินอีอวี๋มาตั้งแต่ต้น แต่เป็นตัวของฉินอีอวี๋เองต่างหาก
“พวกนายคอนเฟิร์มแล้ว?” เหยียนจี้กลับเป็นฝ่ายไม่มั่นใจ
หนานอี่เห็นดีกับข้อเสนอของฉือจือหยาง
“แทนที่จะเสียเวลาในตอนนี้ไปกับการหามือกีตาร์เจ๋งๆ สักคนมาแก้ขัด ไม่สู้เอาเวลาสามวันสุดท้ายนี้ไปฝึกซ้อมดีกว่า ส่วนเรื่องต่อจากนี้ไว้ค่อยคุยทีหลัง”
“จริง!” ฉือจือหยางลุกขึ้นยืน “เสี่ยวอี่พูดถูก เอาแบบนี้แหละ! อย่างมากเราค่อยหามือกีตาร์ทีหลังก็ได้ การเปลี่ยนตัวสมาชิกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ถ้าพวกนายไว้ใจให้ฉันทำ ฉันก็จะทำเต็มที่แน่นอน”
“สุนทรพจน์ของมนุษย์ทำงาน” ฉือจือหยางแลบลิ้น “ตกลงกันก่อนนะว่าตอนนี้พวกเราไม่มีเงิน แต่พอผ่านการออดิชันแล้วเราจะจัดสรรปันส่วนเท่าๆ กัน”
“เรื่องเงินไม่สำคัญ ตอนนี้ฉันทำงานให้ฟรีก่อนก็ได้” เหยียนจี้หยอกแล้วยกมือซ้ายขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “ยังเช้าอยู่เลย เราไปกินมื้อเช้ากันดีไหม ฉันรู้จักร้านซาลาเปารสชาติไม่เลวเจ้าหนึ่ง พวกนายอยากลองหรือเปล่า”
“เอาสิ” ฉือจือหยางยอมรับว่าเขาก็หิวเหมือนกัน และเขาเป็นคนใจร้อน พอออกจากห้องซ้อมก็ทำอะไรไวกว่าคนอื่นๆ เหมือนมีอะไรไล่ตามหลัง
เวลาเช้าตรู่ในช่วงปลายฤดูร้อน ต้นฤดูใบไม้ร่วงอากาศเริ่มเย็นแล้ว หนานอี่มองเหยียนจี้แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เมื่อก่อนนายเล่นเปียโนคลาสสิกเหรอ”
แม้แต่ประโยคคำถามเขาก็ยังพูดเหมือนชวนคุย เหยียนจี้ยิ้มน้อยๆ “ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”
หนานอี่ดึงมือที่ซุกอยู่ในกระเป๋าออกมากางนิ้วทั้งห้าออกเล็กน้อยและมองจ้องเงาที่ขยับอยู่บนพื้น
“ตอนที่นายเหยียดมือเพื่อผ่อนคลาย นิ้วก้อยจะเผลอเหยียดออกไปและข้อต่อจะงอนิดๆ แล้วก็ทุกนิ้วของนายก็ยาวมาก และความยาวก็ต่างกันแค่เล็กน้อย เป็นมือของนักเปียโนแท้ๆ ตอนที่จับมือนาย ฉันสัมผัสได้ถึงตุ่มไตที่ปลายนิ้ว ในเมื่อนายฝึกเปียโนคลาสสิกมาหลายปี แล้วทำไมถึงเปลี่ยนจากเปียโนคลาสสิกมาเป็นคีย์บอร์ดซะล่ะ”
หนานอี่พูดเรื่องนี้อย่างเป็นปกติธรรมดามากจนเหยียนจี้ประหลาดใจ
เพราะเขาช่างสังเกตจนน่ากลัว
“เรื่องนี้…”
พอกำลังจะเข้าเรื่องก็ถูกตัดบท เมื่อฉือจือหยางเห็นว่าทั้งคู่ไม่ยอมตามมาเสียที เลยหันหน้ามาตะโกนเรียก “ทำไมพวกนายถึงไม่กระตือรือร้นกับการกินมื้อเช้าเลยนะ!”
“มาแล้ว”
ทั้งสองคนเดินตามไป
ฉือจือหยางสะพายกระเป๋าหนักมากเลยชอบเหวี่ยงกระเป๋าไปข้างหลัง ชายหนุ่มจับสายสะพายกระเป๋าไว้ตามความเคยชิน
เดี๋ยวไม้ตีกลองก็หล่นอีก หนานอี่คิดในใจ
ในจังหวะที่หนานอี่กำลังคิดอยู่นั้น ใครจะรู้ว่าเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกและอยู่ข้างเขาจะยื่นมือออกมาเหมือนคาดการณ์เรื่องทุกอย่างเอาไว้แล้วไปจับกระเป๋าข้างที่ทะลุเป็นรูของฉือจือหยางไว้
วินาทีต่อมาเหยียนจี้ก็รับไม้ตีกลองสีแดงที่ร่วงออกมาด้วย
การเคลื่อนไหวอย่างอัตโนมัตินี้ช่วยพิสูจน์การคาดเดาของหนานอี่ตอนที่เพิ่งเจอเหยียนจี้ใหม่ๆ
“ไม้ตีกลองของนาย” เหยียนจี้ทำหน้าตาปกติและตบไหล่ฉือจือหยาง ก่อนส่งของคืนให้เจ้าของ
“อ้อ ขอบใจ!” ฉือจือหยางไม่ได้คิดมาก “ความจริงกระเป๋าใบนี้ควรเปลี่ยนได้แล้ว เพราะเดือนนี้ฉันทำไม้ตีกลองหล่นไปหลายอัน ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงได้ล้มละลายจริงๆ”
เหยียนจี้แค่ยิ้มๆ แล้วหันหน้าไปมองหนานอี่โดยตั้งใจจะสานต่อบทสนทนาเมื่อครู่
“พอเรียนจบฉันก็ออกมาทำงานอยู่ห้าปี ทั้งวันต้องคอยรับมือกับพวกคนเจ้าเล่ห์ แต่คนอย่างนายที่ล่วงรู้ความลับของฉันเยอะแยะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ฉันเพิ่งเคยเจอครั้งแรก”
หนานอี่หลุดขำแล้วเลิกคิ้วสูง
“จริงเหรอ”
งั้นตอนนี้ฉันก็รู้ความลับใหม่อีกเรื่องหนึ่งแล้ว
คือนายกับฉือจือหยางไม่ได้เพิ่งเจอกันครั้งแรก
* บีพีเอ็ม (bpm) คือหน่วยวัดความเร็วของเพลง (Tempo)
* ราชาเขาทองและราชาเขาเงิน คือตัวละครจากวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว เป็นปีศาจสองพี่น้องที่มีพลังอำนาจและมีของวิเศษมากมาย
** น้ำเต้า ในที่นี้คือน้ำเต้าทองซึ่งเป็นของวิเศษที่ราชาเขาทองและราชาเขาเงินครอบครอง เมื่อคว่ำน้ำเต้าลงแล้วขานชื่อใคร คนคนนั้นก็จะถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้า เมื่ออยู่ในนั้นครึ่งชั่วโมงร่างกายก็จะถูกย่อยสลายไป
* โพสต์พั้งก์ (Post-Punk) คือแนวเพลงที่หยิบองค์ประกอบของพั้งก์ร็อกมาต่อยอดโดยเน้นไปที่การทดลอง ซึ่งเกิดขึ้นปลายทศวรรษที่ 70 หลังจากพั้งก์ร็อกได้รับความนิยม
บทที่ 8 เริ่มต้นชีวิตใหม่
เหยียนจี้ก็เหมือนคนจำนวนมากในเมืองที่ใช้ชีวิตแบบวนลูป
ชีวิตยี่สิบห้าปีของเขาดำเนินไปแบบถูกพ่อแม่ผลักดัน มันยาวนานจนทำให้เขาหายใจไม่ออก แต่ก็สั้นจนสามารถย่อไว้ในเรซูเม่อัน ‘ดีเลิศ’ หนึ่งแผ่นได้ว่า…นิสัยดี เกรดดี จบจากมหาวิทยาลัยดี และได้งานดี
แต่ต่อให้เป็นเรซูเม่ที่ดีกว่านี้มันก็ต้องมีโอกาสเปลี่ยนเป็นประวัติการรักษาหนึ่งแผ่นเหมือนกัน
ตอนแรกเขามีอาการวิตกกังวล แต่เหยียนจี้เข้าใจว่าเป็นเพราะเขาทำโอทีมากเกินไป ทว่าการทำโอทีเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ชายหนุ่มจึงต้องไปพบแพทย์ แต่เสียดายที่ผลการรักษาออกมาไม่ดีนัก ระหว่างที่รอคิวเรียกอยู่ในโถงโรงพยาบาล เหยียนจี้ไม่ได้เอาคอมพิวเตอร์มาด้วย เขาจึงได้พักจากโซเชียลมีเดียอย่างหาโอกาสได้ยาก
บังเอิญเหลือเกินที่เหยียนจี้เลื่อนหน้าจอมือถือไปเจอบล็อกของมือกลองคนหนึ่งซึ่งบังเอิญว่าเพลงที่คนคนนี้เล่นไม่ได้เป็นเพลงฮอตฮิต แต่เหยียนจี้ชอบที่สุดในสมัยที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยม เป็นดนตรีเมทัลร็อก
พอเขาดูคลิปนี้จบก็ดูต่อไปอีกหลายคลิปจนเกือบพลาดคิว
เรื่องนี้ต้องโทษระบบอัลกอริธึมของพวกคลิปสั้นๆ ที่ทำให้หลงลืม เหยียนจี้คิด
ตอนไปนั่งตรงหน้าหมอเพื่อให้หมอถามคำถาม เหยียนจี้ใจลอย
‘ตอนนี้ในสมองของคุณมีภาพอะไรอยู่ พอจะบรรยายให้ฟังหน่อยได้ไหม’
ภาพมือที่กำลังตีกลองแบบสุดเหวี่ยงกับรอยสักรูปพระอาทิตย์บนหลังมือ
เหยียนจี้เหมือนถูกปลุกให้ตื่น
ตื่นจากความฝันวัยผู้ใหญ่ที่แสนจะขมุกขมัว กลับไปหาตัวเองสมัยมัธยม ตัวเขาในตอนนั้นได้ลองต่อต้านพ่อแม่เป็นครั้งแรก เขาแอบหัดเล่นกีตาร์ไฟฟ้าที่พ่อแม่มองว่าไม่โอเค และเปลี่ยนเพลงบรรเลงเปียโนคลาสสิกในเครื่องเล่นเป็นเพลงร็อก ใส่หูฟังแล้วจมจ่อมอยู่ในความเป็นกบฏอย่างเงียบๆ วันแล้ววันเล่าจนพ่อแม่สังเกตเห็น
‘ผมกำลังเล่นดนตรีกับเพื่อน’ ในที่สุดเหยียนจี้ก็บอกออกไป
หมอไม่เข้าใจเลยถามเสียงอ่อนโยน ‘อะไรนะครับ’
เหยียนจี้มองหน้าหมอ ‘มีมือกลองคนหนึ่ง เขาตามหาตัวผมตอนอายุสิบหกกลับมา’
นับจากวันนั้นเหยียนจี้ในวัยยี่สิบห้าปีก็หยิบคีย์บอร์ดที่ถูกบังคับให้ทิ้งตอนสมัยวัยรุ่นขึ้นมาใหม่ เขากลับไปฟังสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ และกลายเป็นแฟนคลับตัวยงของมือกลองที่ไม่เปิดเผยใบหน้าคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นจังหวะ สไตล์ และลีลาการเล่นของอีกฝ่าย เหยียนจี้ล้วนจดจำได้ขึ้นใจ ขนาดทำโอทีแล้วกลับบ้านดึกเขาก็ยังฟังเสียงกลองของคนคนนั้นได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังแต่งเพลงตามและเล่นคีย์บอร์ดประสานด้วย
เมื่อมีดนตรีวันเวลาอันแสนสั้นก็ไม่ได้มีไว้เพื่อการคัดกรองเอกสารเบื้องต้น การตรวจสอบการเงิน และการประชุมไม่รู้จบอีกต่อไป ต่อให้ต้องทำโอทีหนักปางตายเหยียนจี้ก็ยังมีสิ่งที่เฝ้ารอ
เขา ‘ร่วมบรรเลง’ แบบผ่านจอนี้นานถึงหนึ่งปี ในระหว่างนั้นมีหลายครั้งที่เขานึกอยากรู้ตัวตนของมือกลองผู้ไม่เปิดเผยใบหน้าคนนี้ว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน ที่ตีกลองเก่งแบบนี้จะทำงานเหมือนกันหรือเปล่า และนิสัยใจคอเป็นยังไง
หากพวกเขาได้เจอหน้ากันจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์แบบไหน
สิ่งที่เหยียนจี้คิดไม่ถึงคือวันนั้นจะมีซีนเหมือนในละครเกิดขึ้นในชีวิตอันวนลูปของเขา
วันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิงหาคมเป็นวันที่เฮงซวยที่สุดเท่าที่เหยียนจี้จำได้ เมื่อโปรเจ็กต์ดำเนินมาถึงช่วงท้ายเขาต้องทำโอทีติดต่อกันถึงหนึ่งเดือน แต่รถของเขาดันถูกชนท้ายในช่วงสำคัญ และความซวยไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ เพราะคืนนั้นเขาถูกเพื่อนร่วมทีมดึงตัวไว้ แถมบังคับให้ร่วมการประชุมเร่งด่วนที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขา
เมื่อไม่มีรถขับก็ต้องนั่งรถไฟ โชคดีที่เหยียนจี้ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
ทุกคนบนรถไฟเที่ยวสุดท้ายเหมือนถูกสร้างขึ้นจากซีเมนต์น้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม ท่าทางดูเงื่องหงอย ไม่มีชีวิตชีวา
เขาเองก็เช่นกัน ต่อให้ขึ้นรถกลับบ้านได้เหยียนจี้ก็ยังต้องก้มหน้าทำรายงานความคืบหน้าอยู่ในแชตกลุ่ม ทุกอีโมจิรูปนิ้วโป้งที่ถูกส่งออกไปช่วยมอบรอยยิ้มจอมปลอมให้ทุกคนแทนเขา
เหนื่อยจัง
ทำไมคนเราถึงต้องทำงานด้วย
นี่ฉันกำลังทำสิ่งที่มีความหมายอยู่จริงๆ เหรอ
เมื่อไหร่ฉันถึงจะหลุดพ้นไปจากชีวิตแบบนี้สักที
กึก
เสียงของตกตัดบทความคิดอันเคร่งเครียดของเหยียนจี้ ชายหนุ่มมองตามเสียงไปเห็นไม้ตีกลองสีแดงสดอันหนึ่งหล่นกระแทกพื้นสีเทาเข้ม เหมือนเปลวไฟเรียวยาวที่กลิ้งมาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่ปลายรองเท้าหนังของเขา
ไม้ตีกลองอันนั้นดูคุ้นตามาก เหยียนจี้ผู้ถือคติว่าคนเราควรช่วยเหลือผู้อื่นจึงยื่นมือออกไปเก็บไม้ตีกลองตามสัญชาตญาณ และในเวลาเดียวกันนี้เองก็มีรองเท้ากีฬาสีขาวคู่หนึ่งขยับเข้ามาใกล้ เจ้าของไม้ตีกลองอันนั้นก็ยื่นมือออกมาด้วยเหมือนกัน
บนหลังมือของเขามีรอยสักรูปพระอาทิตย์สีทองสดใส
นี่ทำให้พวกเขาได้พบกัน
‘ขอบคุณครับ’
ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตากระจ่างใส ผมสั้นสีขาวฟูฟ่องที่กัดสีจนอ่อนที่สุด แถมยังไว้เปียเล็กๆ ยาวๆ เส้นหนึ่งพาดไว้บนไหล่ซ้าย มีลูกผมหลุดออกมาเล็กน้อย
เขาเคี้ยวลูกอมที่ทำให้ปากหอมพลางยัดไม้ตีกลองกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง เขายิ้มเห็นฟันที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบแต่ขาวจัด
ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่ม
‘ไม่เป็นไรครับ’
นับตั้งแต่นั้นภาพจินตนาการทั้งหมดก็ถูกพลิกกลับ พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบรรยายคอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขา
มือกลองคนนั้นก็เป็นเด็กแบบนี้นี่เอง
หลังจากนั้นเหยียนจี้ก็เลิกขับรถ และเขามักจะเจอมือกลองคนนี้ในรถไฟเที่ยวดึกเสมอ
เหยียนจี้สังเกตเห็นว่ากระเป๋าตุงๆ ของเด็กคนนี้มีรูเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาอยู่หนึ่งรูทำให้ไม้ตีกลองหล่นอยู่เสมอ เขาสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเป็นคนขี้หงุดหงิด ชอบทำท่าฟึดฟัดเป็นประจำ แถมยังชอบส่งข้อความเสียงไปด่าคน เขาพูดเร็วพอๆ กับจังหวะตีกลอง บางครั้งเขาจะยิ้มแหยๆ ให้หน้าจอมือถือ หรือไม่ก็หัวเราะจนหน้าหงาย ตบต้นขาฉาด แถมยังชอบฟังเพลงพลางตีลมไปด้วย มือทั้งสองข้างไม่เคยอยู่สุขเลย
รายละเอียดที่เล็กน้อยมากกว่านั้นคือช่วงนี้มือกลองเหมือนจะวิตกกังวลเรื่องบางอย่างมาก ถึงได้ชอบขมวดคิ้วเหมือนมีปัญหาใหญ่ที่ยังแก้ไม่ตก
หลังจากนั้นข้อสังเกตนี้ก็ได้รับการพิสูจน์ เมื่อเหยียนจี้เห็นประกาศรับสมัครนักดนตรีที่โพสต์ในช่องคอมเมนต์คลิปล่าสุดของอีกฝ่าย
งานประกวดวงดนตรี
พูดกันจริงๆ คือเหยียนจี้สนใจ แต่งานนี้ไม่ใช่การท้าดวลเล็กๆ ต่อให้เหยียนจี้อยากร่วมงานกับมือกลองแบบเห็นหน้ากันจริงๆ สักครั้ง ทว่ามันต้องไม่ทำลายชีวิตที่เขามีอยู่ในตอนนี้
แต่ดูเหมือนสวรรค์จะบีบให้เขาต้องตัดสินใจ
ในตอนเช้าแม่มาหาที่ห้องที่เขาอาศัยอยู่คนเดียวโดยไม่บอกกัน อ้างคำสวยหรูว่ามาช่วยเขาทำความสะอาดห้อง แต่กลับรื้อห้องสุดเนี้ยบซึ่งไม่มีฝุ่นสักนิดของเขาอยู่เป็นวันจนเจอกับประวัติการรักษาแผ่นนั้น
จากนั้นสงครามรุนแรงที่เกิดจากคนเพียงฝ่ายเดียวก็ระเบิดขึ้น แม่ร้องไห้โฮ สอบถาม และโวยวาย โทรเรียกพ่อที่เอาแต่ทำหน้าตำหนิติเตียนมา ทั้งคู่อาละวาดอยู่ในห้องเขาทั้งวัน ในขณะที่เหยียนจี้เอาแต่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเยือกเย็นเหมือนเป็นแค่ผู้ชม
ไม่มีใครขอให้เขาออกจากงานที่มีหน้ามีตานี้เพื่อดูแลสุขภาพ แต่กลับหาว่าเขา ‘คิดมากเกินไป’ และที่น่าอัศจรรย์ใจมากกว่านั้นคือในสายตาของพ่อแม่ ใบสั่งยาที่ดีที่สุดไม่ใช่ความห่วงใย ทว่าเป็นการแต่งงานกับภรรยาผู้เพียบพร้อมในช่วงเวลาที่เหมาะสม
อา เหนื่อยจัง บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่เหนื่อยกว่าการทำงานอีก
เหยียนจี้ปฏิเสธการพูดคุย เขาแยกตัวไปเปลี่ยนเสื้อเชิ้ตและส่องกระจกในห้องที่เละเทะเพื่อผูกเนกไท
‘ผมไม่คุยแล้ว เดี๋ยวไปทำงานสาย’
วันนั้นเขาก็ไปสายจริงๆ แถมยังถูกคนที่กำลังรีบไปทำงานเหมือนกันเดินชนอีก พอตอกบัตรเสร็จเหยียนจี้ก็เลือดกำเดาไหล
‘ย่าห์ พอเข้างานก็เลือดออกเลย เป็นมงคลนะนี่’
เจ้านายชอบพูดจาประชดประชัน ในที่ประชุมเขาขโมยผลงานที่เหยียนจี้อุตส่าห์ทำโอทีติดต่อกันถึงสองเดือนไปแล้วยัดความผิดของคนอื่นมาให้เขาอย่างช่ำชอง
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกี่ครั้งกี่หนแล้ว
เขาจำไม่ได้แล้วจริงๆ
เพราะแต่ละวันก็เหมือนกัน มีแต่งานซ้ำซากที่ไม่มีความหมาย อีเมลงานที่ต้องรีเฟรชใหม่ทุกๆ ห้านาที หัวหน้างานที่คอย PUA* ไม่รู้จักจบจักสิ้น หนังสือชี้ชวนที่ปรับแก้นับครั้งไม่ถ้วน แผนปรับลดพนักงานที่ต้องส่งทุกสัปดาห์ การลดเงินเดือนที่น่าหวาดผวา และโมเดลทางการเงินที่มีการอัพเดตไม่รู้จบ ความผ่อนคลายอันจอมปลอม ชื่อเสียงกับผลประโยชน์จอมปลอม การทำงานวันละสิบหกชั่วโมงที่เกิดขึ้นจริง และประวัติการรักษาที่เป็นของจริง…
‘ถึงเหยียนจี้จะพลาดในโปรเจ็กต์ล่าสุด แต่เขาก็ถือว่ามีประสบการณ์พอจะรับหน้าที่จัดทำหนังสือชี้ชวนหุ้นกู้ฉบับใหม่นี้…’
หนวกหู
ในสมองมีเสียงกลองชุดดังกลบเสียงหัวหน้าสมควรตายคนนี้จนมิด
คาดว่าเครื่องปรับอากาศในห้องประชุมคงเปิดแรงเกินไปทำให้เหยียนจี้ถูกแอร์เป่าจนไม่ได้สติ ในสมองจึงมีคำพูดคำจาแบบเด็กๆ ผุดขึ้นมาเสียเฉยๆ
เขาถึงขั้นเผลอทำเสียงงึมงำออกมา
แม้เสียงจะไม่ดัง แต่กลับมีอานุภาพสังหารรุนแรง
หัวหน้าที่นั่งใกล้กับเขามาก นิ่วหน้าถามว่า ‘นายว่ายังไงนะ’
เหยียนจี้เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขาหันหน้าไปพิจารณาใบหน้าอัปลักษณ์ของหัวหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
‘อ๋อ ผมบอกว่า…’ เขาทวนคำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสุภาพอย่างผู้ดี แล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยว่า ‘คุณกำลังเห่าอะไรอยู่เหรอครับ’
หัวหน้าถลึงตาจนลูกตาเกือบหลุดออกจากเบ้า เลือดในกายไหลย้อน หัวใจจะวายจนพูดไม่ออก ทุกคนที่อยู่ตรงโต๊ะประชุมพากันหันมามองเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนอ่อนโยนที่สุดคนนี้ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ เนื่องจากเหยียนจี้เป็นคนดีที่คอยช่วยพวกเขาเก็บกวาดเรื่องเละเทะเสมอ
เหยียนจี้ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับหนึ่งครั้ง
‘ขออภัยครับทุกท่าน แต่ผมไม่ทำแล้ว’
ชายหนุ่มกรอกแบบฟอร์มลาออกแบบหวัดๆ และกรอกช่องเหตุผลว่า
‘ผมจะไปเข้าร่วมการออดิชันวงดนตรี’
จากนั้นเขาก็เขียนข้อความถึงฉือจือหยางอย่างจริงจัง
YJ ผมชื่นชมทักษะการเล่นของคุณมากและชอบสไตล์ของคุณเป็นพิเศษ ถึงผมจะไม่ใช่มือกีตาร์ตามที่คุณต้องการ แต่คุณพอจะให้โอกาสผมสัมภาษณ์สักครั้งได้ไหม (p.s. ตัวผมเชี่ยวชาญการสัมภาษณ์มาก) เผื่อว่าสไตล์ของเราจะเข้ากันได้ดี หากคุณคิดว่าไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร เพราะเราต้องเลือกกันและกันทั้งสองฝ่ายถึงจะเป็นการร่วมงานทางดนตรีกันจริงๆ ผมจะตั้งตารอการได้ซ้อมร่วมกับคุณด้วยใจจดจ่อ
สิ่งเดียวที่เหยียนจี้นึกเสียใจในภายหลังคือเขาไม่น่าออกจากงานในตอนเช้าแบบนี้ และเพื่อจะได้เจอกับหนุ่มมือกลองใจร้อนคนนั้น เหยียนจี้หอบลังกระดาษไปนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟชั้นล่างของบริษัทเกือบทั้งวัน
ชายหนุ่มมองดูนาฬิกาข้อมือหลายครั้งและคอยรีเช็กข้อความตอบกลับ จนใกล้เวลาเลิกทำโอทีตามปกติเขาถึงค่อยเดินไปที่สถานีรถไฟ
โชคดีที่เหยียนจี้ไม่ใช่แค่ได้เจอกับมือกลองคนนั้น แต่อีกฝ่ายยังรับเหยียนจี้เข้าวงด้วย
เพลงร็อกที่เป็นอิสระไร้ซึ่งพันธนาการทุบเปลือกนอกที่เป็นผู้ใหญ่แสนน่าเบื่อของเขาให้กลายเป็นผุยผง ทำให้เหยียนจี้ได้ตัวเองสมัยเป็นวัยรุ่นกลับคืนมา และได้เพื่อนร่วมวงที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนหนึ่งแสนจะน่ารัก ส่วนอีกคนมีดวงตาคมกริบที่เหมือนจะมองทะลุทุกอย่างได้
ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอาจก่อให้เกิดช่วงเวลาพิเศษ
นานมากแล้วที่เหยียนจี้ผู้วิตกกังวล เหนื่อยล้า และต้องคอยระแวดระวังไม่ได้ดำดิ่งอยู่ในดนตรีร็อกทั้งคืนแบบนี้ราวกับว่าเขากำลังเก็บเกี่ยวความสุขอันบริสุทธิ์ ราวกับว่าเรซูเม่แผ่นบางแต่กลับหนักอึ้งนั้นขณะนี้ได้ถูกจับไปแช่น้ำจนพองตัว กลายเป็นคนตัวเล็กและถูกพระอาทิตย์ดวงน้อยสาดแสงส่อง
“ฉันลงทะเบียนแล้วนะ!” พอฉือจือหยางกินซาลาเปาลูกสุดท้ายหมดก็โชว์หน้าเว็บที่บอกว่าการลงทะเบียนสำเร็จแล้วให้พวกเขาดู “สองสามวันนี้ต้องซ้อมแบบลืมตายแล้ว!”
เหยียนจี้ยิ้มน้อยๆ “ตามที่นายว่า” พูดจบเขาก็หันไปมองหนานอี่
เขาสังเกตเห็นว่าหนานอี่ไม่ค่อยกิน เอาแต่นั่งพิงพนักเก้าอี้และจับปากกาขีดเขียนลงในสมุดโน้ตท่าทางจริงจัง และพอเขียนเสร็จเขาก็หยิบร่มคันหนึ่งออกมาสะบัดอย่างจริงจัง ก่อนม้วนอย่างดี จนถ้าเอาไปวางขายบนเชลฟ์ก็คงไม่มีใครรู้ว่าร่มคันนี้เป็นของที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว
“นายอายุเท่าไหร่” จู่ๆ เหยียนจี้ก็เอ่ยถาม
หนานอี่เหมือนรู้ว่าเขากำลังถามใครจึงช้อนตาขึ้นมองเหยียนจี้ “สิบแปด ทำไมเหรอ”
“ก็ไม่ทำไมหรอก” เหยียนจี้มีสีหน้าอ่อนโยน เอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตามีรอยยิ้ม “ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายเหมือนคนอายุร้อยแปดสิบปี”
“แบบนั้นต้องอยู่กันกี่ชาติฮะ น่ากลัวนะเฟ้ย” ฉือจือหยางยิ้มสดใสพลางใช้นิ้วควงตะเกียบ
หนานอี่ก็หัวเราะเหมือนกัน เพียงแต่รอยยิ้มของเขาแตกต่างจากฉือจือหยางมาก เหมือนเขามีเรื่องในใจ แถมมีเยอะมากทำให้รอยยิ้มดูบางเบา ซึ่งอีกหนึ่งวินาทีต่อมาก็อาจกลายเป็นความเฉยชา
“ถ้าอยู่ได้นานขนาดนั้นจริงๆ ก็ดีสิ” หนานอี่ฉีกกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากสมุดเล่มเมื่อครู่ จัดขอบให้เท่ากันแล้วพับใส่กระเป๋า “หากมนุษย์คนหนึ่งมีเวลานานขนาดนั้นแล้วตั้งใจจะทำอะไรก็น่าจะประสบความสำเร็จ”
พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้น “ฉันต้องไปก่อน เจอกันคืนนี้”
“ตอนเช้าไม่มีเรียนเหรอ นายจะไปทำงานพาร์ตไทม์หรือไง” ฉือจือหยางถาม
แต่หนานอี่เดินหนีไปดื้อๆ และโบกมือให้พวกเขาทั้งที่ยังหันหลังให้
“คืนร่ม”
* PUA เป็นคำสแลง หมายถึงการควบคุมทางจิตใจหรือการกดดันทางจิตใจจากหัวหน้า เพื่อให้พนักงานรู้สึกด้อยค่า ไม่มั่นคง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.