X
    Categories: everYทดลองอ่านท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1

ผู้เขียน :  จื้อฉู่ (稚楚)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ

การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต

การสะกดรอยตาม และความรุนแรง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 9 สุดท้ายปลายทาง

 

พอหนานอี่จากไป ฉินอีอวี๋ก็นั่งประจันหน้ากับแอมป์ที่หนานอี่ใช้ และอยู่แบบนั้นทั้งคืน

เขาไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่กลางพายุที่รุนแรงกว่าท่วงทำนองดนตรี ลมกระโชกพัดให้ห้องนี้แหลกละเอียดและม้วนเศษซากขึ้นมาก่อเป็นร่างเงาสีดำ

เงานี้นั่งอยู่บนแอมป์ที่อยู่ตรงข้ามเขาเหมือนกัน จากนั้นมันก็ค่อยๆ มีดวงตาคู่หนึ่ง เป็นดวงตาสีอ่อนคล้ายน้ำผึ้ง แต่ก็เหมือนหมาป่า

ฉินอีอวี๋เคยจินตนาการภาพดวงตาคู่นี้ในแง่สิ้นหวังและเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนคนนี้จะกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจริงๆ แถมยังมาแบบจะเอาตัวเขาให้ได้ด้วย

ถ้าจะบอกว่าเขาไม่หวั่นไหวเลยก็คงเป็นเรื่องโกหก ไม่อย่างนั้นตอนที่ฉินอีอวี๋เห็นหนานอี่ เขาคงไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายด้วยการเปิดประตูสิ่งที่เรียกว่าดนตรีให้ ทั้งที่เขาตั้งใจจะปิดผนึกมันไว้ชั่วนิรันดร์

ก่อนหน้านี้แค่ได้ยินเสียงกีตาร์ก็อยากจะอาเจียนแล้ว

ทว่าที่แท้แล้วสิ่งที่เขาเปิดให้หนานอี่ไม่ใช่ประตู แต่เป็นกล่องแพนโดร่าที่ข้างในบรรจุพรสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวกับความเด็ดเดี่ยวที่แสนดื้อดึงเอาไว้ หนานอี่ทั้งแข็งแกร่ง หนักแน่น ไม่ยอมจำนน ไม่ยอมฟังคำใคร ขอเพียงมีสองมือกับหนึ่งไลน์เบสเท่านั้น

เมื่อสองมือที่มีไว้ใช้เล่นดนตรีลงมากวนน้ำขุ่นอย่างแรงก็ก่อให้เกิดระลอกคลื่นซัดสาด จากนั้นอีกฝ่ายก็หนีไป

ฉินอีอวี๋อยากสลัดภาพหลอนนี้ทิ้ง เลยเดินมาที่ห้องน้ำเพื่อใช้น้ำเย็นล้างหน้า

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสบตาตัวเอง สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่รอยสักบนคอ เป็นรูปดาวหนึ่งดวงที่เขาเคยคว้าได้ตอนอายุสิบแปดปี มันจึงเป็นตราประทับที่เขาเก็บไว้

 

‘แล้วตอนนี้คุณมีอิสระอยู่เหรอ’

แน่นอนว่าคำตอบคือไม่

ฉินอีอวี๋หลบซ่อนตัวอย่างเข้าใจว่าตัวเองด้านชาต่อทุกสิ่งและยอมแพ้ไปแล้ว แต่สุดท้ายเขากลับพบว่านี่เป็นเพียงการฝังทั้งเป็นแบบยาวๆ

ตอนนี้ดาวดวงที่อยู่ในความทรงจำของเขาเผยโฉมออกมาแล้ว และมันกำลังเอาจอบเสียมขุดวัชพืชกับดินออก ทั้งยังใช้มือตะกุยก้อนหินกับฝุ่นผงเพื่อช่วยเขาออกไป

แต่มันยังไม่สายเกินไป

ทำไมหนานอี่ถึงโผล่มาตอนที่เขากำลังตกอับมากที่สุด ทำไมโน้ตทุกตัวถึงเปล่งประกายด้วยออร่าอัจฉริยะ ฉินอีอวี๋ยิ่งคิดก็ยิ่งมองเห็นภาพชัดว่าตัวเองในตอนนี้เป็นแค่เศษเดน

มือกีตาร์ที่เล่นกีตาร์ไม่ได้แล้วจะไปมีประโยชน์อะไร

เมื่อฟ้าสว่างมือถือของเขาก็ดัง พอเห็นว่าใครโทรมาฉินอีอวี๋ก็กดรับสาย

“เสี่ยวอวี๋ ฉันขายกีตาร์ตัวนั้นแล้ว เงินก็โอนให้นายแล้วนะ!” เสียงของหวังเลี่ยงเต็มไปด้วยความยินดีเหมือนดีใจแทนเขา “น้องชายฉันบอกว่าคนซื้อปลื้มมาก เขาซื้อไปแบบไม่ถามและไม่ต่อราคาด้วย รู้แต่แรกน่าจะตั้งราคาให้สูงกว่านี้”

ฉินอีอวี๋แกล้งทำเป็นหัวเราะอย่างดีใจ แต่ความจริงคือมันปลอมมาก เพราะเขาหัวเราะให้ตัวเองฟัง

“ขอบคุณครับพี่เลี่ยง ช่วยได้เยอะเลย ไว้พรุ่งนี้ผมขอเลี้ยงข้าวนะครับ!”

“จะเกรงใจไปทำไม” จู่ๆ อารมณ์ดีของหวังเลี่ยงที่อยู่ปลายสายก็ตกวูบลง “ไม่ต้องเลี้ยงข้าวหรอก เสี่ยวอวี๋ เดี๋ยวถ้านายว่างช่วยมาที่โรงเรียนหน่อยได้ไหม มาช่วยฉันย้ายของหน่อย”

นาทีนั้นฉินอีอวี๋มีลางสังหรณ์แปลกๆ

แถมเขายังเป็นคนที่มีเซ้นส์ต่อเรื่องร้ายๆ แม่นมากเสียด้วย

“ได้สิครับ”

 

เป็นจริงตามคาด พอฉินอีอวี๋ไปถึงก็พบว่ามีรถบรรทุกของบริษัทขนย้ายจอดอยู่ที่ชั้นล่าง หวังเลี่ยงมีสีหน้าเศร้าซึม เขาสูบบุหรี่พลางถอนหายใจ บอกว่าภรรยาขี่รถไฟฟ้าล้ม ข้อเท้าพลิก กระดูกหัก คนแก่ที่บ้านเลยไม่มีคนดูแล คุณพ่อที่แก่แล้วก็เจ็บออดๆ แอดๆ ตอนนี้เลยขาดคนช่วย เมื่อสองสามวันก่อนหวังเลี่ยงกลับไปที่บ้านเกิด พอไปถึงโรงพยาบาลก็เห็นภรรยากอดลูกร้องไห้

“ฉันอยู่ที่นี่หาเงินได้ไม่เท่าไหร่ ต่อให้ดันทุรังต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้” หวังเลี่ยงแบ่งบุหรี่ให้ฉินอีอวี๋หนึ่งมวน “สู้กลับไปค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่เป็นภาระเมีย”

ฉินอีอวี๋ผงกศีรษะ ตามองสายหมอกขมุกขมัวที่อยู่ห่างไกลออกไป ปากพ่นควันบุหรี่ ใช้ควันสีเทาออกขาวนี้อำพรางก้อนความว่างเปล่าไว้

“การมีชีวิตอยู่นี่มันเหนื่อยจริงๆ”

หวังเลี่ยงที่ยืนอยู่ข้างกันได้ยินคำนี้แล้วอึ้ง สีหน้าเปลี่ยน แต่ไม่นานเขาก็จับไหล่ฉินอีอวี๋เขย่าแรงๆ “นายอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาก็ดี อย่าพูดจาแบบนี้สิ!”

ฉินอีอวี๋พ่นควันบุหรี่เป็นวงกลมแล้วใช้ปลายจมูกดันมัน เขาเล่นควันพลางบอกว่า “วางใจเถอะพี่ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนผมก็จะตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี ให้สมกับที่แม่สั่งไว้ ผมต้องเชื่อฟังแม่”

พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ รอยยิ้มบนหน้าของหวังเลี่ยงก็ยิ่งอึมครึม “ฉันทำให้นายต้องตกงาน”

หากหวังเลี่ยงไม่พูด ฉินอีอวี๋ก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ชายหนุ่มฉีกยิ้มทันทีและสะบัดผมลอนไม่ยาวไม่สั้นพลางพูดอย่างร่าเริงว่า “เฮ้ ผมรักการเป็นคนว่างงานออก อิสระดี”

แต่ถ้าพูดกันจริงๆ เรื่องเงินมันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้

หลังแยกกับหวังเลี่ยง ฉินอีอวี๋ค้นกระดาษที่เก่าจนออกเหลืองซึ่งสอดไว้ในสมุดจดงาน ล็อกอินเข้าบัตรธนาคารเพื่อโอนค่ากีตาร์ที่เพิ่งได้รับมาเข้าไปเต็มจำนวน

เสร็จแล้วเขาก็โทรหาอวี้หนี ครูสาวชาวปู้หล่าง* ที่เขารู้จักในหมู่บ้านตอนนั้น พออีกฝ่ายได้ยินเรื่องที่เขาพูดก็เอาแต่ขอผัดผ่อน บอกว่าตัวเองจะคิดหาวิธีอีกที

“ยังจะคิดอะไรอีก รีบพาเด็กไปรักษาเลยนะ มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกัน”

“แต่…” ฝั่งนั้นมีเสียงสะอื้น ทำเอาฉินอีอวี๋ทำอะไรไม่ถูกเพราะเขาปลอบคนไม่เป็น

“ไม่มีแต่” ฉินอีอวี๋นิ่วหน้าและอ้างว่าสัญญาณไม่ดีเพื่อตัดสาย

อวี้หนีจึงกลั้นเสียงสะอื้นไว้แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “เขาให้ฉันถามเธอว่าเธอจะกลับมาเยี่ยมพวกเขาอีกหรือเปล่า”

ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ฉินอีอวี๋มองเห็นภาพใบหน้าใสซื่อไร้เดียงสาของเด็กหลายคน ในตอนที่เขาคิดว่าชีวิตตัวเองมันบัดซบจนไม่อยากพบเจอผู้คน อยากจะไปซ่อนตัวในป่าในเขาก็ได้เด็กๆ กลุ่มนี้แหละที่ช่วยเขาไว้

ฉินอีอวี๋สนิทกับสมาชิกในบ้านทุกคน แถมยังตั้งชื่อให้ลูกเจี๊ยบ เป็ด และลูกวัวที่พวกเขาเลี้ยงไว้ในบ้านทุกตัว แม้จะอัตคัดขัดสน แต่ทุกคนในครอบครัวก็ยังมองเขาเป็นลูก เป็นเพื่อน และเป็นญาติ อดทนดูแลเขาด้วยความรักและความหวังดีอย่างที่สุด

ในความทรงจำนั้นเต็มไปด้วยแสงแดดและดอกไม้หอมกรุ่น เป็นเตียงนุ่มๆ ที่รองรับตัวฉินอีอวี๋ที่ร่วงหล่นไว้

“แน่นอนอยู่แล้ว” ชายหนุ่มเตะหินริมทางแล้วผ่อนลมหายใจหนึ่งครั้ง พูดยิ้มๆ ว่า “เทศกาลสงกรานต์ปีหน้าผมจะกลับไปแน่นอน ให้พวกเขารอผมด้วย ทุกคนต้องสุขภาพแข็งแรง รอให้ผมกลับไปฉลองเทศกาล อย่าให้ใครหายไปเชียว”

แม้จะแก้ปัญหาหนักอกข้อหนึ่งได้แล้ว แต่ฉินอีอวี๋ก็ยังไม่สบายใจ หรืออาจเป็นเพราะนี่เป็นแค่การเริ่มต้น เพราะเด็กยังเล็กมากและดูเหมือนต้องรักษาแบบนี้ไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด

แล้วตัวเขาเองล่ะ เขาไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต ไม่มีมือที่ใช้กดสายกีตาร์ ติดหนี้ แถมยังเสียงานเพียงชิ้นเดียวที่ตัวเองชอบไปด้วย

เขายังจะเหลืออะไรอีก

โคตรซวย ทำไมหนานอี่ถึงปักใจคนที่ดวงซวยแบบนี้นักนะ

อย่าคิดต่อเลย ฉินอีอวี๋บังคับให้ตัวเองเททุกอย่างทิ้งเหมือนเทขยะ

ทุกครั้งที่หัวใจหนักอึ้ง เขาจะนั่งรถเมล์ไปเรื่อยๆ คนเดียว ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พอถึงปลายทางก็เปลี่ยนไปนั่งรถเมล์คันอื่น ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนมาถึงป้ายกงจู๋เฝินโดยไม่ทันรู้ตัว

พอถึงป้ายฉินอีอวี๋ก็กระโดดลงจากรถ เขาเดินวนเวียนอยู่ในร้านดอกไม้ละแวกนั้นหนึ่งนาทีก็ซื้อดอกกุหลาบสีแดงที่ลดราคามาช่อหนึ่ง ก่อนขี่จักรยานสาธารณะไปที่สุสานสาธารณะที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร

ไม่รู้ว่าหมอกสลายตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงแดดแจ่มใส ไม่มีกระทั่งเมฆสักก้อน แดดจ้าจนลืมตาไม่ขึ้น

ตอนแรกที่ไปเจอสุสานของแม่ ฉินอีอวี๋พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งเหมือนเสาไม้ ชายหนุ่มนิ่งอยู่พักหนึ่ง จ้องมองใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ของแม่ที่อยู่บนป้ายสุสาน

ชายหนุ่มมองไปมองมาแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น

หลุมติดกันมีครอบครัวที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย พอได้ยินเสียงหัวเราะก็พากันหันมามอง ลืมร้องไห้กันไปสนิท

ใครต่อใครชอบพูดว่าทุกอย่างกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่หลายปีมานี้เวลาที่ฉินอีอวี๋มายืนอยู่ที่นี่ เขาจะยังคงนึกเสียใจต่อการตัดสินใจของตัวเองในตอนนั้น

ปีที่ชีวิตเดินไปสู่ความพินาศ เขายอมรับว่าตัวเองไม่ควรหัวรั้นทำวง เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของความผิดพลาด ถ้าเขาฟังคำแม่ ยอมเรียนหนังสือจนจบและใช้ชีวิตตามที่แม่วางแผน…จุดจบคงจะต่างจากเดิมใช่ไหม

เขากับแม่คงไม่ทะเลาะกัน ฉินอีอวี๋คงไม่ถูกพ่อของตัวเองหักหลัง ไม่โมโหจนปฏิเสธสายสุดท้ายของแม่ แม่จะไม่จากไป และเขาก็ไม่ต้องเจอเรื่องที่ทำให้หมดอนาคตทั้งที่อายุยังน้อย

ความโหดร้ายของโลกใบนี้คือการที่ไม่มีคำว่า ‘ถ้า’

ชายหนุ่มไม่มีวันลืมวันที่ไปรับร่างไร้วิญญาณของแม่ เพราะมันเหมือนเขาจะไม่มีทางได้ยืนร้องเพลงบนเวทีอีก

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปฉินอีอวี๋ก็ค่อยๆ ยอมรับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและยอมรับโชคชะตาที่ไม่เปิดโอกาสให้ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น นี่มันไม่ง่ายเลย ฉินอีอวี๋แทบจะต้องใช้พละกำลังทั้งหมดเฉือนตัวตนที่แสนหยิ่งยโสและความเอาแต่ใจในช่วงยี่สิบปีแรกของชีวิตออกไปทีละนิดแล้วค่อยห่อมันโยนทิ้ง

จนหนานอี่โผล่มา

การปรากฏตัวของชายหนุ่มทำให้ฉินอีอวี๋อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเลือดเนื้อที่ถูกโยนทิ้ง เพราะทุกก้อนเหมือนจะยังสดใหม่ และเมื่อจ้องมองอย่างละเอียดก็พบว่าที่แท้พวกมันยังถูกห่อหุ้มด้วยโน้ตดนตรีที่เต้นระบำอย่างมีชีวิตชีวาไว้นี่นา โน้ตดนตรีกระโดดโลดเต้นไปมา เป็นภาพที่น่ากลัวจริงๆ

“แม่ครับ แม่ว่าทำไมเขาถึงโผล่มาเหรอครับ”

“ผมเพี้ยนไปแล้วใช่ไหม” ฉินอีอวี๋นิ่วหน้าเมื่อพบว่าตัวเองไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าหนานอี่มีตัวตนอยู่จริง

“ระยะนี้ผมเจอเรื่องแปลกๆ ด้วย อย่างตอนตื่นนอนข้าวของในห้องไม่ได้หายแต่ย้ายตำแหน่ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก…แม่ครับ หรือความจริงแล้วหมอนี่ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ แต่เป็นภาพหลอนที่ผมจินตนาการขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองหรือเปล่า”

พอได้ยินคำพูดเหล่านี้พวกลูกหลานของหลุมข้างๆ ก็รีบเผ่นหนีไปอย่างลนลาน พวกเขาเดินหนีไปพลางหันกลับมามองอย่างระมัดระวัง แต่เจ้าตัวต้นเรื่องกลับยังจมอยู่ในห้วงความคิดจนไม่ได้สังเกตอะไรเลย

ไม่นานฉินอีอวี๋ก็ปฏิเสธการคาดเดาเพี้ยนๆ นี้ “ไม่สิๆ…”

ร่มคันนั้นหายไปจริงๆ

จริงด้วย อย่างน้อยก็มีหลักฐานชิ้นหนึ่ง ฉินอีอวี๋โล่งอก

หนานอี่มีตัวตน

“ผมน่าจะถ่ายคลิปไว้” เขาเปลี่ยนเรื่องแบบปุบปับ พอวางดอกไม้ที่แม่ชอบเรียบร้อยก็นั่งขัดสมาธิ เด็ดต้นหญ้าพลางพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเหมือนเด็กๆ

“เขาเล่นเบสเก่งมาก ถ้าถ่ายคลิปไว้ตอนนี้ผมคงมีคลิปมาเปิดให้แม่ฟัง”

ไม่มีใครตอบ

ฉินอีอวี๋เลยนอนลงเอาดื้อๆ ชายหนุ่มเอนตัวข้างป้ายสุสานและขดตัวเหมือนเด็กน้อย เพื่อใช้มือข้างที่บาดเจ็บลูบป้ายสุสานเบาๆ เหมือนตอนเป็นเด็ก พอแม่มาอยู่ข้างๆ ฉินอีอวี๋ก็จะใช้มือลูบผมหอมๆ ของแม่

ชายหนุ่มกระซิบ “ถ้าเขามาเร็วกว่านี้ก็ดี ตอนนี้มันช้าเกินไป ผม…”

พูดยังไม่ทันจบ อยู่ดีๆ รอบข้างก็มีลมพัดเปิดผมหน้าม้าของฉินอีอวี๋ สายลมลูบแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน

ทำให้คำว่า ‘ทำไม่ได้’ สองคำนี้ถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอ

ฉินอีอวี๋หัวเราะเบาๆ “แม่อย่าด่าผมสิ”

พอลมพัดแรง กลีบดอกไม้กลีบหนึ่งก็ถูกพัดปลิวเข้ามาในอกของฉินอีอวี๋

ฉินอีอวี๋ยิ้มไม่ออก เขาใช้นิ้วคีบกลีบดอกไม้นุ่มนิ่มแล้วนิ่งงันไป ก่อนจะพรั่งพรูทุกคำออกไปเหมือนสำรอกก้อนหินอันหนักอึ้งออกมาจากกระเพาะอาหาร

“หรือไม่…แม่ก็ด่าผมเถอะ”

หลังออกจากสุสานมาได้ไม่นานพระอาทิตย์ก็ถูกเมฆบดบัง ฉินอีอวี๋ไม่รู้ว่าเมฆพวกนี้มาจากที่ไหน ถึงได้มาไวขนาดนี้ และทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่สุสานเป็นเหมือนความฝันที่แสนอบอุ่นและงดงามเรื่องหนึ่ง

พอก้าวเท้าออกจากความฝันมาไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์ยามอัสดงเป็นสีแดงบาดตา คล้ายหยดเลือดที่แผ่ขยายออกไป

ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถเมล์ ฉินอีอวี๋คิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยแล้วก็มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเขาอย่างไม่มีเหตุผลคือ…หวั่นใจเมื่อใกล้บ้าน

ฉินอีอวี๋กลัวจนไม่อยากกลับห้องเช่า เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเดินเข้าไปแล้วเปิดประตูบานนั้น ใบหน้าของหนานอี่ ดวงตา และไลน์เบสของอีกฝ่าย…ทุกอย่างจะพุ่งเข้ามาในสมองอย่างควบคุมไม่อยู่แล้วเจาะลึกเข้าไปเรื่อยๆ

เมื่อเขากลับห้องที่อพาร์ตเมนต์นั้นไม่ได้ก็ต้องไปปูเสื่อนอนที่บ้านของโจวไหว

 

ปกติฉินอีอวี๋แทบจะไม่มาค้างที่บ้านของโจวไหวเลย เพราะเขาชินกับการนอนคนเดียว พอโจวไหวเห็นฉินอีอวี๋มาหาก็รู้ว่าหมอนี่มีเรื่องไม่สบายใจเลยไม่ได้ถามอะไร แต่ตอนเก็บอุปกรณ์สัก เขาฉุกคิดถึงคำที่หนานอี่พูดที่ร้านสักขึ้นมา

“นี่ คราวก่อนหนุ่มหล่อคนนั้นเขาขอให้นายเจาะหูให้ไม่ใช่เหรอ เขามาหรือยังล่ะ”

ภายในห้องมืดมิด สายตาของฉินอีอวี๋ดูเลื่อนลอย จู่ๆ ก็เหมือนขนตาหล่นเข้าไปในดวงตา นั่นทำให้รู้สึกเจ็บมาก

ชายหนุ่มขยี้ตาแล้วเดินกระแทกเท้าขึ้นชั้นบนไปนอน “ไม่ต้องมาหรอก ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเจอกันอีก”

วินาทีที่ดาวตกพาดผ่านย่อมทำให้หัวใจของผู้คนเต้นระรัว แต่พอดาวตกหายไป รัตติกาลกลับยิ่งมืดมิดกว่าเดิม

โจวไหวได้ยินฉินอีอวี๋พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้น้อยมาก เหมือนเขากำลังพาล สับสน และเจ็บปวดอย่างยิ่ง

“คนไม่รู้คงนึกว่าหมอนั่นติดหนี้อะไรนาย…” โจวไหวพูดกับตัวเอง

หนานอี่ติดหนี้ฉินอีอวี๋จริงๆ แต่ก็แค่ร่มหนึ่งคันเท่านั้น

เสียดายที่หนานอี่คงไม่ได้เอามันมาคืนเขาต่อหน้าอีกแล้ว

 

หนานอี่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะเดินทางมาหาฉินอีอวี๋แล้วเลยไม่ได้ผิดหวังมาก พอเดินออกจากอพาร์ตเมนต์ของฉินอีอวี๋ หนานอี่ก็ขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ ใส่หมวกกันน็อก สายตาเพ่งมองเงาสะท้อนตรงหูขวาที่อยู่ในกระจกมองหลัง บนใบหูมีต่างหูแล้ว แต่ที่ติ่งหูยังว่าง ยังไม่ได้เจาะ

วินาทีต่อมาความสนใจของชายหนุ่มพลันถูกคนที่โผล่เข้ามาในกระจกมองหลังดึงไป พวกเขากระโดดลงมาจากรถตู้คันหนึ่งโดยที่มือยังจับตัวคนคนหนึ่งไว้

หนานอี่สังหรณ์ใจขึ้นมา เขาตั้งใจจะถอดหมวกกันน็อก แต่มือถือกลับดังขึ้นเสียก่อน เป็นสายจากแม่

เขาเลยต้องกดรับ

“อาทิตย์หน้าเหรอครับ” หนานอี่ก้มหน้าคอนเฟิร์มเวลา “ใช่หมอรักษาหูที่ผมเคยบอกหรือเปล่า”

“ใช่จ้ะ” แม่ที่อยู่ปลายสายบอก “ถึงจะมีความหวังไม่มาก แต่แม่ก็อยากจะลองดู ลูกว่ายังไงจ๊ะ แม่โน้มน้าวพ่อเขาได้แล้ว ไว้เราไปลองกันอีกสักครั้งนะ”

“โอเคครับ ผมจะไปทำนัด ถ้ามีอะไรจะบอกพ่อกับแม่นะครับ” หนานอี่สตาร์ตรถอีกครั้ง “แม่กับพ่อรออยู่ที่บ้านก็พอ ไม่ต้องจัดการเองหรอกครับ”

“ลูกต้องเรียนหนังสือไม่ใช่เหรอ แม่จัดการเองได้ จริงสิ เสี่ยวอี่ คราวก่อนลูกบอกว่าจะไปออดิชันใช่ไหม ไม่ต้องห่วงพ่อเขาหรอก เรื่องของลูกสำคัญที่สุด อีกอย่างต้องดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ ไม่มีแม่อยู่ด้วย ลูกต้อง…”

“ระวัง อย่าไปมีเรื่องกับใคร” หนานอี่พูดกลั้วหัวเราะและชิงเดาคำกำชับของแม่ออกมาก่อน “ครับแม่ ผมรู้แล้ว แม่สบายใจได้”

เมื่อหนานอี่วางสาย คนกลุ่มนั้นก็หายตัวไปแล้ว ชายหนุ่มจึงสวมหมวกกันน็อก ขับมอเตอร์ไซค์ออกไป

 

ตอนกลับไปที่ห้องซ้อมตอนค่ำ ฉือจือหยางกับเหยียนจี้ซ้อมกันมาได้พักหนึ่งแล้ว หนานอี่เป็นพวกชอบลงมือทำอะไรทันที ไม่นานพวกเขาก็ตัดสินว่าจะทำเพลงคัฟเวอร์ ถึงจะมีเพลงออริจินัลอยู่ก็ตาม ก่อนหน้านี้หนานอี่เคยเขียนเพลงเอาไว้บ้าง แต่เขาไม่อยากใช้

เหยียนจี้ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร

“เพลงนี้เป็นเพลงของวงดิสออเดอร์คอนเนอร์” เหยียนจี้ทำงานมาหลายปีและต้องดีลกับหัวหน้าฝ่ายดูแลลูกค้าบ่อยๆ คำพูดคำจาเลยนุ่มนวลมาก “หากเราร้องเพลงของพวกเขาในการออดิชัน…จะไม่เสี่ยงมากเกินไปเหรอ นายแน่ใจว่าจะปรับได้?”

หนานอี่ย่อมเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้

ดิสออเดอร์คอนเนอร์ก็คือฉินอีอวี๋ และฉินอีอวี๋คือดิสออเดอร์คอนเนอร์ ต่อให้ตอนนี้วงดิสออเดอร์คอนเนอร์ไม่มีฉินอีอวี๋และเปลี่ยนให้คนอื่นมาเป็นนักร้องนำแล้วก็ไม่มีทางเปลี่ยนภาพลักษณ์ของวงได้ เนื่องจากเพลงของพวกเขาถูกแปะป้ายว่า ‘ไม่มีทางคัฟเวอร์ได้’ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่นักร้องนำของวงดิสออเดอร์คอนเนอร์ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็ถูกตราหน้าว่า ‘ไม่ใช่’

โทนเสียงของฉินอีอวี๋ สไตล์การแสดงบนเวที และพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยเฉพาะพลังในการแสดงสด ชายหนุ่มแทบจะกลายเป็นตัวโน้ต และน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์ของเขาได้สลักอยู่ในทุกเพลงของวงดิสออเดอร์คอนเนอร์ตลอดกาลเหมือนกับเป็นจิตวิญญาณ

“เพราะเป็นเพลงของเขา มันถึงต้องปรับ” หนานอี่ก้มหน้าตั้งเสียงพลางพูดด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้มไม่สมอายุ “ถ้าจะเลียนแบบก็มีแต่ตายสถานเดียว”

ฉือจือหยางไม่ห่วงเรื่องนี้ เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวหนานอี่มาตั้งแต่เกิด ชายหนุ่มจึงยิ้มพลางตีกลอง “แบบนี้มันเหมือนพวกเรากำลังเดินอยู่บนเส้นลวดเลย เสียวไส้ชะมัด”

“น่าจะเป็นโรคของมืออาชีพที่ชอบชนกับปัญหาที่มีความเสี่ยง”

เหยียนจี้ยักไหล่ คิดในใจว่าในเมื่อตัวเองลาออกจากงานแล้วจะมาคิดแบบนี้มันก็สายเกินการณ์ ไม่สู้สนุกให้เต็มที่สักครั้งดีกว่า

ชายหนุ่มจึงพูดอีกว่า “แต่ยิ่งความเสี่ยงสูง โอกาสที่จะได้ก็ยิ่งสูง ในการประกวดแบบนี้ต้องเป็นคนที่กล้าเสี่ยงถึงจะมีโอกาสชนะ”

หนานอี่เอียงคอมองเหยียนจี้อย่างรู้สึกว่าหมอนี่ตรงสเป็กอย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงเขาจะดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขุม แต่ความจริงในใจนั้นมีความบ้ากล้าชนอยู่

ซึ่งฉือจือหยางเป็นคนที่เก็บคนอย่างเขากลับมาได้

หนานอี่เสียบสายแอมป์แล้วหันไปพูดกับฉือจือหยางยิ้มๆ “นายนี่เก่งนะ”

“หา?” ฉือจือหยางถึงกับงง

แต่การถูกชมย่อมทำให้คนฟังอารมณ์ดี ฉือจือหยางเลยตีกลองแบบจัดเต็ม

“ตอนนี้พวกเรามีปัญหาข้อหนึ่ง” ทุกครั้งที่ทำงานกับทีมเล็ก เหยียนจี้จะอยากคอนเฟิร์มหน้าที่ของแต่ละคนเร็วๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นช่วงที่ใกล้วันออดิชัน ทว่าจนถึงตอนนี้นักร้องนำที่เป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดยังไม่ลงตัว มันเลยทำให้เหยียนจี้ร้อนใจมาก

ถ้าให้เทียบกันคีย์บอร์ดเป็นเครื่องดนตรีทำนอง เหมาะจะรับตำแหน่งนักร้องนำมากกว่ากลองและเบส แต่เหยียนจี้ไม่มั่นใจว่าโทนเสียงของเขากับทักษะการร้องจะสามารถรับหน้าที่สำคัญนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงหันไปมองสมาชิกอีกสองคน

“ใครจะเป็นนักร้องนำ”

“มีมือกลองร้องเพลงที่ไหน เหนื่อยตายชัก” ฉือจือหยางชี้ไปที่หนานอี่ทันที “เสี่ยวอี่เสียงดี หายใจสม่ำเสมอ นายฟังดูก็จะรู้”

เหยียนจี้ช็อก “มีเบสร้องนำไม่เยอะนะ”

ใช่ว่าจะไม่มีวงดังที่ให้เบสรับหน้าที่ร้องนำ มันมีอยู่แล้ว แต่ความยากนั้นมันคนละระดับกับมือกีตาร์เป็นนักร้องนำโดยสิ้นเชิง

“เบสเป็นเครื่องดนตรีประเภทคุมจังหวะ ไม่เหมาะจะเล่นไปร้องไป นอกจากมือเบสจะเป็นนักรบโน้ตเพลงที่เล่นไปตามโน้ตโดยไม่สนใจจังหวะ แค่ร้องไปตามเมโลดี้เท่านั้น แบบนี้ก็ใช่ว่าเขาจะรับตำแหน่งนักร้องนำไม่ได้” เหยียนจี้ว่าแล้วหันไปมองหนานอี่ “แต่นายไม่ใช่สไตล์นั้น ถ้าต้องเล่นเบสไปด้วยร้องไปด้วยคุณภาพการเล่นก็จะด้อยลง ฉันรู้สึกว่ามันน่าเสียดายมาก”

เหยียนจี้พูดคำนี้ออกมาจากใจจริง

เพราะเขาเคยเห็นทักษะทางดนตรีที่เก่งจนน่าตกใจของหนานอี่แล้ว จังหวะที่มีความหนักแน่น นี่เป็นหัวใจสำคัญที่จะคว้าชัยชนะให้กับวงได้ หากหนานอี่ต้องรักษามาตรฐานการแสดงทั้งสองอย่างพร้อมกันด้วยการกดเมโลดี้เพื่อร้องเพลง มันจะต่างกับวิชาสองมือขัดแย้งของโจวปั๋วทง* ตรงไหน

หนานอี่หน้านิ่งมากอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ตั้งใจฟังเหยียนจี้พูดจนจบ สักพักชายหนุ่มก็พูดเสียงเบาว่า “งั้นเอางี้ เรามาเทสต์กันก่อน”

แต่พอพวกเขาเริ่มซ้อมครั้งแรกด้วยกันอย่างเป็นทางการ หรือต้องพูดว่าพริบตาที่หนานอี่เปิดปาก ทั้งเล่นเบสและร้องนำ เหยียนจี้ก็เข้าใจแล้วว่าคำว่า ‘เทสต์’ คำนี้เป็นการถ่อมตัวอย่างมาก

เพราะมันไม่ใช่การ ‘เทสต์’ เลย หนานอี่มีพรสวรรค์ในการทำหน้าที่ทั้งสองอย่างนี้สูงมาก เป็นผลจากการฝึกซ้อมนับครั้งไม่ถ้วน

ตั้งแต่พบกันครั้งแรกเหยียนจี้ก็สัมผัสได้ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะแววตาของหนานอี่นิ่งมาก ตัวตนเองก็มีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาจะพูดสามส่วนและเก็บไว้เจ็ดส่วน พอมีปัญหาก็ไปจัดการ แค่ชั่วอึดใจก็ชิลแล้ว

หนานอี่เป็นเหมือนบ่อน้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น และภายในมีความลับสำคัญอยู่เป็นกองๆ

 

* ชาวปู้หล่าง หรือชาวปลัง เป็นหนึ่งใน 56 กลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการรับรองของประเทศจีน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน และมีบางส่วนอาศัยอยู่ในประเทศพม่าและประเทศไทย

* โจวปั๋วทง หรือจิวแป๊ะทง เป็นตัวละครจากเรื่องมังกรหยก เขาได้คิดค้นวิชาสองมือขัดแย้งที่ใช้มือซ้ายและมือขวาต่อสู้พร้อมกันในท่าที่แตกต่างกัน

บทที่ 10 สถานที่ออดิชัน

 

ในช่วงเวลาเดียวกันชีวิตของจางจื่อเจี๋ยนั้นบัดซบมาก

ตัวเขาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ตั้งความหวังว่าจะอาศัยเส้นสายของเฉินอวิ้นเพื่อหางานที่มีหน้ามีตาสักหน่อย ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด เพียงเจียดผลประโยชน์อันน้อยนิดจากซอกนิ้วออกมาให้เขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ทำให้ตอนนี้จางจื่อเจี๋ยได้แต่ทำงานในอู่ซ่อมรถของพ่อ บางครั้งบางคราวก็ตามเฉินอวิ้นไปเที่ยวตามสถานบันเทิง หากโชคดีเขาก็จะได้ชนแก้วกับดาราเกรดสามตรงบาร์ พอให้ชีวิตชุ่มฉ่ำได้บ้าง

แต่ช่วงนี้กลับมีเรื่องน่าหงุดหงิดเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน

เริ่มแรกสุดคือมีชายฉกรรจ์เอารถมอเตอร์ไซค์มาซ่อม ท่าทางดูเหี้ยมๆ ไม่น่ามีเรื่องด้วย อีกฝ่ายกล่าวหาว่ารถซ่อมได้ไม่ดีเลยพาพวกนักเลงตัวโตเหมือนม้ามาหลายคน จางจื่อเจี๋ยเลยได้แต่ยอมขาดทุนเพื่อจบปัญหา

ต่อมาก็มีเรื่องทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง แถมยังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ทั้งหมด พอพูดจาผิดหูก็ลงไม้ลงมือทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจโดยไม่กลัวจะมีเรื่องเลยสักคน จางจื่อเจี๋ยเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจจนเสียขวัญ พอเห็นมอเตอร์ไซค์ก็ขวัญผวา ต้องไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์แทบไม่ทัน

“ฉันทนไม่ไหวแล้ว นักเลงพวกนี้มันมาจากไหน ทำไมถึงแห่กันมาไม่รู้จักหมดจักสิ้น!”

เพิ่งจะด่าได้สองประโยคก็มีคนโทรมา จางจื่อเจี๋ยชำเลืองมองแล้วรีบกดรับอย่างนอบน้อมทันที “ฮัลโหล? พี่หยาง สวัสดีครับ”

คนที่อยู่ปลายสายชื่อหยางซี ครอบครัวพอจะมีแบ็กอยู่บ้าง เขาเปิดผับสี่แห่งกับไลฟ์เฮ้าส์สองแห่งอยู่ในปักกิ่ง ทุกร้านดังมาก ก่อนหน้านี้รถของหยางซีถูกชน เฉินอวิ้นก็แนะนำให้หยางซีเอารถมาซ่อมกับจางจื่อเจี๋ย ถือเป็นการช่วยเหลือธุรกิจของจางจื่อเจี๋ย

“ไม่ต้องหรอกครับ ต้องเทียวมามันยุ่งยาก ผมขับรถไปหาคุณเองดีกว่า ยังอยู่ที่ดรีมไอแลนด์ใช่ไหมครับ”

ดรีมไอแลนด์คือหนึ่งในสองไลฟ์เฮ้าส์ของหยางซี เป็นศูนย์รวมดนตรีร็อกที่มีชื่อเสียงในพื้นที่เขตซีเฉิงของเมือง

จางจื่อเจี๋ยค้นกุญแจรถออกมา ก่อนจะฉีดน้ำหอม แบบนี้เขาถึงจะกล้าขึ้นรถหรูๆ

“ไม่ยุ่งครับ ไม่ยุ่ง ผมจะออกเดี๋ยวนี้ อีกครึ่งชั่วโมงถึงครับ!”

รถติดหนักมากจางจื่อเจี๋ยใช้เวลาเกือบสี่สิบนาที พอเขาจอดรถทั้งร่างก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เขาสังเกตเห็นว่ารถในไลฟ์เฮ้าส์แน่นกว่าข้างนอก มีคนต่อแถวกันล้อมวงเบียดเสียดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้

ชายหนุ่มถือกุญแจเดินเข้าไปข้างใน ระหว่างนั้นก็บังเอิญเจอหยางซีกำลังดื่มชาอยู่กับใครคนหนึ่ง จางจื่อเจี๋ยจะนั่งก็ไม่ได้ จะยืนก็ไม่ถูก จนหยางซีส่งยิ้มมาแล้วพูดอย่างให้เกียรติว่า “เสี่ยวจางมาแล้ว เหนื่อยเลยสินะ”

กุญแจถูกชายหนุ่มที่อยู่ข้างหยางซีรับเอาไป

“คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ที่นี่คึกคักดีจัง” จางจื่อเจี๋ยเช็ดเหงื่อ “วันนี้มีการแสดงเหรอครับ วงไหนเหรอ”

“แสดงอะไร ก่อนหน้านี้เราคุยเรื่องสัญญาประกวดวงดนตรีไว้ วันนี้ที่นี่เลยจะมีการออดิชันประมาณสิบวง ฟีลแบบให้มาดวลกัน” หยางซีว่าแล้วก็พยักพเยิดหน้าไปที่รายชื่อบนโต๊ะ “พวกเรากำลังคอนเฟิร์มลำดับการขึ้นเวทีอยู่”

จางจื่อเจี๋ยปรายตามองยิ้มๆ เขาสาบานได้ว่าตัวเองแค่มองดูแวบเดียว แต่ผลคือกลับต้องอึ้งงันเหมือนถูกฟ้าผ่า

“เป็นอะไรไป” หยางซีเห็นเขาเป็นแบบนั้นก็อารมณ์ดี “มีคนรู้จักเหรอ”

“อ๋า คือว่า…” จางจื่อเจี๋ยดึงสติกลับมาแล้วชี้ไปที่ชื่อหนึ่งบนกระดาษ “คนคนนี้มีรูปถ่ายหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีหรอก วงดนตรีจะไปมีรูปถ่ายอะไร ไม่ใช่ออดิชันนักแสดงซะหน่อย”

หยางซีชำเลืองมองคนที่จางจื่อเจี๋ยชี้ ชื่อนี้จำง่ายมาก เมื่อกี้ตอนที่เขาเดินผ่านเจ้าของชื่อเลยถือโอกาสปรายตามองแวบหนึ่ง

“หมอนี่หน้าตาเท่มาก ตาก็สวยจริงๆ เหมือนพวกลูกครึ่งเลย”

“ตา…” จางจื่อเจี๋ยจับคีย์เวิร์ดได้ “ตาของเขาสีอ่อนเป็นพิเศษใช่ไหมครับ”

“ใช่ เป็นสีน้ำตาลอ่อนแบบออกเทานิดๆ เวลาโดดแดดจะดูเป็นซีทรู แถมเปล่งประกายด้วย นายรู้จักเขาด้วยเหรอ”

ใช่หมอนั่นจริงๆ

“ครับ เราเคยเรียนที่เดียวกัน”

“เรียนที่เดียวกัน? งั้นก็ต้องสนิทกันสิ” หยางซีหัวเราะ “ไม่งั้นนายก็อยู่ดูการประกวดก่อนสิ ฉันจะให้พวกเขาเอาริสต์แบนด์ให้นายสักอัน ใส่แล้วเข้าไปดูได้”

“ครับ ขอบคุณครับ” จางจื่อเจี๋ยยิ้มแบบขอไปทีก่อนเดินตามผู้ช่วยของหยางซีไป ระหว่างทางเขาอ้างว่าอยากเข้าห้องน้ำเพื่อโทรหาเฉินอวิ้น

แต่ฟังจากน้ำเสียงของคนที่ปลายสาย เฉินอวิ้นไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ ทั้งที่ครอบครัวของเขาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดในการประกวดนี้

เฉินอวิ้นโกรธจนขำ

“ฟอร์มวง? เขากล้าฝันอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

เฉินอวิ้นบอกให้จางจื่อเจี๋ยส่งสายโทรศัพท์ให้หยางซี จางจื่อเจี๋ยก็ทำตาม หยางซีอายุมากกว่าพวกเขาสิบปี มีแบ็กแข็งขนาดที่เฉินอวิ้นยังต้องเรียกเขาว่าพี่ชาย

จางจื่อเจี๋ยไม่ได้ยินว่าเฉินอวิ้นพูดอะไรบ้าง เห็นแค่หยางซีหรี่ตาแล้วตอบยิ้มๆ ว่า “เด้งออก? ฉันเป็นฝ่ายซัพพอร์ตสถานที่นะ น้องชาย นายอย่าทำให้ฉันลำบากดีกว่า”

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน จางจื่อเจี๋ยก็เริ่มเหม่อลอย ก่อนจะฉุกคิดถึงภาพสุดท้ายของหนานอี่ขึ้นมาได้อย่างไม่มีเหตุผล

วันนั้นเจ้าใบ้ที่ไม่ว่าพวกเขาจะแกล้งมันหนักแค่ไหนขึ้นคร่อมเฉินอวิ้นเหมือนหมาบ้า เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร เอาแต่เหวี่ยงหมัดต่อยอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่าจนเลือดสาดเต็มหน้าและเกือบบิดแขนเฉินอวิ้นหลุด

ทั้งที่ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้แกล้งอะไรอีกฝ่ายมาก แค่เห็นว่าหนานอี่ขัดหูขัดตาเลยล้อเลียนว่า ‘ทำหน้าอมทุกข์เหมือนคนในบ้านตาย’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมหนานอี่ถึงได้คลั่งขนาดล้มคนเจ็ดแปดคนได้ด้วยตัวคนเดียว ทำเอาพวกเขาเกือบตายอยู่ในตรอกประตูหลังโรงเรียน

ถึงตอนนี้จางจื่อเจี๋ยก็ยังแสยงไม่หาย และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าความจริงการมีเรื่องกับคนบ้ามีสิทธิ์ตายได้

หลังจากนั้นหนานอี่ก็ถูกลงโทษและย้ายโรงเรียนไป เห็นว่าไปอยู่ที่เมืองท่าแห่งหนึ่ง จางจื่อเจี๋ยจำได้ว่าตอนนั้นมีอาจารย์คนหนึ่งบอกว่าคนเกรดดีอย่างหนานอี่ ต่อให้จะเคยก่อเรื่องอะไรมาก็ยังมีโรงเรียนแย่งตัวกันอยู่ดี

หมอนั่นเรียนเก่งไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้จะมาทำวงอะไรอีก

“เห็นแก่หน้านาย ฉันจะเล่นเด็กนั่นให้ แต่เรื่องผลการแข่งขันนายต้องไปคุยกับพ่อเอง”

จางจื่อเจี๋ยมองหน้าหยางซีแล้วคิดในใจว่าถึงคนคนนี้จะดูเป็นมิตร แต่เขาก็ไม่ได้สนิทกับเฉินอวิ้น ไม่งั้นคงไม่พูดเรื่องพ่อของเฉินอวิ้นออกมา

แน่นอนว่าในแสงไฟเฉินอวิ้นคือคุณชายแห่งบริษัทเฉิงหงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ แต่ในมุมส่วนตัวจนถึงตอนนี้เขายังต้องคอยดูสีหน้าพ่อตัวเองและถูกทุบตีเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงนี้ที่เฉินอวิ้นไปก่อเรื่องไว้เลยต้องคอยหลบพ่อ

“ทำไมนายถึงดื้อด้านขนาดนี้นะ นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา” หยางซีฉีกยิ้ม “บางทีหมอนั่นอาจมีดีแค่เปลือกก็ได้ เพราะวงอื่นเขาอยู่กันมาหลายปี มีฐานแฟนอยู่ที่นี่ ฉันว่าวงที่เพิ่งฟอร์มขึ้นมาอย่างพวกเขามีแต่จะตายเปล่ามากกว่า”

หลังวางสายหยางซีก็โยนโทรศัพท์ใส่อกของจางจื่อเจี๋ยพร้อมยิ้มจนตาหยี “วันๆ คุณชายน้อยคิดแต่จะยุ่งเรื่องของคนอื่นดีนะ”

หยางซีพูดจบก็หยิบปากกามาขีดๆ เขียนๆ สองครั้งแล้วเอากระดาษฟาดอกผู้ช่วย

จางจื่อเจี๋ยไม่รู้จะพูดอะไรดีก็ได้แต่ยิ้มรับ พอไม่เห็นหยางซีพูดอะไรอีก จางจื่อเจี๋ยก็โล่งอก เขาเดินตามผู้ช่วยที่เดินวกไปเวียนมาจนถึงชั้นสอง

วงที่เข้าประกวดจะถูกพวกเขาจัดให้มาอยู่ที่นี่ทำให้มีจำนวนคนค่อนข้างเยอะ ภายในห้องพักนั้นชุลมุน แถมยังมีผู้จัดการวงฉะกับสตาฟฟ์ด้วย

ผู้ช่วยของหยางซีเดินไปดึงแขนคนที่มีบัตรห้อยคอ ก่อนจะยัดตารางคิวอันใหม่ให้ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปกระซิบสองสามประโยค คนคนนั้นส่งสายตาแล้วเอาตารางคิวเดิมมาจากมือเพื่อนร่วมงาน จากนั้นก็ยัดตารางคิวอันใหม่ที่ได้จากผู้ช่วยของหยางซีให้อีกต่อ พร้อมบอกแค่ว่า “ทำตามนี้”

ผู้คนที่คลาคล่ำแต่ละคนล้วนสะพายเครื่องดนตรี จางจื่อเจี๋ยกวาดตามองไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง ทำเอากล้ามเนื้อทุกมัดภายในร่างกายแข็งค้าง

เป็นหนานอี่จริงๆ!

เขาตัวสูงขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่สมัยอยู่มัธยมต้นหนานอี่ตัวเตี้ยมาก พอไม่ได้เจอกันสองสามปี ตอนนี้เขากลับสูงร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาคู่นั้นพิเศษมาก จางจื่อเจี๋ยไม่มีทางจำอีกฝ่ายได้

ความรู้สึกอับอายพลุ่งพล่านขึ้นมาเหมือนกระแสน้ำขึ้น จางจื่อเจี๋ยสบถสองประโยคแล้วใช้ลิ้นดุนฟันสองซี่ที่ถูกหนานอี่ต่อยหักจนต้องทำใหม่ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ตอนนั้นกระดูกซี่โครงเขาเกือบหักต้องนอนพักอยู่ที่บ้านกว่าครึ่งเดือน แถมยังถูกพ่อด่าปางตาย เรื่องพวกนี้เขาจำได้ไม่ลืม

แม่มันเถอะ ไอ้โรคจิตนี่

หน้าต่างของชั้นสองมีช่อง หนานอี่ยืนพิงหน้าต่าง ก้มหน้ามองคนที่ต่อแถวอยู่ด้านล่าง ก่อนจะคอนเฟิร์มเวลาอีกครั้ง

ไม่รู้ว่ามีวงดนตรีวงหนึ่งเบียดเข้ามาข้างๆ ตอนไหน ทั้งห้าคนจับกลุ่มกัน หนึ่งในนั้นสะพายหีบเพลงชัก แปดสิบเปอร์เซ็นต์เดาว่าน่าจะร้องแนวดนตรีพื้นบ้าน

“เราต้องเล่นเป็นวงแรกจริงๆ” คนพูดคือคนสะพายหีบเพลงชัก คิ้วสองเส้นขมวดมุ่น ถอนหายใจเสียงดังเฮ้อ “โคตรซวย ทำไมถึงโชคร้ายขนาดนี้”

การขึ้นแสดงเป็นวงแรกไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ หนานอี่คิด โดยเฉพาะกับวงที่เล่นเพลงพื้นบ้านที่ยากจะทำให้บรรยากาศงานคึกคักขึ้นมาได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อน

การประกวดเครซี่แบนด์จะใช้การแสดงแบบไลฟ์เฮ้าส์กันตั้งแต่รอบออดิชัน แต่ถึงจะบอกว่าเป็นการออดิชัน ความจริงมันเหมือนการดวลมากกว่า เนื่องจากมีคนเยอะและมีคนจากวงที่พอจะมีชื่อเสียงรวมอยู่ด้วย พอข่าวการประกวดแพร่ออกไปพวกแฟนคลับก็เฮกันแย่งซื้อบัตรจากหวงนิว* ในราคาสูงเพื่อเข้ามา

สิ่งสำคัญคือพวกเขามีสิทธิ์โหวตคะแนน…ริสต์แบนด์ที่แต่ละคนสวมจะสามารถกดไฟในระหว่างการแสดงได้สามครั้งแล้วห้ามกดซ้ำอีก หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้ชมมีสิทธิ์เลือกวงที่พวกเขาชอบได้สามวงจากสิบสองวง เป็นสามคะแนนที่เลอค่ามาก

การออดิชันแบ่งออกเป็นห้าสถานที่ ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว อู่ฮั่น และเฉิงตู ไลฟ์เฮ้าส์ที่เปิดออดิชันในที่ปักกิ่งมีสองแห่ง แต่ละแห่งจะคัดเอาเฉพาะสองอันดับแรกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้คะแนนจากคนดูที่อยู่ด้านล่างเวทีจึงมีเป็นอำนาจชี้เป็นชี้ตายในการโปรโมตวง

แฟนคลับส่วนหนึ่งถึงขั้นคิดแผนเอาไว้แล้วว่าจะโหวตให้วงที่ตัวเองรักที่สุดเท่านั้น ที่เหลืออีกสองคะแนนจะไม่ให้ใครเลย

สรุปเรื่องที่จริงเสียยิ่งกว่าจริงคือยิ่งได้ออกตัวเร็วเท่าไหร่ แฟนๆ ก็จะยิ่งระวังการโหวตมากขึ้นเท่านั้นทำให้พวกเขามีสิทธิ์แพ้ง่ายกว่าเดิม

ต่อให้ไม่พูดเรื่องคะแนน ให้คิดว่าเป็นคอนเสิร์ตรวมก็ต้องเป็นวงร็อกยอดนิยมถึงจะมีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว ส่วนวงเล็กวงอื่นขึ้นมาเล่นก็มีค่าเท่ากับ ‘วงอุ่นเครื่อง’ เพราะไม่มีใครตั้งใจมาดูพวกเขา แฟนคลับที่อยู่ด้านล่างเวทีมีแต่จะทำหน้าตาเย็นชา เล่นโทรศัพท์มือถือ ถ่ายคลิปลงกรุ๊ปเพื่อน และกอดอกบ่นถามอย่างรำคาญใจว่าเมื่อไหร่วงที่พวกเขาชอบที่สุดจะขึ้นแสดง

นี่คือเรื่องจริง

หนานอี่ไม่ได้ฟังวงที่อยู่ติดกันทอดถอนใจ ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มคนที่เข้ามากำลังจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม

“ดูอะไรอยู่เหรอ”

หนานอี่หันหน้ามาเจอเหยียนจี้ที่เบียดฝูงชนกลับมา “ไม่มีอะไร แค่มองไปเรื่อย”

เหยียนจี้มายืนอยู่ข้างเขาและมองตามสายตาของหนานอี่ลงไป พบว่าพวกแฟนๆ ที่เข้าแถวอยู่เกิดมีเรื่องกัน สตาฟฟ์ที่ยืนอยู่ตรงกลางกำลังช่วยไกล่เกลี่ย พอทั้งสองฝ่ายมีเรื่องกันปุ๊บก็ด่ากันไม่ยั้งและเกือบจะลงไม้ลงมือ

“ฝ่ายสถานที่มีปัญหา ตามหลักควรจะตรวจบัตรและปล่อยคนเข้ามาได้แล้ว แต่ตอนนี้คนยังเข้าแถวกันอยู่” หนานอี่ดูไม่ยี่หระ ทำตัวเหมือนเป็นผู้ชมมากกว่าเป็นคนที่กำลังจะขึ้นแสดง

“เมื่อกี้ฉันไปสืบมา” เหยียนจี้รู้รูปแบบการทำงานของที่นี่ดี “ได้ความว่าเครื่องตรวจบัตรมีปัญหา แถมคนคุมคิวยังทำงานพลาด จริงๆ พวกเขาเข้าแถวกันเป็นแถวเดี่ยว แต่สตาฟฟ์กลับดึงคนข้างหลังไปข้างหน้าเพื่อทำให้กลายเป็นสองแถว มีคนมองว่าไม่แฟร์เลยโวยวายขึ้นมา ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีมาตรการรับมือ เลยได้แต่ปล่อยให้เรื่องมันยุ่งแบบนี้”

หนานอี่เลิกมอง “อารมณ์เสียกันขนาดนี้ รอให้เข้ามาในงานก่อนเถอะ แค่คิดก็ยุ่งยากแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ฉือจือหยางก็เบียดกลุ่มคนที่อยู่ด้านหนึ่งเพื่อวิ่งมาหาทั้งคู่จนหายใจหายคอไม่ทันเลยสบถด่าก่อนว่า “ฟัค”

“เป็นอะไรไป” เหยียนจี้ส่งน้ำให้เขา “ค่อยๆ เล่า”

ฉือจือหยางไม่ได้รับน้ำจากเหยียนจี้ เขาพองขนทันที เสียงดังจนทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยินจึงพากันหันมามอง

“ยังจะใจเย็นได้อีกเหรอ! พวกเขาเปลี่ยนคิวการแสดงแล้ว!”

หนานอี่เอ่ยถาม “เลื่อนขึ้นหน้าหรือเลื่อนลงหลัง?”

ฉือจือหยางของขึ้นจนอยากชกผนัง

“อย่าพูดเลย พวกเราต้องเป็นคนเปิด!”

 

* หวงนิว หมายถึงพวกขายบัตรผีหรือบัตรอัพราคาในประเทศจีน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: