ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3
ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การลักพาตัว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด การติดสารเสพติด และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 51
ฉยงเหรินเพิ่งอาบน้ำเสร็จจึงยังไม่ได้เป่าผม ผมหยักศกปรกหน้าผาก พร้อมหยดน้ำกลิ้งไปตามลำคอ
ผิวแก้มที่สัมผัสแนบชิดของทั้งคู่เปียกชื้น อุณหภูมิร่างกายทำให้มันร้อนราวกับเหงื่อออก
ฉยงเหรินถูกโอบล้อมไว้หมดแล้ว ไม่มีที่ให้เขาดิ้นหนี
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ร่างของพญายมราชใหญ่กว่าเขาหนึ่งรอบได้ เมื่อสองแขนรวบโอบศีรษะฉยงเหรินก็แนบอิงกับหน้าอกของอีกฝ่ายพอดิบพอดี
แนบชิดสนิทเนื้อ ราวกับว่าอ้อมกอดนี้เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังและกระดูกของเขา
“อาหราน”
ไอเย็นเฉียบพัดผ่านหู ลำคอ และพวงแก้มของเขา ทำเอาเขารู้สึกชาที่คออย่างยากจะควบคุม
ทว่าวินาทีต่อมาความสั่นเทาในกายทั้งหมดล้วนถูกปลอบประโลมโดยอุณหภูมิเด่นชัดจากฝ่ามือ เรียวภูนิ้วลูบไล้ผ่านหลังคอเขาไปทีละน้อย บางครั้งกรงเล็บแหลมคมก็สัมผัสโดนเส้นผม จนเกิดความชาวาบน่าหงุดหงิดที่ท้ายทอยอย่างห้ามไม่อยู่
ทั้งหวาดวิตกทั้งผ่อนคลาย
ทำให้ไม่รู้เลยว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี
พญายมในตอนนี้ผิดจากปกติวิสัยอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉยงเหรินที่ถูกเขากักขังอยู่ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนานั้นไม่สามารถทำได้แม้แต่ขยับตัว นับประสาอะไรกับการไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะไปหาใครได้ จะให้เขาพูดกับคนอื่นจริงๆ หรือว่าตนถูกพญายมราชกอดไม่ยอมปล่อย จะทำยังไงดีแบบนี้
ฉยงเหรินแค่คิดถึงภาพนั้นก็เป็นต้องจิกนิ้วเท้า
“แบบนี้ผมมองไม่เห็นคุณนะครับ”
เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพญายมในร่างนี้กันแน่ อย่างน้อยเขาก็ต้องเห็นตัวคนก่อน
ฉยงเหรินตัวสูง ถึงจะดูผอม ทว่าน้ำหนักไม่ใช่น้อย แต่เมื่ออยู่กับพญายมราชเขากลับถูกพลิกตัวได้อย่างง่ายดายอย่างกับขนนกเบาหวิว
ด้วยเหตุนี้ฉยงเหรินจึงนอนอยู่ใต้อ้อมแขนพญายม
สิ่งที่อยู่ในลานสายตาเขาก็มีแต่หน้าอกของพญายม
เขาพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่จะขยับห่างให้ได้สักนิด เมื่อแหงนหน้าขึ้นถึงได้เห็นดวงหน้าของพญายมราชในตอนนี้
ดวงตาของพญายมราชจับจ้องอีกฝ่ายอย่างจดจ่อ รูม่านตาเบียดม่านตาสีน้ำตาลทองจนเป็นวงแหวนแคบๆ
เขาลดสายตามองลงมาช้าๆ จ้องค้างที่กลีบปากของฉยงเหริน ลามเลียสายตาไปตามรูปปากของอีกฝ่ายทีละนิด
เขาค่อยๆ ลดสายตามองลงต่ำ ฉยงเหรินมีริมฝีปากสีชมพูโดยกำเนิด ไม่สิ มันแดงกว่าสีชมพูเล็กน้อย
พญายมราชตกอยู่ในภวังค์เบาๆ ปลายกรงเล็บครูดไปที่กลีบปากอย่างเนิบช้า ในใจอดคิดไม่ได้ว่าหากตนจูบอีกฝ่ายตอนนี้ ขบกัดลงไปบนเนื้อริมฝีปากอวบอิ่ม จะให้ความรู้สึกแบบไหน
ระยะห่างระหว่างทั้งคู่แนบชิดกันเกินไป ตอนนี้เขารู้สึกเพียงทุกอณูในที่นี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมบนกายฉยงเหริน
แต่นั่นยังไม่พอ เขาต้องการมากกว่านี้
เขาอุ้มฉยงเหรินให้ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนหน้าตักของเขา แล้วมุดศีรษะตัวเองกับหน้าอกของฉยงเหริน
ภายใต้กล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่น คือเสียงหัวใจเต้นที่เสนาะหูที่สุดบนโลกใบนี้
เขาโอบอีกฝ่ายพร้อมเอนไปด้านหลัง ฉยงเหรินจึงพิงอยู่บนตัวเขาในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ
ทำให้เขาสามารถซุกใบหน้าของตัวเองกับซอกคอฉยงเหรินได้อย่างพอดิบพอดี
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที สูดดมที่ลำคอไล่ตามแนวกระดูกไหปลาร้า แล้วใช้เสียงแผ่วต่ำเรียกอีกฝ่าย
“อาหราน…” เสียงแผ่วปลายเสมือนถอนหายใจ
ปลายเสียงแผ่วกระเส่านี้ฉยงเหรินกลับรับรู้คำพูดที่พญายมราชไม่ได้พูดออกมาอย่างอธิบายไม่ได้
‘เธอหอมมาก’
พญายมราชเงยหน้ามองฉยงเหรินพร้อมเผยรอยยิ้ม รูม่านตาขยายจนม่านตาเหลือเพียงเส้นรอบวง
ต่อให้ฉยงเหรินจะความรู้สึกช้าขนาดไหนก็ต้องสัมผัสได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่แน่
พญายมกอดเขาแน่นอีกครั้ง คลอเคลียที่พวงแก้มเขาเบาๆ จากนั้นการเคลื่อนไหวก็ดูร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากเย็นเฉียบคล้ายจะเฉียดมาโดนติ่งหูของเขา
ฉยงเหรินรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง
เขาก็ไม่ได้อยากให้อะไรแปลกๆ แบบนี้เกิดขึ้น แต่ถ้าจะบอกว่าเขาโกรธ…
ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกโกรธสักเท่าไหร่…
ในความกระวนกระวาย ฉยงเหรินยื่นมือออกไปจับเขาบนหน้าผากของพญายมราช
เงาวาวมันเลื่อมร้อนมือและมีลายนูนขึ้นมา เขาใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้มันเล็กน้อยด้วยจิตใต้สำนึก
“ถ้าทำแบบนี้อีกจะโกรธแล้วนะครับ”
เขาพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
ฉยงเหรินคิดว่าน้ำเสียงเขายังไม่มีพลังมากพอ จึงจับอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำหน้าดุๆ ออกมา “ผม…ผมโกรธแล้วนะ!”
พญายมมองเขาด้วยสายตาเลื่อนลอยเบาๆ ในหัวคิดแต่ว่าท่าทางดุแบบแกล้งๆ ของฉยงเหรินนั้นช่างน่ารักไม่มีใครสู้ได้ จึงพยักหน้ารับอย่างให้ความร่วมมือ “อืม”
อืมอะไรของคุณเนี่ย…
ฉยงเหรินมองพญายมราชในรูปลักษณ์นี้ ก็เกิดความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเลยเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ลูบเขาเล่นไม่ได้” พญายมราชกล่าวเสียงแผ่ว ละมือออกจากเอวที่โอบไว้ จับมืออีกฝ่ายลูบลงไปตามแขน แล้วเหยียดกายขึ้น ประคองฉยงเหรินไว้ก่อนที่เขาจะไหลลงไป ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งข้างๆ หูเขา
ฉยงเหรินหน้าแดงแปร๊ดทันที ลนลานรีบชักมือออก
เขาเริ่มรู้สึกจิตใจพังทลาย จะสู้ก็สู้ไม่ไหว จะพูดก็พูดไม่รู้เรื่องอีก
หลังจากพญายมผละออกจากเขาได้เล็กน้อยก็อุ้มเขาแล้วเหม่ออยู่อย่างนั้นสองสามวินาที จากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆ แดงแจ๋ วางตัวเขาลงด้วยท่าทางยักแย่ยักยัน เขยิบและถอยออกไปช้าๆ
ฉยงเหรินกระโดดลงจากโซฟา วิ่งไปหน้าประตูประหนึ่งหนีศัตรูตัวฉกาจ
พญายมราชแดงแปร๊ดไปทั้งหน้า พูดเสียงเนิบช้าและแข็งทื่อ “ขอโทษ”
ฉยงเหรินเบิกตากว้างเล็กน้อย “กลับมาเป็นปกติแล้วเหรอครับ”
พญายมพยักหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นมอง
ในที่สุดฉยงเหรินก็ถอนหายใจโล่งอกได้สักที เขากุมหน้าอกแล้วพูดว่า “เป็นอะไรของคุณเนี่ย ผมตกใจหมด!”
นึกว่าจะ…อา…ไอ้นั่น น่ากลัวอะ…
พญายมบังคับตัวเองให้มองฉยงเหรินตรงๆ “มันคือ…ร่างมาร…ของฉัน ร่างนี้มันค่อนข้างจะ…นิดหน่อย”
“ควบคุมตัวเองไม่อยู่?” ฉยงเหรินเติมคำให้ทันที
พญายมพยักหน้า เขาอธิบายเสียงเบา “ฉันรับรู้ได้ว่าสิ่งมีชีวิตในนรกนั้นไม่รู้จักสำนึกผิด เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ตอนที่ทำการแบ่งร่างจึงตั้งใจแบ่งร่างมารออกมา เดิมทีอยากให้เหมือนกับปางพิโรธของพระโพธิสัตว์ เบื้องหน้าโกรธเกรี้ยว ในใจเมตตาจิตใจสงบ ใช้ร่างอวตารนี้เพื่อสัมผัสกับความรู้สึกของวิญญาณร้าย เพื่อจะได้ให้พวกเขารับโทษและปรับปรุงตัวได้ดีขึ้น”
ทว่าอย่างไรเสียพญายมราชก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ไม่สามารถเข้าถึงอนัตตาได้
ปกติแล้วเขาจะให้ร่างมารทำงานอยู่ในตำหนักพญายม ไม่ให้ร่างนี้ออกมาพบปะผู้คนง่ายๆ
ฉยงเหริน “งั้นวันนี้…”
พญายม “ทุกๆ ราวร้อยปีฉันจะต้องนำร่างอวตารเข้าสู่ห้วงลึกของนรก เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์กับนรกให้แน่นแฟ้นขึ้น ฉันจึงจะปล่อยให้ออกมาควบคุมภาพรวมนรกเพียงสองร่างเท่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้ที่ตรวจตรานรกอยู่ตลอดก็เพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าตอนที่ร่างอื่นของฉันไม่อยู่จะไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดกับนรก รอบนี้ถึงคราวของร่างมารกับร่างมนุษย์ที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ ร่างมนุษย์เหมาะกับการนั่งบัญชาการในตำหนักพญายมราชมากกว่าร่างมาร ร่างนี้จึงได้มายังโลกคนเป็น”
พญายมราชถือโอกาสนำแซนด์วิชและนมออกมาอุ่นจนถึงอุณหภูมิที่พอเหมาะ
“กินก่อนเถอะ เธอคงหิวแล้ว”
ฉยงเหรินยังคงยืนอยู่ข้างประตู
พญายมเอ่ยให้คำสัญญาด้วยความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก “ฉันจะไม่ล่วงเกินเธออีก ถ้าเธอไม่วางใจ จะให้ฉันย้ายออกก็ได้นะ”
ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลย…
ฉยงเหรินขยับเข้าไปทีละก้าว ทีละก้าว เมื่อเห็นความรู้สึกผิดบนใบหน้าท่านพญายมราชหนักขึ้นกว่าเดิม ในใจก็ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด
ที่เขาไม่อยากเข้าใกล้ท่านพญายมไม่ใช่เพราะโกรธ และยิ่งไม่ใช่เพราะกลัว
แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้โกรธจริงๆ
แล้วก็ไม่กลัวด้วย
ถ้าจะให้พูดจริงๆ อารมณ์ของเขาตอนนี้ดีขึ้นกว่าตอนยังไม่เข้าบ้านเล็กน้อย
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันแน่นะ…
ถูกคนเขาแทะโลมเอาเปรียบแต่กลับมีความสุขซะอย่างนั้น สมองเขามีปัญหาหรือยังไง
บางทีเขาก็คงต้องไปให้หมอเหรินอีเซิงช่วยตรวจดูบ้างซะแล้ว…
บัดซบ รู้อย่างงี้เขาน่าจะถ่ายรูปกระดาษจดเบอร์นั่นเก็บไว้ก่อนเอาให้ฉินก่วงหวัง
“ถ้าเธอไม่อยากกินแซนด์วิช งั้นฉันจะทำอย่างอื่นให้”
ท่านพญายมราชพูดอย่างกับแม่บ้านแม่เรือนแสนเพียบพร้อมเชียว
แต่ยังไงเขาก็เป็นคนที่น่ามองที่สุดเท่าที่ฉยงเหรินเคยพบ ร่างอวตารนี้ดูดุร้ายน่ากลัว แต่กลับมีความน่าดึงดูดแปลกๆ
ทำให้ฉยงเหรินไม่ค่อยอยากเข้าใกล้นัก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านพญายมในร่างมนุษย์ไม่น่ามองนะ
พูดได้แค่ว่าดีกันไปคนละแบบ
ฉยงเหรินให้คะแนนเต็มร้อยคะแนนกับร่างอวตารทุกร่างที่เขาเคยเจอในใจเงียบๆ จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าคำว่า ‘แต่’ ในความคิดของเขาไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
ทำไมการที่เขารู้สึกว่าคำพูดของท่านพญายมราชมีความเพียบพร้อม แล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายน่ามองมากๆ ถึงต้องเอาคำว่า ‘แต่’ มาใช้ในประโยคขัดแย้งกันด้วยล่ะ
ครูตอนประถมจะดุเขาหรือเปล่า
คงไม่หรอก
ใครมาเห็นท่านพญายมในร่างนี้ แล้วยังถูกท่านพญายมในร่างนี้พูดแบบนั้นใส่อีก เป็นใครก็ต้องสมองช็อตกันทั้งนั้น ครูสมัยประถมต้องเข้าใจความเปราะบางของเขาแน่นอน
แรงดึงดูดบางอย่างก็ยากจะต้านทานไหวจริงๆ
เมื่อเห็นเขาละล้าละลังไม่กล้าเข้ามา แววตาบนใบหน้าเย็นยะเยือกของท่านพญายมราชก็หม่นลงเล็กน้อย “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอกครับ”
ฉยงเหรินโพล่งออกไปทันใด อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สองทีจริงๆ
ทำไมเขาต้องรั้งอีกฝ่ายด้วยเล่า เขาไม่รู้หรอกนะว่าท่านพญายมต้องการพื้นที่ทำใจให้สงบหรือเปล่า แต่เขาต้องการมากๆ
แต่ท่านพญายมอยู่ตรงนี้ เขาจะไปใจเย็นลงได้ยังไงล่ะ
สัมผัสจากอีกฝ่ายนั่น…อย่างกับยังอยู่ที่ฝ่ามือตนอยู่เลย
สมองหยุดเดี๋ยวนี้!
ฉยงเหรินรู้สึกปวดร้าวใจอย่างยากที่จะเอ่ย ก้าวยาวๆ เข้าไปหยิบแซนด์วิชขึ้นมา กำลังจะยัดเข้าปากก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติจากคนข้างกาย
เขาหันไปช้าๆ กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ถามด้วยความระมัดระวัง “มองอะไรอยู่เหรอครับ”
ลูกกระเดือกของพญายมก็ขยับขึ้นลงกลืนน้ำลายตามเขา “มองเธอ”
ฉยงเหรินเอ่ยอย่างกระดาก “คุณมองอยู่ ผมไม่กล้ากินนะ”
พญายมราชพยักหน้า “อืม ไม่มองแล้ว”
ฉยงเหรินอดทนรอครู่หนึ่ง แต่ท่านพญายมราชกลับไม่ได้เก็บสายตากลับไปเลยแม้แต่น้อย
“ก็ยังมองอยู่นี่!”
ฉยงเหรินกล่าวโทษทันที
พญายมราชกลับคว้าแซนด์วิชในมือเขาไป
วันนี้ฉยงเหรินหิวไส้แทบขาด ในบ้านก็มีแค่แซนด์วิชชิ้นเดียว แถมยังไม่ได้กินสักทีอีก ในใจเขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมสุดๆ
แค่ไม่ให้มองก็ไม่ให้กินเลยเหรอ เกินไปแล้วนะ!
มุมปากเริ่มเบะ กรอบตาเริ่มแดง
การไม่ได้กินตอนหิวมากๆ เป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในโลกแล้ว ทำไมพญายมราชถึงได้ทำแบบนี้!
พญายมราชมองเขาเงียบๆ พลันพูดขึ้น “ฉันอยากจูบเธอ”
ฉยงเหริน “…”
ฉยงเหริน “?”
ฉยงเหริน “!!!”
ทว่าพญายมราชที่พูดคำนั้นจบกลับไม่ได้ลงมือทำจริงๆ ทว่าเอาแซนด์วิชกลับมาวางในมือฉยงเหริน
“ขอโทษ ฉันยั้งสติไม่อยู่อีกแล้ว ร่างมารคงจะเหมาะกับการทำงานอย่างเดียว ปกติตอนอยู่ในตำหนักพญายมราช ร่างนี้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก” ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นเขาพูดด้วยความเร็วจี๋ขนาดนี้ “เมื่อก่อนไม่เคยมีผลกระทบอะไรแบบนี้มาก ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”
ฉยงเหรินมองแซนด์วิชในมือเงียบๆ ก่อนลองเอามันมาจ่อปากอีกครั้ง
ครั้งนี้พญายมราชไม่ได้ขัดขวางเขาอีก แต่น่าแปลกมากที่เขาไม่ได้รู้สึกดีใจเลย…
เขากินแซนด์วิชหมดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แทบไม่รับรู้รสชาติใดๆ แล้วก็กระดกนมอุ่นที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดีจนหมดในรวดเดียว
เขาเช็ดปากหนึ่งที
“ผมไปนอนแล้ว”
พอฉยงเหรินพูดจบก็วิ่งหนีไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
เขาพุ่งเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันเป่าผมอย่างไวที่สุด จากนั้นก็เข็นตัวเองไปส่งที่เตียง
เพิ่งเอนตัวลงนอนได้ไม่เท่าไหร่ ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่นิดๆ
กลิ่น! กลิ่นสตรอเบอรี่มิ้นต์!
เขากระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน ก่อนจะพบว่านี่เป็นเตียงของเหยียนโม่
ข้างเตียงมีเสื้อผ้าสองชิ้นพับเป็นระเบียบเรียบร้อยวางอยู่
เป็นเสื้อผ้าของเขา
ฉยงเหรินลืมกระทั่งสวมรองเท้า ก้มหน้าแดงๆ คิดจะพุ่งออกไปข้างนอก แต่ก็ถูกพญายมราชอุ้มขึ้น
“พื้นมันเย็น” พญายมกล่าวเสียงแผ่ว “ฉันอุ้มเธอไปส่ง”
ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ไม่อนุญาต
เขาอยากพูดออกไปแบบนี้ แต่ปากเขาตอนนี้อย่างกับถูกปิดผนึกอยู่
ห้องนอนของพวกเขาสองคนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของห้องรับแขก เหมือนด้านปลายทั้งสองของรูปทรงกระสวย เมื่อกี้ฉยงเหรินเบลอไปหน่อย เลยเดินเข้าผิดตั้งแต่ห้องน้ำ
ร่างกายเขารวนไปหมดทั้งตัวแล้ว
พญายมราชครุ่นคิด ก่อนเอ่ยปลอบใจ “แปรงสีฟันเพิ่งเปลี่ยนใหม่ ยังไม่เคยใช้”
ฉยงเหรินรู้สึกเหมือนกลับมาหายใจหายคอได้นิดหน่อย
พญายมราชอุ้มเขามาที่ห้องนอน วางเขาลงบนเตียง เตียงนุ่มๆ ยวบลงทำให้ควบคุมสมดุลไม่ค่อยอยู่ ฉยงเหรินเอนล้มไปข้างหลังทันที
ผมหยักศกของเขาสยายอยู่บนเตียง เสื้อยืดสีขาวม้วนขึ้น เผยหน้าท้องช่วงเอวอันนวลเนียนและแข็งแรงออกมา ผิวสีน้ำผึ้งเมื่ออยู่ในห้องแสงสลัวๆ ก็ยังคงสะท้อนแสงที่ตกกระทบอย่างชัดเจน
ลูกกระเดือกพญายมราชกลิ้งไปมาหนึ่งที
“ฉันอยากจูบเธอ”
เขาพูดแบบนี้เป็นครั้งที่สอง จากนั้นจึงโน้มตัวลงมา
บทที่ 52
“ฉันอยากจูบเธอ”
น้ำเสียงของพญายมราชยังคงเย็นยะเยือก สัมผัสลูบไล้ที่ไร้สสารใดเจือปน ทำให้คนนึกถึงภูเขาน้ำแข็งที่ถูกกดทับอยู่ใต้น้ำ
ความเร็วในการพูดก็ไม่ต่างจากยามปกตินัก
ฟังเผินๆ ดูเรียบนิ่งจนประหนึ่งกำลังพูดว่า ‘กินข้าวกันเถอะ’ หรือไม่ก็ ‘ตอนนี้สามทุ่มแล้ว’
ทว่าการกระทำของเขากลับไม่ได้ดูใจเย็นเช่นเดียวกับถ้อยคำของเขา
เขาบดเบียดริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากของฉยงเหรินอย่างรีบร้อน ทั้งดูดทั้งดุน และแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปาก
ฉยงเหรินมึนงงไปหมดเพราะจูบของอีกฝ่าย
เขาไม่เคยมีความรัก แล้วก็ไม่เคยจูบกับใคร นี่เป็นครั้งแรกของเขา
จูบแรกที่เขาเคยจินตนาการไว้เป็นแบบนี้ ใต้ร่มไม้ในหน้าร้อน สายลมพัดหวน ริมฝีปากแนบชิดกันอย่างเด็กน้อย จากนั้นทั้งคู่ก็หันหน้าแดงๆ หนีไปคนละทาง
แต่ความเป็นจริงหลังจากปากประกบกันก็ถูกขบเม้มอย่างรีบร้อนทันที
อีกฝ่ายเกี่ยวพันปลายลิ้นของเขาอย่างไม่ยอมปล่อย ราวกับสามารถลิ้มรสอะไรจากจูบนั้นได้อย่างไรอย่างนั้น
การจูบครั้งนี้พญายมราชได้แสดงให้เห็นถึงความขยันใฝ่หาความรู้ของตนแล้ว เขาคล้ายกำลังศึกษาค้นคว้า ควานหาวิธีที่จะทำให้ฉยงเหรินหลุดส่งเสียงออกมาให้ได้อย่างอดทน
ดวงตาสีทองดูดุร้ายก็เริ่มปรือปรอยด้วยเช่นกัน เขาผละออกจากฉยงเหรินด้วยความใจกว้าง แต่ก็ยังแนบชิดมุมปากฉยงเหริน คลอเคลียเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงที่กดอยู่ในลำคอ “ชอบแบบนี้หรือเปล่า”
ทั้งยังให้ความสำคัญกับฟีดแบ็กของผู้ใช้งานสุดๆ ไม่ใช่พวกผู้ชายหน้าเหม็นที่เอาแต่ตัวเองฟินอย่างเดียว
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานสักที เขาจึงโน้มลงประกบจูบอีกครั้ง
คราวนี้มีเหงื่อออกจริงๆ อุณหภูมิร้อนปะทุสูง
ความเปียกชื้นที่ล้นออกมาจากริมฝีปากถูกพญายมราชละเมียดโลมเลียหมดจด
ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม พญายมราชกลืนของเหลวลงไป กัดจุดที่อิ่มเอิบที่สุดของริมฝีปากแล้วขบเม้มอย่างเนิบช้า กลิ่นหอมนี้เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขา คนอื่นล้วนไม่ได้กลิ่น
ริมฝีปากเย็นเฉียบประดุจน้ำแข็งค่อยๆ ละลายด้วยความร้อนที่มาจากฉยงเหริน
เขาไม่ค่อยชอบท่าทางในตอนนี้มากนัก แขนที่โอบเอวเมื่อรั้งเข้ามาก็สามารถอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ปลายเล็บที่ตัดแต่งจนโค้งมนของฉยงเหรินกดลงไปที่ท้ายทอยของเขาจนเกิดเป็นรอยบุ๋ม ปลายเท้าฉยงเหรินเผลอถูไถกับข้างขาเขาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
ถ้าถูกจูบอย่างหนักหน่วง หลังเท้าก็จะเหยียดเกร็งจนโค้งเป็นองศาที่สวยงาม
พญายมราชหยุดการกระทำด้วยความงุ่นง่านในใจ หัวใจเต้นรัวเร็ว เขากดต้นขาของฉยงเหรินลง ริมฝีปากแยกออกไปในระยะที่พอแค่สามารถพูดได้
“อาหราน อย่าขยับ”
ทุกคำที่ขยับปากพูดล้วนสัมผัสโดนริมฝีปากนุ่มที่ทั้งอุ่นร้อนและชื้นแฉะของฉยงเหริน
เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นจากตัวเอง ร่ำร้องประสานกับเสียงหัวใจของฉยงเหริน
ฉยงเหรินใช้จังหวะที่ได้พักหอบหายใจอย่างยากลำบากนี้คว้าโอกาสยกมือขึ้นปิดปาก
ปิดปากของตัวเขาเอง
“พะ…พอได้แล้วครับ”
เสียงเล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือ
ฉยงเหรินหน้าแดง หูแดง และบางทีที่อื่นก็อาจจะแดงด้วยเช่นกัน
เขารู้สึกว่าตนเองถูกพญายมกลืนกิน
ทำไมถึงต้องจูบนานขนาดนั้น เขาปวดเมื่อยปาก ลิ้นชาไม่มีความรู้สึกไปหมดแล้วเนี่ย
พญายมลำคอแห้งผาก การกลืนน้ำลายไม่ได้ช่วยดับความกระหายนี้ เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉยงเหรินปล่อยมือออก
เขาใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากที่ชาหนึบ แม้ปากจะไม่ได้แตก แต่ก็รู้สึกบวมตุ่ยอย่างอธิบายไม่ถูก
พญายมราชมองเรียวลิ้นสีชมพูที่แลบเลียกลีบปากแดงฉ่ำ สิ่งที่เรียกว่าเส้นสติสัมปชัญญะก็เกือบขาดผึง
ริมฝีปากของฉยงเหรินเดิมทีก็แดงอมชมพูกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกรังแกกว่าครึ่งค่อนวัน ซ้ำบนริมฝีปากยังชื้นด้วยหยาดน้ำใสกระจ่างอีก ทำให้คนเห็นอยากรังแกเขาอีกหลายๆ ครั้งจริงๆ
ฉยงเหรินกระสับกระส่ายที่ถูกอีกฝ่ายจ้อง ผินหน้าหนีกล่าว “ไม่ต้องอุ้มแล้ว ปล่อยผมลงเถอะ”
พญายมราชวางเขาลงบนที่นอนอีกครั้ง ครั้งนี้ฉยงเหรินนั่งตัวตรงแหน็วด้วยความรอบคอบสุดๆ
“ที่ว่าต้องนำร่างอวตารลงไปที่ห้วงลึกของนรกภูมิอะไรนั่น ใช้เวลานานเท่าไหร่เหรอครับ”
กว่าฉยงเหรินจะเอ่ยปากอีกครั้ง หัวข้อที่พูดก็ช่างเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน ทำเอาพญายมราชเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจ ราวกับว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ราวครึ่งเดือน”
ฉยงเหริน “งั้นคุณกลับยมโลกไปก่อน ครึ่งเดือนให้หลังค่อยกลับมานะครับ”
พญายมราชขมวดคิ้ว “ครึ่งเดือน?”
ฉยงเหรินไม่สบอารมณ์ ตบผ้าห่มกล่าว “ทำไมครับ นานไปไม่พอใจเหรอครับ”
พญายมราช “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน การกระทำที่ไม่เหมาะสมของฉันเมื่อครู่สมควรได้รับโทษหนักกว่านี้” แม้พญายมราชจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ที่จริงในใจไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าดูชั่วร้ายติดประกายรอยยิ้มอิ่มเอม “ไม่สู้ฉันเด็ดใบไม้มีดจากนรกจ้งเหอมาให้เธอสักใบ ถ้าเป็นเธอบางทีอาจจะหั่นร่างอวตารของฉันขาดก็ได้”
ฉยงเหริน “…”
ช่วยอย่าเสนอให้เอามีดหั่นตัวเองด้วยใบหน้ามีความสุขขนาดนั้นได้ไหม
เขาหน้าแดงแจ๋ พูดด้วยสมองมึนเบลอ “วันนี้ไม่ได้ครับ ผมถูกคุณจูบจนหมดแรงแล้ว”
ทันทีที่พูดออกไปทั้งคู่ก็ตัวแข็งทื่อ
ใบหน้าดุร้ายอำมหิตของร่างมารพลันเผยสีหน้าประหนึ่งเด็กหนุ่ม ม.ปลาย ใสๆ ออกมา “งะ…งั้นเหรอ งั้นก็…วะ…วันอื่น…”
“ครึ่งเดือน เริ่มตั้งแต่วันนี้” ฉยงเหรินอกจะแตกให้ได้ ปิดตาอุดหูหนีจากความเป็นจริง “ผมไม่สน ถ้าผมลืมตาผมต้องไม่เห็นคุณแล้ว”
“…”
“สาม”
“…”
“สอง”
“…”
“หนึ่ง”
ฉยงเหรินลืมตามอง ในห้องรับแขกเหลือแค่เขาคนเดียว
“อะไรกัน…” ฉยงเหรินไม่สบอารมณ์นัก “ไปจริงๆ ด้วย”
เพ้ยๆๆ!
ตั้งสติสิ เสี่ยวฉยง!
ความคิดนี้ของนายมันอันตรายมากนะ ถูกเทพแทะโลมจนไม่เหลือสภาพขนาดนี้ยังไปคิดอาลัยอาวรณ์นี่มันยังไง
ฮึกเหิมเข้าไว้ ยืนหยัดต่อต้านท่านพญายมร่างมารผู้ชั่วร้าย อย่างน้อยก็ต้องต้านไว้ให้ได้ครึ่งเดือน!
ถึงเขาจะเพิ่งอาบน้ำมา แต่ก็ถูกกอดจนเหงื่อซึมทั่วร่าง ร่างกายของมารร้อนเกินไป จะตรงไหนก็ร้อนผ่าวไปหมด โดยเฉพาะ…
อ๊ากกก
เลิกคิดได้แล้ว!!!
ฉยงเหรินเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำด้วยจิตใจที่รับอะไรไม่ไหวอีกต่อไป ครั้งนี้เขาไม่ได้เข้าผิดห้อง พอได้เห็นสภาพตัวเอง เขาก็ใบ้รับประทานทันที
ริมฝีปากแดงแจ๋บวมฉึ่ง แพขนตาชื้นน้ำเกาะกันเป็นกลุ่ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งกระทำเรื่องที่ไม่สามารถบรรยายได้มาหมาดๆ
พูดให้ถูกคือเหมือนเพิ่งถูกทำเรื่องที่บรรยายไม่ได้มาอย่างหนัก…
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ แค่จูบ (ไม่) นิดหน่อยก็เป็นถึงขนาดนี้ซะแล้ว สภาพแบบนี้เขาจะไปเจอหน้าใครได้ยังไง ต้องถูกคนเข้าใจผิดยันตายแน่
Super Topic ที่ตอนนี้ก็เข้าไปเหยียบไม่ได้อยู่แล้วจะต้องกลายเป็นสถานที่ที่น่ากลัวกว่านี้แน่
“ครึ่งเดือนสั้นเกินไปจริงๆ ด้วย” ฉยงเหรินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “เลียๆๆ อยู่นั่นแหละ มีอะไรน่าเลียกัน เป็นหมารึไง อ๊ากกก นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย!”
สีหน้าของเขาในกระจกตอนนี้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
เวลาแบบนี้เหมาะกับการเป็นแค่นกกระจอกเทศที่มุดหัวลงดินตอนเจออันตรายจริงๆ
ทั้งเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แล้วยังถูกแกล้งไปยกหนึ่งอีก ฉยงเหรินง่วงจนแทบจะหลับกลางอากาศอยู่แล้ว เขาไปอาบน้ำอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าบนตัวก็มีรอยแดงเหมือนถูกเสียดสีเป็นปื้นใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ร่างมารนี่มัน…
งั้นถ้าเป็นร่างครึ่งมังกร…
แต่ครึ่งมังกรมีเกล็ดนะ
เขาร่างมารลูบแล้วจะ *ปี๊บ* งั้นเขามังกรล่ะ…
ฉยงเหรินมือเท้าชาหนึบ หัวใจเต้นรัว
หยุดคิดนะๆๆ
เขารีบล้างฟองบนตัวออก เป่าผมให้แห้งอย่างเร็วจี๋ ส่งข้อความเข้ากลุ่มผู้ช่วยและผู้จัดการว่าเขาต้องการเวลาพักผ่อนสองวัน ถ้าไม่มีเรื่องอะไรพยายามอย่ามาหาเขา
จากนั้นจึงปีนขึ้นเตียงซุกผ้านวมยับยู่นุ่มนิ่มกลิ่นลูกพีชของเขา
ก่อนจะกอดผ้าห่มงัวเงียหลับฝัน ในหัวก็ยังคงคิดว่าผ้าห่มของเขาไม่หอมเหมือนของพญายมราชเลย
ฉยงเหรินหลับลึกมาก แต่จู่ๆ ก็ถูกความรุ่มร้อนโอบรัดกลางดึก เขาไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เพียงเลิกผ้าห่มออก ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกนอนกอดตลอดทั้งคืน
ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็งงงวยสุดๆ เดือนพฤศจิกายนแล้วแท้ๆ ทำไมอากาศถึงได้ร้อนขนาดนั้น
เขาเหงื่อท่วมตัว อย่างกับมีผ้าห่มทำความร้อนมาห่อตัวเขาตอนนอนอย่างงั้นแหละ
คงไม่ใช่หรอกนะ…
ฉยงเหรินหมอบลงดมกลิ่นผ้าห่มอย่างละเอียดก็เหมือนจะได้กลิ่นสตรอเบอรี่มิ้นต์อยู่จางๆ แต่เมื่อก่อนเขาก็ใช้น้ำยาซักผ้ากลิ่นนี้มาโดยตลอด ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นกลิ่นที่หลงเหลือจากเมื่อก่อนก็ได้
ระหว่างทำมื้อเช้าในห้องครัวก็พบว่าในตู้เย็นมีผักสด เนื้อ ปลา และนมเพิ่มขึ้นมา แฮมขาหมูที่เมิ่งชิงเสวียนกับหวังป๋อตวนแบกมาก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ละชิ้นล้วนถูกหั่นเก็บอยู่ในถุงสุญญากาศ
ของพวกนี้เมื่อวานยังไม่มีเลย ต้องเป็นพญายมราชแน่ๆ ที่แอบมาจัดการไว้ตอนเขานอนหลับ
ไม่ชอบเลย
ฉยงเหรินบ่นอุบในใจ
ไม่ชอบที่พญายมราชเป็นคนที่เขาไม่ชอบไม่ลงเนี่ยน่ะสิ
เขาล่ะไม่ชอบจุดนี้จริงๆ เชียว
เขาหยิบแผ่นแฮมที่หั่นเรียบร้อยแล้วออกมาหนึ่งชิ้น เอาไปจัดการในกระทะจนกลิ่นหอมฟุ้งกำจาย ขณะกำลังทำมื้อเช้าเฉินรุ่ยเจ๋อก็โทรมา
“ฮัลโหล!”
เฉินรุ่ยเจ๋อเสียงลนลานเล็กน้อย
ฉยงเหรินขมวดคิ้วเบาๆ “เป็นอะไรครับ”
เฉินรุ่ยเจ๋อ “ฉยงเหริน ฉันว่าฉันเกิดเรื่องแล้วล่ะ นายรีบมาช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”
“อยู่ที่ไหนครับ ส่งโลเกชั่นมาให้ผม”
เฉินรุ่ยเจ๋อเมื่อได้ยินเขาเอ่ยขอโลเกชั่นทันทีโดยไม่ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้นก็ร้องห่มร้องไห้คาสาย
“ฮือออออ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าหนูเหรินของเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลก” เขากระซิกๆ สองสามที “อย่ามาคนเดียวนะ ฉันเห็นในเน็ตเขาเล่ากันว่านักพรตอารามชิงเหลยไปบำเพ็ญอยู่กับนาย นายพาพวกเขามาด้วยนะ ฉันว่าผีที่นี่น่าจะเฮี้ยนมาก”
ฉยงเหรินรีบปลอบ “วางใจเถอะครับ ไม่เฮี้ยนเท่าผมหรอก ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เฉินรุ่ยเจ๋อ “…”
เมื่อกี้เขาได้ยินว่าอะไรนะ
หลังวางสายฉยงเหรินก็เรียกตัวผู้ช่วยทั้งสองมาทันที แล้วขับรถบึ่งไปยังเขตตะวันออก
หลายวันมานี้หวังป๋อตวนฟังเมิ่งชิงเสวียนโม้ให้ฟังตลอดว่าฉยงเหรินเก่งกาจแค่ไหน เมื่อเห็นว่าจะได้ออกไปปฏิบัติภารกิจกับฉยงเหริน หัวใจก็ลิงโลดสุดๆ
ทั้งคู่จัดเตรียมเครื่องมือพิธีกรรม กระดาษยันต์และดาบไม้ท้อไป หมายมั่นจะแสดงฝีมือให้ผู้คนประจักษ์
เมื่อถึงที่หมายผู้ช่วยของเฉินรุ่ยเจ๋อก็มายืนรอพวกเขาอยู่หน้าทางเข้า
ที่นี่คือหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำอันมากมายของกองถ่าย ‘พัดดอกท้อ’ ในอดีตเป็นโรงงิ้ว ตอนนี้กำลังจะทำการรื้อถอน แต่ก่อนจะรื้อถอนก็ได้ปล่อยให้กองถ่ายเช่าและให้สถานที่นี้ได้ทำหน้าที่สุดท้ายของมัน
ผู้จัดการพาฉยงเหรินเข้าไปข้างใน สตาฟฟ์ส่วนใหญ่ล้วนรู้จักฉยงเหรินอยู่แล้ว เมื่อเห็นเขามาก็ทยอยกันเข้ามาทักทาย หวังป๋อตวนสั่งขนมนมเนยมาจากหลายๆ ร้านเป็นหนึ่งร้อยชุด ตอนพวกเขามาถึงของก็กำลังมาส่งพอดี ไม่นานไรเดอร์แจ็กเก็ตเหลืองบ้างฟ้าบ้างก็มาส่งของที่กอง เป็นภาพน่าตื่นตาตื่นใจ
ทีมงานต่างยิ้มแย้มเบิกบานใจ
ฉยงเหรินยกนิ้วโป้งให้หวังป๋อตวน เมิ่งชิงเสวียนรู้สึกเหมือนตนได้เรียนรู้งาน รีบควักมือถือขึ้นมาพิมพ์จดทันที
บันทึกการฝึกตนของเสี่ยวเมิ่ง ‘ไปเยี่ยมกองถ่ายต้องไม่ลืมซื้อของกิน’
ผู้ช่วยพาเขาไปที่ห้องรับรองของเฉินรุ่ยเจ๋อ ผลักประตูเข้าไปพลางกล่าว “อาจารย์ฉยงมาแล้วครับ”
เฉินรุ่ยเจ๋อกำลังอ่านบทเตรียมเข้าฉาก ได้ยินคำของผู้ช่วยก็กระเด้งตัวลุกโผเข้าหาฉยงเหรินทันที
“ในที่สุดก็มาสักที ฉันกลัวแทบบ้า”
ฉยงเหรินตบหลังเขา อดขมวดคิ้วไม่ได้ แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่เฉินรุ่ยเจ๋อกลับสวมชุดงิ้วฤดูร้อนที่บางมาก เขานึกว่าตัวเองกำลังลูบหลังโครงกระดูกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
จนเฉินรุ่ยเจ๋อปล่อยเขา ฉยงเหรินจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่ง แล้วก็ต้องถอนหายใจ “ทำไมคุณถึงผอมขนาดนี้ล่ะ”
เฉินรุ่ยเจ๋อลดน้ำหนักไปไม่น้อยเพื่อบทเฉินเถา ตอนนี้เขาผอมจนเบ้าตาลึกโหลยิ่งกว่าเดิม ใต้ตาดำคล้ำ ริมฝีปากแห้งซีดเซียว ประหนึ่งไม้ใกล้ฝั่ง
“เป็นเพราะโดนผีหลอกทั้งนั้น” เฉินรุ่ยเจ๋อดูตึงเครียดเล็กน้อย เหงื่อเย็นบนหน้าผากไหลพรากๆ ไรผมเปียกชื้นไปหมด “เจ้าโง่จางเฮ่าไม่เชื่อว่าฉันเจอผี บอกว่าตัวเองก็นอนอยู่ข้างๆ ฉันทุกคืน ไม่เห็นจะมีผีที่ไหนมาตามตอแยฉันเลย”
อยู่ดีๆ ฉยงเหรินก็ได้ฟังเรื่องเม้าท์มอยซุบซิบโดยไม่ได้ตั้งตัว มิน่าล่ะตอนเขาเพิ่งรู้จักกับเฉินรุ่ยเจ๋อก็รู้สึกว่าทำไมน้ำเสียงตอนเฉินรุ่ยเจ๋อพูดถึงผู้กำกับจางเฮ่าถึงได้เป็นกันเองขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นครอบครัวเดียวกันสินะ
เฉินรุ่ยเจ๋อพอรู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลุดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไปก็เก้อกระดากเล็กน้อย “ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนายนะ แต่ฉันแค่หาจังหวะเหมาะๆ บอกนายไม่ได้”
ฉยงเหรินพยักหน้า สถานการณ์ที่ยากจะอธิบายความสัมพันธ์ลับๆ ของตัวเองกับคนอื่นนี่เมื่อก่อนเขาก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ตอนนี้เขาเข้าใจดีเลยล่ะ
ถึงเขาเองก็ไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่ว่าตอนนี้เขานับว่ากำลังมีความสัมพันธ์ลับๆ อะไรอยู่หรือเปล่าก็เถอะ…
“คุยเรื่องเจอผีก่อนเถอะ”
มือถือของฉยงเหรินได้รับข้อความวีแชตหนึ่งข้อความ เป็นรูปพรีวิวหูฟังที่เสร็จแล้วจากจางชิงชิง เขาเข้าไปดูแล้วกดปิด ก่อนหันมาตั้งใจฟังเฉินรุ่ยเจ๋อเล่า
เฉินรุ่ยเจ๋อเริ่มเจอผีตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว
ในฐานะตัวละครหลักชายของ ‘พัดดอกท้อ’ บทของเฉินรุ่ยเจ๋อจึงเยอะมากๆ แทบทุกวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะต้องไปแต่งหน้าทำผมที่กองถ่าย ตกกลางคืนกลับโรงแรมไปก็ไม่มีอารมณ์ทำอะไรอย่างอื่น รีบๆ อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอน
คืนหนึ่งเมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อนเขาก็เริ่มฝันแปลกๆ
สถานที่ในฝันคือห้องนอนที่เขาไม่เคยเข้าไปมาก่อน เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างห้องนอน คล้ายเป็นคนป่วยที่กำลังอ่อนแอโรยแรงอย่างที่สุด แทบขยับเขยื้อนร่างกายไม่ไหว
เวลาที่คนเราฝันก็จะได้รู้ข้อมูลอะไรมากมายอย่างแปลกประหลาด อย่างเช่นมองเห็นใบหน้าของคนในฝันไม่ชัดเลยสักนิด แต่กลับรู้ว่าในฝันคนคนนี้คือใคร
ในฝันของเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แม้จะไม่ได้หันกลับไป แต่กลับรู้ว่าด้านหลังเขามีสิ่งที่น่ากลัวกำลังจ้องมองเขาอยู่
ในความฝันเฉินรุ่ยเจ๋อหวาดกลัวมาก ความหวาดกลัวนั้นไม่มีที่มา แต่ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นเฉียบจากก้นบึ้งหัวใจ
เขาไม่มีความรู้สึกอยากหันไปมองเลยแม้แต่น้อยว่าด้านหลังนั่นคืออะไรกันแน่ ทว่ากลับถูกพลังงานอย่างหนึ่งเข้าครอบงำ บีบให้เขาต้องหันกลับไปมองอย่างไม่มีทางเลือก
จนตัวเขาในความฝันค่อยๆ หันหน้าไปก็เห็นเงาดำร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน ไร้ซึ่งอวัยวะน้อยใหญ่บนใบหน้า แต่ในใจเฉินรุ่ยเจ๋อรู้ดี
ว่าเงาดำนี้กำลังมองเขาด้วยเจตนาไม่ดีอยู่
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.