X
    Categories: everYทดลองอ่านพวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง

ทดลองอ่าน พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1

ผู้เขียน :  โม่เฉินฮวน

แปลโดย : เฉินเมิ่งหาน

ผลงานเรื่อง : พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

นื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว

มีการใช้ความรุนแรง มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ

การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 1

อุทยานธรรมชาติผิงหู

สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าหมู่บ้านริมน้ำแห่งเจียงหนานนั้นมีทำเลอยู่ใกล้ภูเขาและแม่น้ำ รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ซึ่งอุทยานผิงหูดังกล่าวตั้งอยู่ที่อำเภอเล็กๆ ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในมณฑล J เมื่อสองปีก่อนที่นี่เพิ่งได้รับการประเมินให้เป็นอุทยานระดับ A ของประเทศ จากนั้นอีกสองปีต่อมา ขณะที่ดาวไม่เพิ่มขึ้น การมาเยือนของนักท่องเที่ยวเองก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ จึงส่งผลให้ทางที่ว่าการอำเภอรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก

ทว่าช่วงต้นเดือนนี้กลับมีคนกลุ่มหนึ่งหอบเอาเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่เข้าไปยังอุทยานธรรมชาติผิงหู เมื่อได้ยินข่าว ผู้คนจากหมู่บ้านในละแวกนั้นต่างแห่แหนกันไปที่อุทยานด้วยความรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่ยังไม่ทันได้เห็นตัวคนก็ดันถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขวางเอาไว้เสียก่อน

“พูดก็พูดเถอะ หนังเราก็เป็นถึงหนังที่จะฉายในโรงเชียวนะ ให้คนในหมู่บ้านพวกนั้นอยู่ห่างๆ หน่อยดีกว่า เดี๋ยวไปยุ่มย่ามกับเครื่องไม้เครื่องมือเข้า ความซวยจะไปตกอยู่ที่นายหรือฉันกันล่ะ”

คนพูดคือชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่า ด้วยความที่มีรูปร่างผอมบาง เมื่อนั่งอยู่บนยอดเขาจึงทำให้ดูเหมือนข้าวฟ่างหางหมาที่ส่ายไหวไปมาต้นหนึ่งมาก เวลานี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้กำกับ พร้อมทั้งเหล่มองกลุ่มชาวนาทางด้านล่างภูเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม แล้วพูดกับรองผู้กำกับของตัวเองว่า “หนังเรื่องนี้ของเราใช้เงินลงทุนตั้งสิบล้าน แค่เครื่องมือชิ้นเดียวก็ราคาปาไปหลายแสนแล้ว…”

ช่วงเช้าตรู่กองถ่ายยังไม่เปิดกล้อง ผู้กำกับกำลังเทศนาไปด่าไป ส่วนนางเอกก็เพิ่งมาถึงกองแล้วกำลังเริ่มแต่งตัว กลับเป็นทางด้านพวกตัวประกอบเสียอีกที่เตรียมตัวพร้อมเรียบร้อยแล้ว

กองถ่ายนี้มาที่อุทยานผิงหูเพื่อใช้เป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘คืนสยองของดาวโรงเรียน’ แค่ฟังชื่อก็เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ผลิตในประเทศ

ไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกข้อกำหนดว่าหลังจากที่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ปีศาจก็ห้ามเป็นปีศาจ และแน่นอนว่าห้ามมีผีด้วย ดังนั้นภาพยนตร์สยองขวัญผลิตในประเทศสมัยนี้จึงล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดจากโรคทางจิตเวชทั้งนั้น และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน

ถึงแม้การตรวจสอบภาพยนตร์สยองขวัญของรัฐบาลจะเข้มงวดถึงขั้นเรียกได้ว่าปฏิวัติจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ในทุกๆ ปีก็ยังต้องมีภาพยนตร์สยองขวัญสักหนึ่งถึงสองเรื่องเข้าฉายในโรงอยู่ดี เพื่อให้เป็นไปตามโควตาประเภทหนัง ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคมภาพยนตร์เรื่อง ‘คืนสยองของดาวโรงเรียน’ ที่ว่านี้กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อยู่แล้ว ทว่าผู้กำกับกลับไม่รีบร้อนอะไรเลย ทั้งที่เพิ่งจะมาเริ่มถ่ายทำเอาตอนเดือนมีนาคม

เวลานี้นางเอกกำลังคุยเล่นและดื่มชาอยู่ในห้องแต่งตัว ส่วนพระเอกตอนนี้ยังนอนหลับอุตุอยู่ที่โรงแรมในตัวอำเภอ ลำบากก็แต่กลุ่มนักแสดงตัวประกอบสามคนที่ต้องรออยู่ที่สถานที่ถ่ายทำตลอดเวลา กระทั่งถึงตอนเที่ยงผู้กำกับถึงได้พาทีมงานเข้าไปยังส่วนลึกของป่าอย่างเนือยๆ เพื่อเตรียมที่จะเริ่มถ่ายทำ

“นักแสดงสองสามคนตรงนั้นน่ะ อ่านบทกันแล้วใช่ไหม อีกเดี๋ยวอย่าให้เป็นเทกเสียล่ะ เราเอาให้ผ่านในเทกเดียวเลย”

ฉากที่จะถ่ายวันนี้เป็นฉากน่ากลัวในช่วงต้นของภาพยนตร์ หนังผีผลิตในประเทศแบบนี้โดยทั่วไปมักจะเปิดแบบพีคและจบแบบแผ่ว ซึ่งหมายความว่าระดับความน่ากลัวในช่วงต้นเรื่องถือได้ว่าเป็นจุดพีคสูงสุดของหนังแล้ว ซึ่งในเรื่อง ‘คืนสยองของดาวโรงเรียน’ นั้นเปิดมาด้วยฉากไล่ฆ่ากลางป่าลึก

ลักษณะภูมิประเทศทางธรรมชาติของอุทยานผิงหูได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีพอสมควร มีต้นไม้สูงหลายสิบเมตรตั้งตระหง่านเสียดฟ้าจนบดบังท้องฟ้าสีคราม การถ่ายทำในภูเขาลึกที่เป็นป่าทึบแบบนี้ เมื่อลมพัดผ่านใบไม้รอบด้านก็จะเกิดเสียงดังแซ่กซ่า ทั้งยังให้บรรยากาศที่มืดครึ้มชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก แม้จะเป็นเวลากลางวันแสกๆ ก็ตาม

ทันทีที่ผู้กำกับตะโกนว่าแอ็กชั่น ตัวประกอบทั้งสามคนก็รีบออกวิ่ง สองคนที่วิ่งอยู่ข้างหลังคอยหันกลับไปมองไม่หยุด บนใบหน้าของพวกเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจำนวนมาก สองตาเบิกโพลงราวกับกระดิ่งสัมฤทธิ์ สีหน้าฉายแววประหวั่นพรั่นพรึง ทันใดนั้นไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นอะไรถึงได้กรีดร้องออกมา ก่อนจะล้มลงไป

กล้องยังคงไล่ตามตัวประกอบคนสุดท้ายที่อยู่ข้างหน้า โดยที่ตากล้องไล่ตามไปเร็วขึ้นทุกทีๆ ทว่าจู่ๆ ตัวประกอบคนนั้นก็เหมือนสะดุดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตะเกียกตะกายไปข้างหน้าต่ออีกสองสามก้าวอย่างโซซัดโซเซ แต่ตากล้องกลับเดินอ้อมไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วถ่ายใบหน้าของเขาจากด้านหน้าแทน

ใบหน้างดงามหมดจดเต็มไปด้วยความหวาดผวา สองตาเบิกโพลง ร่างกายสั่นระริกไม่หยุด

ขณะที่กล้องขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังดังขึ้น ก่อนผู้กำกับจะตะโกนอย่างยินดีปรีดาว่า “คัต! เยี่ยม เทกนี้ผ่าน!”

พวกนักแสดงสมทบที่ล้มลงกับพื้นเมื่อครู่นี้พากันลุกขึ้นมา ส่วนทีมงานกองถ่ายก็กลับไปสาละวนกันต่อ

ซีจยาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วยืนขึ้นด้วยตัวเอง เขาไปที่ห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นก็เดินไปยังห้องแพนทรี่ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนของกองถ่าย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินทางตรงมุมห้องแล้วเดินออกไป

ทว่าเมื่อเดินไปได้แค่ครึ่งทางจู่ๆ ก็มีชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา พอเห็นท่าทีแบบนี้ของเขา ฝ่ายนั้นก็เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

“พี่จยา นายมาเล่นบทตัวประกอบแบบนี้ทำไมกัน”

ซีจยาก้มหน้ามองเพื่อนซี้สมัยมหาวิทยาลัยของตนเอง “ถ้าฉันไม่แสดงเพื่อหาเงิน นายจะเลี้ยงฉันหรือไง”

เฉินเทากลอกตาอย่างหมดคำจะพูด “ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้นายแสดง แต่คุณพี่ช่วยอย่าเอาแต่เล่นบทตัวประกอบที่ตายภายในหนึ่งนาทีแบบนี้ได้ไหม วันนี้ผู้กำกับหวังยังพูดกับฉันเรื่องนายอยู่เลย เขาบอกว่านายหน้าตาดูดีใช้ได้ ทักษะการแสดงก็ไม่เลว สามารถเล่นเป็นนักแสดงสมทบที่มีที่มาที่ไปได้เลย แล้วยังถามฉันอีกว่าทำไมปล่อยให้นายมาเล่นเป็นตัวประกอบ นายก็รู้นี่ว่ามีคนหนุนหลังผู้กำกับหวังอยู่ ไม่งั้นหนังที่เขาถ่ายเป็นเรื่องแรกคงไม่มีทางได้เข้าโรงหรอก นายช่วยฟังคำแนะนำของฉันแล้วครั้งหน้าก็แสดงบทที่มันมีฉากเยอะๆ หน่อยโอเคไหม”

ซีจยาวางกระเป๋าเดินทางลง “บทนี้ก็มีฉากเยอะแล้วนะ”

เฉินเทาเบิกตากว้าง “ถูกไล่ล่าอยู่พักหนึ่งแล้วก็ได้ถ่ายหน้าตรง นี่เรียกว่าฉากเยอะแล้วเหรอ นายดูสิ นายเพิ่งมาที่กองถ่ายเมื่อวานนี้ ถ่ายจบวันนี้ก็จะไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าอีกชุดมาเปลี่ยนด้วยซ้ำ ถ้าแบบนี้ยังเรียกว่าฉากเยอะล่ะก็ พี่จยา มโนธรรมของนายยังอยู่ดีไหมเนี่ย”

ซีจยาตบไหล่เพื่อนสนิทแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนหล่ออย่างเราไม่มีมโนธรรมหรอก”

เฉินเทา “…”

เมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรอีก หลังจากบอกลาเพื่อนซี้เรียบร้อย ซีจยาก็หิ้วกระเป๋าเดินทางเดินลงจากภูเขาด้วยตัวเอง แถมก่อนจากไปเขายังไม่ลืมที่จะโบกมือพร้อมทั้งพูดด้วยสีหน้าซื่อตรงว่า “ช่วงนี้กระเป๋าแห้ง คราวหน้าถ้ามีบทดีๆ แบบนี้อีกอย่าลืมบอกฉันด้วยนะ โดยเฉพาะบทของผู้กำกับหวัง ฉันอยากรับเพิ่มอีกสักสองสามเรื่อง”

เฉินเทาโมโหจนต้องหยิบก้อนหินขึ้นมาปาไล่หลังเขาไป “นายถ่ายฉากเล็กๆ แค่นั้นจะได้เงินสักเท่าไรกันเชียว มันยังพอจะมีผู้กำกับที่โง่แต่เงินเยอะแบบผู้กำกับหวังอยู่อีกเหรอ คราวหน้าฉันต้องเอาบทที่มีฉากเยอะกว่านี้มาให้นายให้ได้เลย นายคอยดูเถอะ!”

 

หลังออกจากอุทยานผิงหู ซีจยาก็ตรงไปนั่งรถบัสกลับเมืองซูทันที ขณะที่กำลังมองออกไปยังต้นไม้ริมทางข้างนอกหน้าต่างที่วาบผ่านไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่และจับจ้องไปยังสายน้ำสีเขียวกับท้องฟ้าสีครามนอกตัวรถด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ซีจยาเรียนจบมหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว จากนั้นก็กลายเป็นคนว่างงานทันที

หากว่ากันตามหลักแล้ว วิชาชีพสายคอมพิวเตอร์อย่างเขาควรจะเนื้อหอมที่สุดทันทีที่เรียนจบ เงินเดือนก็สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก ทุ่มทำงานหนักสุดตัวแค่ไม่กี่ปีก็สามารถเก็บเงินดาวน์งวดแรกได้แล้ว แต่ในหอพักของพวกเขากลับมีคนสองคนที่ไม่ยอมเดินไปตามเส้นทางปกติ

คนหนึ่งคือซีจยาที่กลายเป็นคนว่างงาน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ยอมหางานทำท่าเดียว ส่วนอีกคนคือเฉินเทา

เฉินเทามีความฝันอยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าหน้าตาไม่ผ่านเกณฑ์หรือเรื่องที่ว่าตัวเองไร้ทักษะการแสดงอย่างสิ้นเชิงเลย หลังจากเรียนจบเขาก็ไปที่เหิงเตี้ยน* ทันที โดยเริ่มต้นจากการเป็นตัวประกอบก่อน กระทั่งช่วงครึ่งปีมานี้ถึงได้กลายเป็นหัวหน้าของบรรดาตัวประกอบและได้รับผิดชอบเรื่องการติดต่อนักแสดงตัวประกอบให้กับทางกองถ่าย ซึ่งตัวประกอบที่ใหญ่ที่สุดภายใต้ความดูแลของเขาก็คือซีจยา เพื่อนแสนดีของเขานั่นเอง

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตลอดทั้งวันซีจยาเอาแต่ทำตัวลึกลับผลุบๆ โผล่ๆ โดดเรียนเป็นประจำ เวลากว่าครึ่งค่อนวันนี่เรียกได้ว่าไม่เห็นแม้แต่เงา ในบรรดาสี่คนในหอพัก เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินเทาแค่คนเดียว ส่วนกับเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนนั้นไม่มีอะไรให้คุยกันด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นซีจยาก็มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยไม่ใช่ย่อย เพราะเขาถูกรุ่นพี่ผู้หญิงแอบถ่ายรูปตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่ๆ จากนั้นก็ถูกขนานนามว่าเป็น ‘คนงามแห่งคณะไอที (คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ)’

ด้วยใบหน้าระดับเดือนมหาวิทยาลัย ว่ากันตามหลักแล้วขอแค่เขาเข้าสู่วงการบันเทิง ถึงจะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง อย่างไรก็ต้องพอหาเงินก้อนเล็กๆ ได้ แต่ซีจยากลับเอาแต่แสดงเป็นตัวประกอบ อย่างดีที่สุดก็มีบทแค่ฉากเดียว เพราะถ้ามีบทเกินสามฉากเขาจะปฏิเสธอย่างแน่นอน และทุกครั้งซีจยาจะอยู่ในกองถ่ายแค่วันเดียว ประมาณว่าถึงวันไหนก็กลับวันนั้นเลยจะได้ไม่ต้องไปสานสัมพันธ์อะไรกับคนในกองถ่าย

การมีเพื่อนซี้ที่ไม่สนใจความก้าวหน้าแบบนี้ทำให้เฉินเทาโมโหที่อีกฝ่ายไม่รู้จักมุมานะเสียบ้าง แต่ก็จนปัญญากับเขาแล้ว ดังนั้นเพื่อไม่ให้เพื่อนซี้อดตายจึงทำได้แค่ช่วยหาบทให้เขาเป็นประจำ

ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือใบหน้าของซีจยากลับเป็นที่ชื่นชอบของผู้กำกับหนังสยองขวัญหลายคน ระหว่างการถ่ายทำยังไม่เท่าไร แต่ทันทีที่ไปถึงขั้นตอนการตัดต่อในช่วงหลัง ขอเพียงมีใบหน้านี้อยู่บนหน้าจอ คนตัดต่อก็มักจะรู้สึกเย็นยะเยือกและหนาวสะท้านในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ตั้งแต่นั้นมาภาพยนตร์สยองขวัญหลายเรื่องต่างก็ติดต่อหาเฉินเทาเพื่อขอให้เขาช่วยเรียกนักแสดงคนนี้มาแสดงบทรับเชิญ

รถบัสที่ขับโคลงเคลงผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางมา จู่ๆ ก็เหยียบเบรกอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้ทุกคนในรถตกใจจนตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นานเสียงต่อว่าก่นด่าก็ดังขึ้นมาจากรอบทิศทาง คนขับจึงรีบลุกขึ้นมาบอกว่า “ดูเหมือนข้างหน้าจะเกิดอุบัติเหตุน่ะครับ ทางเลยโดนขวางเอาไว้ แต่ทุกคนไม่ต้องกังวลนะครับ แค่คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยก็พอ”

เมื่อได้ยินว่าข้างหน้ามีอุบัติเหตุ เสียงของผู้โดยสารบนรถถึงได้เบาลงเล็กน้อย

รถบัสเคลื่อนที่อยู่บนทางด่วนด้วยความเร็วที่เชื่องช้าราวกับหอยทาก ขณะที่เคลื่อนตัวไปถึงด้านหน้าสุดของขบวนรถได้อย่างยากลำบาก ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องเสียดแก้วหูก็พลันดังขึ้น และในวินาทีต่อมาเสียงเด็กร้องไห้จ้าก็ดังก้องไปทั่วทั้งรถ

ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างหน้าซีจยารีบปิดตาลูกสาวของเธอ แล้วพูดขึ้นทันทีด้วยความสงสารจับใจ “ซินซินเด็กดี ไม่ต้องร้องๆ อย่าไปมองตรงนั้นเลย ตรงนั้นไม่มีอะไรหรอก แม่อยู่นี่ไง ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ซินซินทั้งเก่งแล้วก็กล้าหาญที่สุดแล้ว…”

เมื่อรถเคลื่อนตัวไปถึงจุดเกิดเหตุ ผู้โดยสารช่างมุงหลายคนก็พากันวิ่งไปที่หน้าต่างฝั่งซีจยา แล้วสอดส่ายสายตามองออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“โอ้โห จะชนกันแรงเกินไปแล้ว ดูสิคนนั้นคอบิดเลย ยังรอดอยู่ไหมเนี่ย”

“ฉันว่าตายแล้วแหงๆ ขับบีเอ็มดับเบิลยูไปก็เท่านั้น พุ่งลงคูน้ำแบบนี้ขับเครื่องบินยังเปล่าประโยชน์เลย!”

“น่าจะยังไม่ตายนะ แต่เสียเลือดมากขนาดนี้ ถ้ารถพยาบาลยังมาไม่ถึงสักทีก็คงช่วยชีวิตไม่ได้แล้วล่ะ”

พวกช่างเผือกหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปสองสามรูปแล้วทยอยกันกลับไปนั่งที่ สายตาพวกเขาจับจ้องไปยังเจ้าของรถบีเอ็มดับเบิลยูที่ถูกชนจนทั่วร่างโชกไปด้วยเลือดเป็นตาเดียว แต่ไม่มีใครทันสังเกตเลยว่าชายหนุ่มที่นั่งข้างหน้าต่างกำลังมองตรงกระโปรงรถบีเอ็มดับเบิลยูด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

ซีจยาเฝ้าดูอย่างสงบ ในขณะที่รถบัสค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากขบวนรถอันคับคั่ง กระทั่งรถบัสออกจากขบวนรถยาวเหยียดไม่ขาดสายมาได้อย่างสมบูรณ์ รถก็กลับมาเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงและขับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วทันที

ทว่าทางด้านหลังของรถบัสไม่มีใครรู้เลยว่ามีเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนสีน้ำเงินนั่งอยู่ตรงกระโปรงรถบีเอ็มดับเบิลยูที่ถูกชนจนพังยับเยิน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเลือด ศีรษะของเธอยุบลงไปครึ่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ใช้ดวงตาซีดขาวคู่นั้นจับจ้องไปยังเจ้าของรถบีเอ็มดับเบิลยูที่นอนจมกองเลือดอยู่

หลังจากนั้นไม่นานตำรวจและรถพยาบาลก็มาถึงพร้อมกัน ทันทีที่แพทย์ลงมาจากรถพยาบาลก็รีบยกร่างเจ้าของรถบีเอ็มดับเบิลยูคันนั้นขึ้นรถพยาบาลพร้อมทั้งทำการรักษาฉุกเฉิน ทว่าสามนาทีต่อมาแพทย์ก็ถอดหน้ากากออกแล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับตำรวจว่า “เวลาเสียชีวิตสิบหกนาฬิกายี่สิบสี่นาที”

เมื่อจบประโยคดังกล่าวนักเรียนหญิงที่นั่งอยู่ตรงกระโปรงรถบีเอ็มดับเบิลยูก็พลันยิ้มออกมาทันที เธอหันมองไปยังทิศทางที่รถบัสหายลับไปแวบหนึ่ง จากนั้นริมฝีปากของเธอก็แย้มออกเผยให้เห็นรอยยิ้มชวนสยอง ก่อนจะกระโดดลงจากกระโปรงรถบีเอ็มดับเบิลยู แล้วค่อยๆ หายลับไปในอากาศ

 

ซีจยากลับมาถึงห้องในช่วงพลบค่ำ ขณะที่ประตูเพิ่งจะเปิดออก เงาดำเล็กๆ ก็พุ่งเข้ามาหาอย่างแรง อุ้งเท้าเล็กๆ แสนนุ่มนิ่มพาดอยู่บนขาของซีจยา เจ้าตัวน้อยที่น่าสงสารร้องเหมียวๆ เสียงเบา ดวงตากลมแป๋วมีน้ำเอ่อคลอ ซีจยาเอากระเป๋าเดินทางไปวางไว้ด้านข้างแล้วอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมา

ภายในห้องว่างเปล่าไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว

ซีจยาเดินไปหยุดตรงที่นอนแมว พอเห็นว่าเนื้อปลาในชามไม่พร่องลงเลย เขาก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหยิบช้อนคันเล็กที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาแล้วค่อยๆ บดเนื้อปลาให้ละเอียดด้วยความอ่อนโยน จากนั้นก็ใช้ช้อนคันเล็กป้อนเข้าปากเจ้าตัวน้อย

แมวดำตัวน้อยหรี่ตาอย่างพึงพอใจ ต่อมาปลายลิ้นสีแดงของมันก็เลียซุปปลาบนช้อนเบาๆ หนึ่งคนหนึ่งแมวป้อนอาหารกันอย่างเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ซีจยาป้อนเนื้อปลาคำเล็กคำสุดท้ายเข้าไปในปากของเจ้าแมวน้อย แต่เจ้าแมวน้อยกลับเอาแต่ร้องเหมียวๆ ประท้วงไม่หยุดราวกับว่ามันยังไม่อิ่ม

ซีจยาอุ้มแมวน้อยขึ้นมาแล้วเดินไปที่ห้องครัว พอเจ้าแมวน้อยซึ่งนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่องๆ เห็นว่าซีจยาหยิบปลาตัวเล็กออกมาจากตู้เย็น มันก็จ้องไปที่ปลาตัวนั้นด้วยความตื่นเต้นทันที

ริมฝีปากของซีจยายกขึ้นอย่างอดไม่ไหว จากนั้นเสียงอ่อนโยนก็ดังขึ้นเบาๆ ในครัว “ฉันจะทำให้แกกินเดี๋ยวนี้แหละ โอเคไหม”

แมวน้อยหันหัวซุกกลับเข้าไปในอ้อมอกของซีจยาราวกับฟังรู้เรื่อง ทำให้ขนอันอ่อนนุ่มนั้นเสียดสีกับลำคอของซีจยา มือข้างหนึ่งของเขาถือมีดทำครัว ส่วนอีกข้างก็ถือปลาเอาไว้ แต่เมื่อเขาวางปลาลงบนเขียง…

ทันใดนั้นเอง! เจ้าแมวน้อยได้กัดลงไปเบาๆ ส่งผลให้เชือกเส้นหนึ่งร่วงลงมาจากคอของซีจยาอย่างฉับพลัน

ดวงตากระจ่างใสทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้นทันใด ซีจยาทิ้งมีดทำครัวทันที แล้วรีบก้มลงไปรับเชือกที่กำลังจะร่วงลงพื้น

บนเชือกสีแดงมีหินสีเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือชิ้นหนึ่งสะท้อนแสงเรืองรองชวนหลงใหลออกมาภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ขณะที่หินชิ้นนั้นไถลลงมาตามเชือกสีแดง ซีจยาก็คว้าเชือกเส้นนั้นเอาไว้ได้ด้วยความเคลื่อนไหวอันรวดเร็ว ทว่าในวินาทีที่เขาจับเชือกได้ หินสีเลือดกลับตกลงบนพื้นกระเบื้องพร้อมเสียงดังเพล้ง

ตูม!

ราวกับมีอะไรบางอย่างพุ่งออกมา ส่งผลให้ชาวบ้านที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ของเขตชุมชนพากันตัวสั่น

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เมื่อวานนี้สถานีพยากรณ์อากาศยังบอกว่าอุณหภูมิสูงขึ้นอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ไหงจู่ๆ ถึงได้หนาวแบบนี้อีกเนี่ย”

ตรงซอกดินตามต้นไม้รวมถึงมุมมืดตรงหัวโค้งของถนน มวลพลังงานสีดำขมุกขมัวอันน่าพรั่นพรึงค่อยๆ ตื่นขึ้น จากนั้นก็ปีนป่ายขึ้นมาด้านบน

เหนือทะเลสาบจิ่งตู๋ซึ่งอยู่ห่างจากเขตนี้ออกไปเพียงแค่ห้าลี้* มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากถือโอกาสในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มานั่งเรือนำเที่ยวเพื่อชมทิวทัศน์ริมทะเลสาบ เรือใบสีขาวและเรือนำเที่ยวแล่นไปบนผิวน้ำ ทะเลสาบกว้าง แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวทะเลสาบมาตั้งแต่เมื่อสามชั่วโมงก่อน และกำลังมองดูกลุ่มพลังงานสีดำที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาเฉยชา

ในเวลาสามชั่วโมงพลังงานสีดำกลุ่มนั้นพุ่งชนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ไม่สามารถพุ่งออกจากขอบเขตวงกลมได้ ต่อมาขนาดของมวลพลังงานสีดำก็ค่อยๆ เล็กลง ทว่าการพุ่งชนกลับรุนแรงขึ้น ส่วนชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้ามันยังคงคอยเฝ้าดูมันอย่างเงียบๆ มาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

เวลานี้พลังงานสีดำกลุ่มนี้เหลือขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น เพียงแค่รออีกประมาณครึ่งชั่วโมงมันก็จะสลายหายไปได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าทันใดนั้นเองจู่ๆ ชายชุดดำรูปงามก็หันหลังมองไปยังอาคารที่อยู่ไกลออกไป พลังงานสีดำกลุ่มนั้นฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นชายวัยกลางคนท่าทางดุร้ายในทันที

“อาาา พลังหยิน เป็นพลังหยินที่แข็งแกร่งมาก…ฉันจะกินมัน ฉันจะกินมัน!!!”

 

ดวงตะวันยามเย็นย่ำค่อยๆ คล้อยตัวต่ำลง โดยที่ครึ่งหนึ่งของมันได้ลับขอบฟ้าไปแล้วจึงเหลือเพียงแสงอันน้อยนิดที่สาดส่องลงมาบนพื้นโลก

เมื่อถึงเวลาย่ำค่ำอย่างในตอนนี้ เด็กหลายคนต่างถูกผู้ปกครองพากลับบ้านไปกินข้าว พวกเขาออกจากสนามเด็กเล่นของเขตชุมชนและเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ อันคดเคี้ยว ในระหว่างนั้นก็มีพลังงานสีดำจำนวนมากปีนป่ายขึ้นมาจากใต้ดินอย่างเชื่องช้า พวกมันเคลื่อนผ่านร่างกายของพวกเขาไปแล้วค่อยๆ คืบคลานไปยังทิศทางหนึ่ง

แม้จะไม่มีใครสังเกตเห็นพลังงานสีดำเหล่านี้ ทว่าในตอนที่พลังงานสีดำทะลุผ่านร่างกายของพวกเขาไป ผู้คนเหล่านั้นกลับสั่นสะท้านขึ้นมาดื้อๆ ส่วนภายในห้องของซีจยานั้นมีพลังงานสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนในระดับที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยพลังงานเหล่านั้นได้ลอดผ่านช่องว่างระหว่างประตูและหน้าต่างเข้ามาด้านใน

พลังงานสีดำเหล่านั้นแผ่กระจายจากสี่มุมของห้องครัวก่อนจะขยับเข้ามาตรงกลางทีละนิดราวกับเมฆบางๆ ที่เคลื่อนคล้อยลอยเอื่อยบนยอดเขา

กลางห้องครัว ซีจยานั่งยองๆ บนพื้นแล้วหยิบหินที่แตกเป็นสามเสี่ยงขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแล้วดึงแมวดำตัวน้อยออกจากอ้อมแขนอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะวางมันลงบนพื้น

เจ้าแมวดำน้อยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด มันกะพริบตากลมโตที่เปียกชื้นพลางมองไปยังซีจยาด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อเห็นว่าเจ้ามนุษย์ไม่มีทีท่าว่าจะอุ้มตัวเองอีก มันก็ยื่นปลายลิ้นเล็กๆ ออกมาเลียนิ้วของอีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ

หลังจากถอนหายใจออกมายาวๆ ซีจยาก็อุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับนำหินที่แตกเป็นสามเสี่ยงใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ เขาก้าวเท้ายาวๆ เดินออกมาจากห้องครัวโดยทำเป็นมองไม่เห็นพลังงานสีดำเหล่านั้น กระทั่งตอนที่เดินไปถึงห้องรับแขกเพื่อเปลี่ยนรองเท้า พลังงานสีดำพวกนั้นก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องครัวแล้ว

ต่อมามวลพลังงานสีดำค่อยๆ ควบแน่น จากนั้นก็มีเงาร่างขมุกขมัวของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นในครัว

ซีจยายังคงก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนรองเท้าราวกับมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ทว่าในชั่วพริบตานั้นแมวดำตัวน้อยที่พาดอยู่บนไหล่เขากลับพองขนฟูฟ่อง อุ้งเท้าทั้งสี่ของมันเหยียบอยู่ตรงหัวไหล่ของซีจยา พยายามตะกายร่างเคลื่อนไปหลบที่ไหล่อีกข้างไม่หยุด แต่มันกลับเหยียบพลาดจึงตกลงไปในกระเป๋าเสื้อของซีจยาทันที แมวดำตัวน้อยขดตัวพลางเอาหัวเล็กๆ ของมันมุดเข้าไปในส่วนลึกของกระเป๋า ขณะที่เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

ภายในห้องครัว มวลพลังงานสีดำควบแน่นจนกลายเป็นรูปร่างหญิงวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี เธออยู่ในท่าก้มหน้า เส้นผมที่ดูราวกับวัชพืชใต้น้ำเต็มไปด้วยเศษหินเศษทราย ทั่วทั้งศีรษะของเธอเปียกโชกและมีกลิ่นเลือดคละคลุ้งโชยออกมา น้ำหยดจากเส้นผมของเธอลงมาบนกระเบื้องสีขาวส่งผลให้บริเวณนั้นกลายเป็นสีเลือด

สิ่งที่ทำให้ผมเปียกไม่ใช่น้ำ แต่ทั้งหมดนั่นคือเลือดต่างหาก

พอซีจยาเปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็หยิบกุญแจเตรียมตัวออกไปข้างนอก เจ้าแมวดำตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาพลางส่งเสียงครวญครางออกมา ทันใดนั้นเองผีผู้หญิงตนนั้นก็เงยหน้าขึ้น ช่องว่างระหว่างเส้นผมสีดำเผยให้เห็นดวงตาขาวซีดคู่หนึ่ง เธอพุ่งเข้าไปหาซีจยาอย่างบ้าคลั่ง เส้นผมสีดำยกตัวขึ้นสูงในชั่วพริบตา ก่อนจะแบ่งออกเป็นหกช่อราวกับแส้ยาว พวกมันพุ่งตรงไปยังท้ายทอยของซีจยาในทันที

ฝีเท้าของซีจยาชะงักไปชั่วขณะ เขาค่อยๆ รวบนิ้วมือข้างขวากระทั่งกำเป็นหมัด จากนั้นก็มีไอพลังงานสีเลือดอันเลือนรางหมุนวนอยู่ตรงบริเวณระหว่างนิ้วของเขา และในจังหวะที่เส้นผมพุ่งเข้ามาเขาก็เบี่ยงศีรษะไปทางขวาพร้อมกับใช้มือคว้ามันเอาไว้ แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียง…

ครืน!

“กรี๊ดดด!”

เงาสีดำทะลุหน้าต่างเข้ามากระแทกกับเส้นผมของผีผู้หญิงตนนั้นอย่างแรง ต่อมาเส้นผมก็พลันเกิดไฟลุกโชน เธอจึงหันหลังวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว แต่เงาดำนั้นกลับเจาะทะลุทรวงอกของเธอในชั่วพริบตาราวกับหนอนที่คอยกัดกินซากศพ หลังเกิดเสียงดังครืนร่างผีผู้หญิงก็สลายไปแล้วกลับมาเป็นกลุ่มพลังงานสีดำอีกครั้ง

ซีจยาหันขวับ มองพลังงานสีดำเหล่านั้นที่หนีกระเจิงออกไปนอกห้องอย่างอึ้งๆ ขณะที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีคนมาเคาะประตูที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน เขาเผลอเปิดประตูโดยไม่รู้ตัว ต่อมาเมื่อทั้งสองฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองกัน พวกเขาต่างก็นิ่งงันไป

นอกห้องมีชายสวมเสื้อกันลมสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู โดยที่มือขวายังคงยกค้างไม่ได้เอาลงมา เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายเพิ่งเคาะประตูเมื่อครู่นี้ เขามีใบหน้าที่ชวนมองอย่างไม่รู้เบื่อ ไม่ว่าจะจมูกโด่งเป็นสัน คิ้วคมคาย ดวงตาเรียวยาวดูลุ่มลึก และไฝจางๆ หนึ่งจุดที่ซ่อนอยู่ในดวงตาข้างขวา ใบหน้านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าดาราคนไหนเลย ทว่าเมื่อลองมองไฝเม็ดนั้นดีๆ กลับมีความเย็นยะเยือกพรั่งพรูจากฝ่าเท้าแล่นปลาบไปถึงขั้วหัวใจ

ซีจยาเห็นว่าคนแปลกหน้าคนนั้นปรากฏตัวที่ประตูห้องของตัวเองอย่างน่าประหลาด แถมอีกฝ่ายยังขมวดคิ้วเป็นปมและเอาแต่มองเขาขึ้นๆ ลงๆ อีกด้วย จากนั้นไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หลับตาลง เขายกนิ้วจ่อริมฝีปากแล้วทำปากขมุบขมิบอยู่ไม่กี่คำ ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มไปที่เปลือกตา

หลังจากทำทั้งหมดนั้นเสร็จเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วมองไปที่ซีจยา

ซีจยา “…”

ชายชุดดำ “…”

พอผ่านไปสักพักเสียงที่ทุ้มต่ำและราบเรียบก็ดังขึ้น “อู๋เซียงชิงหลี”

ฟิ้ว!

มีเสียงลมพัดผ่านข้างใบหูของซีจยา แล้วเส้นผมสองสามเส้นก็ลอยขึ้น ก่อนจะปลิวไปอยู่ในมือของชายแปลกหน้าคนนั้น ตอนนี้เองซีจยาถึงได้พบว่าเงาดำที่พุ่งชนผีผู้หญิงตนนั้นจนวิญญาณแตกซ่าน แท้จริงแล้วคือเครื่องสัมฤทธิ์ทรงหลายเหลี่ยมที่หน้าตาดูแปลกประหลาดชอบกล

พลันเกิดความเงียบอันยาวนานขึ้นมาอีกครั้งระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีพลังงานสีดำที่มากยิ่งกว่าเดิมคืบคลานขึ้นมาจากปล่องลิฟต์และบันได ชายคนนั้นขมวดคิ้วเรียวยาวของเขา ก่อนประสานสองนิ้วเข้าหากันแล้ววาดยันต์สีทองลงบนประตูห้องของซีจยา เขาตวัดลายเส้นขีดสุดท้าย จากนั้นก็หันหน้าไปบอกซีจยาว่า “พลังหยินรุนแรงเกินไป ผมเลยผนึกไว้ได้แค่ชั่วคราว เข้าไปข้างในก่อนเถอะครับ ไว้ค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที”

ซีจยาใช้ชีวิตมายี่สิบสามปี ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้เจอเทียนซือ* มือปราบผี เพราะถึงแม้บนโลกใบนี้จะมีผีอยู่มากมายขนาดที่ว่าเขาสามารถพบเจอได้หนึ่งถึงสองตนในทุกๆ วัน แต่เทียนซือมือปราบผีกลับมีน้อยมากจนน่าเห็นใจ เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่เบี่ยงตัวหลบให้ชายแปลกหน้าคนนั้นเข้ามาในห้อง

บนประตูมียันต์ที่ชายคนนั้นวาดเอาไว้อย่างลวกๆ ซึ่งยังคงกะพริบแสงสีทองไม่ยอมหยุด ถึงจะดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ภายในห้องกลับไม่มีพลังงานสีดำรุกล้ำเข้ามาอีก

แมวดำตัวน้อยเงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าเสื้อของซีจยาอย่างขี้ขลาดตาขาวและมองไปรอบด้านอย่างหวั่นๆ หลังจากพบว่ามวลสีดำเหล่านั้นหายไปแล้ว มันก็โผเข้าสู่อ้อมแขนของซีจยาทันที เจ้าแมวน้อยสั่นหางพลางส่งเสียงครวญครางราวกับกำลังร้องขอการปลอบโยน

ชายชุดดำเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “แมวดำสื่อกับวิญญาณได้ ขับไล่สิ่งอัปมงคลได้ แต่ทำไมแมวดำตัวนี้ถึงได้ขี้ขลาดแบบนี้”

ซีจยาลูบเจ้าแมวดำตัวน้อยพลางเอ่ยว่า “เพราะงั้นมันถึงได้ชื่อส่งส่ง** ไงครับ”

พอส่งส่งได้ยินชื่อตัวเองมันก็แลบลิ้นออกมาเลียแก้มของซีจยาโดยไม่ละอายใจเลยสักนิด แถมดูท่าจะรู้สึกเป็นเกียรติอีกต่างหาก

ในตอนที่เห็นชายคนนี้ ซีจยาก็รู้เลยว่าตัวเองได้เจอเทียนซือตัวจริงเสียงจริงเข้าแล้ว เพราะถ้าหากอีกฝ่ายเป็นเทียนซือตัวปลอมแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาแบบนี้ หรือหากเป็นเทียนซือที่มีความรู้แบบครึ่งๆ กลางๆ อีกฝ่ายคงเอาเลือดสุนัขสาดใส่เขาตั้งแต่เพิ่งเจอหน้ากันแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาสองคนจะได้เข้าห้องมาคุยรายละเอียดกันอย่างสงบแบบนี้หรอก

ต่อมาซีจยาก็เล่าเรื่องของตัวเองอย่างเรียบง่ายเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่ายๆ

มนุษย์ย่อมเกิดมาพร้อมกับสี่เสาแปดอักษร*** ซึ่งตรงกับช่วงเวลาตามปฏิทินแผนภูมิสวรรค์**** เสาปีคือลำต้นปีและกิ่งปี เสาเดือนคือลำต้นเดือนและกิ่งเดือน เสาวันคือลำต้นวันและกิ่งวัน เสายามคือลำต้นยามและกิ่งยาม เมื่อนำเสาทั้งสี่หรือปีเดือนวันและยามมารวมกันก็จะได้เป็นแปดอักษรดวงชะตาวันเกิดของมนุษย์

ซีจยาเกิดมาอย่างประจวบเหมาะ แต่ไม่ใช่ประจวบเหมาะอย่างคนทั่วไป เขาเกิดในปีหยิน เดือนหยิน วันหยิน เวลาหยิน และถือกำเนิดมาจากมารดาผู้มีความเป็นหยินชั้นยอด อีกทั้งช่วงเวลาที่แม่ของเขาเริ่มตั้งท้องเขาก็เป็นปีหยิน เดือนหยิน วันหยิน และเวลาหยินเช่นกัน มิหนำซ้ำตอนแม่ให้กำเนิดเขาเธอยังเสียชีวิตจากภาวะคลอดยากอีก ซีจยาจึงเกิดมาพร้อมกับเลือดสกปรกสีดำในปาก เมื่อถูกหล่อหลอมมาจากพลังหยินหลายต่อหลายทอดแบบนี้ สุดท้ายเขาเลยกลายมาเป็นร่างหยินสุดขั้วอย่างที่ยากจะปรากฏบนโลกใบนี้

คนธรรมดาที่มีพลังหยินมากหน่อยอย่างมากที่สุดก็แค่สามารถเห็นผีได้เป็นครั้งคราวและถูกคนรอบข้างล้อเลียนนิดหน่อยก็เท่านั้น แต่ซีจยาดันสามารถมองเห็นผีได้ตั้งแต่เด็ก แถมยังเห็นผีทุกวัน ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของพวกผีมากๆ อีกด้วย กระทั่งเขาได้พบกับผู้เฒ่านักพรตเต๋าท่าทางสติไม่ดีคนหนึ่งตอนอายุสี่ขวบ อีกฝ่ายได้มอบหินก้อนหนึ่งให้เขา เขาถึงได้ซ่อนพลังงานของตัวเองเอาไว้ได้และไม่ต้องโดนผีอำทุกวี่ทุกวันอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามในตอนนั้นนักพรตเต๋าคนนั้นได้กล่าวไว้ว่า ‘พลังหยินที่มากมายมหาศาลแบบเธอ ผู้เฒ่าคนนี้ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเลย ตอนนี้อายุยังน้อยก็สะกดเอาไว้ได้อยู่หรอก แต่พอโตขึ้นก็ไม่รู้แล้วว่าจะเป็นยังไง ฉะนั้นพกหินและหลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับผู้คนเอาไว้ก่อนจะดีกว่า พอยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้คนให้น้อยลง เพราะคนธรรมดาคงทนรับพลังหยินของเธอไม่ไหว สัมผัสโดนนิดเดียวก็ทำให้เกิดเรื่องได้แล้ว อย่างเบาก็ป่วย อย่างหนักก็ถึงตาย’

และมันก็เป็นไปตามที่นักพรตเต๋าคนนั้นได้กล่าวไว้ ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ขอแค่ไม่สนใจพวกผีที่ล่องลอยอยู่ ซีจยาก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย พลังหยินในร่างกายของเขาก็เอ่อล้นออกมาอย่างเงียบๆ

ในบรรดาเพื่อนร่วมห้องสี่คนที่มหาวิทยาลัยก็มีแต่เฉินเทานี่แหละที่มีพลังหยางมากที่สุด พลังหยินทั้งหมดของซีจยาที่ถูกหินสะกดเอาไว้เลยไม่ส่งผลอะไรต่อเขา แค่ตากแดดทุกวันก็สามารถทำให้สลายหายไปได้แล้ว ดังนั้นในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาซีจยาจึงคบหาเฉินเทาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวและพยายามลดการยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่นให้น้อยที่สุด

เมื่อฟังจนจบคิ้วของชายคนนั้นก็ขมวดแน่นขึ้น หลังจากซีจยาแสดงให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาไม่รู้วิธีซ่อมหินชิ้นนี้ และคิดแค่ว่าจะลองออกไปข้างนอกดูว่าจะสามารถหานายช่างร้านทองมาเชื่อมแบบง่ายๆ ได้ไหม ชายคนนั้นก็ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดว่า “หินไท่ซานชิ้นนี้แตกไปแล้ว เชื่อมให้มันติดกันไปก็เปล่าประโยชน์ หินไท่ซานน่ะแข็งแกร่ง ไม่มีทางแตกหักง่ายๆ หรอก เพียงแต่หลายปีมานี้คงถูกพลังหยินของคุณแทรกซึมเข้าไป ถึงได้กลายเป็นสีแดงเลือดจนโปร่งใสเหมือนหยก แค่โดนกระทบเข้าหน่อยก็แตกแล้ว ถึงจะไม่แตกในวันนี้ พอผ่านไปอีกเดือนมันก็จะแตกไปเองอยู่ดี”

เมื่อได้ยินดังนั้นซีจยาก็หลุบตามองแมวดำตัวน้อยในอ้อมแขน

ที่แท้ก็โทษแกเต็มๆ ไม่ได้สินะ

ส่งส่งเอาตัวเข้าไปคลอเคลียทันที

เมื่อเผชิญหน้ากับเทียนซือมือปราบผีตัวจริง ซีจยาจึงแสดงท่าทีจริงใจโดยการถามด้วยสีหน้าจริงใจว่า “หินก้อนนี้แตกไปแล้ว งั้นผมควรซ่อนพลังหยินยังไงดีครับ”

“ผมไม่เคยเจอร่างกายที่เป็นหยินสุดขั้วแบบนี้มาก่อนเลย แล้วนี่ก็ไม่ใช่หินไท่ซานทั่วๆ ไปด้วย แถมผมยังไม่ถนัดด้านการซ่อนพลังอีก ตอนนี้เลยยังไม่มีวิธีจัดการ” ชายคนนั้นจ้องมองและนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กางนิ้วมือ “อู๋เซียงชิงหลีสามารถซ่อนพลังหยินของคุณได้ชั่วคราว และถึงผมจะไม่มีวิธีจัดการ แต่ผมรู้จักคนคนหนึ่งที่น่าจะมีวิธี เดี๋ยวผมจะไปหาเขาตอนนี้เลยครับ”

ซีจยารับเครื่องสัมฤทธิ์ทรงหลายเหลี่ยมมาจากมือของชายคนนั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนกับเป็นพวกงมงายที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์

ตูม!

เมื่อนิ้วของซีจยาสัมผัสกับเครื่องสัมฤทธิ์ชิ้นนั้นก็ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างสลายหายไปจากโลกในชั่วพริบตาเดียวเช่นเดียวกันกับตอนขามา ลายเส้นยันต์สีทองบนประตูหยุดกะพริบแสงสีทอง พลังงานสีดำในเขตชุมชนค่อยๆ หายไป กระทั่งในที่สุดอาทิตย์อัสดงก็ลาลับฟ้าอย่างสมบูรณ์ทางทิศตะวันตก จากนั้นเมืองซูก็เข้าสู่ยามราตรีอย่างเป็นทางการ

ซีจยาเงยหน้าขึ้นด้วยความซาบซึ้งพร้อมกับพูดว่า “อาจารย์ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรเหรอครับ”

ชายชุดดำอึ้งไปเล็กน้อยราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าซีจยาจะถามแบบนี้ เขาหรี่ตา “ผมแซ่เย่”

อาจารย์เย่ท่านนี้ไม่ได้พูดเก่งเหมือนอย่างพวกหมอผีต้มตุ๋นทั้งหลาย หลังจากที่รอซีจยาพูดจนจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ซึ่งก่อนจากไปเขาได้ให้ซีจยาใช้ของวิเศษชิ้นนั้นของเขาสะกดพลังหยินไว้ก่อนชั่วคราว เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาจะไปหาเพื่อนคนหนึ่งและคงต้องรออีกหลายวันกว่าจะได้กลับมา

ห้านาทีต่อมาอาจารย์แซ่เย่ก็จากไปจริงๆ ซีจยายื่นนิ้วออกมาจิ้มปลายจมูกสีชมพูที่เปียกชื้นของส่งส่ง ฝ่ายเจ้าตัวน้อยเลยใช้อุ้งเท้าถูใบหน้าทันทีด้วยความไม่พอใจ

ซีจยาลูบไล้เครื่องสัมฤทธิ์ทรงหลายเหลี่ยมสีดำชิ้นนั้น ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากอย่างอดไม่ได้

“ในบรรดาเทียนซือมือปราบผีมีคนที่ใสซื่อแบบนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย ถ้าแกคือส่งส่ง งั้นเจ้าคนเมื่อกี้ต้องเป็นส่าส่า* หรือเปล่านะ…อืม ไตไต** ฟังดูดีกว่าแฮะ งั้นเรียกเขาว่าไตไตดีไหม เขาเอาของวิเศษของตัวเองมาให้ฉันแบบนี้ทั้งที่มันเป็นของวิเศษของเขาเนี่ยนะ แถมยังอุตส่าห์กระตือรือร้นที่จะช่วยฉันแก้ปัญหาขนาดนี้อีก…”

ซีจยาอุ้มส่งส่งเดินไปที่ห้องครัว “บนโลกใบนี้มีคนดีอยู่เยอะจริงๆ เลย!”

เย่จิ้งจือคนดีที่กำลังเร่งเดินทางออกจากเมืองซูและมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง “…”

แม้หินสีเลือดที่เติบโตมาพร้อมกับเขาตั้งแต่เด็กจะแตกไปแล้ว แต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อ ในฐานะตัวประกอบนักแสดงสมทบบทหนึ่งร้อยแปดสิบบรรทัด ซีจยาไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยเช่นกัน ตั้งแต่เขาเลี้ยงแมวดำตัวน้อยที่ทั้งเลือกกินและขี้ขลาดตัวนี้ เขาก็ไม่ได้กินเนื้ออีกเลย ซ้ำยังต้องย่างปลาให้ส่งส่งกินทุกวันอีกต่างหาก

เมื่อเห็นว่าเงินฝากในบัญชีลดลงเหลือสี่หลัก ซีจยาก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์คับขันจึงรีบโทรหาเฉินเทา แต่เขายังไม่ทันได้กดโทรออก เฉินเทาก็กลับเป็นฝ่ายโทรมาก่อน “พี่จยา มีข่าวดี! ผู้กำกับหวังคิดว่านายทำได้ดีในการถ่ายทำครั้งก่อน เขาเลยจะเพิ่มบทให้! นายรีบมาเร็วๆ เข้า พรุ่งนี้ก็จะเริ่มถ่ายทำแล้ว ฉันรับประกันกับผู้กำกับหวังไปแล้วด้วยว่านายจะต้องมาแน่นอน”

ซีจยาปฏิเสธทันที “ฉันเคยไปถ่ายที่กองนั้นหนึ่งครั้งแล้ว ไม่ไปอีกหรอก”

เฉินเทาพูดด้วยความโมโห “ผู้กำกับหวังจ่ายหนักจะตาย ทำไมนายถึงไม่ไปล่ะ ไม่ได้ให้นายไปถ่ายทำบทที่มีฉากเยอะเกินไปสักหน่อย ฉันอ่านบทมาแล้วทั้งหมดมีแค่สามฉากเอง นายถ่ายเสร็จได้ภายในวันพรุ่งนี้เลยนะ สรุปว่าจะมาไหม”

ซีจยาพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล “ไม่ไป กองถ่ายที่เคยร่วมงานด้วยแล้วฉันจะไม่กลับไปอีกเป็นครั้งที่สองในช่วงสามเดือนนั้น นายก็รู้อยู่แล้วนี่”

เฉินเทา “จะไม่ไปจริงๆ เหรอ”

ซีจยา “ไม่ไป”

เฉินเทา “สามฉากหมื่นหยวนก็ไม่มาเหรอ”

ซีจยา “…พรุ่งนี้ให้ไปถึงกี่โมง”

เฉินเทาหัวเราะหึๆ “ถึงก่อนบ่ายโมงก็พอ ช่วงนี้ในกองถ่ายมีบางอย่างผิดปกตินิดหน่อย ผู้กำกับหวังเลยขอให้ถ่ายทำตอนเที่ยงและจะไม่เริ่มการถ่ายทำทั้งตอนเช้าและตอนเย็น นายก็รู้อยู่ว่าสำหรับลูกหลานข้าราชการระดับสูงอย่างผู้กำกับหวังน่ะ ถ้าต้องการจะถ่ายหนังอะไรสักเรื่องให้ได้ล่ะก็ ต้องเลือกหนังสยองขวัญเป็นผลงานเปิดตัวอยู่แล้ว เพราะเขาค่อนข้างเชื่อเรื่องไสยศาสตร์แล้วก็เชื่อเรื่องภูตผีเอามากๆ”

ซีจยาเพียงแค่ตอบรับส่งๆ ว่าอืมไปคำหนึ่ง บ่ายวันนั้นหลังจากเก็บกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อย เขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังอุทยานผิงหูทันที

 

เมื่อเขามาถึงกองถ่ายหลังจากนั่งรถบัสและรถเมล์โคลงเคลงๆ มาร่วมสี่ชั่วโมง ยังไม่ทันได้เจอเฉินเทาก็เห็นรองผู้กำกับวิ่งมาด้วยท่าทางร้อนใจเข้าเสียก่อน พออีกฝ่ายเห็นเขาปุ๊บก็พูดขึ้นมาว่า “นายคือซีจยาใช่ไหม เสี่ยวเฉินเกิดเรื่องแล้ว! แต่เมื่อวานเขาบอกฉันไว้ว่านายจะมาที่กองถ่ายวันนี้ งั้นเอาอย่างนี้ นายไปที่กองถ่ายกับฉันก่อนละกัน เพราะยังไงก็มีแค่สามฉากอยู่แล้ว ถ่ายให้จบๆ ไปก็พอ”

ซีจยาชะงักฝีเท้า สีหน้าสบายๆ จางหายไปแบบไม่เหลือเค้า “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเทาเหรอครับ”

รองผู้กำกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตบต้นขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เฮ้อ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เมื่อคืนเขาก้าวพลาดจนตกลงมาจากเขาน่ะ ยังดีที่มีต้นไม้เป็นตัวลดแรงกระแทกเลยไม่เป็นอะไรมาก ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล ไม่ได้มีอาการอะไรอันตรายถึงชีวิตแล้วล่ะ แต่ขาซ้ายหัก ซี่โครงก็เหมือนจะหักไปสองสามซี่ด้วย”

ดวงตาทั้งสองข้างของซีจยาหรี่ลงเล็กน้อย “เฉินเทาจะตกลงมาจากเขาได้ยังไงกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้นรองผู้กำกับก็มองไปรอบๆ อย่างมีลับลมคมใน จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูของซีจยาแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉันจะบอกให้ แล้วนายอย่าเอาไปบอกใครนะ ฉันว่าเสี่ยวเฉินไม่ได้ก้าวพลาดหรอก แต่เขาน่ะเจอดีเข้าแล้ว!”

 

สำหรับกองถ่ายส่วนใหญ่แล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นกับทีมงานที่ไม่สำคัญอย่างเฉินเทาจะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการถ่ายทำของกองถ่าย แต่ครั้งนี้กองถ่ายเรื่อง ‘คืนสยองของดาวโรงเรียน’ กลับหยุดถ่ายทำหนึ่งวัน โดยที่ผู้กำกับได้มอบหมายงานทุกอย่างทิ้งไว้ให้บรรดารองผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับ ส่วนตัวเองก็หนีไปเมืองหังเรียบร้อยแล้ว

ทันทีที่ซีจยาเข้ามาในกองถ่ายก็ได้ยินทีมงานหลายคนกำลังบ่นอุบอิบกันอยู่

“ลูกหลานข้าราชการระดับสูงแบบนั้นไว้ใจไม่ได้จริงๆ พอเกิดเรื่องขึ้นดันหนีไปซะงั้น เดิมทีหนังเรื่องนี้เราก็แทบไม่ได้ให้เขาถ่ายอยู่แล้ว ตอนนี้ดีเลย แค่แปะชื่อเขาในผลงานแล้วให้พวกพี่เฉียงมาถ่ายแทนก็พอ”

“ดูเหมือนผู้กำกับหวังจะไปตามหาผู้เชี่ยวชาญนะ ปกติเขาก็เอาแต่ทำตัวเพี้ยนๆ ทั้งวันไม่ใช่หรือไง พอครั้งนี้เสี่ยวเฉินเกิดเรื่องเข้า เขาก็บอกว่ามีผี แถมยังจะไปตามหานักพรตอะไรนั่นมาปราบผีด้วย ความคิดของคนรวยน่ะพวกเราไม่เข้าใจหรอก เขาพอใจจะทำยังไงก็ปล่อยไปตามนั้นเถอะ”

ซีจยาเดินตามรองผู้กำกับเข้าไปในห้องแต่งตัว หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จอย่างรวดเร็วก็ตรงไปถ่ายทำทันที

บทมีแค่สามฉากนับว่าไม่ได้มากมายอะไร เมื่อผู้กำกับหวังคนนั้นไม่อยู่ บรรดาผู้ช่วยผู้กำกับจึงถ่ายทำกันเสร็จอย่างรวดเร็ว หลังจากซีจยาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ รองผู้กำกับคนนั้นก็เดินเข้ามาพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “วันนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทางเดินตอนกลางคืนมันเดินลำบาก แถมในกองก็ไม่มีใครจะเข้าไปที่อำเภอด้วย ซีจยา ถ้านายจะไปเยี่ยมเสี่ยวเฉินที่โรงพยาบาลอำเภอคนเดียว ฉันว่ารอไปพรุ่งนี้ตอนรถกองถ่ายว่างดีกว่าไหม”

ชายหนุ่มรูปงามพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณครับพี่เฉียง งั้นพรุ่งนี้ผมค่อยไปแล้วกัน”

รองผู้กำกับคุยกับซีจยาอีกไม่กี่ประโยคก็มอบกุญแจโรงแรมให้เขาพวงหนึ่ง ก่อนจะกลับไปวุ่นกับการทำงานต่อ

ซีจยาถือกุญแจพวงนั้นเอาไว้ แต่ไม่ได้ออกเดินทางไปยังโรงแรมในภูเขาทันที เขาเงยหน้ามองป่าลึกที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้แห่งนี้ แสงเรื่อเรืองของอาทิตย์อัสดงสาดส่องลงมาจากช่องว่างของเงาไม้ ลมพัดใบไม้ก่อให้เกิดเสียงใบไม้กระทบกันเป็นระลอก

ท่ามกลางป่าสนที่ต้นไม้สูงหลายสิบเมตร ต้นไม้สูงใหญ่ได้โอบล้อมทั้งแผ่นฟ้าและผืนดินเอาไว้ ทั้งกองถ่ายถูกปกคลุมด้วยยอดไม้หนาทึบ ในเวลานี้ต้นสนสูงเสียดฟ้าดูราวกับมนุษย์ ส่วนเหล่าทีมงานที่วุ่นวายกันอยู่ในกองถ่ายกลับกลายเป็นก้อนกรวดเล็กจ้อย ต้นสนทั้งหลายถูกลมบนที่รุนแรงพัดพาให้ยอดไม้เอนตัวลงจึงดูราวกับว่าพวกมันกำลังก้มหน้ามองดูมนุษย์ที่ไม่ต่างกับมดแมลงจากมุมสูง

ซีจยาลูบสร้อยที่อยู่บนคอ เดิมทีสิ่งที่ใส่อยู่ตรงนี้คือหินสีเลือดชิ้นหนึ่ง แต่นับตั้งแต่เมื่อวานมันก็ถูกเปลี่ยนเป็นลูกเต๋าสัมฤทธิ์สิบแปดหน้าสีดำแทน

หินสีเลือดสามารถซ่อนพลังหยินของซีจยาได้แบบพอแก้ขัดเท่านั้น ผีอาฆาตที่มีความอาฆาตรุนแรงมากหน่อยจึงพอจะรับรู้ถึงตัวตนของเขาได้ แต่อู๋เซียงชิงหลีชิ้นนี้กลับสามารถปิดกั้นพลังหยินทั้งหมดของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เพราะตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่มีผีตนไหนรับรู้ถึงการมีอยู่ของซีจยาเลย และซีจยาเองก็แทบจะไม่เห็นพลังหยินที่กระจัดกระจายล่องลอยอยู่ในโลกด้วยเช่นกัน

ทว่าเวลานี้เขากลับค่อยๆ ดึงเชือกออกจากคอของตัวเอง

และในวินาทีที่ลูกเต๋าสัมฤทธิ์ออกห่างจากผิวหนัง

ตูม!

ฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ดวงอาทิตย์ยามเย็นยังไม่ทันตกดิน แต่แสงสว่างกลับหายไปแล้ว มวลพลังงานสีดำอันหนาแน่นลอยวนรอบกองถ่าย มันเคลื่อนตัวผ่านเหล่าทีมงานเหมือนควันหนาทึบที่ยังคงอยู่แบบไม่ยอมจางหาย

สีหน้าของซีจยาค่อยๆ เย็นชาขึ้น เขาถือลูกเต๋าสัมฤทธิ์ไว้ในมือข้างหนึ่งพลางมองสำรวจรอบด้านด้วยแววตาแข็งทื่อ หลังจากสำรวจอยู่สักพักม่านตาของเขาก็หดแคบลง สายตาอันเฉียบคมตวัดมองไปทางห้องรับรองที่สร้างเอาไว้ไม่ไกล วินาทีต่อมาเขาก็สาวเท้าไปทางนั้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง

ทุกคนในกองถ่ายดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงพลังงานสีดำที่โอบล้อมอยู่รอบตัวพวกเขาเลย อีกสี่เดือนภาพยนตร์ก็จะเข้าฉายแล้วพวกเขาจึงยุ่งอยู่กับการถ่ายทำ จะเอาเวลาไหนไปสนใจนักแสดงที่เป็นตัวประกอบกัน

ซีจยาเดินไปยังห้องรับรองซึ่งมีมวลพลังงานสีดำหนาแน่นที่สุดทีละก้าว ทว่าในขณะที่เขากำลังคิดจะเปิดประตูก็มีเสียงที่ฟังดูหมดความอดทนของชายคนหนึ่งดังมาจากด้านข้างเสียก่อน

“เฮ้ นายกำลังทำอะไรน่ะ ที่นี่คือห้องรับรองของพี่หยาง นายมีธุระอะไร มาทำอะไรที่นี่”

ชายหนุ่มผมดำค่อยๆ หันไปมองชายวัยกลางคนตัวเตี้ยและผอมแห้งคนนั้น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยกมุมปากขึ้นแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“พี่หยาง? หยางเซ่าเฉิงเหรอ”

“ก็ต้องเป็นพี่หยางอยู่แล้วสิ จะเป็นใครได้อีก”

หยางเซ่าเฉิง ดาราชายเกรดบีในประเทศ ผู้รับบทพระเอกเรื่อง ‘คืนสยองของดาวโรงเรียน’

 

ในห้องรับรองวีไอพีที่สนามบินเซียวซาน ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าคนหนึ่งกำลังเดินไปมาในห้องที่ว่านั้น

เขาสวมเสื้อกั๊กและกางเกงขายาวเรียบง่าย ผมเผ้ายุ่งเหยิง และมีรอยคล้ำใต้ตาเป็นวงหนา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนผู้ชายกระจอกที่เอาแต่เล่นเกมอยู่ในเน็ตคาเฟ่แบบไม่หลับไม่นอนติดต่อกันสามวัน แต่พนักงานบริการของสนามบินกลับรอให้บริการอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจ เธอก็กลั้นหายใจไม่กล้าไปรบกวนเขา

ห้านาทีต่อมาชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เครื่องบินยังไม่มาอีกเหรอ”

พนักงานบริการรีบพูดขึ้นว่า “คุณชายหวัง ยังเหลืออีกสามนาทีค่ะ”

“สามนาที? ยังเหลืออีกตั้งสามนาที?! ให้ตายเถอะ ถ้ารู้แต่แรกฉันคงไม่มาที่สถานที่ห่วยๆ แบบนี้เพื่อถ่ายทำหนังสยองขวัญห่วยๆ หรอก ฉันบ้าไปแล้วหรือไงถึงได้มาเล่นอะไรน่าเบื่อแบบนี้ ไปเล่นพนันสักตายังจะดีกว่าซะอีก”

ใช่แล้ว คนคนนี้ก็คือผู้กำกับหวังที่ไว้ใจไม่ได้จากเรื่อง ‘คืนสยองของดาวโรงเรียน’ นั่นเอง

หลังจากรอไปอีกสิบห้านาที เมื่อชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อยืดสีขาวปรากฏตัวที่ประตูห้องวีไอพี ผู้กำกับหวังก็พลันแสดงสีหน้ายินดีและรีบเข้าไปต้อนรับ

“อาจารย์เผย! อาจารย์เผย ในที่สุดคุณก็มาถึงสักที เร็วเข้าๆ คุณช่วยผมดูเร็วว่าผีนั่นติดตัวผมมาหรือเปล่า มันไม่ได้ตามผมมาใช่ไหม”

ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าอาจารย์เผยโดนผู้กำกับหวังลากเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัวอย่างกระตือรือร้น เขายกนิ้วขึ้นแล้วค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดที่อยู่บนสันจมูกออกมาเผยให้เห็นดวงตากลมโตคู่หนึ่ง แม้จะมีเปลือกตาชั้นเดียว แต่ดวงตากลับโตมาก ภายในนั้นเต็มไปด้วยแววหยอกล้ออย่างคนที่กำลังมองดูเรื่องสนุก เขากวาดตามองผู้กำกับหวังขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงโบกมือแล้วพูดว่า “คุณชายหวัง คุณร่างกายแข็งแรงดีแถมยังมีกุญแจอายุยืนจากอาจารย์อาของผมคอยคุ้มครองอยู่ด้วย ผีชั้นต่ำหน้าไหนจะติดตัวคุณมาได้”

ในตอนนี้เองผู้กำกับหวังถึงได้ถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นสักพักใหญ่เขาก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ในเมื่อผมสบายดีงั้นสองวันนี้ผมจะเป็นเจ้ามือออกค่าใช้จ่ายให้อาจารย์เผยเที่ยวเล่นในเมืองหังเอง ผมไม่อยากถ่ายหนังห่วยๆ นั่นแล้ว หนังบ้าอะไรกันทำผมเสียเงินไปตั้งสิบห้าล้าน”

อาจารย์เผยเลิกคิ้ว “คุณชายหวังแน่ใจขนาดนั้นเชียวเหรอว่ามีผีอยู่ในกองถ่าย”

ผู้กำกับหวังพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล “เมื่อคืนนี้กุญแจอายุยืนของผมร้อนจี๋ขึ้นมาจนถือด้วยมือไม่ได้ อาจารย์จ้าวเคยบอกไว้ไม่ใช่เหรอว่ากุญแจอายุยืนชิ้นนี้จะร้อนขึ้นมาก็ต่อเมื่อมีผีอยู่ใกล้ผมเท่านั้น ยิ่งร้อนก็แสดงว่าผีนั่นยิ่งแข็งแกร่ง มันต้องเป็นผีอาฆาตแน่ๆ เมื่อคืนมือผมแทบจะโดนลวกจนเป็นแผลอยู่แล้ว!”

เมื่อเห็นท่าทางขี้ขลาดราวกับหนูของผู้กำกับหวัง อาจารย์เผยก็ยิ้มออกมา เขาใส่แว่นกันแดดกลับไปตามเดิมเพื่อปกปิดความรังเกียจเหยียดหยามในดวงตาเอาไว้ แล้วพูดด้วยท่าทีกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “อาจารย์อาขอให้ผมเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่ก็เพื่อแก้ปัญหาให้กับคุณชายหวังไม่ใช่เหรอครับ ไปกันเถอะคุณชายหวัง ไม่ว่ายังไงนั่นก็คือการลงทุนนับสิบล้าน มันคือน้ำพักน้ำแรงของคุณ ถ้ามีผีจริงๆ แค่จับมันซะก็สิ้นเรื่องไม่ใช่เหรอครับ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ดวงตาของผู้กำกับหวังก็เป็นประกาย “โอเค! ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราพักที่เมืองหังไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยตื่นไปผิงหูแต่เช้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอาจารย์เผยแล้วนะครับ”

 

ทางฝั่งกองถ่ายในเวลาเดียวกันนั้น ซีจยายืนเงียบๆ อยู่ที่ประตูห้องรับรองของหยางเซ่าเฉิง เขารู้อยู่แล้วว่าตอนนี้พระเอกคนนั้นไม่ได้อยู่ในกองถ่าย หลังจากเฉินเทาเกิดเรื่องเมื่อคืนนี้ หยางเซ่าเฉิงก็เผ่นหนีกลับไปที่โรงแรมในตัวอำเภอทันที เมื่อผู้กำกับหวังไม่อยู่ก็ไม่มีใครในกองสามารถบงการหยางเซ่าเฉิงได้ โดยทำได้เพียงแค่แอบสบถด่าอีกฝ่ายว่าเป็นดาราจอมผยอง

เมื่อแสงอาทิตย์อัสดงลาลับยอดเขาฝั่งตะวันตกอย่างสมบูรณ์ ภายในป่าลึกแห่งนี้ก็มีเสียงคร่ำครวญของสายลมยามราตรีที่ฟังดูเหมือนเสียงสะอื้นไห้แว่วดังมาเป็นระลอกราวกับมีผู้หญิงกำลังร้องไห้อย่างแผ่วเบาด้วยความระทมใจ เสียงร้องไห้ผสานกับลมภูเขาส่งผลให้สายลมยามราตรียิ่งหนาวเย็นขึ้นกว่าเดิม และทำให้เหล่าทีมงานที่เมื่อครู่ยังพูดอยู่เลยว่า ‘ผู้กำกับหวังทำตัวเพี้ยนๆ’ พากันกระชับเสื้อผ้าเข้าหาตัวพลางกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทีหลัง

ถึงอย่างไรเมื่อคืนก็เพิ่งจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้ทีมงานในกองไม่อยากถ่ายทำในค่ำคืนที่เย็นยะเยือกอย่างน่าประหลาดแบบนี้ พวกเขาเริ่มพากันเก็บข้าวของจึงไม่มีใครไปสนใจตัวประกอบที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องรับรองและไม่มีใครสังเกตเลยว่าในชั่ววินาทีที่ยามราตรีมาเยือน ซีจยาได้ยกมือขวาขึ้นแล้วรวบนิ้วทั้งห้าแนบชิดกัน ม่านตาของเขาหดแคบลง แววตาเย็นยะเยือกของเขาปราศจากความมีชีวิตชีวา ไอพลังงานสีแดงฉานวนเวียนอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา จากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือฟาดลงไปบนประตูบานหนา!

ตูม!

ทันใดนั้นพลังงานสีดำที่ล้อมรอบกองถ่ายเป็นรัศมีหลายร้อยเมตรก็พลันขยับไหวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะสามนิ้วในชั่วพริบตา!

บรรดาพลังงานสีดำที่กระจัดกระจายอยู่ในกองถ่ายไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่มืดมนลงเล็กน้อย ทว่าภายในห้องรับรองของหยางเซ่าเฉิง กลุ่มพลังงานสีดำสนิทซึ่งสูงประมาณครึ่งหนึ่งของตัวคนได้หนีออกมาจากห้องอย่างรวดเร็วและเผ่นแน่บไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

ซีจยานำอู๋เซียงชิงหลีสวมกลับเข้าไปที่คอ แล้วสาวเท้าเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในขณะที่เขาเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว รองผู้กำกับก็ตะโกนมาขัดเสียก่อนว่า “เฮ้ ซีจยา นายจะไปไหนน่ะ เราจะกลับโรงแรมกันแล้วนะ!”

ซีจยาไล่ตามไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับหันหน้าไปพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เฉียง พอดีเมื่อกี้ผมทำของหล่นไว้ที่กองถ่ายน่ะ ผมขอไปเอาก่อนเดี๋ยวกลับมานะครับ”

ชายหนุ่มผู้งามสง่าหายลับไปในมวลหมู่ต้นสนโดยไม่รอให้พี่เฉียงได้พูดอะไรอีก

เมื่อลมกระโชกแรงพัดมาทุกคนในกองถ่ายต่างก็กระชับเสื้อผ้าให้แนบตัว แล้วเก็บข้าวของให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ต้นไม้สูงใหญ่ถูกลมกระโชกพัดเอนไปมา ใบไม้นับพันนับหมื่นใบส่งเสียงเสียดสีกันทำให้ป่าลึกแห่งนี้ดูราวกับสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่กำลังอ้าปากสีดำสนิทขนาดใหญ่เพื่อรอคอยที่จะกลืนกินมนุษย์เหล่านี้เข้าไปในท้อง

ภายในกองถ่ายมีคนหวาดกลัวจนกรีดร้องขึ้นมา ส่วนทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้พลังงานสีดำกลุ่มนั้นกำลังรวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์อย่างช้าๆ ท่ามกลางลมกระโชกแรง ผีสาวหน้าขาวซีดลอยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รอยผ่ากลางท้องของเธอเปิดออก ก่อนพลังงานสีดำที่หนาแน่นกว่าเดิมจะไหลทะลักออกมาจากรอยแยกนั้น

ผีสาววิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งราวกับว่ามีมหันตภัยร้ายแรงอยู่ด้านหลัง ทว่าข้างหลังเธอกลับมีเพียงซีจยาที่กำลังไล่ตามมาอย่างไม่ยอมลดละ

ทันใดนั้นหินสีดำก้อนหนึ่งได้พุ่งชนหลังของผีสาวด้วยความเร็วสูง เมื่อหินดำกระแทกโดนผีสาวตนนั้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา แผ่นหลังถูกเผาจนเกิดเป็นรู ส่วน ‘เจ้าหินสีดำ’ ที่ชื่ออู๋เซียงชิงหลีนั้นก็ตกลงบนพื้นอย่างเงียบๆ และกลิ้งขลุกๆ สองทีกระทั่งไปหยุดที่เท้าของซีจยา

ซีจยาโน้มตัวลงไปเก็บอู๋เซียงชิงหลี แต่ใครจะไปคิดว่าลูกเต๋าสัมฤทธิ์นี่ดันเล่นแง่ด้วยการกลิ้งไปด้านข้างหนึ่งที ซีจยาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเอื้อมมือไปเก็บมันอีกครั้ง คราวนี้ถึงสามารถเก็บลูกเต๋าลูกนี้กลับมาได้เสียที

ความคิดแปลกๆ แวบเข้ามาในหัว…ของวิเศษชิ้นนี้ของอาจารย์เย่มีสติปัญญาด้วยเหรอ

ซีจยาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วมองไปยังผีสาวที่รูปร่างดูเลือนรางตนนี้

ก่อนจะพบเพียงว่าผีสาวตนนี้กำลังตัวสั่นและมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว เธอยังคงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง แต่แผ่นหลังที่ถูกอู๋เซียงชิงหลีเผาจนเป็นแผลกลับมีพลังงานสีดำรั่วไหลออกมาไม่ขาดสายทำให้เธอแทบจะทนยืนต่อไปไม่ไหว

ซีจยาจ้องไปที่รอยผ่าบนท้องของผีสาวเป็นเวลานาน จากนั้นก็พูดเสียงแผ่วเบาว่า “เสียชีวิตจากภาวะคลอดยากงั้นเหรอ”

เมื่อได้ยินประโยคนั้นผีสาวก็หัวเราะลั่นออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ภาวะคลอดยากงั้นเหรอ เขาต่างหาก! เขานั่นแหละที่เป็นคนผ่าลูกออกจากท้องของฉันทั้งเป็น! เขา! เขานั่นแหละ! หยางเซ่าเฉิง! ฉันจะฆ่าเขา หยางเซ่าเฉิง!!!”

ซีจยามองดูผีสาวตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน “คุณฆ่าตัวตายเหรอ”

ผีผู้หญิงฉีกปากอย่างชวนให้คนมองรู้สึกสั่นสะท้าน จากนั้นเลือดสกปรกสีดำก็เคลือบฟันของเธอจนเป็นสีดำเข้ม

“ฆ่าตัวตายเหรอ เขาฆ่าฉันต่างหากล่ะ เขาต่างหากที่ไม่เหลือทางรอดให้ฉัน เป็นเพราะเขาทั้งนั้น เขานั่นแหละที่เป็นคนบีบให้ฉันต้องตาย!”

ซีจยาหลุบตาลงพลางพูดอย่างเรียบนิ่งว่า “ในเมื่อคุณอยากแก้แค้นเขาแล้วทำไมต้องทำให้เพื่อนของผมตกจากหน้าผาด้วย”

“เขามีพลังหยางเยอะเกินไปและหยางเซ่าเฉิงก็เอาแต่หลบอยู่ข้างๆ เขาทั้งวัน ถ้าฉันไม่ฆ่าเขา ฉันจะฆ่าหยางเซ่าเฉิงได้ยังไง! ทั้งหมดเป็นความผิดของหยางเซ่าเฉิง ทุกอย่างเป็นเพราะหยางเซ่าเฉิงทั้งนั้น! ฉันจะฆ่าเขา ฉันต้องฆ่าเขาให้ได้”

หลังจากสวมอู๋เซียงชิงหลีชิ้นเล็กกลับไปที่คอ ซีจยาก็มองผีสาวเสียสติตรงหน้าอย่างเฉยเมยแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เรื่องระหว่างคุณกับหยางเซ่าเฉิงน่ะ ผมไม่สนใจหรอก แต่ในเมื่อคุณมาแตะต้องเฉินเทา…มันก็เกี่ยวกับผมด้วย”

“นายเป็นใครกันแน่ ทำไมพลังหยินของนายถึงได้รุนแรงขนาดนั้น นายตายยังไง แล้วมีความแค้นอะไร…” เสียงของผีสาวขาดห้วงไปอย่างฉับพลัน ดวงตาคู่นั้นของเธอที่ดำมืดจนไร้ซึ่งตาขาวจ้องเขม็งไปยังซีจยา ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจว่า “นายเป็นมนุษย์งั้นเหรอ!”

ซีจยายืดเส้นยืดสายพร้อมกับเดินไปข้างหน้า “อืม ผมเป็นมนุษย์”

พลังหยินสีเลือดพรั่งพรูออกมาจากตัวของชายหนุ่มร่างผอมบางอย่างมืดฟ้ามัวดิน ซึ่งพลังหยินอันน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้แม้แต่ลมจากรอบด้านก็ยังไม่กล้าส่งเสียง ทั้งยังทำให้ผีสาวตัวสั่นและคิดที่จะหนี แต่หลังจากได้ยินประโยคที่บอกว่า ‘ผมเป็นมนุษย์’ เธอก็กัดฟันแล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที

“ถ้าฉันกินแกเข้าไป ฉันต้องฆ่าเขาได้แน่! ขอแค่ฉันได้กินแกเข้าไป! ฉันจะกินแก ฉัน…กรี๊ดดด!”

ปากที่เต็มไปด้วยเลือดของผีสาวถูกซัดเปรี้ยงจนฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เนื้ออาบเลือดถูกกระชากออกจากแก้มของเธอ แต่เมื่อมันตกลงสู่พื้นก็กลับไม่มีเลือดให้เห็นแล้ว มีเพียงบรรดากลุ่มพลังงานสีดำเท่านั้น ซึ่งหมัดที่ทั้งรวดเร็วและรุนแรงนี้ทำเอาเพลิงโทสะของผีสาวมอดดับลงโดยสิ้นเชิง ทั้งร่างของเธอทรุดลงกับพื้นด้วยความงุนงง และในขณะที่ยังไม่ทันตั้งสติได้กำปั้นก็ซัดลงมาอีกครั้งอย่างรุนแรง

ผีสาวแผดเสียงดังลั่น จากนั้นพลังงานสีดำจากในท้องก็พรั่งพรูออกมาแล้วควบแน่นกลางอากาศจนกลายเป็นศีรษะของผีทารก ต่อมาผีทารกสีดำก็กรีดร้องพลางพุ่งเข้าไปหมายจะกัดซีจยา ฝีเท้าของซีจยาชะงักไป ก่อนจะเงยหน้ามองผีทารกตนนั้น เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้เขาก็กำหมัดขวาแล้วชกออกไปอย่างแรง!

 

สิบนาทีต่อมา ในที่สุดพี่เฉียงซึ่งกำลังรอซีจยาอยู่ก็ได้เจอตัวเขาสักที

ทันทีที่เขาเห็นชายหนุ่มคนนั้น พี่เฉียงก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ทำไมถึงเพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ล่ะ ไม่ได้เจอเรื่องประหลาดอะไรใช่ไหม ที่อุทยานผิงหูนี่น่ะตอนกลางคืนมันผิดปกติจริงๆ นะ เสียงลมกระโชกเมื่อกี้น่ะนายได้ยินไหม อย่างกับเสียงผู้หญิงกำลังร้องไห้เลย ฉันได้ยินจากเสี่ยวเฉินว่าพวกนายเป็นเพื่อนสนิทกัน นายอย่าได้หลงทางเชียว ไม่งั้นจะให้ฉันไปบอกเสี่ยวเฉินยังไง”

ซีจยาพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอโทษที่ทำให้ต้องเป็นห่วงนะครับ พี่เฉียง”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินออกไปด้านนอก พี่เฉียงก็พูดว่า “หาของเจอไหม”

ซีจยาชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้สติกลับคืนมา “อืม เจอแล้วครับ”

พี่เฉียงเอ่ย “หาเจอก็ดีแล้ว พรุ่งนี้เช้าฉันจะขับรถพานายเข้าไปที่ตัวอำเภอ เมื่อเย็นเสี่ยวเฉินตื่นขึ้นมารอบหนึ่ง แต่ตอนนี้หลับไปอีกรอบแล้ว ไม่มีอะไรร้ายแรง นายไม่ต้องกังวลนะ”

ซีจยาตอบรับเบาๆ ว่า “ครับ” และไม่พูดอะไรอีก

 

ช่วงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พี่เฉียงขับรถไปส่งซีจยาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ตอนไปถึงเฉินเทาก็ตื่นแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นผู้ป่วยที่ซี่โครงหักหลายซี่และขาหักหนึ่งข้าง หลังจากเห็นซีจยา เฉินเทาก็มองด้วยความดีใจ แล้วพูดรัวๆ ติดกันว่า “พี่จยา นายมาถึงจนได้ ในที่สุดก็มีคนช่วยคุยปรับทุกข์กับฉันได้สักที!”

ซีจยา “…”

พอถึงตอนเที่ยงพี่เฉียงก็กลับไปที่กองถ่าย เหลือเพียงซีจยานั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย คอยพูดคุยปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทของตัวเอง

เมื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เฉินเทายังคงมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ “เหมือนฉันจะเห็นสาวสวยในชุดกระโปรงสีขาวคนหนึ่ง เธอนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น แต่ไม่รู้ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้อยู่ตลอด แถมฉันก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา* อย่างนายด้วย ในเมื่อมีสาวสวยกำลังร้องไห้อยู่ฉันก็ต้องถามให้แน่ชัดแล้วปลอบใจสักหน่อย จะไปรู้ได้ไงว่ายังไม่ทันเดินขึ้นไปก็ร่วงลงมาซะก่อน นายว่าเรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไง ทั้งที่ฉันเห็นชัดๆ เลยว่ามีสาวสวยคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า แล้วไหงมันถึงกลายเป็นหน้าผาไปได้”

หลังจากคุยกับเพื่อนสนิทมาทั้งวัน ซีจยาก็หมดเรี่ยวแรง เขาจึงเปลี่ยนไปก้มหน้าสไลด์ดูรูปเจ้าแมวส่งส่งของตัวเองแทน แล้วพูดออกไปไม่กี่ประโยคอย่างขอไปที

เฉินเทากลืนน้ำลาย “พี่จยา นายว่า…นี่ฉันเจอผีแล้วใช่ไหม”

การสไลด์ดูรูปหยุดลงอย่างฉับพลัน ซีจยาเงยหน้ามองเพื่อนสนิทของตนด้วยรอยยิ้ม แม้สีหน้าจะผ่อนคลาย แต่น้ำเสียงกลับจริงจังมาก

“ฉันว่านายหมกมุ่นทางเพศจนหลอนเลยมองผิดไปเองมากกว่า โลกนี้มีผีที่ไหนกัน หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนภูตผีปีศาจก็ไม่เป็นที่ยอมรับนะ นายไม่รู้เหรอ”

“บนโลกนี้ไม่มีผีงั้นเหรอ” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากหน้าประตูห้องผู้ป่วย

ซีจยากับเฉินเทาพากันหันหน้าไปมอง

จากนั้นก็พบว่าชายหนุ่มร่างผอมสูงแต่งตัวทันสมัยคนหนึ่งที่ยืนพิงประตูห้องอยู่ กำลังยิ้มตาหยีขณะมองมาที่พวกเขา เมื่อเห็นคนทั้งสองมองมาที่ตน อีกฝ่ายก็ยกนิ้วขึ้นถอดแว่นกันแดดออกเผยให้เห็นดวงตาแฝงรอยยิ้มคู่หนึ่ง “เจ้าหนูชุดขาวคนนั้นน่ะ ถ้าฉันบอกว่าตอนนี้มีผีเด็กนั่งอยู่บนขานาย นายจะเชื่อไหม”

ซีจยาที่สวมชุดสีขาวแย้มยิ้มบางๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และไม่เป็นพิษเป็นภัย “ผมไม่เชื่อ”

 

* เหิงเตี้ยน (Hengdian World Studios) คือสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ฮอลลีวูดแดนตะวันออก’ ตั้งอยู่ที่มณฑลเจ้อเจียง

* ลี้ (หลี่) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน 1 ลี้เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

* เทียนซือ แปลตรงตัวว่าเทพาจารย์หรือคุรุเทพ หมายถึงปรมาจารย์ผู้ล่วงรู้หลักแห่งธรรมชาติ เดิมใช้เรียกผู้สืบทอดคำสอนจากผู้ก่อตั้งนิกายเต๋าจางเต้าหลิงโดยตรงและได้รับเลือกให้เป็นผู้นำนิกาย ต่อมาภายหลังใช้เป็นคำเรียกยกย่องนักพรตเต๋า

** ส่งส่ง หมายถึงเจ้าขี้ขลาด

*** สี่เสาแปดอักษร คือศาสตร์ของจีนที่ใช้วันเดือนปีและเวลาเกิดมาคำนวณเพื่อทำนายโชคชะตา

**** ปฏิทินแผนภูมิสวรรค์ คือปฏิทินระบบการนับเวลาวันเดือนปีแบบโบราณของจีน มักใช้เพื่อทำนายโชคชะตา

* ส่าส่า หมายถึงเจ้าโง่

** ไตไต หมายถึงเจ้าบื้อ

* รักหยกถนอมบุปผา เป็นสำนวนจีน หมายถึงผู้ชายควรทะนุถนอมและอ่อนโยนต่อผู้หญิง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: