ทดลองอ่าน เรื่อง พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1
ผู้เขียน : โม่เฉินฮวน
แปลโดย : เฉินเมิ่งหาน
ผลงานเรื่อง : พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
มีการใช้ความรุนแรง มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ
การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 2
ทันทีที่คำพูดของซีจยาหลุดออกจากปาก ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูก็นิ่งไป เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มในชุดสีขาวคนนี้จะพูดคำว่า ‘ไม่เชื่อ’ ออกมาได้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ความเร็วในการตอบก็ไวราวกับไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองจากสมองและไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีชายหนุ่มคนนี้แค่ต้องการจะหยอกล้อไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่แยแสของซีจยาแล้ว ตอนนี้เขาก็ค่อยๆ จริงจังขึ้นมา
ด้วยเหตุนั้นต่อมาเฉินเทาผู้เป็นเจ้าของห้องผู้ป่วยจึงได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนสำหรับเขาในชีวิตนี้
ชายหนุ่มที่แต่งตัวทันสมัยยิ้มร่าพลางพูดด้วยท่าทางเอ้อระเหยว่า “พลังงานของโรงพยาบาลเป็นหยิน ง่ายต่อการหล่อเลี้ยงผีมากที่สุด เจ้าหนู มีผีน้อยนั่งอยู่บนขาของนายจริงๆ นะ ดูเหมือนทารกอาฆาตที่ไม่ได้เกิดเพราะภาวะคลอดยาก เขาฟุบอยู่กับอกนาย มือข้างหนึ่งเกาะอยู่บนไหล่” ชายหนุ่มขยับนิ้วอยู่ในจุดที่คนอื่นมองไม่เห็น “นายไม่รู้สึกว่าตรงไหล่มันเย็นๆ เหรอ”
จู่ๆ ซีจยาก็รู้สึกเย็นวาบที่ไหล่ซ้าย แต่เขาก็ยังคงถามกลับไปอย่างนิ่งเฉยว่า “ต้องรู้สึกด้วยเหรอ”
ชายหนุ่มชะงักไป ก่อนจะบีบมือขวาที่เอาไปไว้ด้านหลังเอวอีกครั้ง สายลมแผ่วเบาที่ยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่าพุ่งออกไปจากปลายนิ้วของเขาอย่างรวดเร็วแล้วตรงไปที่ไหล่ซ้ายของซีจยา
ชายหนุ่มเอ่ยถาม “ไม่หนาวเหรอ”
“มันค่อนข้างร้อนอยู่นะ ช่วงนี้เหมือนอากาศจะอุ่นขึ้นแล้ว?”
“…”
ซีจยายิ้มบางพลางเอ่ยว่า “อาจารย์…ท่านนี้ ไม่ทราบว่าผีน้อยที่คุณพูดถึง หน้าตาเป็นยังไงเหรอครับ”
เฉินเทาถลึงตามอง “พี่จยา นายจะถามละเอียดขนาดนี้เพื่อ!”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ทารกอาฆาตที่ไม่ได้เกิดเพราะภาวะคลอดยาก ผิวสีเขียว ทั้งดวงตาเป็นสีดำล้วน มีเลือดเนื้อจากผนังมดลูกของผู้เป็นแม่อยู่ในซอกเล็บ เส้นผมเปื้อนเลือด อ้อ จะว่าไปตอนนี้มันกำลังคลานไปที่เตียงของเพื่อนนายด้วย เจ้าตุ้ยนุ้ย นายรู้สึกเย็นๆ ที่ขาไหม ตอนนี้มันอยู่บนขาซ้ายของนายแล้ว”
เฉินเทาสั่นไปทั้งตัว จากนั้นก็มุดเข้าไปในอ้อมแขนของซีจยาด้วยความหวาดผวา โดยไม่สนใจขากับซี่โครงที่หักอยู่ของตัวเองเลยสักนิด “พี่จยาๆ! ขาของฉันเย็น ขาของฉันเย็นจริงๆ! จู่ๆ ก็เย็นวาบขึ้นมาเฉยเลย!”
ซีจยาฟาดฝ่ามือใส่เฉินเทาอย่างไม่พอใจ “นายก็ฟังเขาพูดไร้สาระไปเรื่อย”
เฉินเทา “มันเย็นมากจริงๆ นะ ขนขาฉันลุกซู่หมดแล้วเนี่ย นายลองดูเอาเองเลย!”
ซีจยาผลักเพื่อนซี้ออกไปอีกครั้ง แล้วพูดอย่างหมดความอดทน “ท่าน ‘อาจารย์’ ที่อยู่ตรงประตูแค่ล้อนายเล่นน่ะ ไม่เชื่อก็ลองถามเขาดูซิว่าถ้าในห้องนี้ไม่มีผีขอให้เขาโสดไปตลอดชีวิต ดูซิเขาจะกล้าพนันไหม”
เฉินเทาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงประตูอย่างคาดหวัง “…อาจารย์?”
เผยอวี้ “…”
เรื่องบ้าอะไรฉันจะไปพนันเรื่องที่ต้องแพ้แน่ๆ กับนายกันเล่า!!!
เผยอวี้รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างมาก
ในฐานะ (หนึ่งใน) ผู้นำของคนรุ่นเยาว์ในวงการศาสตร์ลี้ลับยุคปัจจุบัน ไม่ว่าเขาเผยอวี้คนนี้จะไปที่ไหนผู้คนต่างก็ให้ความนับถือและเรียกว่าอาจารย์เผยด้วยความเคารพ ยกตัวอย่างเช่นผู้กำกับหวังคนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์อาของเขาเป็นอาแท้ๆ ของผู้กำกับหวังล่ะก็ ต่อให้เอาผู้กำกับหวังสิบคนรวมกันเขาก็ไม่คิดจะมาที่นี่เพื่อช่วยจัดการเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก
ทว่าเมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ตอนเขาติดตามผู้กำกับหวังไปที่กองถ่ายกลับได้พบว่าภายในกองถ่ายแห่งนั้นเต็มไปด้วยพลังหยินที่ตลบอบอวลไม่ยอมจางหาย โดยระดับความเข้มข้นของพลังหยินนั้นทำให้เผยอวี้ต้องเตรียมตัวอย่างรัดกุมก่อน จากนั้นจึงหยิบหลัวผาน* ออกมาเพื่อเริ่มค้นหาผีร้าย ใครจะไปนึกว่าหาอยู่ห้าชั่วโมงเต็มๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องอึ้งไปเพราะไม่เจอผีเลยสักตนเดียว เขาจึงลองคำนวณด้วยนิ้วดู แล้วก็พบว่าผีอาฆาตในละแวกนี้ที่มีแรงอาฆาตมากที่สุดเหมือนจะเป็นเด็กจมน้ำในหมู่บ้านสักแห่งที่อยู่ไกลออกไป ส่วนในกองถ่ายนี้ไม่มีผีเลยแม้แต่ตนเดียว
เรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน
พลังหยินแบบนี้จะไม่มีผีได้ด้วยเหรอ
หลังจากคิดไปร้อยแปดตลบก็ยังคิดไม่ตก พอเผยอวี้ได้ยินจากผู้กำกับหวังว่าเมื่อคืนวานซืนมีทีมงานคนหนึ่งตกจากหน้าผา ดังนั้นเพื่อให้ได้คำตอบเขาเลยจงใจเดินทางมาไกลถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งนี้ โดยตั้งใจจะสอบถามเฉินเทาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนั้นสักหน่อย แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้องก็ได้ยินเข้าเสียก่อนว่ามีคนธรรมดาบางคนดูถูกการมีอยู่ของผีอย่างรุนแรง เขาถึงได้หลุดปากพูดประโยคพล่อยๆ นั้นออกไป…
อันที่จริงเผยอวี้ก็อยากจะชี้ตำแหน่งของผีสักตนเพื่อทำให้เจ้าเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวคนนี้กลัวขึ้นมาจริงๆ อยู่หรอก ทว่าภายในห้องผู้ป่วยแห่งนี้หรือแม้กระทั่งในห้องผู้ป่วยห้าหกห้องที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็ดันไม่มีผีเลยสักตนเดียว แม้แต่พลังหยินสักนิดก็ไม่มีเช่นกัน
นี่มันผิดหลักวิทยาศาสตร์แล้ว!
โรงพยาบาล สุสาน ฌาปนสถาน
สถานที่ทั้งสามแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีพลังหยินและภูตผีอยู่มากที่สุด อาจไม่จำเป็นต้องมีผีอาฆาตหรือผีร้ายก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีวิญญาณเร่ร่อนกับวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดในสถานที่เหล่านี้ แต่ตอนนี้ที่เผยอวี้กำลังท่องคาถาในใจและมองห้องผู้ป่วยนี้ด้วยเนตรหยินหยางกลับพบเพียงแสงอาทิตย์ทอประกายสวยงามกับอากาศสะอาดสดชื่นเท่านั้น อย่าว่าแต่ภูตผีเลย การอาศัยอยู่ในห้องผู้ป่วยนี้เกรงว่าจะทำให้ผู้คนรู้สึกสุขกายสบายใจจนฟื้นตัวได้ในเร็ววันด้วยซ้ำ
…เรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย! ห้องผู้ป่วยนี่ ‘สะอาด’ กว่าอาคารที่พักอาศัยหลายๆ แห่งซะอีก แล้วที่พูดซะดิบดีว่าในโรงพยาบาลมีผีเยอะที่สุดล่ะ
เฉินเทาเห็นว่าใบหน้าของอาจารย์คนนั้นเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาว แถมยังเอาแต่เงียบไม่ยอมพูด เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าคนที่อยู่ตรงประตูนั้นเป็นหมอผีต้มตุ๋นจริงๆ อีกฝ่ายเพียงแค่โผล่มาหลอกเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องอะไร เฉินเทาเอ่ยพลางทอดถอนใจ “พี่จยาพูดถูก บนโลกนี้ผีที่ไหนกัน ฉันว่ามีผีอยู่ในใจ** คนมากกว่าอีก”
เผยอวี้ “…”
เขาอยากจะแย้งแต่ก็เถียงไม่ออก และถึงอย่างไรก็ไปจับผีน้อยสองตนมาโยนใส่หน้าคนคนนี้ไม่ได้อยู่ดี แบบนั้นมันจะเป็นการจงใจเกินไป หลังจากกระแอมกระไอเบาๆ สองที เผยอวี้ก็สาวเท้าไปข้างหน้าและแสดงตัวตนของตัวเองออกมา เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของผู้กำกับหวัง เฉินเทาก็มองเผยอวี้แปลกๆ อยู่สักพัก สายตาของเขาเหมือนกำลังบอกว่า ‘ไม่แปลกใจเลยที่เขาเพี้ยนได้ขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนของผู้กำกับหวังนี่เอง’ จากนั้นเฉินเทาก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองเจอเมื่อคืนวานซืนออกมา
ทุกอย่างก็เหมือนกับที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ เฉินเทาจำได้ว่าเขาเห็นผู้หญิงชุดขาวนั่งยองๆ ร้องไห้อยู่กับพื้น เลยอยากจะเข้าไปปลอบ แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ก็ตกลงมาจากหน้าผาเสียก่อน
หากวิเคราะห์ตามคำบอกเล่านี้ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะร้องไห้อยู่กลางอากาศ
เผยอวี้ที่ถอดแว่นกันแดดอันใหญ่ออกนานแล้ว โดยนำมันไปเหน็บไว้ที่หน้าอก เขาเอาแขนสองข้างกอดอกพลางเคาะนิ้วกับแขนเบาๆ พร้อมกับถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นผีจริงๆ ด้วยความที่กองถ่ายถ่ายทำดึกมาก พอถึงยามจื่อ* พลังหยินบนโลกก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แถมอุทยานผิงหูยังตั้งอยู่ที่ปากอ่าวท่าเรือทำให้มีลมทะเลพัดเข้ามา พอรวมเข้ากับควันพิษและลมหมอกในภูเขาเลยง่ายต่อการที่ผีอาฆาตจะนำไปใช้สร้างภาพลวงตา”
แต่เฉินเทากลับเกาศีรษะแกรกๆ แล้วพูดว่า “ไม่นะ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างที่พี่จยาพูด ผมไม่ได้เจอสาวสวยมานานเลยตาฝาดไปเอง”
เผยอวี้ชะงักไป ก่อนจะถามขึ้นว่า “แต่นายเห็นผีนั่นด้วยตาของตัวเองไม่ใช่เหรอ”
เฉินเทาหัวเราะฮิๆ แล้วพูดว่า “ผมคงตาฝาดไปน่ะ ไม่อย่างนั้นท่านอาจารย์ คุณลองไปดูที่กองถ่ายของเราก็ได้ ถ้ามีผีจริงๆ บางทีผีนั่นอาจจะยังอยู่ที่กองถ่ายก็ได้นะ”
เผยอวี้ “…”
ถ้าผีที่ว่านั่นอยู่ในกองถ่ายจริงๆ เขาจะถ่อมาไกลถึงที่นี่เพื่อมาหัวเสียกับพวกเขาสองคนหรือไง!
เผยอวี้ถามเฉินเทาอีกสองสามคำถาม เจ้าตุ้ยนุ้ยก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่คำพูดที่เป็นความจริงเหล่านี้กลับไม่ได้มีประโยชน์มากนัก
ขณะที่เฉินเทากำลังพูด เผยอวี้ก็ใช้มือขวาวาดยันต์สองลายลงบนแว่นกันแดดเบาๆ แสงสีอ่อนวาบผ่านเลนส์สีดำโดยที่เฉินเทาไม่ได้สนใจเลยสักนิด แต่ซีจยากลับเหลือบมองแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ
เผยอวี้ใส่แว่นกันแดดกลับเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาสังเกตเฉินเทาอย่างละเอียด จากนั้นก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้มีพลังหยางรุนแรงมาก โดยพลังหยางทั่วร่างของเขานั้นมีมากกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่า
โดยปกติแล้วภูตผีจะไม่ไปสร้างปัญหาให้กับคนที่มีพลังหยางแรงกล้า เพราะหยินหยางจะข่มซึ่งกันและกัน ยิ่งเป็นมนุษย์ที่มีพลังหยางรุนแรงก็ยิ่งเป็นปัญหาต่อภูตผีที่หมายจะเข้าไปทำร้าย
ก่อนที่จะถอดแว่นกันแดดเผยอวี้ได้ถือโอกาสเหลือบมองซีจยาที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง แต่พอมองไปอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เขาจึงถอดแว่นกันแดดออกแล้วพูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่าทำไมผีนั่นถึงทำร้ายนาย แต่ว่านะเจ้าตุ้ยนุ้ย ช่วงระยะสั้นๆ นี้อย่าเพิ่งกลับไปที่กองถ่ายจะดีกว่า เดี๋ยวฉันช่วยคุยกับผู้กำกับหวังให้เอง ในเมื่อผีตนนั้นสร้างภาพลวงตาใส่นาย แสดงว่ามันต้องอยากทำร้ายนายแน่ๆ ถึงครั้งนี้นายจะรอดมาได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าครั้งหน้าจะรอดอีก รอปราบผีตนนั้นได้แล้วนายค่อยกลับไปก็ยังไม่สายหรอก”
เฉินเทาไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง เขาเพียงแค่รับปากแบบขอไปทีเท่านั้น
เมื่อถามสิ่งที่ควรถามเสร็จแล้วเผยอวี้ก็ลุกขึ้น ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป ทั้งที่เป็นช่วงเดือนมีนาคมแท้ๆ แต่เขากลับสวมเพียงเสื้อยืดและกางเกงขายาวธรรมดาๆ ราวกับไม่กลัวความหนาวเลยแม้แต่น้อย เมื่อเดินไปถึงประตูเขาก็ชะงักฝีเท้า ก่อนจะใช้มือข้างเดียวค้ำกรอบประตูแล้วหันไปมองข้างหลัง เขาทำท่าเหมือนนายแบบพร้อมกับพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ถึงแม้จะมีคำกล่าวที่ว่าถ้าเชื่อก็มี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มี แต่ว่านะเจ้าหนูชุดขาว นายควรเกลี้ยกล่อมเพื่อนของนาย อย่าปล่อยให้เขาตรงกลับไปที่กองถ่ายอย่างโง่เขลาจะดีที่สุด”
เสียงพูดชะงักไป จากนั้นเผยอวี้ก็ยื่นมือออกไปดึงแว่นกันแดดลง ก่อนจะมองไปยังซีจยาด้วยแววตาลึกล้ำ แล้วพูดแบบกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มว่า “ในโลกนี้มีผีและยังมีผีอาฆาตด้วย ผีอาฆาตจะไม่แบ่งแยกชั่วดีทำแบบไหนได้แบบนั้นกับนายหรอกนะ”
แสงแดดอันอบอุ่นส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาตกกระทบลงบนใบหน้าขาวเนียนเกลี้ยงเกลาของหมอผีหนุ่มนักต้มตุ๋นจนเกิดเป็นเงาแบ่งแยกระหว่างแสงและความมืด ทันใดนั้นจู่ๆ ในใจเฉินเทาก็รู้สึกปั่นป่วนเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาตัดสินใจแล้วแท้ๆ ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นแค่หมอผีต้มตุ๋นคนหนึ่ง แต่พอได้ยินคำพูดแบบนี้ของอีกฝ่าย เฉินเทากลับรู้สึกว่า…บางทีโลกนี้อาจไม่เรียบง่ายอย่างที่เขาคิดก็เป็นได้
เมื่อเห็นท่าทางที่เอาจริงเอาจังแต่ดันติดทำเป็นเก๊กหล่อของเผยอวี้ มุมปากของซีจยาก็ค่อยๆ ยกขึ้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “อาจารย์ ถ้ามันเป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆ งั้นคุณคิดว่าพวกเราควรทำยังไงดี”
พอได้ยินประโยคนั้นเผยอวี้ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าในที่สุดเขาก็โน้มน้าวเจ้าเด็กไม่กลัวความตายคนนี้ได้แล้ว เผยอวี้ไม่สามารถซ่อนสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเอาไว้ได้เลย เขาเดินกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยอีกครั้งแล้วเริ่มสนทนาอย่างฉะฉาน
“เรื่องแบบนี้น่ะควรขอคำแนะนำจากฉันนี่แหละ นี่สินะที่เรียกว่ายิ่งมีความสามารถมากเท่าไรก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้นเท่านั้น แถมคนที่มีจิตสาธารณะอย่างฉันก็มีน้ำใจมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วด้วย…ในเมื่อครั้งนี้พวกนายเชื่อคำพูดของฉัน งั้นฉันจะให้ยันต์กับนายฟรีๆ ก็ได้ แค่ใส่ติดตัวไว้ก็จะสามารถปัดเป่าสิ่งอัปมงคลได้…อู๋ๆๆๆ…อู๋เซียงชิงหลี?!!!”
ชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยังคงมีท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง จู่ๆ ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา เขากระโดดถอยหลัง ก่อนจะคว้าเสาน้ำเกลือของเฉินเทาวิ่งหนีไปด้านหลัง และในขณะที่กำลังวิ่งเขาก็ซ่อนตัวอยู่หลังเสาน้ำเกลือที่มีอยู่เพียงอันเดียวนั่นไปด้วย
เสาเหล็กเปล่าๆ นี้ไม่สามารถซ่อนเผยอวี้เอาไว้ได้ แต่ท่าทางสั่นเทาไปทั้งตัวและการลากเสาน้ำเกลือวิ่งหนีของเขานั้นทำให้คนสองคนในห้องผู้ป่วยที่ได้เห็นภาพนี้ต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน เฉินเทาเป็นคนแรกที่ได้สติ ชายอ้วนตุ้ยนุ้ยร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“ผมยังให้น้ำเกลืออยู่นะ! เอาเสาน้ำเกลือของผมคืนมา!”
ในเวลานี้เผยอวี้ได้ย้ายไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมผนัง เขาใช้เสาน้ำเกลือบังหน้าของตัวเองเอาไว้พลางจ้องมองซีจยาที่อยู่กลางห้องผู้ป่วยอย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มหน้าสวยก้มหน้าลงช้าๆ ตอนนี้เองเขาถึงเพิ่งพบว่าเมื่อครู่ตอนเขาลุกขึ้นยืนลูกเต๋าสัมฤทธิ์ซึ่งห้อยอยู่ที่คอของเขามาโดยตลอดได้โผล่ออกมาจากเสื้อโดยไม่ตั้งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มหมอผีต้มตุ๋นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล และเห็นว่าจอมต้มตุ๋นที่เมื่อครู่ทำตัวเพี้ยนๆ ทั้งยังพูดจาเหลวไหลหลอกลวงคนอื่น ตอนนี้กำลังซ่อนตัวอยู่หลังเสาเหล็กด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
“นะ…นะ…นาย…นี่นายเป็นอะไรกับมัจจุราชเย่น่ะ!!!”
ซีจยาเรียกพยาบาลเข้ามาในห้องเพื่อช่วยเปลี่ยนเข็มให้เฉินเทาแล้วแขวนน้ำเกลือใหม่อีกครั้ง
พยาบาลไม่เคยเห็นผู้ป่วยที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน น้ำเกลือแขวนไว้อยู่ดีๆ ยังจะดึงเข็มออกมาเองได้อีก ดังนั้นในขณะที่แทงเข็มเข้าไปใหม่พยาบาลเลยเตือนเฉินเทาจนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี เพราะกลัวว่าเฉินเทาจะคิดมากจนดึงเข็มของตัวเองออกมาอีก
ต่อให้เฉินเทามีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ขึ้นอยู่ดี ทว่าอีกด้านหนึ่ง ซีจยาและหนุ่มหมอผีต้มตุ๋นกลับเดินออกจากห้องผู้ป่วยไปด้วยกัน
เดิมทีซีจยาคิดจริงๆ ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นแค่หมอผีต้มตุ๋น เพราะเปิดปากทีก็เอาแต่บอกว่ามีผีอยู่ที่ไหนสักแห่ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเทียนซือตัวจริง หลังจากเห็นอีกฝ่ายวาดยันต์บนแว่นกันแดด ซีจยาก็รู้ชัดถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที แต่คาดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะรู้จักอาจารย์เย่คนนั้นด้วย
ภายในระเบียงทางเดินอันเงียบสงบของโรงพยาบาล ชายหนุ่มหน้าสวยกำลังเดินนำหน้า ส่วนหมอผีต้มตุ๋นก็เดินตามหลังแบบเว้นระยะห่างสามเมตรด้วยเนื้อตัวสั่นระริก เมื่อไปถึงปากทางเข้าสวนดอกไม้ ซีจยาก็หันหลังกลับมาพูดอย่างเสียมิได้ว่า “ผมกับอาจารย์เย่คนนั้นแค่ได้เจอกันโดยบังเอิญ เขาเป็นคนใจดีเลยให้ผมยืมของวิเศษมาไว้ใช้ซ่อนพลังหยิน”
เมื่อเผยอวี้ได้ยินแบบนั้นก็ไม่เชื่อเลยสักนิด “นะๆๆ…นั่นคืออู๋เซียงชิงหลีเชียวนะ ทำไมเขาถึงต้องให้นายยืมด้วย!” มัจจุราชเย่ให้คนที่ไม่รู้จักคนหนึ่งยืมของวิเศษด้วยความหวังดีเนี่ยนะ คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อ!
เมื่อได้ยินดังนั้นซีจยาก็นึกคำถามอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ในทันที “ลูกเต๋าสัมฤทธิ์ชิ้นนี้สุดยอดมากเลยเหรอครับ”
เผยอวี้ทำหน้ามุ่ยทันที “สุดยอด? พูดว่าสุดยอดได้ซะที่ไหนกัน เดี๋ยวก่อนนะ สรุปนายรู้ไหมเนี่ยว่ามัจจุราชเย่เป็นใคร หรือว่านายไม่ใช่คนของวงการศาสตร์ลี้ลับ คนในวงการศาสตร์ลี้ลับจะไม่รู้จักมัจจุราชเย่ได้ยังไงกัน”
ซีจยารู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคิดอยู่สักพักแล้วสุดท้ายก็เลือกที่จะบอกเรื่องของตัวเองให้เทียนซือที่ไม่ได้น่าเชื่อถือเลยสักนิดคนนี้ฟัง เผยอวี้ฟังสิ่งที่เขาพูด แต่พอฟังจบกลับยิ้มออกมา
“แน่นอนว่าในหมู่คนธรรมดาย่อมมีทั้งคนที่พลังหยางแข็งแกร่งและคนที่พลังหยินแข็งแกร่ง เพื่อนคนนั้นของนายมีพลังหยางที่แข็งแกร่งมาก ถึงพลังหยินของนายจะแข็งแกร่ง แต่มันจะแกร่งได้สักแค่ไหนกันเชียว”
ซีจยาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถอดอู๋เซียงชิงหลีออกจากคอ พลังหยินมืดฟ้ามัวดินพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน สายลมเย็นยะเยือกไร้ที่มาได้พัดขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าพัดพาให้ต้นไม้ใบหญ้ารอบสวนดอกไม้เอนหมอบลงมา ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเอนมาทางซีจยา
นาทีนี้แม้แต่เผยอวี้เองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ซีจยาเอ่ยถาม “นี่…อาจารย์เผย งั้นตอนนี้คุณเห็นพลังหยินของผมหรือยัง”
เผยอวี้โบกมืออย่างไม่แยแส “รอเดี๋ยวนะ ขอฉันวาดยันต์เบิกเนตรหยินหยางก่อน แล้วฉันจะช่วยดูให้นายอีกที”
ซีจยาพูดด้วยความประหลาดใจว่า “อาจารย์เย่คนนั้นไม่เห็นต้องวาดยันต์เลย”
เผยอวี้ถลึงตาใส่แล้วพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “มัจจุราชเย่เป็นใคร แล้วฉันเป็นใคร จะเอาฉันไปเปรียบเทียบกับเขาได้ยังไงกัน เขาเห็นพลังหยินได้มาตั้งแต่เกิด และทั่วทั้งวงการศาสตร์ลี้ลับก็มีแบบเขาแค่คนเดียวด้วย!” เผยอวี้พูดพลางวาดยันต์บนเลนส์ทั้งสองด้านของแว่นกันแดด จากนั้นค่อยสวมแว่นกันแดดเข้าไป ในขณะที่กำลังสวมเขาก็พูดไปเรื่อยว่า “พลังหยินของนายจะมากได้แค่ไหนเชียว มากสุดก็มากกว่าคนปกติร้อยเท่า…พัน…เท่า…”
“…”
“ฉิบหาย!”
เสียงสบถดังสนั่นทำให้ผู้ป่วยคนอื่นที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้พากันมองด้วยความรังเกียจ
ซีจยานำอู๋เซียงชิงหลีกลับไปห้อยไว้ที่คออีกครั้งด้วยท่าทีนิ่งสงบ เผยอวี้ถอดแว่นกันแดดออกแล้วพุ่งเข้าไปหาทันที จากนั้นก็มองใบหน้าที่งดงามและขาวใสนี้ขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ราวกับว่าต้องการมองซีจยาให้ทั่วถึงตั้งแต่ภายนอกเข้าไปยันภายใน
“ไม่…เป็นไปไม่ได้! พลังหยินของนายจะมากขนาดนี้ได้ยังไง เมื่อกี้ฉันมองนายด้วยเนตรหยินหยางแล้ว นายไม่ต่างจากลูกบอลสีดำเลย แม้แต่เสื้อผ้าของนายก็ยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ! สรุปว่านายเป็นคนหรือผี…เอ๊ะ ตัวอุ่นนี่นา เป็นคนจริงๆ เหรอ”
ซีจยาปัดมือที่มาจับแขนตัวเองอย่างซี้ซั้วด้วยความไม่พอใจ “เทียนซือมือปราบผีอย่างพวกคุณเวลาจะตัดสินว่าเป็นคนหรือผีต้องวัดอุณหภูมิร่างกายด้วยเหรอ”
เผยอวี้รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่เล็กน้อย “เราอาศัยพลังหยินในการตัดสิน แต่ฉันไม่เคยเห็นผีตนไหนที่มีพลังหยินมากกว่านายมาก่อนเลย…”
ซีจยา “…”
แม้อาจารย์เผยจะไม่น่าเชื่อถือและขี้วิตกจริต แต่ซีจยาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกที่เขาเจออาจารย์เย่คนนั้นตรงประตูห้อง อีกฝ่ายถึงได้มีสีหน้าตกใจแบบนั้น ตัวเขาเองก็ตกใจเหมือนกันที่จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้ามาเคาะประตู ส่วนสาเหตุที่อาจารย์เย่ผู้มองเห็นพลังหยินมาตั้งแต่เกิดรู้สึกตกใจนั้นคงเป็นเพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าประตูจะถูกเปิดโดยพลังงานสีดำกลุ่มหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นพลังหยินอันเข้มข้นของซีจยา อย่างน้อยเผยอวี้ก็ได้เข้าใจสิ่งหนึ่ง ‘เหตุผลที่มัจจุราชเย่ต้องให้นายยืมอู๋เซียงชิงหลีก็คงเป็นเพราะเขาไม่มีของวิเศษอื่นที่สามารถสะกดพลังหยินนายไว้ได้นอกจากอู๋เซียงชิงหลี’
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ซีจยาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “อู๋เซียงชิงหลีชิ้นนี้เป็นของวิเศษที่สำคัญมากเลยเหรอ”
เผยอวี้หรี่ตามองลูกเต๋าสัมฤทธิ์ที่ห้อยอยู่บนคอซีจยาอย่างหวาดผวา แต่แทนที่จะตอบออกมาตรงๆ เขากลับถามว่า “นายมีวีแชตไหม”
ซีจยาชะงัก “วีแชต?”
“สมัยนี้ใครเขาไม่มีวีแชตกัน มาๆๆ นายมาสแกนวีแชตของฉันหน่อย ฉันจะแนะนำบัญชีทางการบัญชีหนึ่งให้นาย พอนายได้ดูแล้วก็จะเข้าใจเอง”
จู่ๆ หมอผีหนุ่มนักต้มตุ๋นก็ควักโทรศัพท์มือถือยี่ห้อแอปเปิ้ลเครื่องหนึ่งออกมาจากด้านหลังบั้นท้ายของเขา ก่อนจะปลดล็อกมันอย่างชำนาญแล้วเปิดวีแชตขึ้นมา
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันซีจยาได้พบกับเทียนซือมือปราบผีอีกครั้งหลังจากห่างหายไปถึงสิบเก้าปี แถมยังได้พบถึงสองคนในช่วงไล่เลี่ยกันด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือเทียนซือที่มีวีแชตคนนี้นั่นเอง เขาเพิ่มเพื่อนเผยอวี้ไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่นานหลังจากนั้นเผยอวี้ก็แนะนำบัญชีทางการบัญชีหนึ่งมาให้เขา
“…พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง”
เผยอวี้ “นายรีบติดตามเร็วๆ สิ เร็วเข้าๆ”
ซีจยามองไปที่รูปโพรไฟล์ผีผู้หญิงน่าสยดสยองบนหน้าจอ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กดติดตาม
‘สหายนักพรต ในที่สุดคุณก็มาสักที! ยินดีต้อนรับสู่บัญชีทางการ ‘พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง’
ทุกเรื่องที่ผีรู้ ฉันรู้ แต่คุณไม่รู้ มาดูเราสิ แล้วคุณจะได้รู้ทุกอย่าง!
เพียงติดตามบัญชีวีแชตตอนนี้ รับไปเลยโม่โต่ว* ซึ่งผลิตโดยสำนักเทียนกงที่คุณไว้วางใจแถมฟรีหนึ่งชิ้น’
ซีจยา “…”
เผยอวี้รีบคลิกไปที่ลิงก์ ‘อันดับเทียนกง’ ด้านล่างของบัญชีทางการ จากนั้นลิงก์บทความวีแชตก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของซีจยา ซึ่งหัวข้อของบทความนี้คือ ‘รวมรายชื่ออันดับเทียนกงครั้งที่ 316’ และรูปภาพที่ใช้ในบทความก็คืออู๋เซียงชิงหลีที่ห้อยอยู่บนคอของซีจยาในตอนนี้!
เผยอวี้พูดด้วยความร้อนใจ “นายมัวเซ่ออะไรอยู่เนี่ย กดเปิดสิ ฉันจะให้นายดูอันดับเทียนกงล่าสุด”
ซีจยาหันหน้าไปมองเขา “…เทียนซือมือปราบผีอย่างพวกคุณเล่นวีแชตเป็นกันด้วยเหรอ”
เผยอวี้ถามกลับ “ทำไมเราจะเล่นวีแชตไม่ได้ เฮ้ ทำไมนายถึงเงียบอีกแล้วเนี่ย”
ซีจยาหน้านิ่ง “ผมต้องการเวลาปรับโลกทัศน์ของผมใหม่สักหน่อยน่ะ”
หลังจากซีจยาสะกดจิตตัวเองให้ยอมรับว่า ‘เทียนซือมือปราบผีกลุ่มนี้ดูเหมือนจะทันสมัยเป็นพิเศษ’ เขาก็คลิกเปิดบทความอันดับเทียนกงนี้ และเมื่อเปิดบทความสิ่งแรกที่พุ่งเข้าสู่ม่านตาคือตัวอักษรสีแดงโลหิตขนาดใหญ่ที่จัดอยู่ในอันดับหนึ่ง
‘อู๋เซียงชิงหลี’
ทั้งบทความไม่ได้ต่างจากบทความของบัญชีทางการส่วนใหญ่ที่ใช้ฟอนต์ขนาดสิบสี่กับระยะห่างระหว่างบรรทัดหนึ่งจุดห้าเท่า มีกฎระเบียบในวงการ มีการเรียบเรียงอย่างสวยงาม ทั้งยังใช้ตัวคั่นข้อความและอักษรสีเทาขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยในการประกอบหมายเหตุ ราวกับว่าเขียนขึ้นโดยฝ่ายขายมือฉมังผู้มีประสบการณ์โชกโชน
บทความแสดงรายชื่อของวิเศษจำนวนหนึ่งทีละบรรทัดตามลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ ซีจยารู้จักแค่ชื่อแรกซึ่งก็คือ ‘อู๋เซียงชิงหลี’ และแน่นอนว่าเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสารพัดอาวุธแปลกๆ ทั้งหลายที่อยู่ในลำดับถัดมา แต่เห็นได้ชัดว่าในบทความนี้มีเพียงอู๋เซียงชิงหลีซึ่งอยู่แถวแรกเท่านั้นที่ใช้อักษรสีแดงโลหิตขนาดใหญ่ชวนสะดุดตา ซ้ำยังตั้งใจทำเอฟเฟ็กต์สยองขวัญที่มีเลือดไหลย้อยประกอบให้เป็นพิเศษด้วย ส่วนชื่อของของวิเศษอื่นๆ เพียงใช้ฟอนต์สีดำธรรมดาๆ เท่านั้น
เผยอวี้กลืนน้ำลาย เขาหรี่ตามองไปที่อู๋เซียงชิงหลีบนคอของซีจยา พร้อมกับชี้ไปที่หน้าจออย่างระมัดระวัง
“อันดับเทียนกงเป็นการจัดอันดับของวิเศษในวงการศาสตร์ลี้ลับของเรา จัดอันดับโดยสหายนักพรตมืออาชีพจากสำนักเทียนกง ซึ่งอู๋เซียงชิงหลีครองอันดับสูงสุดติดต่อกันมาเก้าสิบเจ็ดครั้งแล้ว นายลองดูตัวอักษรที่มีเลือดไหลย้อยนี่ แล้วพูดมาซิว่ามันน่ากลัวไหม”
ซีจยา “…”
ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยท่าทางซึนเดเระ* ของลูกเต๋าสัมฤทธิ์ตอนกลิ้งไปด้านข้างสองครั้งเมื่อคืนนี้ แล้วมันจะไปเชื่อมโยงกับสุดยอดของวิเศษที่ปราบผีโดยไม่กะพริบตาได้เสียที่ไหน
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกว่ามันแปลก “ถ้าอู๋เซียงชิงหลีสุดยอดขนาดนั้นจริงๆ ทำไมอาจารย์เย่ถึงได้ให้ผมยืมล่ะ”
เผยอวี้พูดออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ “ฉันเพิ่งพูดไปไม่ใช่หรือไงว่าเป็นเพราะมีแต่อู๋เซียงชิงหลีเท่านั้นที่สามารถสะกดพลังหยินของนายได้”
ใบหน้าของซีจยาราบเรียบ เขาหรี่ตา “ทำไมเขาถึงต้องมายุ่งเรื่องของผมด้วยความกระตือรือร้นแบบนี้ด้วย”
“เพราะเขาคือมัจจุราชเย่ยังไงล่ะ”
ซีจยานิ่งงัน
เผยอวี้ตบต้นขา “นายจะเข้าใจหลังจากอ่านสิ่งนี้”
ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ซีจยาก็พลันเบิกตากว้างและมองคำบรรยายสีทองที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าด้วยความตกใจ โดยคำบรรยายสีทองที่ว่านี้ไม่ได้อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ แต่พวกมันลอยอยู่กลางอากาศ!
อาทิตย์อัสดงลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ภายใต้แสงจันทร์สลัวแสนอ่อนโยนนั้น ซีจยากับเผยอวี้เดินไปยังมุมหนึ่งของสวนดอกไม้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของพวกเขาเลย ซ้ำยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าชายหนุ่มสังคมนิยมที่มีพัฒนาการรอบด้านทั้งด้านคุณธรรม สติปัญญา ร่างกาย ความงาม และแรงงาน ในวันนี้โลกทัศน์ของเขาได้พังทลายลงครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ริมฝีปากของซีจยาก็กระตุก “…นี่ก็เป็นบทความที่พวกคุณใช้บัญชีทางการของวีแชตโพสต์เหรอครับ” เทนเส้น* มีทักษะด้านนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่าหม่าฮั่วเถิ่ง** จะเป็นคนของวงการศาสตร์ลี้ลับด้วย?!
เผยอวี้ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ๆ ด้วยความที่อันดับโม่โต่วอัพเดตเร็วเกินไป และแน่นอนว่าโพสต์ใน ‘พวกผีรู้ดี’ ไม่ได้อยู่แล้ว เลยทำได้แค่แสดงให้เห็นและอัพเดตตามเวลาจริงด้วยโม่โต่ว ฉันจำได้ว่าถ้าติดตามบัญชีทางการช่วงนี้เหมือนจะแถมโม่โต่วให้นี่นา เมื่อกี้ตอนกดติดตามนายไม่เห็นเหรอ งั้นอีกเดี๋ยวนายก็รีบไปกรอกที่อยู่กับข้อมูลละกัน แล้วคนของสำนักเทียนกงก็จะส่งโม่โต่วแบบพัสดุด่วนมาให้นาย นี่ไงโม่โต่ว”
ซีจยาก้มหน้ามองเครื่องมือหน้าตาประหลาดที่มีสภาพดำปี๋จนดูไม่ได้ของเผยอวี้
มันเป็นวัตถุประหลาดรูปร่างคล้ายเรืออูเผิง*** ทั้งตัวเรือเป็นสีดำล้วน มีเฟืองขนาดเล็กชิ้นหนึ่งอยู่ข้างหน้า และมีชามขนาดเล็กรูปทรงกระบวยอยู่ข้างหลังเฟืองอีกที ภายในชามขนาดเล็กเต็มไปด้วยผงสีทอง เวลานี้ฟันเฟืองกำลังหมุนเบาๆ ผงเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางอากาศราวกับดาวดวงน้อยจำนวนมาก แล้วก่อตัวเป็นอักษรสีทองเหล่านี้ที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ
ซีจยาจ้องเขม็งไปที่โม่โต่วสีดำในมือของเผยอวี้ แต่เผยอวี้กลับชี้ไปที่อักษรสีทองกลางอากาศอย่างภาคภูมิใจ
“เห็นไหม เดือนนี้ฉันอยู่อันดับเจ็ด ในวงการศาสตร์ลี้ลับปีนี้มีคนหนุ่มสาวทั้งหมดหนึ่งหมื่นกว่าคน และฉันก็ได้อยู่ในอันดับที่เจ็ด”
ซีจยาไม่มีเวลาจะไปชมเชยเทียนซือที่พูดโยงไปเรื่อยคนนี้ เขาไล่สายตาจากอันดับของเผยอวี้มองไปข้างบน แม้ชื่อเหล่านี้จะลอยอยู่กลางอากาศด้วยกัน แต่มันก็เหมือนกับกราฟแท่งที่กำกับด้วยชื่อทีละชื่อ ยิ่งไปด้านหน้าชื่อก็ยิ่งลอยสูงขึ้น ตอนมองไปที่ชื่อของเผยอวี้ ซีจยายังต้องก้มหน้าลงอยู่ แต่เมื่อเขาเห็นด้านหน้าสุด สายตาเขาก็อยู่ในระดับเดียวกับชื่อนั้นแล้ว
“หนานอี้?”
เผยอวี้ที่อยู่ด้านข้างยังคงยิ้มแฉ่งขณะมองชื่อของตัวเอง เขาซ่อนสีหน้าได้ใจเอาไว้ไม่อยู่ ซีจยามองคำว่า ‘หนานอี้’ อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่หลังจากดูอยู่นานเขาก็หันหน้าไปถามว่า “ทำไมไม่เห็นอาจารย์เย่เลย”
เผยอวี้ชี้ไปที่ท้องฟ้าทันที
ซีจยามองตามนิ้วของเขาด้วยความสงสัย
เผยอวี้กล่าวว่า “เห็นไหม มัจจุราชเย่อยู่นั่นไง”
ซีจยาเพ่งสมาธิมองอยู่นาน แต่ก็ยังมองไม่ออกว่ามีชื่ออยู่ตรงไหน
เผยอวี้ร้อนรนขึ้นมา “ก็อยู่ตรงนั้นไง อันดับโม่โต่วจัดอันดับตามประสิทธิภาพการปราบผีของทุกคนในทุกเดือน ยิ่งปราบผีมากเท่าไรอันดับก็จะยิ่งสูงขึ้นและชื่อก็จะยิ่งลอยสูงขึ้นด้วย นายดูให้ดีๆ สิ ตรงนั้นไง บนท้องฟ้ามีจุดสีทองเล็กๆ อยู่หนึ่งจุดไม่ใช่เหรอ นั่นแหละชื่อของมัจจุราชเย่!”
บนผืนราตรีอันกว้างใหญ่ไพศาล ซีจยาเห็นเพียงดาวสีทองสุดแสนพร่างพราวดวงหนึ่งกำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ระหว่างพระจันทร์เสี้ยวและหมู่ดาวด้วยกัน
ซีจยา “…”
นายช่วยอย่าชี้ดาวดวงหนึ่งแล้วบอกว่านั่นคือชื่อเขาได้ไหม!
เนื่องจากร่างกายมีคุณลักษณะพิเศษ ซีจยาจึงสามารถมองเห็นผีได้ตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งตอนเด็กยังเคยเจอเทียนซือมือปราบผีด้วย
ตอนนั้นเขาอายุไม่เกินสี่ขวบ กำลังเป็นช่วงที่เรียกว่าลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ* เขาไม่เคยกลัวพวกผีหน้าตาประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวทั้งหลายเลย แต่นั่นกลับทำให้พ่อของเขากังวลใจอย่างมาก แม่ของซีจยาจากไปก่อนเวลาอันควร ส่วนฝั่งพ่อไม่ว่าอีกฝ่ายจะหาเทียนซือตัวปลอมหรือร่างทรงปลอมมาให้เขาสักเท่าไรก็เปล่าประโยชน์ กระทั่งเมื่อเขาอายุสี่ขวบถึงได้มีชายชราเคราขาวคนหนึ่งมอบหินสะกดพลังหยินให้เขา นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเทียนซือมือปราบผี
ความทรงจำตอนอายุสี่ขวบเลือนรางไปนานแล้ว แต่ก่อนพ่อของเขาจะเสียชีวิต ซีจยาเคยได้ยินพ่อของเขาพูดมากกว่าหนึ่งครั้งว่า ‘อาจารย์ท่านนั้นใจดีและเข้าถึงง่ายจริงๆ เขาอุตส่าห์มอบของดีแบบนี้ให้ลูก แถมยังอวยพรให้ลูกเติบโตขึ้นมามีสุขภาพแข็งแรงโดยไม่เอาเงินเลยสักแดง จยาจยา ลูกต้องซาบซึ้งในบุญคุณของอาจารย์ท่านให้มากๆ นะ’
ดังนั้นสิบเก้าปีต่อมาซีจยาผู้ยึดถือความคิดที่ว่า ‘เทียนซือมือปราบผีล้วนเป็นคนจิตใจดีที่ยึดมั่นในคุณธรรม’ ก็ได้พบกับอาจารย์เผยที่ปากเต็มไปด้วยคำพูดเลื่อนลอยไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ไม่เพียงเท่านั้นยังติดตามวีแชตบัญชีทางการแปลกๆ ทั้งยังได้พบกับคนรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งวงการศาสตร์ลี้ลับที่มาจากดวงดาวนั่นอีก…
เผยอวี้ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของซีจยา เขาเริ่มหมุนเฟืองที่อยู่ด้านหน้าของโม่โต่ว หลังจากนั้นไม่นานตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าซีจยาก็ลดสัดส่วนลง กระทั่งชื่อของเผยอวี้และคนอื่นๆ ลดลงจนกลายเป็นจุดแสงสีทองบนพื้น ในที่สุดดาวสีทองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ร่วงหล่นลงมา
เผยอวี้กล่าวว่า “การหมุนรอกของโม่โต่วสามารถควบคุมขนาดของอันดับโม่โต่วได้ ซึ่งรอกก็คือฟันเฟืองอันนี้ที่อยู่ข้างหน้า ตอนนี้นายเห็นชื่อของมัจจุราชเย่ชัดแล้วใช่ไหม สายตานายจะแย่เกินไปแล้ว ฉันอุตส่าห์บอกแล้วว่าจุดแสงสีทองนั่นคือชื่อของมัจจุราชเย่ นายก็ยังจะเห็นไม่ชัดอีก”
ซีจยาเอ่ยอย่างเหลืออด “แล้วทำไมคุณไม่ย่อขนาดให้มันเล็กเท่าตอนนี้เพื่อให้ผมเห็นชื่อของเขาชัดๆ ตั้งแต่แรกล่ะ”
ใบหน้าของเผยอวี้แข็งค้าง ผ่านไปสักพักเขาก็หัวเราะฮิๆ แล้วพูดว่า “ถ้าฉันย่อเล็กลงขนาดนี้ นายก็จะเห็นชื่อฉันไม่ชัดไม่ใช่หรือไง”
ซีจยาก้มหน้ามองบรรดาจุดแสงสีทองด้านล่างแวบหนึ่ง
…ก็แค่ที่เจ็ดไม่ใช่เหรอ ใครเขาอยากจะเห็นชื่อนายชัดๆ กัน
ซีจยาตั้งสมาธิมองไปยังชื่อสีทองที่ลอยอยู่ตรงหน้าตนโดยไม่สนใจเขาอีกต่อไป ผงสีทองลอยออกมาจากโม่โต่วตลอดเวลา พระจันทร์เสี้ยวได้ขึ้นสู่กลางท้องฟ้าอยู่ระหว่างผืนนภาและผืนพสุธา พื้นที่โดยรอบโล่งกว้างและเงียบสงัด มีแสงสีทองจำนวนมากกระจายตัวอยู่ด้านล่าง ทว่ามีเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศ…
“เย่จิ้งจือ”
ซีจยาอ่านออกเสียงชื่อนั้นเบาๆ แต่ใครจะไปนึกว่าในขณะที่เขาเพิ่งจะพูดออกมา จู่ๆ เผยอวี้ก็ปิดปากของเขาทันที
“ชู่ว! นายอ่านชื่อมัจจุราชเย่ออกเสียงได้ยังไงกัน ถ้าเขาได้ยินเข้าจะทำยังไง”
ซีจยาผงะไปเล็กน้อย “เขาอยู่แถวนี้เหรอ”
“ในบรรดาเทียนซือในรุ่นอาจารย์ของฉันมีผู้อาวุโสสองสามคนที่ขอแค่นายพูดชื่อของพวกเขาแบบออกเสียงออกมา ต่อให้อยู่ห่างออกไปเป็นพันลี้พวกเขาก็สามารถรับรู้ที่อยู่ของนายได้ ใครจะไปรู้ว่ามัจจุราชเย่เก่งขนาดไหน ถ้าเขาเก่งขนาดรุ่นอาจารย์ งั้นแค่นายพูดชื่อเขาก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือไง”
ซีจยามองไปที่เผยอวี้อย่างอึ้งๆ “…ห่างออกไปเป็นพันลี้ก็ยังได้ยินคนอื่นพูดชื่อตัวเองอีกเหรอ”
เผยอวี้พยักหน้าอย่างเห็นเหมาะเห็นควร “ยังไงอาจารย์ของมัจจุราชเย่ก็ทำแบบนั้นได้แล้วกัน”
“แล้วถ้ามีคนชื่อนี้เหมือนกันล่ะ”
เผยอวี้ “…”
“ถึงชื่อเย่…อาจารย์เย่จะค่อนข้างพิเศษ แต่ทั้งประเทศจีนมีคนตั้งหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน ยังไงก็ต้องมีหลายคนที่ชื่อนี้เหมือนกัน หรือว่าเขาจะได้ยินคนกลุ่มหนึ่งเรียกชื่อตัวเองทุกวัน?”
ลองนึกภาพว่าอาจารย์เย่กำลังปราบผี แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงตะคอกดังขึ้นข้างหู ‘เย่จิ้งจือ! วันนี้นอนห้องครัว!’ หากเจอแบบนี้เข้ามีหวังต้องเหวอไปเลยแน่ๆ แถมบางทีผีตนนั้นอาจโชคดีหนีไปได้ด้วย
จากนั้นลองนึกภาพอีกว่าอาจารย์เย่กำลังมีอาการท้องผูก แล้วในช่วงเวลาสำคัญจู่ๆ ก็มีคนมาพูดข้างหูว่า ‘เย่จิ้งจือ ตัวเองยังอยากอยู่อีกเหรอ เมื่อคืนตัวเองดุดันไม่เกรงใจใครเลยอะ เค้าช้อบชอบ~’ เจอแบบนี้เข้าข้าศึกคงได้ถอยทัพกลับไปพอดี แถมบางทีอาจท้องผูกไปอีกสามวันด้วย
อันที่จริงสถานการณ์พวกนี้ยังถือว่าดีแล้ว ลองนึกดูสิว่าถ้าอาจารย์เย่กำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับคนรักของเขา ขณะที่พวกเขาสองคนเพิ่งมีอารมณ์เต็มที่และอาจารย์เย่กำลังจะปลดปล่อย ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีคนตะโกนใส่หูเขาว่า ‘เย่จิ้งจือหมายเลขสามสิบสองเข้าห้องผ่าตัดขริบหนังหุ้มปลาย!’
คราวนี้แหละจบเห่แน่ เพราะอาจารย์เย่อาจจะเหี่ยวหรือไม่ก็อาจจะต้องบอกลาชีวิตทางเพศอันสุขสันต์ที่เหลืออยู่ไปเลยก็ได้
อีกอย่างนะ อย่าว่าแต่เย่จิ้งจือ (叶镜之) เลย ถ้ามีคนเรียกเย่จิ้งจือ (叶静之) เย่จิ้งจือ (叶敬之) หรือเย่จิ้งจือ (叶竞之) ล่ะ…อาจารย์เย่จะได้ยินหรือเปล่า แล้วถ้าสมมติว่าไปเจอคนที่แยก ง งู กับ จ จาน ไม่ได้เข้า พระเจ้าช่วย…งั้นไม่ว่าจะเย่จิ้นจือ (叶近之) เย่จิ้นจือ (叶禁之) หรือเย่จิ้นจือ (叶尽之)…เขาก็จะได้ยินทั้งหมดนี่เลยน่ะสิ
ยิ่งคิดก็ยิ่งไปกันใหญ่ พอหวนนึกถึงใบหน้าที่หล่อเหลาและดูปราศจากกิเลสนั่นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรซีจยาก็นึกสภาพอีกฝ่ายท้องผูกหรือเจ้าหนูไม่แข็งตัวไม่ออกเลยจริงๆ
เผยอวี้เองก็ไม่เคยถูกถามคำถามแบบนี้มาก่อน เขาครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างว่า “นายจะสนใจขนาดนั้นไปทำไมกัน แค่อย่าพูดชื่อเขาก็พอ ถ้าเขาสังเกตเห็นเราเข้า แบบนั้นจบเห่แน่!”
ซีจยาพยักหน้าเงียบๆ
หัวข้อการสนทนากลับไปที่จุดเริ่มต้นแรกสุดอย่างรวดเร็ว บางทีอาจเพราะไม่อยากให้ซีจยาถามคำถามแปลกๆ แบบนั้นอีกก็เป็นได้ คราวนี้เผยอวี้อธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน
“อันดับโม่โต่วมีการอัพเดตเดือนละครั้ง อันดับเทียนกงก็เหมือนกัน แต่จำนวนผีที่ถูกปราบของอันดับโม่โต่วจะเปลี่ยนแปลงตามเวลาจริง เพราะงั้นเลยต้องใช้โม่โต่วในการนับ เดือนนี้ฉันปราบผีได้ห้าสิบกว่าตน อันที่จริงมันก็เยอะมากแล้วนะ เฉลี่ยวันละสามตน แต่มัจจุราชเย่น่ะแตกต่างจากพวกเรา อย่างแรกคือเพราะเขาเห็นพลังหยินได้ตั้งแต่เกิด เลยมีความเข้าใจเกี่ยวกับภูตผีปีศาจอย่างทะลุปรุโปร่ง อย่างที่สองคือ…เพราะที่จริงแล้วเขาเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมของวงการศาสตร์ลี้ลับของเรา”
ซีจยาตะลึงงัน “แบบอย่างทางศีลธรรม? พวกคุณคัดเลือกอะไรแบบนี้กันด้วยเหรอ” คงไม่ได้มีนักเรียนห้าดี*…เทียนซือห้าดี แล้วก็เทียนซือผู้ปฏิบัติหน้าที่ยอดเยี่ยมด้วยหรอกนะ?!
เผยอวี้รีบส่ายศีรษะ “นายคิดอะไรของนายน่ะ เราจะไปคัดเลือกอะไรแบบนั้นทำไมกัน มัจจุราชเย่เป็นแบบอย่างทางศีลธรรมที่พวกเรายอมรับโดยทั่วกันอยู่แล้ว ถึงเขาจะเย็นชาและเข้าถึงยาก แต่เขาก็มีใจรักในการปราบผีเป็นอย่างมาก ซึ่งในโลกนี้มีผีอยู่ทั้งหมดสามประเภท”
“…”
“ประเภทแรกคือผีล่องลอยหรือก็คือวิญญาณที่เพิ่งตายไม่นาน ล่องลอยไปมาอยู่ในโลกมนุษย์ ผีประเภทนี้หลังจากตายไปจะเข้าสู่วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดภายในสี่สิบแปดชั่วโมง เราไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”
“…”
“ประเภทที่สองคือผีเร่ร่อน หลายคนไม่รู้ว่าทำไมตายแล้วถึงไปผุดไปเกิดไม่ได้ บางคนเป็นเพราะยังไม่สิ้นอายุขัย บางคนเพราะมีความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุ บางคนก็ไม่รู้เหตุผลเลย สรุปคือพวกเขาไม่ใช่ผีร้าย แต่แค่วนเวียนอยู่ในโลกเท่านั้นเอง”
ซีจยาพยักหน้าเบาๆ เขามักจะเจอผีสองประเภทนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วผีที่เขาเห็นอยู่ทุกวันก็คือผีประเภทนี้นี่แหละ และผีพวกนั้นก็จะไม่ทำร้ายมนุษย์
“ส่วนประเภทที่สามคือผีอาฆาตพยาบาท” เผยอวี้ลดเสียงลงทันที “ผีอาฆาตหลอกเอาวิญญาณ ฆ่าคนชิงชีวิต ผีอาฆาตบางตนมีเหตุผลและจะแก้แค้นแค่ศัตรูของตัวเองเท่านั้น หลังจากแก้แค้นสำเร็จก็จะไปผุดไปเกิด แต่ผีอาฆาตบางตน…พวกมันฆ่าคนโดยไร้เหตุผล บางครั้งก็คร่าชีวิตของคนบริสุทธิ์เพื่อล้างแค้น”
ซีจยาหลุบตาลงแล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่เทียนซือต้องจับก็คือผีอาฆาตสินะ”
เผยอวี้กล่าว “ใช่ ขอแค่เป็นผีอาฆาตเราก็จะจับมันทั้งหมด บนโลกนี้มีสิ่งที่ไม่ยุติธรรมมากเกินไป แล้วก็มีคนชั่วร้ายมากเกินไป ซึ่งความเป็นไปได้ที่คนชั่วจะกลายเป็นผีอาฆาตหลังจากตายสูงกว่าคนธรรมดามาก เพราะงั้นผีอาฆาตก็เลยจับไม่หมดไม่สิ้น เราทำได้แค่พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองควรทำอย่างเต็มที่และไม่ปล่อยให้พวกมันไปทำร้ายมนุษย์ธรรมดา เหตุผลที่มัจจุราชเย่ถูกคนหนุ่มสาวอย่างพวกเราเรียกว่ามัจจุราชเป็นเพราะ ‘มัจจุราชปราบผีน้อย’ เมื่อสี่ปีก่อนเป็นปีปิดประตูหยินที่จะปรากฏให้เห็นเพียงหนึ่งครั้งในรอบศตวรรษพอดี ประตูหยินที่เฟิงตู** เปิดกว้าง ผีอาฆาตนับแสนลอยละล่องออกมาจากสังสารวัฏก่อความวุ่นวายให้โลกมนุษย์ มัจจุราชเย่กับอู๋เซียงชิงหลีเลยรีบเข้าไปที่เฟิงตูด้วยกันและได้ปราบผีร้ายไปแปดพันสี่ร้อยหกสิบเอ็ดตน หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็กลายเป็นมัจจุราชเย่และกลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์อย่างพวกเรา”
ใบหน้าขาวสะอาดเผยสีหน้าเห็นอกเห็นใจออกมา เผยอวี้พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ถึงแม้ที่ผ่านมาฉันจะกลัวมัจจุราชเย่อยู่หน่อยๆ แต่พูดตามตรงในวงการศาสตร์ลี้ลับของเรา น้อยคนมากที่จะจริงจังกับการปราบผีจนไม่หลับไม่นอนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างเขา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอันดับในอันดับโม่โต่วของเขาถึงได้สูงลิ่วขนาดนั้น เพราะงั้นหลังจากเห็นว่าพลังหยินของนายมากขนาดนี้ เขาถึงได้ให้นายยืมอู๋เซียงชิงหลียังไงล่ะ ไม่อย่างนั้นต้องมีผีร้ายมาก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์เพราะพลังหยินของนายแน่ๆ…เฮ้ นี่นายฟังฉันอยู่ไหมเนี่ย!”
ซีจยาก้มหน้าลูบลูกเต๋าสัมฤทธิ์บนคอ สัมผัสเย็นเยียบแล่นปลาบจากปลายนิ้วไปสู่หัวใจ ชายหนุ่มหน้าสวยเอ่ยถามเสียงต่ำ “อู๋เซียงชิงหลีสุดยอดขนาดนั้นจริงๆ เหรอ”
เมื่อเผยอวี้ที่กำลังไม่พอใจได้ยินแบบนั้นเขาก็มองไปที่อู๋เซียงชิงหลีอย่างหวาดผวาแล้วพูดเสียงเบาว่า “อืม เอา…เอาเป็นว่ายังไงฉันก็ไม่กล้าแตะต้องมันแล้วกัน”
เมื่อประโยคดังกล่าวจบลง ลูกเต๋าสัมฤทธิ์ก็กลิ้งเองสองทีในมือของซีจยาราวกับกำลังพูดว่าเจ้าคนปอดแหก ใครอยากให้เจ้ามาแตะต้องกัน!
ทันใดนั้นเผยอวี้ก็ส่งเสียงร้อง ‘เอ๊ะ’ แล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะทั้งที่ฉันหาผีในกองถ่ายของผู้กำกับหวังไม่เจอ แต่กลับมีพลังหยินจำนวนมากอยู่ที่นั่น สาเหตุแรกอาจเป็นเพราะพลังหยินของนายรั่วไหลออกไป ส่วนสาเหตุที่สองคือที่นั่นอาจมีผีอาฆาตจริงๆ แต่พอนายใส่อู๋เซียงชิงหลีไปที่กองถ่าย ผีอาฆาตตนนั้นคงถูกรังสีอำมหิตของอู๋เซียงชิงหลีทำให้ตกใจกลัวจนหนีเตลิดไปแล้วแน่เลย!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าความจริงเป็นเช่นนั้น เผยอวี้หัวเราะคิกคักและกดไลค์ให้กับความฉลาดปราดเปรื่องของตัวเอง
ซีจยาลูบลูกเต๋าสัมฤทธิ์พลางมองไปที่เผยอวี้ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม หลังจากนั้นสักพักเขาก็พูดเรียบๆ ว่า “อาจารย์เผยช่างปราดเปรื่องจริงๆ”
เผยอวี้โบกมือ “แหงอยู่แล้ว ยังไงฉันก็เป็นถึงอันดับเจ็ดของโม่โต่วเลยนะ”
ในขณะที่พูดเผยอวี้ก็เริ่มเก็บโม่โต่วไปด้วย เมื่อเขาเก็บโม่โต่วกลับมารายชื่ออันดับที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆ กลับสู่ขนาดเดิม คำว่า ‘เย่จิ้งจือ’ ที่เป็นอักษรสามตัวลอยกลับขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง กระทั่งกลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับไปในที่สุด ซีจยามองดาวดวงนั้นจากไกลๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าพูดขึ้นว่า “เฮ้ อาจารย์เผย ทำไมคุณถึงตกไปอยู่อันดับที่เก้าแล้วล่ะ”
เผยอวี้ตกใจ หลังจากนั้นครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้น “แม่ง! คู่พี่น้องเจียงถงกับเจียงฉยงต้องปราบผีด้วยกันอีกแล้วแน่ๆ มันจะเกินไปแล้วนะ พวกเขาสองคนร่วมมือกันฆ่าผีทีไรก็ลงแรงน้อยแต่ได้ผลลัพธ์มากทุกที แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”
ซีจยาไม่ได้สนใจเรื่องวงการศาสตร์ลี้ลับของพวกเขามากนัก พอเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว และเขาต้องขึ้นรถบัสเที่ยวสุดท้ายกลับเมืองซู ดังนั้นเขาจึงสาวเท้าเดินกลับไปในโรงพยาบาลเพื่อที่จะเตรียมไปบอกลาเฉินเทา แต่เพิ่งเดินได้เพียงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงที่ไม่รื่นหูสักเท่าไรดังมาจากข้างหลัง
“ซีจยา นายบอกว่ามัจจุราชเย่เคยพักอยู่ที่เมืองซูก่อนจะไปเมืองหลวงเหรอ”
ซีจยาชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันกลับไปหา “อืม ทำไมเหรอ”
“ที่ที่มัจจุราชเย่ปรากฏตัวมักจะมีผีอาฆาตอยู่เป็นจำนวนมาก ตอนนี้เป็นช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนมีนาคมแล้วด้วย การแข่งขันของอันดับโม่โต่วเลยดุเดือดมาก ฉันอยากไปที่เมืองซูด้วย ที่นั่นจะต้องมีคะแนนเยอะมาก…เอ้ย ไม่สิ มีผีเยอะมากแน่ๆ ในเมื่อมัจจุราชเย่ต้องไปที่เมืองหลวงเพราะนาย งั้นผีอาฆาตในเมืองซูก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันแล้วกัน การกำจัดสิ่งชั่วร้ายและปราบผีล้วนเป็นหน้าที่ของเทียนซืออย่างพวกเราอยู่แล้ว ภารกิจอันพึงปฏิบัติไม่อาจบอกปัดได้!”
ซีจยา “…”
เมื่อกี้นายหลุดปากพูดมาแล้วนะรู้ยัง!
อย่างไรก็ตามเมื่อซีจยาขึ้นรถบัสกลับเมืองซู อาจารย์เผยคนนั้นก็ขึ้นตามมาด้วยอย่างหน้าไม่อาย ระหว่างทางอาจารย์เผยกลายเป็นคนช่างจ้อคอยถามถึงเมืองซูอยู่ตลอดเวลา เขาพูดประมาณว่า “ชีวิตนี้ฉันไม่เคยไปเมืองซูมาก่อนเลย ได้ยินว่ามันสวยมากเลยใช่ไหม หมู่บ้านริมน้ำแห่งเจียงหนานของพวกนายจะต้องดีงามแน่ๆ ถึงกับมีคนพูดเลยนะว่าบนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีเมืองซูกับเมืองหัง ฮิๆๆ เมืองซูมีสาวสวยเพียบเลยใช่ไหม…”
ซีจยาไม่อยากจะสนใจเขา แต่พอฟังเขาพูดมากๆ เข้ามันก็น่ารำคาญ ทว่าก่อนที่ซีจยาจะได้ออกปากห้ามปราม จู่ๆ ลูกเต๋าสัมฤทธิ์รูปลักษณ์เรียบง่ายแบบโบราณก็ลอยมาตรงหน้าเผยอวี้ มันสั่นด้วยท่าทางสุดโอหัง
หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยเบิกตากว้าง จ้องลูกเต๋าสัมฤทธิ์ตาเขม็ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นานเผยอวี้ก็หดตัวเข้ามุมอย่างว่าง่าย โดยไม่กล้าพูดอะไรกับซีจยาอีกเลย
เมื่อกลับมาถึงเมืองซูก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เผยอวี้ไม่คุ้นเคยกับอะไรที่นี่เลย ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าควรไปที่ไหนในตอนกลางดึกแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงทำตัวหน้าไม่อายเดินตามหลังซีจยาและขึ้นแท็กซี่ไปด้วยกัน
พอมาถึงประตูทางเข้าเขตชุมชน ซีจยาก็ลงจากรถแล้วถอนหายใจเบาๆ “อาจารย์เผย เราสนิทกันเหรอ”
เผยอวี้ถามกลับด้วยความงุนงง “เราไม่สนิทกันเหรอ”
ซีจยา “…”
สลัดเจ้าตัวติดหนึบเป็นตังเมนี่ไม่หลุดจริงๆ ซีจยาเดินไปทางเขตชุมชนอย่างหมดคำจะพูด โดยมีเผยอวี้ซึ่งยังคงพูดพล่ามน้ำไหลไฟดับอยู่ด้านข้าง และในวินาทีที่เท้าข้างหนึ่งก้าวข้ามประตูทางเข้าเขตชุมชนมา ร่างของซีจยาก็แข็งทื่อไปโดยฉับพลัน ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้ามองเขตชุมชนที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
เขาพบว่าแสงจันทร์มืดสลัวลอดผ่านหมู่ไม้หนาทึบเข้ามาทำให้ภายในเขตชุมชนเกิดเงาทะมึนเป็นเค้าโครงรางๆ ขึ้น ไฟถนนทั้งสองข้างทางถูกใบไม้ของต้นไม้ริมทางบดบังเอาไว้ เหลือเพียงแสงไฟอันน้อยนิดลอดผ่านใบไม้ที่ทับซ้อนกันสาดส่องลงบนทางเดินเล็กๆ สายนี้ สายลมราตรีอันเย็นยะเยือกพัดเข้ามาพาให้ผู้คนตัวสั่นสะท้านและทำให้ใบไม้กระทบกันจนเกิดเสียงดังแซ่กซ่า บรรยากาศเงียบสงัดอย่างน่าพิศวง
ภายในเขตชุมชนเงียบงันจนน่าพรั่นพรึง
ไม่มีบ้านคนเปิดไฟเลยสักหลังและไม่มีผู้อยู่อาศัยคนใดส่งเสียงสักแอะ
ต่อมาเผยอวี้ก็ค่อยๆ หยุดพูด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองไปที่เขตชุมชนแห่งนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
* หลัวผาน คือเข็มทิศจีนสำหรับดูฮวงจุ้ย ใช้ในการตรวจจับพลังงานที่มองไม่เห็น
** มีผีอยู่ในใจ เป็นสำนวน หมายถึงมีแผนการซ่อนเร้นอยู่ในใจ
* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 00.59 น.
* โม่โต่ว คือเครื่องมือแบบดั้งเดิมของจีนที่ใช้สำหรับงานไม้ต่างๆ
* ซึนเดเระ เป็นภาษาญี่ปุ่น ใช้เรียกแทนบุคลิกภาพอย่างหนึ่งของคนที่การกระทำตรงข้ามกับความรู้สึก
* เทนเส้น ล้อกับชื่อบริษัทเทนเซ็นต์อันเป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีน ให้บริการเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น หรือเกมออนไลน์ชื่อดังมากมาย เช่น QQ, WeChat, Weibo, Honor of Kings
** หม่าฮั่วเถิ่ง ล้อมาจากชื่อของหม่าฮั่วเถิง ซีอีโอของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่างบริษัทเทนเซ็นต์
*** เรืออูเผิง คือพาหนะทางน้ำซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเจ้อเจียง มีลักษณะเป็นเรือไม้สีดำมุงหลังคา
* ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ เป็นสำนวน หมายถึงคนหนุ่มสาวที่ยังผ่านโลกมาไม่มาก ไม่รู้ถึงความหนักเบาของเหตุการณ์จึงกล้าคิดกล้าทำ พร้อมจะถาโถมเข้าใส่ทุกสิ่ง เปรียบเหมือนลูกวัวแรกเกิดที่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของเสือจึงไม่รู้จักกลัว
* ห้าดี หมายถึงคุณงามความดีห้าประการ ได้แก่ ด้านศีลธรรม ด้านสติปัญญา ด้านสุขภาพ ด้านสุนทรียภาพ และด้านการทำงาน
** เฟิงตู คือเขตหนึ่งในเมืองฉงชิ่ง มีอีกชื่อเรียกว่าเมืองผีเฟิงตู กล่าวขานกันว่าเป็นสถานที่ซึ่งเจ้าแห่งยมโลกเอาไว้ใช้จัดการกับวิญญาณทั้งหลาย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.