X
    Categories: everYทดลองอ่านยุทธจักรเริงรมย์

ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่สาม

 

คืนวันแบบนี้ดำเนินไปอีกสองวัน พูดกับอวิ๋นชิงไปก็เปล่าประโยชน์ ในที่สุดเสี่ยวชุนก็ทนไม่ไหว ไปหาแม่เล้าขอยาปลุกกำหนัดที่ช่วยเร้าอารมณ์มาสองสามชนิดเพื่อเอามาศึกษาวิธีถอนพิษ จากนั้นก็เขียนสูตรยาใหม่เอี่ยมออกมา เช้าตรู่วันถัดมาก็วิ่งไปซื้อสมุนไพรช่วยชีวิตแต่ละแบบที่ร้านยา

สารน้ำจำเป็น* ที่คนพูดถึงกันบอกว่าน้ำรักก็คือเลือด หากปล่อยเลือดออกไปมากจะทำให้คนตายได้ คิดดูเขาจ้าวเสี่ยวชุนอายุยังน้อย อนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด ยังไม่ทันมีชื่อเสียงระบือไกล จะให้สู้ศึกสิ้นชีพที่หอคณิกา มีจุดจบที่น่าอนาถด้วยการเสียน้ำรักจนตัวตายได้อย่างไร

หลายคืนมานี้เสี่ยวชุนเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ทั้งหน้าตาอิดโรย จ่ายเงินแล้วแบกยา ยกเท้าสองข้างที่สั่นนิดๆ ก้าวออกมาจากร้านยา คิดไม่ถึงว่าเพิ่งก้าวออกมาจากประตูร้านก็จะเห็นสายลมหวีดหวิวพัดใบไม้ร่วงจากกิ่งไม้แต่เช้าตรู่ คนชุดดำคนหนึ่งชี้ดาบมาที่เขา มองเขาด้วยสายตาเยียบเย็นเป็นประกาย

พริบตานั้นศัตรูไม่ขยับข้าก็ไม่ขยับ ดวงตาดอกท้อของเสี่ยวชุนกะพริบแต่ร่างกายแน่นิ่ง พวกเขาคล้ายสมณะชราสองรูปที่กำลังเข้าฌานนิ่งอยู่บนถนนใหญ่ สี่ตาจ้องประสานฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ละสายตา

“มาแล้ว ขออภัยๆ!!” ชายชราที่หาบขายอาหารแต่เช้า แทรกผ่านกลางระหว่างคนสองคนที่ขวางทางอยู่บนถนนใหญ่ส่งเสียงเหนื่อยหอบ

ชายชราเดินหาบเร่พลางร้องขายของตามถนน “น้ำเต้าหู้ร้อนๆ ปาท่องโก๋จ้า! เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ เลยจ้า! น้ำเต้าหู้ร้อนๆ ปาท่องโก๋จ้า!!”

เมื่อชายชราสวนไปแล้วเสี่ยวชุนก็รีบสาดผงแป้งใส่คนชุดดำทันทีแล้วร้องลั่น “ดูนี่ ยาสลบข้า!”

คนชุดดำเคยเจอฤทธิ์ยาสลบมาแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นนอนกระดุกกระดิกไม่ได้สามวันสามคืนในป่ากันดาร จึงเอามือป้องปิดลมหายใจทันที คิดไม่ถึงว่าในพริบตาสั้นๆ ร่างเสี่ยวชุนจะแวบหายไปไม่เห็นเงาแล้ว

ชายชราที่กำลังหาบน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋อยู่ไม่ได้ล้มลง

คนชุดดำก็ไม่ได้ล้มลง

มีเพียงผงแป้งละเอียดลอยละล่อง ฟุ้งกระจายทั่วทิศทาง

ชายชรากะพริบตาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอก้มหน้าก็พบว่าของกินในหาบของตนเองเลอะฝุ่นอะไรไม่รู้หมดแล้ว โมโหจนแหกปากร้องลั่น “เด็กบ้าที่ไหนมาสาดอะไรเนี่ย แล้วน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ข้าจะขายอย่างไร!”

คนชุดดำแตะผงแป้งจำนวนหนึ่งมาดมด้วยความฉงน หน้าพลันคล้ำเขียว พบว่าตนเองถูกต้มแล้ว

ที่แท้ผงแป้งที่เสี่ยวชุนสาดไม่ใช่ยาสลบ แต่เป็นผงหวงเหลียน** ชั้นดีที่ใช้ขับร้อน ช่วยให้จิตใจสงบ

 

เสี่ยวชุนวิ่งจนหายใจไม่ทัน อีกทั้งกลัวว่าตอนนี้ตนเองสูญพลังปราณแล้ววิชาตัวเบาไม่ล้ำเลิศเท่าแต่ก่อน เขาจึงอ้อมรอบเมืองหานหยางเจ็ดแปดรอบ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาข้างหลังแล้วจึงข้ามผ่านศาลาและป้อมของหอพู่หิมะ รีบรุดกลับห้องตนเอง

“มาแล้วๆ!” เสี่ยวชุนเข้าห้องพลางตะโกนบอก เดิมอยากบอกอวิ๋นชิงว่าตนเองเจอคนชุดดำเข้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าในห้องปีกจะว่างเปล่าไร้เงาคน ไม่รู้อวิ๋นชิงไปอยู่ไหนแล้ว

ครู่ต่อมาอวิ๋นชิงก็ผลักประตูเข้ามา เสี่ยวชุนยังไม่ทันได้เอ่ยปากอวิ๋นชิงก็ถามขึ้น “ไปไหนมา หายไปตั้งแต่เช้าอีกแล้ว”

“อ้อ…” เสี่ยวชุนชะงัก ยกห่อยาขึ้น “ไปซื้อยามาให้เจ้า”

“ฟ้าใกล้มืดแล้ว” อวิ๋นชิงบอก

“อ๊ะ มืดป่านนี้แล้วจริงด้วย!” เสี่ยวชุนมองสีท้องฟ้าแล้วบดยาเอาไปต้มทันที เขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไวด้วยกลัวว่าดึกแล้วพอพระจันทร์ขึ้นต้องลูบๆ คลำๆ เป็นเพื่อนอวิ๋นชิงอีก

ขณะที่กำลังเคี่ยวยา เสี่ยวชุนโน้มคอต่ำจวนจะแตะพื้น วันนี้ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกอ่อนเพลีย อาจเพราะวิ่งรอบเมืองหลายรอบเกินไปตั้งแต่เช้าจึงทำให้เขาทั้งง่วงทั้งเหนื่อย

“ทำไมเจ้าไม่พูดไม่จา” ในห้องเงียบเกินไป อวิ๋นชิงรู้สึกไม่ชิน ทั้งๆ ที่สถานที่ที่เงียบสงัดหากมีจ้าวเสี่ยวชุนคนนี้อยู่ด้วยก็กลายเป็นท้องตลาดที่คึกคักได้ แต่วันนี้ทำไมถึงเงียบงันถึงขั้นนี้

“ไม่มีอะไร ไม่อยากพูดก็ไม่พูด” เสี่ยวชุนหยิบพัดที่ทำจากใบลานเอามาพัดไฟ แต่เผลอทำพัดไหม้ไปส่วนหนึ่ง เขาหาวหวอดอยากนอน

“เลี่ยวเชี่ยวคือใคร”

ได้ยินอวิ๋นชิงอยู่ๆ ก็พูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา เสี่ยวชุนถามกลับด้วยความประหลาดใจ “เจ้าก็รู้จักชื่อเลี่ยวเชี่ยวด้วยหรือ”

“เจ้าร้องเรียกในฝัน” อวิ๋นชิงแค่นเสียงหึเย็นชา คนคนนี้ตอนกลางคืนไม่รู้ฝันลามกอะไร นอนไปพลางน้ำลายไหล แล้วยังฉีกยิ้มร้องตะโกน ‘แม่นางเลี่ยวเชี่ยวรอข้าด้วย!’ ในสี่วันร้องเรียกไปสามครั้งแล้ว หนวกหูจนทำให้เขาเกือบจะสะบัดฝ่ามือซัดให้เจ้าตัวตื่น

“แม่นางเลี่ยวเชี่ยวคือสหายที่ข้าเพิ่งรู้จัก” เสี่ยวชุนยิ้มบอก

“…” ดูเจ้ายิ้มลามกเข้าสิ

เสี่ยวชุนโบกพัดพลางบอก “อีกทั้งยังเป็นสาวงามด้วย” นึกถึงท่าทางนุ่มนวลสง่างามน่ารักของเลี่ยวเชี่ยวแล้วมุมปากและหางคิ้วเสี่ยวชุนก็ยกขึ้นอีก “หลายวันก่อนเพิ่งรู้จัก นางเป็นคณิกาชื่อดังของหอพู่หิมะ งามเลิศอย่างหาใดเปรียบ ข้ามองจนตาค้างไปเลย”

“…”

“แต่เสียดายที่วันนั้นนางถูกคนไถ่ตัวไป ข้าเพิ่งจะคุยกับนางได้แค่สองประโยคก็ถูกซือถูอะไรหยานั่นเข้ามากวน ประมุขปราสาทเขาไร้ฟัน*** อะไรนั่นไม่รู้นิสัยอย่างไร แม่นางเลี่ยวเชี่ยวร่างกายอ่อนแอ หากไม่ดูแลดีๆ จะไม่ได้การ” เสี่ยวชุนนึกชื่ออีกฝ่ายไม่ออกเสียที หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ปรบมือสองข้างบอก “นึกออกแล้ว ประมุขปราสาทเขาหลิวเขียวซือถูอู๋หยา”

“ซือถูอู๋หยา? เจ้าสนิทสนมกับเขาหรือ” อวิ๋นชิงลังเลครู่หนึ่งแล้วอยู่ๆ ก็ถามขึ้น

“สนิทแบบถูกซัดหน้าอกหนึ่งฝ่ามือ” เสี่ยวชุนบอก

“…”

เสี่ยวชุนเห็นอวิ๋นชิงอยู่ดีๆ ก็เงียบจึงหันไปถาม “ไยเจ้าไม่พูดเล่า”

“ไม่มีอะไรให้พูด”

“เฮ้อ เจ้าว่างานชุมนุมผู้กล้าจะเป็นแบบไหนนะ ข้ายังไม่เคยเห็นเลย”

“คนเยอะ”

“ข้ารู้ว่าคนเยอะ” เสี่ยวชุนหัวเราะ บางครั้งคำตอบของอวิ๋นชิงก็ค่อนข้างประหลาด

เสี่ยวชุนจำได้รางๆ ว่างานชุมนุมผู้กล้าเหมือนจะจัดขึ้นที่ปราสาทเขาหลิวเขียวในอีกวันสองวันนี้ ถึงตอนนั้นผู้กล้าจากทุกสารทิศจะมารวมตัวกัน ที่นั่นจะต้องวุ่นวายแน่ๆ และไม่รู้ว่าจะอาศัยความวุ่นวายนั้นแอบเข้าไปในปราสาทเขาหลิวเขียวได้หรือไม่ แม่นางเลี่ยวเชี่ยวถูกซือถูอู๋หยาพาไปต่อหน้าต่อตาเขา แม้นางจะบอกไม่ให้เขากังวล แต่เขารู้ว่าในแง่คุณธรรมแล้วตนเองควรต้องไปเยี่ยมเยียนนางสักหน่อย

อา…ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะปรากฏตัวในงานชุมนุมผู้กล้าหรือไม่ เสี่ยวชุนนึกได้ว่าศิษย์พี่ห้าศิษย์พี่หกบอกว่าศิษย์พี่ใหญ่มีชื่อเสียงในยุทธภพไม่ใช่เล่น หากมีชื่อเสียงไม่ใช่ธรรมดาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้า และผู้กล้าก็ย่อมต้องมาร่วมงานชุมนุมผู้กล้า หากฉวยโอกาสแอบเข้าไปดู ไม่แน่อาจจะเจอศิษย์พี่ใหญ่

แต่… “คราวก่อนแม่เล้าบอกว่างานชุมนุมผู้กล้าจัดวันไหนเดือนไหนกันนะ…” เสี่ยวชุนครุ่นคิดอย่างหนัก

“ยี่สิบเก้า เดือนสิบ” น้ำเสียงของอวิ๋นชิงยังคงเย็นยะเยือก “เจ้าอยากไป?”

“อื้ม ไปหาคน”

“หาใคร” คงไม่ได้ไปหาแม่นางเลี่ยวเชี่ยวที่พูดถึงหรอกใช่หรือไม่

“ข้าจะไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของข้า” เสี่ยวชุนนึกถึงคนชุดดำพวกนั้น สถานที่แบบยุทธภพย่อมมีการขัดคอกัน ในเมื่ออวิ๋นชิงถูกคนชุดดำตามล่าสังหาร แสดงว่าอวิ๋นชิงอาจจะเกี่ยวข้องกับยุทธภพ “ว่าแต่อวิ๋นชิง เจ้าเองก็เป็นคนในยุทธภพสินะ!”

อวิ๋นชิงไม่ตอบ

“ถ้าอย่างนั้นคนที่เจ้ารู้จักมีเยอะไหม เจ้ารู้จักศิษย์พี่ของข้าหรือไม่” เสี่ยวชุนไม่ใส่ใจที่อวิ๋นชิงเงียบไปอีก แต่จ้องอวิ๋นชิงตรงๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ศิษย์พี่ของเจ้าเป็นใครอีกล่ะ” ประเดี๋ยวแม่นางเลี่ยวเชี่ยว ประเดี๋ยวศิษย์พี่ของเขา อวิ๋นชิงถูกเสี่ยวชุนทำให้หงุดหงิดนิดๆ คนคนนี้พูดพึมพำไม่หยุดแล้ววกกลับมาเรื่องชุมนุมผู้กล้าอีก งานชุมนุมผู้กล้าสำคัญกับเขาขนาดนั้นเลยหรือ

“ศิษย์พี่ใหญ่ข้าชื่อสือโถว เจ้าเคยได้ยินไหม” เสี่ยวชุนบอกอย่างตื่นเต้น

“…” อวิ๋นชิงอับจนคำพูดไปครู่หนึ่งแล้วบอก “ไม่เคยได้ยิน”

“เอ๋?” เสี่ยวชุนทำหน้าผิดหวัง

แม่นางเลี่ยวเชี่ยวบอกว่าคนที่ชื่อสือโถวมีมากมายก่ายกอง อวิ๋นชิงก็ไม่เคยได้ยิน ศิษย์พี่ใหญ่ของเขานี่หาตัวยากจริงๆ นะ แค่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ไม่เคยบอกชื่อแซ่จริงกับเขาแท้ๆ!

เงียบงันไปครู่หนึ่งก็ไม่ได้คุยอะไรอีก เสี่ยวชุนเพ่งสมาธิกับยาในหม้อ

สุดท้ายก่อนจะถึงยามไฮ่**** ก็บรรลุผลสำเร็จ เขาเอายาลูกกลอนสีดำที่มีส่วนผสมช่วยคลายพิษยาปลุกกำหนัดใส่ขวดลายครามให้อวิ๋นชิงเรียบร้อย และยาที่ทดลองทำก่อนหน้าพวกนั้นก็ให้อีกฝ่ายกินเล่นเป็นขนม

“ข้าทำยาใหม่ให้เจ้าแล้ว” เสี่ยวชุนคลี่ยิ้มพร้อมส่งขวดลายครามให้อวิ๋นชิง

“เหตุใดต้องทำยาใหม่ด้วย”

“เพราะยาปลุกกำหนัดนั่นร้ายกาจเหลือเกิน ข้าครุ่นคิดอย่างหนักมาสองวัน ในที่สุดข้าก็คิดออกว่าต้องใช้หวงเหลียน หญ้าดีมังกร***** ช่วยขจัดฤทธิ์ยา นอกจากนั้นยังเพิ่มสมุนไพรที่ช่วยให้หลับสบายอีกเล็กน้อย ขอเพียงเจ้ากินยาทุกวันก่อนยามไฮ่ จะช่วยต้านพิษที่กำเริบในยามไฮ่ให้เบาลง ตอนกลางคืนก็จะหลับสบาย!” เสี่ยวชุนบอกอย่างเบิกบานใจ

“หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้นอนก็เพราะคิดยาพวกนี้หรือ” อวิ๋นชิงถือขวดลายครามที่เสี่ยวชุนให้เขา เพราะเมื่อครู่กุมอยู่ในมือเสี่ยวชุนและได้รับความร้อนจากร่างของเขา ทำให้ขวดกระเบื้องเคลือบเย็นๆ อุ่นขึ้นมานิดๆ

อวิ๋นชิงหน้าอกบีบรัด กำขวดลายครามในมือแน่น เขาไม่รู้ว่าทำไมคนคนนี้ต้องดีกับเขาถึงเพียงนี้ ทุกอย่างที่คนคนนี้ทำคล้ายกระแสอุ่นร้อนลากผ่านหัวใจที่เย็นเฉียบของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเป็นเกลียวคลื่นอย่างต่อเนื่อง

“น่าเสียดายที่ข้ามีกำลังไม่พอ ช่วยถอนพิษให้เจ้าไม่ได้ วิธีในตอนนี้แค่ช่วยระงับความทรมานจากพิษกำเริบได้ชั่วคราว รู้สึกผิดต่อเจ้าจริงๆ” เสี่ยวชุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีก “ถ้าหากข้าได้พิษนั่นมา…เฮ้อ…เจ้าบอกว่าพิษนั่นชื่ออะไรนะ”

“จันทร์ครึ่งเสี้ยว”

“ใช่แล้ว ถ้าหากข้าได้จันทร์ครึ่งเสี้ยวมาศึกษาอย่างละเอียด จะต้องทำยาถอนพิษมาช่วยถอนพิษทั้งหมดของเจ้าได้แน่นอน” เสี่ยวชุนบอก “นอกจากนั้นยานี้ก็เหมือนกับยาครั้งก่อน กินครั้งละหนึ่งเม็ดเท่านั้น กินมากกว่านี้ไม่ดี ยาคราวก่อนทำร้ายตับ คราวนี้ทำร้ายตับและทำร้ายไตด้วย หากกินมากเกินไปน่ะนะ…” เสี่ยวชุนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เกรงว่าภรรยาในอนาคตเจ้าจะต้องเกลียดข้าแย่เลย”

“ทำไมพูดแบบนั้น” อวิ๋นชิงไม่เข้าใจ

“ ‘ยาลูกกลอนสยบปืนทอง’ ที่ทำเป็นพิเศษของจ้าวเสี่ยวชุนห้ามกินเยอะ กินแค่เม็ดเดียวแม้จะเป็นมังกรทะเลโผนทะยานก็กลายเป็นไส้เดือนตัวจิ๋ว ต่อให้เจ้าอยากโด่ก็โด่ไม่ขึ้น ทุกคืนจะสงบเสงี่ยมหลับยาวจนฟ้าสาง ไม่เกเรอีกตลอดกาล ปืนทองนั่นคืออะไรเจ้ารู้ใช่ไหม หากไม่เข้าใจข้าจะอธิบายให้ฟัง…” เขาพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงคำรามของอวิ๋นชิง

“จ้าวเสี่ยวชุน เจ้าถึงกับกล้าให้ข้ากินยาแบบนี้” อวิ๋นชิงสีหน้าคล้ำเขียว เขาแค่เห็นสายตาของเสี่ยวชุนก็เดาได้แล้วว่าเสี่ยวชุนบอกใบ้ถึงอะไร

“เฮ้อ ข้าทำแบบนี้เพราะปรารถนาดีต่อเจ้านะ” เสี่ยวชุนหมดทางเลือก แม้ครึ่งของสาเหตุในนั้นก็เพื่อตัวเขาเองด้วย

“ทำร้ายตับทำร้ายไตนี่คือปรารถนาดีต่อข้ารึ” อวิ๋นชิงเดือดจัด อีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาแตะต้องขนาดนี้เชียวหรือ

“เดิมเจ้าก็ถูกลิขิตให้ตับเสียอยู่แล้ว ไตเสียเป็นเรื่องหลังจากนั้น”

อวิ๋นชิงหน้าตาถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ

อยู่ๆ แรงลมก็ปะทะเข้ามา ตามมาด้วยเข็มดอกท้อทั่วทุกหนแห่งราวกับห่าฝนโดยพลัน หนาแน่นมหาศาลราวกับหมอกครึ้มฝนพรำเข้าปกคลุม ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัว

เสี่ยวชุนกุมศีรษะหลบหลีกอยู่ในห้องพลางร้องไม่หยุด ถูกเข็มของอวิ๋นชิงคนงามทิ่มทั่วร่าง คล้ายเม่นน้อยที่ตื่นตระหนกหนีหัวซุกหัวซุน

 

* สารน้ำจำเป็น คือสารที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต เป็นสารประกอบพื้นฐานของร่างกาย

** หวงเหลียน คือสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณขับความร้อน ความชื้น ขับพิษ

*** ไร้ฟัน ภาษาจีนคือคำว่าเหมยหยา (没牙) เป็นการเล่นคำ โดยเหมยแปลว่าไม่มี และหยาแปลว่าฟัน

**** ยามไฮ่ คือช่วงเวลา 21.00 น. ถึง 23.00 น.

***** หญ้าดีมังกร หรือเหล่งต๋าเช่า เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณดับร้อน ดับไฟที่ตับและถุงน้ำดี

ทั้งสองคนตีกันคราวนี้ยากจะควบคุม แม้อวิ๋นชิงจะถึงเวลาที่พิษกำเริบแล้ว แต่ก็ยังทำให้เสี่ยวชุนย่ำเท้าอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเสี่ยวชุนต้องร้องขอความเมตตาไม่หยุด คลื่นลมจึงได้สงบ

ก่อนนอนเสี่ยวชุนนึกเรื่องที่ตอนเช้าเจอคนชุดดำขึ้นมาได้ จึงพลิกตัวหันไปบอกอวิ๋นชิง “เกือบลืมไป วันนี้ตอนเช้าข้าเจอ…”

“ข้ารู้” อวิ๋นชิงขึ้นเตียง หลับตาพักผ่อน “ลูกน้องข้าเห็นแล้ว”

“ที่แท้เจ้ารู้แล้วนี่!” พอได้ยินคำพูดของอวิ๋นชิง เสี่ยวชุนจึงรู้สึกเหมือนว่าตนเองก็ไม่เคยถามว่าอวิ๋นชิงเป็นใครกันแน่ ลูกน้องของอีกฝ่ายรีบรุดมาถึงเมืองหานหยางแล้ว ต้องเป็นตอนที่เขาออกไปข้างนอกแน่ๆ อวิ๋นชิงติดต่อกับคนพวกนั้นได้แล้วสินะ!

ทว่าถามกับไม่ถามจะมีอะไรต่าง

ไหนๆ คนที่เขารู้จักคือตงฟางอวิ๋นชิงตรงหน้าคนนี้ก็พอแล้ว ส่วนที่ว่าคนคนนี้จะมีฐานะตำแหน่งใด สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ

คิดเสร็จแล้วเขาก็พลิกตัวอมยิ้มหลับต่อ

 

ตั้งแต่ยาดีกู้โลก ‘สยบปืนทอง’ สำแดงฤทธิ์บรรลุหน้าที่แล้ว หลายวันมานี้เสี่ยวชุนก็มีชีวิตสุขสบายจริงๆ

แต่สายตาที่อวิ๋นชิงมองเขากลับยิ่งแปลกประหลาดขึ้นทุกที ราวกับอยากจะเขมือบเขาอย่างนั้น เสี่ยวชุนถูกมองจนขนลุกเกรียวทั้งยังหวาดผวา

วันที่ยี่สิบเก้าเสี่ยวชุนเอายาลูกกลอนชุดสุดท้ายที่เพิ่งตากให้เห็นเมื่อคืนใส่ขวดให้อวิ๋นชิงแล้ว อวิ๋นชิงที่หายไปไม่เห็นเงาตั้งแต่เช้าตรู่ก็กลับมาจากข้างนอก

“เก็บเสร็จแล้ว” เสี่ยวชุนเอาขวดลายครามและแผ่นป้ายไม้มะเกลือให้อวิ๋นชิง “นี่คือชุดสำหรับสามเดือน ระหว่างนั้นข้าจะหาสูตรที่ถอนพิษได้หมดจดมาให้เจ้าอย่างเต็มความสามารถ ภายในช่วงนี้เจ้าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ภายในสามเดือนหากข้าไม่มาหาเจ้า เจ้าก็เอาแผ่นป้ายนี้ไปหาอาจารย์ข้าที่หุบเขาเทพเซียนที่อยู่สุดหล้าแสนไกล เขาจะช่วยระงับพิษร้ายในตัวเจ้าไว้ก่อน”

บนแผ่นป้ายไม้มะเกลือไม่มีลายสลักอะไรเลย เป็นแค่แผ่นไม้หนักๆ ด้านบนมีเชือกฝ้ายสีชมพูผูกอยู่หนึ่งเส้น

“เก็บไว้ดีๆ ล่ะ” เสี่ยวชุนกำชับอีก “สำคัญมาก อย่าทำหายส่งเดช”

อวิ๋นชิงมองจ้องแผ่นป้ายไม้มะเกลืออยู่ครู่ใหญ่ มันเหมือนสิ่งของที่อยู่ติดตัวเสี่ยวชุนไม่ห่างมานานปี เขายังได้กลิ่นยาอ่อนๆ จากแผ่นไม้ด้วย เป็นกลิ่นที่เหมือนกับกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่ออกมาจากร่างเสี่ยวชุน

อวิ๋นชิงเอาแผ่นไม้ผูกไว้ที่เอวแล้วก็คว้ามือเสี่ยวชุนลากออกไปข้างนอก

“อีกประเดี๋ยวข้ามีธุระ เจ้าจะทำอะไร” เสี่ยวชุนยังไม่ทันหยิบห่อสัมภาระก็ถูกอวิ๋นชิงดึงลงไปข้างล่างแล้ว

หอพู่หิมะตอนกลางวันยังมีแขกสองสามคน อวิ๋นชิงลากเสี่ยวชุนออกไปปรากฏตัว คนเหล่านั้นที่อยู่ในห้องโถงก็ตะลึงงันไป สายตามองจ้องนิ่งค้าง มองเสี่ยวชุนแล้วมองอวิ๋นชิง ไม่รู้ว่าคนงามมาจากไหนจึงได้งามล้ำอย่างเทพเซียนปานนี้

นักดาบที่กลิ่นสุราคลุ้งคนหนึ่งเพิ่งจะอ้าปากแล้วก็หุบไม่ลงเดินมาทางพวกเขา อวิ๋นชิงซัดอาวุธลับไร้เงาไร้รูปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า เข็มดอกท้อฝังเข้าไปสามส่วนส่งผลให้สิ้นใจทันที เสี่ยวชุนเห็นสีหน้าของคนคนนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำก็ดีดยาลูกกลอนที่เอาไว้ถอนพิษจากเข็มนั้นโดยเฉพาะเข้าปากอีกฝ่าย

“เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนกันแน่ ข้ามีธุระจริงๆ นะ!” พอถูกจับยัดเข้าไปในรถม้าที่มีคนเฝ้าอยู่ข้างหน้า เสี่ยวชุนจึงบอกอย่างหมดหนทาง

“ไปกับข้าก็พอ” อวิ๋นชิงเองก็ไม่คิดจะอธิบาย

รถม้าเป็นรถม้าทั่วไป สารถีคือคนสวมชุดขาวที่ไม่ใช่คนทั่วไป เสี่ยวชุนเดาว่าคงเป็นลูกน้องของอวิ๋นชิงกระมัง!

ตอนนี้อวิ๋นชิงใส่ชุดผ้าไหมสีขาว ขอบผ้าและคอเสื้อปักลายสายลมและเมฆเคลื่อนอย่างเรียบง่าย เส้นผมรัดด้วยหยกขาวรวบขึ้นด้วยเกี้ยวครอบ พู่ห้อยสีเดียวกันห้อยย้อยจากด้านหลังศีรษะ ยามเคลื่อนไหวแขนเสื้อนอกลอยพลิ้ว บุคลิกสะอาดสดชื่นดุจปทุมาพ้นจากธารากระจ่างใส ไม่จำเป็นต้องประดับตกแต่งก็งดงามดุจสวรรค์สร้าง

เสี่ยวชุนเห็นแล้วตะลึงงันไปอยู่นานสองนาน

อวิ๋นชิงคนนี้บริสุทธิ์ไร้ที่ติประหนึ่งเทพเซียน ไม่เปรอะเปื้อนด้วยกลิ่นอายของโลกโลกีย์สักนิดเดียว

บุรุษรูปโฉมงดงามได้ขนาดนี้ช่างเป็นบาปกรรมจริงๆ! ถ้าหากไม่เคยเห็นกับตาตนเอง ไม่เคยลูบคลำกับมือตนเอง ดวงหน้าเช่นนี้จะต้องทำให้ตนไม่อาจต้านทานได้แน่นอน แม้ต้องคอยตามตอแยก็จะอยู่ข้างกายเขา เฝ้ามองตั้งแต่เช้ายันค่ำ ชื่นชมเสียให้พอ

ตะลึงงันแล้วตะลึงงันอีกไปแบบนี้ จนเสี่ยวชุนได้สติอีกทีรถม้าก็จอดแล้ว

เสี่ยวชุนเลิกม่าน แวบแรกที่เห็นก็คิดว่า เฮ้อ ไม่ได้การละ บนแผ่นป้ายทรงเกียรติขนาดใหญ่ตรงทางเข้าประตูใหญ่เขียนด้วยลายมือที่ทรงพลังทั้งอ่อนช้อยว่า ‘ปราสาทเขาหลิวเขียว’

นอกปราสาทเขาหลิวเขียวมีชาวยุทธ์แต่งกายทะมัดทะแมงมาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ขาดสาย เหล่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ขี่ม้าหรือไม่ก็เดินเท้า ส่วนพวกที่นั่งรถม้ามาแบบเขานี่ยังไม่เห็นจริงๆ

บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูรับเทียบเชิญผู้กล้าจากสารถีอย่างนอบน้อม จากนั้นก็มีพ่อบ้านที่หน้าตาเกินอายุรีบมาต้อนรับ นำทางให้สารถีขับรถม้าเข้าไปจอดที่เรือนรับแขกเดี่ยวอีกแห่ง

หลังจากรถม้าจอดแล้วพ่อบ้านเหมือนยังอยากพูดอะไรบางอย่าง คนขับรถม้าจึงบอก “คุณชายเจ็ดของเราออกจากสำนักคราวนี้ไม่ได้ป่าวประกาศ โปรดเรียนประมุขซือถูด้วยว่ามิจำเป็นต้องมาต้อนรับ”

จนเมื่อเสี่ยวชุนและอวิ๋นชิงลงจากรถม้า พ่อบ้านที่เป็นบ่าวรับใช้และคนขับรถม้าก็ถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อมนานแล้ว

“เจ้าจะส่งข้ามาปราสาทเขาหลิวเขียวแล้วทำไมไม่บอกข้า” เสี่ยวชุนคลี่ยิ้มถามอวิ๋นชิง “เดิมข้ายังกังวลอยู่เลยว่าจะแอบเข้ามาอย่างไรดี!”

“ไหนๆ ก็เป็นทางผ่าน มาถึงแล้วเจ้าย่อมรู้เอง” อวิ๋นชิงแค่ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร แต่ก่อนเขาไม่เคยต้องอธิบายให้ใครฟังไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม

“ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ เจ้าช่วยข้าได้เยอะเลย” เสี่ยวชุนยิ้มเบิกบานพร้อมเข้ามาใกล้อวิ๋นชิง คราวนี้ไม่รอให้อวิ๋นชิงดึงมือ เขาก็เป็นฝ่ายดึงแขนเสื้ออวิ๋นชิงมุ่งหน้าเดินเข้าไปข้างใน

อยู่ๆ พวงแก้มอวิ๋นชิงก็อาบย้อมสีแดงเรื่อด้วยความขวยเขิน

จ้าวเสี่ยวชุนคนนี้มีดวงตาดอกท้อยั่วยวนใจ ทุกครั้งที่ยิ้มจะทำให้คนสติหลุดลอยไม่รู้ตัว เดินทางมาที่ปราสาทเขาหลิวเขียวครั้งนี้ไม่รู้ว่าสารเลวสำนักภูษานิลนั่นจะเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เดิมทีเขาไม่ควรพาเสี่ยวชุนมา แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เสี่ยวชุนบอกลาเขาทำให้เขารู้สึกสับสนปั่นป่วนไปหมด ตอนนั้นเขาคิดแต่ว่าหากต้องให้อีกฝ่ายอยู่ห่างจากขอบเขตสายตาเขา มิสู้เก็บอีกฝ่ายไว้ข้างกายจะดีกว่า

จ้าวเสี่ยวชุนเป็นคนแบบใดกันแน่ มีสิ่งใดควรค่าให้ใส่ใจ ทุกครั้งอวิ๋นชิงคิดว่าคุณค่าของคนคนนี้อยู่ที่ความสามารถในการถอนพิษเขาจึงเก็บอีกฝ่ายไว้ แค่เพราะคนคนนี้มีประโยชน์ให้ใช้ จะทิ้งก็เสียดาย แต่พอแค่เห็นคนคนนี้ยิ้ม ตนเองก็เกิดสับสนอีกแล้ว

ตั้งแต่ต้นจนจบอวิ๋นชิงคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดดวงหน้าแย้มยิ้มนั่นจึงทำให้เขานึกถึงดอกท้อในฤดูใบไม้ผลิ สดใสเป็นประกายจนทำให้เขาไม่อาจละสายตา สติหลุดลอยในฉับพลัน

 

ปราสาทเขาหลิวเขียวแห่งหานหยาง หนึ่งในสำนักใหญ่ในรอบร้อยปีของยุทธภพ

ปัจจุบันใต้หล้าแบ่งเป็นสามส่วน หนึ่งนั้นเป็นของโอรสสวรรค์แห่งราชสำนักสมัยปัจจุบัน สองเป็นของฝ่ายมารสำนักภูษานิลที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมสังหารผู้คนราวกับบี้มด สามคือปราสาทเขาหลิวเขียวที่ชาวยุทธ์ทุกคนยกย่องเลื่อมใส ถือหลักธรรมในการปกป้องยุทธภพ มีหน้าที่กำจัดคนชั่วและช่วยเหลือคนอ่อนแอ

แต่ทุกวันนี้ธรรมะหดหายอธรรมเติบโต โอรสสวรรค์สมัยปัจจุบันทรงล้มหมอนนอนเสื่อประชวรหนักบรรทมติดเตียง เหล่าโอรสแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ราชสำนักโกลาหล มารร้ายสำนักภูษานิลนับวันยิ่งแข็งแกร่ง ไม่เพียงแค่กวาดล้างสามเขาสิบหกสำนักที่เป็นปรปักษ์จนเรียบภายในหนึ่งเดือน แต่ยังสังหารกลุ่มคนที่ทำมาหากินด้วยการขนส่งทางน้ำเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการขนส่งพืชพรรณธัญญาหารทางน้ำด้วย งานชุมนุมผู้กล้าครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเห็นสภาพการณ์น่าเป็นห่วง โดยมีปราสาทเขาหลิวเขียวเป็นประธาน อีกทั้งสำนักใหญ่แต่ละแห่งก็ช่วยกันเลือกเฟ้นกลุ่มผู้กล้าที่โดดเด่นในยุทธภพเพื่อร่วมแรงร่วมใจต่อต้านสำนักมารภูษานิล

เสี่ยวชุนเดินตามท่านลุงที่กำลังเล่าเรื่องในใต้หล้าให้ลูกชายของตนเองที่ออกมายุทธภพครั้งแรกฟังจนมาถึงโถงใหญ่ที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับทุกคน พอได้สติอีกทีจึงพบว่าถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว

เมื่อหันกลับไปหมายจะถามอวิ๋นชิงว่าจะเข้าไปนั่งกินอะไรหรือไม่ แต่กลับเห็นพ่อบ้านชราแห่งปราสาทเขาหลิวเขียวพาอวิ๋นชิงเดินไปไกลแล้ว พอเขามองไปก็เห็นเงาร่างอวิ๋นชิงเลี้ยวหายไปตรงมุมพอดี

คิดดูแล้วว่าอวิ๋นชิงน่าจะไม่ชอบเบียดอยู่ในห้องเดียวกันกับพวกผู้ชายที่เหม็นฉึ่งไปทั้งตัวพวกนั้น อีกฝ่ายอาจจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ส่วนพ่อบ้านชรามีท่าทางนอบน้อมต่ออวิ๋นชิง คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่

กลางโถงใหญ่ ซือถูอู๋หยาในชุดแต่งกายแบบชาวฮั่นท่าทางยึดมั่นในคุณธรรมกำลังเล่าว่าฝ่ายมารเข่นฆ่าสหายในยุทธภพอย่างไร ตั้งแต่สำนักทะเลทรายเลือดแห่งซีเป่ยไปจนถึงสำนักดาบใบหม่อนแห่งตงหนาน นับอาชญากรรมยิ่งใหญ่สิบอันดับแรกทีละเหตุการณ์ บอกว่าหลันชิ่งประมุขฝ่ายมารนั่นไม่ตายหนึ่งวัน คนในฝ่ายธรรมะก็ไม่ได้สงบสุขหนึ่งวัน ทุกวันทุกคืนล้วนต้องกังวลว่าจะมีศิษย์สำนักภูษานิลที่สวมชุดดำลอบเข้ามาในห้องนอนแล้วฉวยโอกาสตัดหัวขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับหรือไม่

เสี่ยวชุนดึงความคิดจากร่างอวิ๋นชิงกลับมาที่ห้องโถง คิดอย่างนึกสนุกว่าถ้าหากในบ้านตนเองยังถูกคนนอกลอบทำร้ายได้ นั่นควรตำหนิที่ความสามารถของตนเองไม่ได้เรื่องหรือเพราะว่าอีกฝ่ายเก่งกาจเกินไป?

เห็นซือถูคุยโม้โอ้อวดคุณธรรมความแข็งแกร่งไม่จบไม่สิ้น เสี่ยวชุนทอดสายตามองไปในห้องที่เต็มไปด้วยคนแน่นขนัด จึงเพิ่งนึกได้ว่าตนเองมาหาแม่นางเลี่ยวเชี่ยวและศิษย์พี่ใหญ่

เขามองแต่ละโต๊ะอย่างถี่ถ้วน ในห้องโถงไม่ค่อยมีสตรี เลี่ยวเชี่ยวไม่อยู่ในนั้น ดูท่าจะถูกซือถูเก็บซ่อนตัวไว้ จากนั้นพอได้สติอีกทีตอนจะตามหาศิษย์พี่ใหญ่จึงพลันนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ศิษย์พี่ใหญ่ออกไปจากหุบเขา ตัวเขาเพิ่งอายุสิบสอง ตอนนี้ผ่านมาหกปีแล้ว จากเด็กน้อยจนเป็นเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ต่อให้คราวนี้เขาเจอศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะจำอีกฝ่ายได้หรือไม่

กินข้าวเสร็จแล้ว พ่อบ้านเฒ่าอยู่ๆ ก็ปรากฏตัว ไปมาอย่างกับเงา ทำเอาประมุขซือถูสะดุ้งโหยง เสี่ยวชุนเห็นแล้วนึกขำ ท่านลุงผู้เฒ่านั่นกำลังภายในสูงส่งจึงเดินเหินไม่ได้ยินเสียง

ทั้งสองคนก้มหน้าคุยกันอยู่พักหนึ่ง อยู่ๆ ซือถูก็ประกาศเชิญทุกคนเคลื่อนย้ายออกไปนอกห้อง โดยบอกว่าจัดเวทีเสร็จแล้ว เชิญผู้กล้าวีรบุรุษจากแต่ละแห่งร่วมประลองยุทธ์เพื่อเลือกเฟ้นเจ้ายุทธภพคนใหม่ นำกลุ่มผู้กล้าไปกวาดล้างสำนักภูษานิล

พูดจบบ่าวรับใช้ก็เข้ามานำทางทุกคน แต่ซือถูกลับมีสีหน้าร้อนรน มุ่งหน้าไปทางห้องโถงกับพ่อบ้านเฒ่าของเขา

เสี่ยวชุนมองซือถูแล้วมองด้านนอก สุดท้ายก็เลือกข้างนอก เขาค่อนข้างสนใจเรื่องเจ้ายุทธภพมากกว่า

ศิษย์พี่ห้าศิษย์พี่หกเคยบอกว่าเวทีเอาไว้ใช้ประลอง ยุทธภพคือสถานที่ที่แบ่งแยกสูงต่ำด้วยพลังยุทธ์ เสี่ยวชุนไม่เคยเห็นฝูงชนต่อสู้กัน ย่อมสนใจเหตุการณ์ข้างนอกมากกว่า

ทว่าจากในห้องโถงเดินเข้าไปในสวน เสี่ยวชุนจึงพบว่าปราสาทเขาหลิวเขียวกว้างใหญ่แค่ไหน

ทัศนียภาพสวยงามของสวนกินพื้นที่หลายหมู่* แบ่งเป็นสี่ด้าน ด้านตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่พักของประมุขที่โอ่อ่ากว้างขวาง ด้านตะวันออกเฉียงเหนือคือเรือนบนเขาขนาดเล็ก ด้านซ้ายมียอดเขารูปร่างประหลาด หินหายาก และลำธารในหุบเขาลึกที่สงบเงียบเป็นเอกเทศ ด้านซ้ายคือทะเลสาบคลื่นหยกที่บริสุทธิ์งดงามซึ่งมีต้นหลิวเขียวอยู่ริมฝั่ง

ทุกคนมาถึงริมทะเลสาบซึ่งตั้งเวทียกพื้นขึ้นเวทีหนึ่ง ดูท่าจะใช้ประลองยุทธ์ ไม่รู้พ่อบ้านเฒ่าโผล่มาจากไหน ขึ้นไปพูดบนเวทีแล้ว จากนั้นก็มีชายร่างกำยำใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราสองคนกระโดดขึ้นเวที ฝั่งหนึ่งคือประมุขสำนักแห่งหนึ่ง อีกฝั่งคือศิษย์คนสุดท้ายของยอดฝีมือท่านหนึ่ง แล้วพวกเขาก็คารวะจับมือกัน ข้างล่างเวทีมีเสียงปรบมือดังสนั่น

เสี่ยวชุนเติบโตอยู่ในหุบเขาลึกมีหรือจะเคยเห็นเรื่องแบบนี้ พอเห็นภาพที่คึกคักเป็นพิเศษ ดวงตาก็เป็นประกายทันที

เขาอ้อมริมทะเลสาบไปหาที่นั่งตำแหน่งดีๆ แต่เพิงไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นสองฝั่งมีคนนั่งหมดแล้ว คนของสำนักพวกนั้นพอเห็นเขาเข้ามาใกล้ บางคนก็ถลึงตาใส่เขาด้วยความฉงน บ้างก็ถลึงตามองเขาอย่างดุร้าย

ละครสนุกๆ กำลังจะเปิดฉาก เสี่ยวชุนเองก็ไม่อยากเสียเวลาจ้องตากันไปมากับคนพวกนั้น วิ่งตรงเข้าไปหาที่นั่งเหมาะๆ ที่มีน้ำชาทั้งมีที่กันแดดและไม่เบียดเสียดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

บนแผ่นป้ายเขียนไว้ว่าศาลารั้งสดับ ไม่เหมือนกับเพิงไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นชั่วคราวเหล่านั้น เห็นชัดว่าเป็นศาลาหินที่โอ่อ่า

ข้างในก็มีคนไม่เยอะด้วย มีแค่ชายชราหนวดขาวที่ค่อนข้างดูเป็นผู้ดีมีชื่อเสียง และพ่อบ้านที่ก่อนหน้านี้พาเขากับอวิ๋นชิงเข้ามาในปราสาทเขาหลิวเขียว

 

* หมู่ หรือไร่จีน เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีนในสมัยโบราณ 1 หมู่ = 666.67 ตารางเมตร

“ท่านผู้เฒ่า ท่านปู่ ตรงนี้ยังมีที่นั่งสองที่ หากไม่ถือสา ให้ข้านั่งสักที่นะขอรับ!” เสี่ยวชุนคลี่ยิ้มพร้อมแวบเข้าไปในศาลาโดยไม่รอให้คนที่อยู่ตรงนั้นอนุญาต ถือวิสาสะนั่งลงข้างชายชราหนวดขาว

“คุณชายจ้าว” พ่อบ้านพยักหน้าทักทายเขา

“เอ๋? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าแซ่จ้าว” เสี่ยวชุนยิ้มถาม

“แม่นางเคยพูดถึงชื่อของท่าน บอกว่าเป็นหนี้คุณชายจ้าวที่รักษาอาการป่วยให้แม่นาง ยาเทียบนั้นของท่านทำให้แม่นางอาการดีขึ้นมาก คนในปราสาทเขาหลิวเขียวทุกระดับชั้นซาบซึ้งใจยิ่งนัก” พ่อบ้านตอบอย่างสำรวม

“แม่นางเลี่ยวเชี่ยวเห็นข้าแล้วหรือ ทำไมไม่เห็นนางออกมาเลย” เสี่ยวชุนถามอีก

“แม่นางยังร่างกายอ่อนแอไม่สะดวกพบแขก คุณชายจ้าวโปรดอภัยด้วย”

“ไม่เป็นไรๆ ข้ารู้ว่านางอาการดีขึ้นก็พอแล้ว ว่าแต่ซือถูคนนั้นทำไมต้องเฝ้าแม่นางเลี่ยวเชี่ยวอย่างแน่นหนาขนาดนั้นด้วย นางต้องออกมาสูดอากาศบ้าง ไม่งั้นระวังผลลัพธ์จะกลายเป็นตรงกันข้ามกับที่หวังนะ!” เสี่ยวชุนแค่นเสียงหึสองที พูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร

จมูกพลันได้กลิ่นหอม ตอนนี้เสี่ยวชุนเบนสายตาไปที่ชายชราหนวดขาวที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ท่านผู้เฒ่า ชาของท่านทำไมถึงได้หอมขนาดนี้ เมื่อครู่ในห้องอาหารข้าก็ได้กลิ่น ตอนนั้นยังคิดว่าคือกลิ่นอะไรกันแน่ ในโลกมนุษย์จะมีกลิ่นหอมอย่างนี้ด้วยหรือ” เสี่ยวชุนกล่าวยกย่อง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายกะพริบวิบวับไร้ที่เปรียบ ทำให้คนรู้สึกว่าเขาพูดออกมาจากหัวใจ

ชายชราหนวดขาวหัวเราะอย่างมีเมตตาและเป็นมิตร ยกถ้วยชาที่ชงแล้วถ้วยหนึ่งให้เสี่ยวชุน

เสี่ยวชุนยื่นมือจะไปรับ ชายชราก็เหาะเหินพร้อมเอาชาไปด้วย เสี่ยวชุนเห็นดังนั้นก็ตามไป เห็นเพียงคนสองคนสองมือประมือกัน ผสมผสานแรงและลม พลิกถ้วยหยกสีขาวที่บรรจุชาหอมไปๆ มาๆ อยู่อย่างนั้น ทว่าระหว่างที่ประมือกันก็สงบนิ่งเป็นพิเศษ น้ำในถ้วยไม่กระฉอกออกมาสักหยด

บนเวทีประลองกันไปแล้วหนึ่งยก ข้างล่างเวทีในศาลารั้งสดับสถานการณ์ศึกก็กำลังดุเดือด

ชายชราถอยเพื่อรุก สลายสองมือของเสี่ยวชุนที่ตามมาถึงหน้าอก หากเสี่ยวชุนหมายใจจะเอาชนะด้วยการฉวยโอกาสซัดพลังฝ่ามือไปที่หน้าอกของเขา จะต้องทำให้กำลังภายในของตนสะเทือนจนบาดเจ็บแน่นอน

คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้พอเห็นว่าใกล้จะซัดถูกคนแล้วก็ฝืนดึงพลังฝ่ามือกลับ จึงถูกกำลังภายในของตนเองสะเทือนจนศีรษะโงนเงน ส่งเสียงร้องโอ๊ย

ชายชรายิ้มพร้อมส่งชามาวางตรงหน้าเสี่ยวชุนแล้วบอก “เชิญน้องชายดื่มชา”

“ไม่เล่นแล้วหรือ” เสี่ยวชุนส่ายหัวที่กำลังวิงเวียน พอกลับเป็นปกติแล้วจึงหัวเราะถามไปแบบนั้น

“น้องชายอายุยังน้อยแต่กลับมีกำลังภายในยอดเยี่ยมนัก ถ้าหากหมั่นเพียรศึกษาประสานวิทยายุทธ์ทั้งนอกและใน ในวันหน้าจะเป็นดาราพร่างพรายดวงหนึ่งในยุทธภพแน่ ทั้งยังมีอนาคตไกลไร้ขีดจำกัดด้วย” ชายชราบอก

เสี่ยวชุนยกถ้วยชาใบนั้น พอสูดดมดูแล้วรู้สึกถึงกลิ่นหอมอวลปะทะจมูก จากนั้นดื่มไปอึกหนึ่งก็รู้สึกหอมหวานคล่องคอ มุมปากและดวงตาหยักโค้งอย่างอดไม่ไหว หัวเราะบอกอีกฝ่าย “ท่านผู้เฒ่า ชาของท่านรสดีจริงๆ ผู้น้อยแม้จะไม่เข้าใจหลักการจิบชา แต่ดื่มแล้วก็รู้ว่าไม่เหมือนชาทั่วไป เป็นของชั้นยอดในชั้นยอด!”

เสี่ยวชุนชะงักแล้วว่าต่อ “แต่ว่าท่านผู้เฒ่า ศิษย์ของอาจารย์ข้าฝึกฝนเรื่องยากันมาหลายชั่วคน วิชาติดตัวนี่เป็นเพียงวิชาที่อาจารย์สอนข้าเอาไว้ป้องกันตัว ดังนั้นจึงไม่ได้ร้ายกาจเท่าใดนัก ตอนที่เจอยอดฝีมือ หากไม่ถึงตายก็ต้องหนีให้รอดก็เพียงพอแล้ว ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว ก็เหมือนกับชานี้ที่แม้จะเป็นชาดี แต่กลับไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาและแรงกายแรงใจเท่าไรจึงจะได้มา ข้าคนนี้ข้อหนึ่งนั้นขี้เกียจ ข้อสองคือกลัวเหนื่อย ปกติชอบเพียงศึกษาค้นคว้ายาสมุนไพรบนเขา ดวงดาราพร่างพรายนั้นให้คนอื่นเป็นก็พอแล้ว ข้าไม่มีความสามารถนั้น ทำไม่ได้หรอก!”

“ไม่ปรารถนาไม่ร้องขอก็ดีเหมือนกัน”

ชายชราหนวดขาวและเสี่ยวชุนมองกันและกันครู่หนึ่ง สบตากันแล้วยิ้มให้กัน ทั้งสองคนเริ่มดื่มชาอีก มองบนเวทีที่ไม่รู้ต่อสู้กันไปกี่ยกแล้ว

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นซือถูอู๋หยาเพิ่งมาถึงศาลารั้งสดับ พอเขาเห็นเสี่ยวชุนกำลังพูดคุยกับผู้อาวุโสหานไจกระบี่มังกรครวญที่ปราสาทเขาหลิวเขียวเชิญมารับรองการคัดเลือกเจ้ายุทธภพในครั้งนี้อย่างสนุกสนานก็ค่อนข้างประหลาดใจ

“เป็นเจ้า!” ซือถูอู๋หยาร้องลั่น

พอเสี่ยวชุนเงยหน้าขึ้นปุ๊บเห็นซือถูก็หัวเราะถาม “ประมุขใหญ่ซือถูผู้สูงส่งเป็นถึงเจ้าบ้านในการคัดเลือกเจ้ายุทธภพในครั้งนี้ แต่ล่าช้าไปตั้งนานกว่าจะมา หรือว่าไปเจอแม่นางเลี่ยวเชี่ยวมาล่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้แม่นางเลี่ยวเชี่ยวสบายดีหรือไม่ ท่านประมุขได้โปรด ‘ปล่อย’ นางออกมาให้ข้าเจอหน่อยได้หรือไม่” ทั้งๆ ที่เมื่อครู่รู้มาจากพ่อบ้านแล้วว่าเลี่ยวเชี่ยวสบายดี แต่พอเห็นซือถูคนนี้แล้วเสี่ยวชุนก็ยังอดพูดถึงนางขึ้นมาอีกหนไม่ได้

“เลี่ยวเชี่ยวสบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” ซือถูหน้าง้ำแล้วถามขึ้นอีก “เจ้าแอบเข้ามาในปราสาทเขาหลิวเขียวได้อย่างไร”

เลี่ยวเชี่ยวเคยบอกว่าคนผู้นี้ชื่อจ้าวเสี่ยวชุน แค่ได้ยินชื่อก็เดาได้ว่าไม่ได้มาจากสำนักใหญ่ชื่อดัง แม้คนผู้นี้จะมีวิชาแพทย์ที่ตรงกันข้ามกับบุคลิกมอซอ แค่ยาไม่กี่เทียบก็ทำให้อาการป่วยหนักของเลี่ยวเชี่ยวดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่พอซือถูเห็นเด็กหนุ่มคนนี้แล้วกลับรู้สึกว่ายิ่งมองก็ยิ่งขัดลูกตา

“ย่อมเข้ามาทางประตูใหญ่อยู่แล้ว” เสี่ยวชุนบอก “ประมุขใหญ่ซือถู การต่อสู้บนเวทีกำลังดุเดือด เทียบกับถามคนไร้ชื่อชั้นอย่างข้าว่าแอบเข้ามาได้อย่างไร สู้ดูบนเวทีว่าใครจะชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพไปได้จะสำคัญกว่านะ”

พ่อบ้านก้มลงกระซิบบอกข้างหูซือถูสองสามประโยค ซือถูได้ยินแล้วก็ตะลึงงันไปพักหนึ่ง

“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับคุณชายเจ็ด” ซือถูระมัดระวังตัว เขารู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ไม่ได้ใสซื่อ จ้าวเสี่ยวชุนไม่ได้เป็นแค่หมอที่มีวิชาแพทย์สูงส่งผู้หนึ่งเหมือนอย่างที่เลี่ยวเชี่ยวบอกอย่างแน่นอน

“ทำไมเจ้าไม่ขึ้นไปสู้บนเวทีล่ะ ประมุขใหญ่แห่งปราสาทเขาหลิวเขียวกับเจ้ายุทธภพใครใหญ่กว่ากัน เขาฟังเจ้าหรือเจ้าฟังเขา หรือว่าเจ้าจะรอให้ยกสุดท้ายเหนื่อยล้ากันไปก่อนแล้วค่อยกระโดดขึ้นไปเตะฝ่ายตรงข้ามให้กระเด็นเพื่อตักตวงผลประโยชน์เอาทีหลัง” เสี่ยวชุนเบี่ยงประเด็น ใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณชายเจ็ดคือใคร!

“เจ้า!” ซือถูแน่นหน้าอก เจ้าเด็กนี่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยจริงๆ

พ่อบ้านก้มหัวพูดอะไรบางอย่างอีก โทสะของซือถูที่จะระเบิดในตอนแรกจึงได้ถูกฝืนข่มไว้

จ้าวเสี่ยวชุนคนนี้…ซือถูคิดถึงคนคนนั้นที่มักจะพูดชื่อจ้าวเสี่ยวชุนสามคำนี้ บอกว่ายาได้ผลดี ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสูตรยา สีหน้านั้นของอีกฝ่ายทำให้เขาเดือดดาลจริงๆ

ต้องมีสักวัน เขาจะต้องให้จ้าวเสี่ยวชุนคนนี้ได้รู้ซึ้ง วันนั้นแค่ฝ่ามือเดียวเป็นการดูเบาเจ้าเด็กนี่เกินไปจริงๆ

เสี่ยวชุนไม่ใส่ใจซือถู เพียงแค่ดื่มชากับชายชราที่อยู่ข้างๆ ชมการต่อสู้เท่านั้น

ไม่รู้ว่าบนเวทีสู้กันไปกี่ยกแล้ว ผู้ชนะยืนอยู่ได้ไม่นาน ประเดี๋ยวเดียวก็ถูกเด็กหนุ่มที่ความสามารถโดดเด่นเหนือใครคนต่อไปเปลี่ยนตัวลงมา ชายชราเอ่ยเรียบๆ “คลื่นลูกใหม่มาแทนที่คลื่นลูกเก่าอยู่เป็นนิจ” หมายความถึงคนที่ยืนอยู่บนเวทีที่ยิ่งเยาว์วัยลงทุกที

เสี่ยวชุนบอก “ท่านผู้เฒ่า ท่านก็ขึ้นไปด้วยสิ ข้าอยากดูซิว่าใครจะผลักท่านให้ขยับได้บ้าง!” แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง

เสี่ยวชุนดื่มชาไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ก็จาม เขาผงะ วางถ้วยลงแล้วสูดจมูก อยากหาสิ่งที่ทำให้เขาคันจมูกเมื่อครู่นี้ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองซือถูที่อยู่ข้างๆ

ซือถูไม่สนใจเขาเลยสักนิด

“ประมุขใหญ่” เสี่ยวชุนร้องเรียก

ซือถูเห็นเสี่ยวชุนทำหน้าประหลาดก็เอ่ยด้วยความรำคาญ “มีอะไร”

ตอนนี้บนเวทีก็เกิดเหตุไม่คาดคิดอย่างกะทันหัน

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่มีฉายาสู้ตะลุยทั่วหน้าไร้ศัตรูดาบเก้าห่วงหวงซานถูกสะเทือนกระเด็นตกเวทีเสียงดังโครม กระอักเลือดกระดูกแตกละเอียดหมดลมหายใจไปตรงนั้น ทว่าคนคนนั้นที่ขึ้นไปท้าสู้ลงมือตอนที่ขึ้นบันไดโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชาเลยด้วยซ้ำ

สหายชาวยุทธ์ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ถึงขีดสุด

“แค่ประลองเท่านั้น เหตุใดจอมยุทธ์น้อยต้องเอาชีวิตกันด้วย” คนที่ชมอยู่ข้างล่างตะโกนบอก รู้สึกฉุนเฉียวกับสภาพการตายของดาบเก้าห่วงหวงซานอย่างสุดแสน

“เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นแล้ว…” เสี่ยวชุนบอกเสียงเบา “มีคนวางยาพิษ”

“อะไรนะ” ซือถูรีบโคจรพลัง แต่กลับพบว่าจุดชี่ไห่* ว่างเปล่า พลังปราณสูญสลายไปทั้งหมด จากนั้นความเจ็บปวดสาหัสก็แล่นปราดมาจากอวัยวะภายใน รู้สึกคาวหวานที่ลำคอและกระอักเลือดออกมาคำใหญ่

ซือถูร่างโงนเงนแล้วล้มลงนั่งบนเก้าอี้หิน พลังทั่วร่างสูญสลาย ความเจ็บปวดอันยากจะทานทนที่เกิดจากพิษออกฤทธิ์ทำให้เขาทรมานไม่รู้วาย

เสี่ยวชุนเห็นดังนั้นก็รีบหันไปบอกชายชรา “ท่านผู้เฒ่าอย่าได้โคจรพลังเด็ดขาด การโคจรพลังจะทำให้พิษแทรกซึมเข้าสู่อวัยวะภายในทำให้ตายเร็วยิ่งกว่าเดิม เมื่อครู่ข้าเห็นเขาโคจรพลังแล้วกระอักเลือดจึงนึกขึ้นได้!”

“เจ้า!” ซือถูได้ยินดังนั้นก็โมโหจนกระอักเลือดอีกคำ เห็นชัดว่าจ้าวเสี่ยวชุนคนนี้จงใจ มิฉะนั้นทำไมไม่บอกให้ชัดแต่เนิ่นๆ

หานไจมีสีหน้าสุขุม จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณ

 

* จุดชี่ไห่ อยู่บริเวณกึ่งกลางท้อง ต่ำจากสะดือ 1.5 ชุ่น

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

Editor Jamsai: