X
    Categories: everYทดลองอ่านพ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 90-91 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

ปัญหาครอบครัว การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การตาย การฆาตกรรม การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่ การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ

และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 90

ตราประทับพิเศษ

 

หลังอธิบายถึงแดนน่าสะพรึงสุดขีดจบดีมอสก็ไม่ลืมสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง “ฉันเคยบอกแล้วว่าเจอฉันโชคดีกว่าเข้าสู่แดนน่าสะพรึงสุดขีดหลายเท่า”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งยี่สิบสี่คนไม่มีสักคนเดียวที่จะตอบรับ พวกเขาต่างนึกหัวเราะอยู่ในใจ

ก็แค่โชคร้ายกับโชคร้ายกว่าเท่านั้น

“เอาล่ะ พิธีเปิดจบลงแล้ว” ดีมอสเงยหน้ามองอากาศราวกับที่นั่นมีจอมอนิเตอร์ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็น

เสี้ยววินาทีต่อมาหว่างคิ้วของเขาก็ขยับน้อยๆ

ทันใดนั้นเหนือผนังวิหารเทพเจ้าก็มีลำแสงสีม่วงสายหนึ่งทอดลงมา ห่อคลุมร่างของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดไว้ภายใน อาบย้อมวิหารเทพเจ้าให้กลายเป็นสีม่วงอ่อน

ตอนแรกทุกคนต่างตกใจ แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็พบว่าแสงดังกล่าวไม่ได้ส่งผลอะไรต่อพวกเขามากนัก แค่รู้สึกเหมือนกับบนหัวมีไฟสปอตไลต์สีม่วงเพิ่มขึ้นดวงหนึ่ง

อีกสองสามนาทีให้หลังแสงสีม่วงก็จางหาย วิหารเทพเจ้าตกอยู่ภายใต้แสงสีเหลืองหม่นอึมครึมเช่นเดิม

หลังจากนั้นเสียงของดีมอสก็ดังขึ้นอีกคราว “ดูที่แขนของพวกนายสิ ตอนนี้คนที่มีตราประทับพิเศษให้ไปยืนอยู่ทางด้านซ้ายของฉัน ส่วนคนที่ไม่มีไปทางขวา”

“ตราประทับพิเศษอะไร” บางคนรีบยกแขนขึ้นดูเพื่อตรวจสอบ ส่วนพวกที่ไม่ขยับห้าหกคนนั้นต่างพึมพำงึมงำไม่พอใจ “ดีชั่วยังไงก็น่าจะอธิบายให้ฟังสักหน่อยถึงจะถูก”

ถังหลิ่นยกแขนขึ้นดูก็พบว่าข้างๆ ภาพนกเค้าแมวนั่นมีสัญลักษณ์สีม่วงอ่อนปรากฏเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง มันส่องประกายจางๆ คล้ายตราประทับสีสะท้อนแสงบนแขนที่ใช้สำหรับผ่านเข้าไปร่วมงานปาร์ตี้ในไนต์คลับ

ตราประทับรูปโล่มีดาบขนาดใหญ่วางพาดอยู่ด้านบนขนาดเท่าเหรียญกษาปณ์นั้นให้ความรู้สึกของอัศวินผู้กล้า

นี่คือตราประทับพิเศษที่ว่างั้นเหรอ

ดีมอสไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม เพราะบางคนแค่ยกแขนขึ้นมองเพียงปราดเดียวก็เข้าใจได้แล้ว

ถังหลิ่นลดแขนลง นึกอยากดูแขนของฟั่นเพ่ยหยาง แต่นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ช้อนตาขึ้นเขาก็พบว่าอีกฝ่ายสำรวจดูแขนของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังจ้องมองแขนของเขาอยู่

“เหมือนกับคุณ” ฟั่นเพ่ยหยางบอกคำตอบออกมารวดเร็วไม่รอให้ถังหลิ่นเอ่ยปากถาม

ถึงจะไม่รู้ชัดว่าตราประทับนี้ซ่อนความหมายอะไรไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็บอกให้เห็นชัดอยู่แล้วว่าเขากับฟั่นเพ่ยหยางจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบเดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจร่วมมือกันต่อสู้ได้ ดังนั้นจิตใจของถังหลิ่นจึงค่อนข้างสงบ “พวกเราอยู่ฝั่งเดียวกัน”

“อืม” ฟั่นเพ่ยหยางกับเขาเดินไปยืนอยู่ทางซ้ายมือของดีมอส “ถ้าอีกเดี๋ยวเขาให้คนที่มีตราประทับแบบเดียวกันฆ่ากันเอง คุณก็ลงมือได้เลยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”

ถังหลิ่น “…”

ไม่แปลกใจเลยที่ต่อให้เขาฝึกหนักขนาดไหนก็ไล่ตามระดับความอันตรายโดยรวมของฟั่นเพ่ยหยางไม่ทัน

ความแตกต่างที่แท้จริงไม่ใช่กำลังกาย ไม่ใช่ความสามารถในการโจมตี แต่เป็นปณิธานในการต่อสู้ขั้นสูง ‘ที่พร้อมจะพาตัวเองกระโจนเข้าสู่แดนชำระ* อยู่ตลอด’ ต่างหาก

จากนั้นคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งยี่สิบสี่คนก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันยืนซ้ายขวา หันหน้าไปทางดีมอส

คนที่ยืนอยู่ฝั่งคนที่มีตราประทับมีทั้งหมดหกคน ประกอบด้วยถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง หลวงจีนจากกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียน ชุยจั้นจากกลุ่มสือเซ่อ ไป๋ลู่เสียจากกลุ่มไป๋จู่ และฉีฮว่าจากกลุ่มหวนเซียงถวน

ส่วนที่เหลืออีกสิบแปดคนยืนอยู่ทางฝั่งขวา

เห็นได้ชัดว่าคนที่มีตราประทับมีจำนวนน้อยกว่า

ดีมอสไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาสงสัยนานนัก ทันทีที่ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งเขาก็เฉลยปริศนา “คนคุมด่านแต่ละด่านจะทิ้งตราประทับส่วนตัวลงบนตัวคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เขาให้การยอมรับ”

“แล้ว?” ชุยจั้นแกว่งแขน “ดาบซังกะบ๊วยนี่คือ…”

“เทียร์” ดีมอสตอบด้วยน้ำเสียงยินดีคล้ายเห็นด้วยกับคำว่า ‘ดาบซังกะบ๊วย’

ถังหลิ่นมีคำตอบให้กับตัวเองอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ด่าน 2/10 ด่านที่ผ่านมาก็มีแค่ด่าน 1/10 และผู้คุมด่านที่เขาประมือด้วยก็มีเพียงเทียร์คนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สเทียร์คือเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและสงคราม เป็นตัวแทนของความกล้าหาญ การใช้ดาบใหญ่เป็นตราสัญลักษณ์เรียกได้ว่าเหมาะสมแล้ว

เพียงแต่ถังหลิ่นนึกไม่ถึงว่าเทียร์จะมอบตราประทับให้เขากับฟั่นเพ่ยหยาง

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนกับเทียร์ไม่อาจเรียกว่าเป็นไปอย่างมีความสุข โดยเฉพาะฟั่นเพ่ยหยาง

“ของฉันไม่ใช่ดาบใหญ่” ฉีฮว่าที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่ทำตัวเป็นจุดเด่นมาตลอดอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้

พอได้ยินแบบนั้นถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง ชุยจั้น และหลวงจีนก็ต่างพากันมองไป พบว่าตราประทับบนแขนของฉีฮว่ากลับเป็นรองเท้าหุ้มข้อข้างหนึ่ง

“ฉันรู้ว่านายไม่ใช่” ดีมอสมองเพียงปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าตราประทับของอีกฝ่ายคืออะไร “คนที่มอบตราประทับนี้ให้กับนายคือวิดาร์”

ฉีฮว่าไม่พูดไม่จา

วิดาร์ต้องเป็นผู้คุมด่าน 1/10 ที่เขาเคยเจอมาก่อนแน่

ถังหลิ่นขมวดคิ้วน้อยๆ ครุ่นคิดวิเคราะห์เรียบเรียงข่าวสารที่ได้มาใหม่ทันที

ในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สวิดาร์เป็นเทพเจ้าแห่งป่าเขา ลักษณะเด่นคือสวมรองเท้าหุ้มข้อข้างเดียว ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้รองเท้าหุ้มข้อเป็นตราประทับแก่ฉีฮว่า เหตุผลก็เหมือนกับที่เทียร์ใช้ดาบใหญ่เป็นตราประทับ

ชื่อของผู้คุมด่าน 1/10 ทั้งวิดาร์และเทียร์ล้วนเลือกมาจากประมวลเรื่องปรัมปรานอร์ส บางทีอาจเพราะต้องการให้สอดคล้องกับหัวข้อหลักของด่าน 1/10 ขณะเดียวกันก็เป็นไปได้ว่าอาจมีความหมายแฝงอื่นด้วย

แต่ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญ ที่ถังหลิ่นใส่ใจคือการมีตัวตนของผู้คุมด่านพวกนี้ต่างหาก

คนพวกนี้คล้ายผลัดกันเข้าเวร คอยต้อนรับผู้ที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านนับแต่วันเปิดด่านของแต่ละรอบจนกระทั่งถึงด่านสุดท้าย

เป็น NPC ที่ถูกจัดลำดับการปรากฏตัวไว้ก่อนล่วงหน้า?

หรือว่าเป็นคนที่เข้ามาทำงานให้ด่านด้วยเหตุผลและแรงผลักดันบางอย่างที่ไม่รู้ชัด?

จู่ๆ เสียงผิวปากแผ่วเบาก็ลอดผ่านออกมาจากริมฝีปากงดงามของดีมอส

ถังหลิ่นเงยหน้า พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองดูไป๋ลู่เสีย

ไม่เหมือนกับพวกเขาหรือฉีฮว่า ตราประทับบนแขนของไป๋ลู่เสียเป็นใบหน้าด้านข้างของสาวสวยผมยาวคนหนึ่ง

“ซีฟไม่ให้ตราประทับกับใครง่ายๆ” ดีมอสจ้องดูไฝน้ำตาที่อยู่ทางด้านล่างของตาไป๋ลู่เสียคล้ายจดจำอะไรได้บางอย่าง สีหน้าของเขาล้ำลึกแบบเดียวกับพวกที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน พยายามย้อนนึกถึงคำที่ซีฟใช้เรียกขานอีกฝ่าย “นายก็คือ ‘ไอ้ตัวทุเรศ’ ที่ทำให้ซีฟโกรธสินะ?”

สายตายี่สิบสามคู่ของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านกวาดอยู่บนตัวของไป๋ลู่เสีย

ซีฟคือใคร ไม่มีใครรู้ชัด แต่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นผู้คุมด่าน 1/10 ที่ไป๋ลู่เสียเคยเจอมาก่อน ทว่าผลลัพธ์การประเมินที่ผู้คุมด่านมีให้กับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านน่าจะมีแค่ ‘ฉันรู้สึกว่านายไหว ผ่านด่านได้’ หรือไม่ก็ ‘ฉันคิดว่านายไม่ไหว ไสหัวไป’ สองอย่างนี้เท่านั้น แต่ ‘ไอ้ตัวทุเรศ’ นี่เป็นผลการประเมินใหม่หรืออย่างไรกัน?

“ก็แค่ตัดผมหล่อนไปนิดหน่อย” ไป๋ลู่เสียยักไหล่ไม่นำพา มองตาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ กลับอย่างไม่อินังขังขอบ “แบบนี้เรียกว่าทุเรศเหรอ”

หลวงจีนกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนลูบหัวโล้นเลี่ยนของตัวเองพลางเอ่ยเสียงหนักว่า “ก็ต้องดูว่าสำหรับอีกฝ่ายแล้วเส้นผมหมายความถึงอะไร”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขายืนอยู่ฝั่งที่ไม่ได้รับตราประทับ เขาถามเสียงแผ่วเบาออกมาประโยคหนึ่ง “ตกลงซีฟคือใคร”

“ในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สซีฟคือเทพีแห่งผืนดินและการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์” ถังหลิ่นให้คำตอบกับอีกฝ่าย “ในตำนานบอกว่าเธอมีผมยาวสีทอง ส่องประกายระยิบระยับงดงามเสียยิ่งกว่าทองคำ ดังนั้นซีฟจึงภาคภูมิใจในเส้นผมของตัวเองที่สุด”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมด “…”

ไอ้ตัวทุเรศเอ๊ย

“บรรยากาศต้องแบบนี้สิถึงจะถูก ทุกคนพูดคุยกัน” ดีมอสเดินลงมาจากบริเวณรูปปั้นเทพเจ้าด้วยท่าทีสบายๆ “ถึงตอนนี้พวกนายจะมีตราประทับแค่อันเดียว แต่วันหน้ายังมีโอกาสได้อีกสองถึงสามอัน เวลาผู้คุมด่านคนอื่นๆ เห็นตราประทับพวกเขาก็จะรู้ได้ทันทีว่านายได้รับการยอมรับแล้ว คนที่ได้รับตราประทับจากผู้คุมด่านหลายอัน ปกติพวกเราจะให้การพิจารณาเป็นพิเศษ”

เสียงของเขาสูงขึ้นเล็กน้อย แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเหนือกว่าและความดูแคลนจากก้นบึ้งของหัวใจ “มีก็แต่คนที่มีพลังแฝงเท่านั้น จึงจะมีค่าให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจฟูมฟักดูแล”

พูดเรื่องฟูมฟักดูแลอีกแล้ว

ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบ ในเวลานี้พวกเขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตราประทับของผู้คุมด่านที่พูดถึงนั้น แทนที่จะบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของการได้รับการยอมรับ ไม่สู้บอกว่าพวกเขาเป็นก็แค่เพียงสิ่งของดีกว่าเหรอ ส่วนตราประทับนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับตราประทับที่โรงฆ่าสัตว์ประทับลงบนตัวหมูเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถดูเข้าใจได้ในปราดเดียวว่าอันไหนคือเนื้อหมูชั้นดี อันไหนสามารถกินได้อย่างสบายใจ

การสบประมาทดูแคลนที่ยากจะยอมรับได้นี้ไม่เพียงอยู่บนตราประทับ ไม่เพียงอยู่บนตัวผู้คุมด่าน แต่กลับอยู่ทั่วทุกกฎเกณฑ์ในทุกหนแห่งบนโลกใบนี้

ความอัปยศอดสูและความแปลกประหลาดเป็นดั่งเงาตามตัวที่ยากจะสลัดหลุด

“เริ่มจากพวกนายก่อนก็แล้วกัน” ดีมอสหยุดยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม เขาหันมองไปทางกลุ่มคนที่ไม่มีตราประทับ สายตาราบเรียบกวาดมองไปยังคนที่เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันทั้งสิบแปด สุดท้ายก็หยุดอยู่บนร่างของชายที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด

คนคนนั้นเป็นสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวน รูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นหน้าเหลี่ยม เขายืนอยู่ข้างฉงเยวี่ยห่างจากดีมอสไปเพียงก้าวเดียว ตอนดีมอสหันไป ทั้งสองก็ปะหน้ากันพอดี

สายตาจับจ้องกัน เส้นประสาทของชายหน้าเหลี่ยมเขม็งตึงขึ้นมา เนื้อตัวแข็งทื่อทันที

“สิ่งที่นายกลัวที่สุดคงไม่ใช่ฉันใช่ไหม” ดีมอสหัวเราะเยาะ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชายหน้าเหลี่ยมช้าๆ “ไม่อย่างนั้นฉันคงผิดหวังแย่”

ชายหน้าเหลี่ยมคล้ายจะอยากเอ่ยปากพูด แต่หลังจากอ้าปากอยู่สองสามครั้งเขาก็ยังคงไม่อาจเปล่งเสียงพูดอะไรออกมาได้ จากนั้นภายใต้สายตาของดีมอสที่จ้องมองมา สติของเขาก็เริ่มหลุดลอย

ความรู้สึกหนาวสะท้านแปลกประหลาดคืบคลานอยู่บนแผ่นหลังของทุกคนที่อยู่รอบๆ

นี่มันความสามารถแบบไหนกัน

สะกดจิต?

ดูดวิญญาณ?

“อา…” ดีมอสจงใจลากหางเสียงยาวๆ ชายหน้าเหลี่ยมก็เปลี่ยนมาได้สติ แววตาเองก็เช่นกัน

ดีมอสยิ้มแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุกคนสามารถได้ยิน “ที่แท้สิ่งที่นายกลัวที่สุดในเวลานี้คือการถูกคนรู้ว่านายฆ่าก่งฝานหมิงไปแล้ว”

ใบหน้าของชายหน้าเหลี่ยมซีดเผือด สีเลือดจางหายไปจากหน้าอย่างรวดเร็ว

สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนสามคนที่เหลือต่างร้องออกมาด้วยความตกตะลึง “นายว่าอะไรนะ!”

ฉงเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามชายหน้าเหลี่ยมอย่างไม่นึกเชื่อว่า “นายบอกว่าเหล่าก่งถูกคนที่ชิงปลอกคอฆ่าตายไม่ใช่หรือไง!”

คำพูดเรียบง่ายสองประโยค ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างฟังเข้าใจ

เห็นได้ชัดว่า ‘เหล่าก่ง’ ที่สามารถทำให้ฉงเยวี่ยตวาดออกมาตรงๆ ได้รายนั้นเป็นพรรคพวก เป็นคนของกลุ่มหวนเซียงถวน

คนคนนี้ตายไประหว่างการทดสอบด่าน ‘ใจคนน่าสะพรึง’

ชายหน้าเหลี่ยมบอกว่าเหล่าก่งถูกคนที่มาชิงปลอกคอฆ่าตาย แต่ตอนนี้ดีมอสกลับบอกว่าฆาตกรก็คือชายหน้าเหลี่ยม

ระหว่างชายหน้าเหลี่ยมกับดีมอส แน่นอนว่าต้องมีใครคนใดคนหนึ่งโกหก

“ฉันจะไปฆ่าเหล่าก่งได้ยังไง!” ในที่สุดชายหน้าเหลี่ยมก็หาเสียงของตัวเองพบ ท่าทีและน้ำเสียงต่างเห็นชัดว่าไม่ยอมให้อีกฝ่ายหยามเหยียด “เขาจงใจยุให้พวกเราแตกคอกัน”

หลังจากบอกกับฉงเยวี่ยที่ไม่เชื่อใจตนเองจบเขาก็หันไปประณามอย่างฉุนเฉียวใส่ดีมอส “เหล่าก่งเป็นพี่น้องของฉัน นายบอกว่าฉันฆ่าเขา เหอะ! คิดจะโกหกก็หัดหาเรื่องโกหกที่มันเข้าท่าหน่อย!”

“เหล่าก่ง…”

จู่ๆ เหนือศีรษะของทุกคนก็มีเสียงเรียกสมจริงผนวกอยู่กับเสียงจากสภาพแวดล้อมจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นมา

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแต่ละคนต่างเงยหน้า

พวกเขามองเห็นจอขนาดใหญ่ปรากฏอยู่กลางอากาศ ภาพที่ฉายอยู่บนนั้นเป็นภาพเมืองวงแหวนภายในด่านทดสอบ ‘ใจคนน่าสะพรึง’

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาทุกคนคือชายหน้าเหลี่ยมที่เพิ่งตั้งธงประกาศว่าเหล่าก่งเป็นพี่น้องของตัวเองนั้นกำลังตรงดิ่งเข้าไปหาพรรคพวกที่ได้รับบาดเจ็บด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ใครทำร้ายนาย”

พรรคพวกที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสรายนั้นไม่มีแรงพูดอะไรมาก ได้แต่เอ่ยปากด้วยเสียงขาดห้วงแผ่วเบาว่า “ไอเทมเวท…รักษา…”

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังขอไอเทมเวทรักษาจากพรรคพวก

ชายหน้าเหลี่ยมที่อยู่ในจอฟังเข้าใจแล้ว เพราะเขาตอบอีกฝ่ายว่า “วางใจ ฉันต้องช่วยนายแน่!”

แต่การกระทำของเขากลับตรงกันข้าม

เขาช้อนแขนของอีกฝ่ายขึ้น เปิด ‘กล่องไอเทม’ ของตัวเองและอีกฝ่าย ภายใต้สายตาขอความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมกลุ่ม เขาถ่ายโอนไอเทมที่เหลือของอีกฝ่ายมาไว้ในกล่องของตัวเอง

ทุกครั้งที่ไอเทมถูกโอนย้ายก็จะมีเสียงสัญญาณเตือนดัง

สายตาวาดหวัง ขอความช่วยเหลือ ตกตะลึง และกระเสือกกระสนของชายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสค่อยๆ หายลับไปตามเสียงติ๊งๆ ที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

จากภาพที่ปรากฏในจอ ที่อยู่ห่างออกไปคือสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนสองคน หนึ่งในนั้นคือหนึ่งในสามของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนที่กำลังยืนตะลึงอยู่ตอนนี้

ชายหน้าเหลี่ยมมองเห็นพวกเขาสองคนก่อน ตอนนี้เขากำลังก้มหน้ามองดูเหล่าก่งที่หายใจรวยรินคล้ายกำลังประเมินว่าเหล่าก่งจะสามารถรักษาลมหายใจสุดท้ายจนคนทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้ได้หรือเปล่า

ผลจากการประเมินคือเขาชักมีดสั้นที่เก็บไว้ในรองเท้าหุ้มข้อออกมาแทงลงทะลุแผ่นหลัง ตัดขั้วหัวใจของเหล่าก่ง

ในที่สุดสมาชิกของกลุ่มหวนเซียงถวนทั้งสองก็พบว่าที่นี่มีพรรคพวกของตนเองอยู่ พวกเขารีบวิ่งตรงเข้าไป

ชายหน้าเหลี่ยมเก็บมีดเรียบร้อยแล้วเปลี่ยนมาปั้นหน้าทุกข์ระทมเจียนขาดใจ

ภาพบนจอหยุดอยู่เพียงเท่านั้น

สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นรายนั้นยามนี้เข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้ว เขาคว้าคอเสื้อของชายหน้าเหลี่ยม น้ำเสียงโกรธขึ้งสั่นสะท้าน “แกแม่งยังเป็นคนอีกไหม…”

“ฉันไม่ได้เป็นคนทำ!” ชายหน้าเหลี่ยมเป็นตายก็ไม่ยอมรับ พูดเสียงสูงกว่าอีกฝ่าย “NPC อย่างพวกเขาคิดจะสร้างภาพปลอมย่อมง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!”

ฉงเยวี่ยฉวยโอกาสตอนชายหน้าเหลี่ยมไม่ทันได้ระวังตัวจับแขนเขา แตะเปิด ‘กล่องไอเทม’ แล้วบิดแขนของเขาบังคับให้แสดงข้าวของภายในออกมา “แล้วไอเทมพวกนี้นายจะอธิบายยังไง แต่ไหนแต่ไรช่องไอเทมของนายก็ไม่เคยเต็มสักแถว หรือจะบอกว่าข้าวของที่เพิ่มขึ้นมาพวกนี้ดีมอสตั้งใจใช้ปรักปรำนาย!”

ทุกอย่างล้วนกระจ่างแล้ว

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนล้วนดูออก ชายหน้าเหลี่ยมยอมรับอยู่เงียบๆ ฉงเยวี่ยกับพรรคพวกกลุ่มหวนเซียงถวนอีกสามคนทั้งตกใจทั้งเป็นทุกข์ นึกอยากแทงอีกฝ่ายให้ตายคามือเพื่อล้างแค้นให้เหล่าก่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบฉีฮว่ากลับทำเพียงยืนนิ่งอยู่ในกลุ่มคนที่มีตราประทับ ดูไฟชายฝั่ง คล้ายความขัดแย้งภายในนี้เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวอะไรกับหัวหน้ากลุ่มหวนเซียงถวนอย่างเขาแม้แต่น้อย

“แกไปตายซะ…” จู่ๆ ชายหน้าเหลี่ยมก็เปลี่ยนจากอับอายเป็นโกรธแค้น เขาผลักพี่น้องกลุ่มหวนเซียงถวนที่จับคอเสื้อของตัวเองไว้รายนั้นออกรวมถึงฉงเยวี่ยที่จับแขนเขาไว้ ค้อมกายพุ่งเข้าใส่ดีมอส

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่งอยู่รอบๆ ต่างตกใจแตกฮือ นอกจากกลุ่มหวนเซียงถวนแล้ว คนที่เหลือต่างถอยหลังหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกลูกหลง

ที่แท้แล้วความรู้สึกอับอายที่กลายเป็นโกรธแค้นของชายหน้าเหลี่ยมนั้นคือการพังทลายของอารมณ์ความรู้สึก

ความลับที่เพียรซ่อนงำไว้ในใจสุดท้ายก็ถูกคนขุดค้นออกมา ท้ายที่สุดความรู้สึกหวาดหวั่น อึดอัด และตื่นตระหนกก็ผสมปนเปอยู่ด้วยกันกลายเป็นแรงกดดันหนักหน่วงระเบิดใส่ตัวต้นเหตุแห่งหายนะ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คนย่อมไม่อาจควบคุมตนเองได้

เขาต้องการก็แค่ระบายความรู้สึก ต้องการออกไปให้พ้นจากสภาวะยากลำบากจนลืมคิดว่าศักยภาพของเขากับดีมอสนั้นห่างชั้นกันเกินไป

คนที่ถอยออกไปอยู่ในระยะปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นต่างมองเห็นฉากตบหน้าที่เกิดขึ้นตามมาได้อย่างชัดแจ้ง

ชายหน้าเหลี่ยมชนเข้ากับความว่างเปล่า

เพราะจู่ๆ ดีมอสก็ถอยหลังออกไปไกลด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเห็นชัดว่าเขาทำได้แบบไหนอย่างไร

แต่ชายหน้าเหลี่ยมเองก็ไม่ช้า

ตอนที่เกือบจะชนคนเข้าเขาก็เรียกใช้ต้นไอเทมทันที ใบไม้บางๆ ราวปีกจักจั่นขอบข้างคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้าใส่ดีมอสไม่ต่างอะไรกับตาข่ายใบมีดสีเขียว!

สองตาของชายหน้าเหลี่ยมแดงก่ำ สองมือกำหมัดเข้าหากันแน่น กล้ามเนื้อขมวดตึง เห็นได้ชัดว่าทุ่มเทพลังจิตทั้งหมดไปกับการโจมตีครั้งนี้

ดีมอสไม่มีที่ให้หลบ ใบไม้พุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้คือป้องกันตัว

แต่เขาไม่ขยับ

ตรงกันข้ามเขากลับยืนมองชายหน้าเหลี่ยมผ่านใบไม้สีเขียวไม่ต่างอะไรกับตอนสำรวจความหวาดกลัวภายในจิตใจของอีกฝ่ายในครั้งแรก

ใบไม้สีเขียวดุดันเกรี้ยวกราดพวกนั้นพลันหยุดนิ่ง

ชายหน้าเหลี่ยมเนื้อตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่นราวกับจู่ๆ ก็ถูกฟ้าผ่า สองตาเบิกกว้างเจียนถลนออกนอกเบ้า

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีใบไม้เขียวปลิดวิญญาณพวกนั้นก็หายลับ ชายหน้าเหลี่ยมหงายหลังล้มตึงลงไปนอนกองอยู่กับพื้น

เขานอนหงายใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ตายตาไม่หลับ

วิหารเทพเจ้าเงียบสงัดจนน่าขนลุก

การตายของชายหน้าเหลี่ยมทำเอาหัวสมองของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านว่างเปล่าขาวโพลนไปชั่วขณะ

ที่พวกเขาคิดคือชายหน้าเหลี่ยมคงถูกตบหน้า ถูกดีมอสสั่งสอนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เคยนึกมาก่อนว่าคนจะตายไปเงียบๆ แบบนี้

ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือแม้แต่ดีมอสทำอะไรพวกเขาก็ไม่รู้

ในที่สุดผู้คุมด่านผมทองก็ถอดเสื้อคลุมออก

ทักซิโดสีดำงดงามบนตัวอีกฝ่ายแลดูงามสง่าสูงส่งอยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองอึมครึมภายในวิหาร

เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างศพของชายหน้าเหลี่ยมอย่างไม่สะทกสะท้าน ใช้เท้าถีบอีกฝ่ายสองทีด้วยท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเฉื่อยเนือยระคนโอดครวญเล็กๆ ดังทำลายความเงียบงัน “คุยไม่สนุก จบไปแล้วคนหนึ่ง”

 

* แดนชำระ มาจากความเชื่อทางศาสนาคริสต์ เป็นสภาวะหรือขั้นตอนในการชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์หรือการลงโทษชั่วคราว

บทที่ 91

แดนน่าสะพรึงสุดขีด

 

ติ๋งๆ

ติ๋งๆ

เจิ้งลั่วจู๋ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงน้ำที่หยดลงมาเป็นจังหวะ

สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือหัวก๊อกขึ้นสนิมอันหนึ่ง แม้มันจะถูกบิดแน่นแล้ว แต่น้ำก็ยังหยดออกมาจากปากก๊อกไม่หยุด

หยดน้ำทุกหยดหล่นลงไปในถังน้ำพอดิบพอดี

จานชามแก้วน้ำใช้แล้วกองอยู่ในนั้นเต็มไปหมด คราบมันคราบสกปรกตกค้างขึ้นราหมดแล้ว กลิ่นชวนคลื่นเหียนแปลกๆ ย้อนกลับมาจากปากท่อระบายน้ำ

ที่นี่เป็นห้องครัวเก่าๆ ห้องหนึ่ง เขานอนขดอยู่ตรงมุมครัวเปียกชื้น สองมือกอดเข่า ใบหน้าครึ่งหนึ่งซุกอยู่ตรงกลาง เผยให้เห็นแค่ดวงตา แมลงสาบสองสามตัวคืบคลานอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเหมือนมองไม่เห็น

ท่วงท่าเช่นนี้ไม่สบายเลยแม้แต่น้อย

เจิ้งลั่วจู๋ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมานอนอยู่ในท่าแบบนี้ ทั้งขาทั้งคอเจ็บปวดเกินทน

เขารู้สึกกลัดกลุ้มไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่ไหนกันแน่

แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนท่า ทำเพียงกลอกตาไปมา ลอบพิจารณาดูพื้นที่รอบๆ

อิฐกระเบื้องบนผนังครัวถูกควันรมจนดำ ยากจะมองออกว่าสีเดิมของมันคืออะไร ซ้ำยังเต็มไปด้วยรอยร้าว มุมกระเบื้องบิ่นแตกอยู่หลายแผ่น เผยให้เห็นถึงผิวซีเมนต์กระดำกระด่างด้านล่าง

บนเตามีคราบมันหนาเตอะจับอยู่เป็นชั้นๆ มองเห็นวัตถุแปลกปลอมที่ถูกลมพัดจนแห้งได้อยู่เลาๆ คล้ายเศษอาหารที่ตกหล่นอยู่บนเตาตอนทำอาหาร ขณะเดียวกันก็คล้ายเป็นซากหนอนซากแมลงอะไรบางอย่าง

เครื่องดูดควันรุ่นเก่าที่ตั้งอยู่เหนือเตาเต็มไปด้วยคราบไขมันสีเหลืองหม่น รูร่องบนตะแกรงกรองอุดตัน ชวนให้คนนึกสงสัยว่ามันยังทำงานได้อยู่หรือเปล่า

ในห้องครัวนี้ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงหลอดไฟวัตต์ต่ำดวงหนึ่งเปล่งแสงสลัวๆ

สกปรก อึมครึม คร่ำคร่า และเศร้าสลด

ติ๊ง

ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้เสียงสัญญาณเตือนฟังดูกระจ่างชัดโดดเด่นเป็นพิเศษ

เจิ้งลั่วจู๋ตอบสนองทันควัน เขารีบยกแขนขึ้นดู การเคลื่อนไหวนี้คล้ายทำลายผนึกอะไรบางอย่าง เข่าที่งออยู่คลายกลับมาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิที่สบายกว่า

 

[โน้ตย่อ : ยินดีต้อนรับสู่แดนน่าสะพรึงสุดขีด]

 

ข้อความแจ้งเตือนสั้นๆ มีเพียงบรรทัดเดียว ทว่าหลังกวาดตามองจบเขาก็ได้รับข้อความที่สอง

ติ๊ง

 

[โน้ตย่อ : สวม ‘ปลอกคอชวนสะพรึง’ ใหม่อีกครั้ง]

 

ปลอกคอชวนสะพรึง?

เพิ่งนึกสงสัยได้ไม่ทันไร ทันใดนั้นลำคอของเจิ้งลั่วจู๋ก็มีอะไรบางอย่างรัดแน่น เมื่อยกมือขึ้นคลำดูเขาก็พบกับวัตถุแข็งๆ เย็นๆ อะไรบางอย่าง

เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ดี

เจ้าสิ่งนี้มันคือเครื่องมือทดสอบในด่านก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะปลอกคอถูกชิงไป เขาก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้คืนปลอกคอให้เขามันหมายความว่าอะไร

ติ๊ง

 

[โน้ตย่อ : ‘ปลอกคอชวนสะพรึง’ จะดึงความรู้สึกหวาดกลัวของผู้ที่สวมใส่เปลี่ยนเป็นค่าความหวาดกลัว ค่าของมันจะเปลี่ยนไปตามอารมณ์ความรู้สึกแท้จริงในช่วงเวลานั้นๆ โดยจะขยับขึ้นลงอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 ทันทีที่ค่าของมันขึ้นไปถึง 100 ซึ่งเป็นค่าสูงสุดที่ ‘ปลอกคอชวนสะพรึง’ รับได้ มันจะปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจของผู้สวม เป็นเหตุให้หัวใจหยุดเต้นถึงแก่ความตาย]

 

ติ๊ง

 

[โน้ตย่อ : ขอเตือนด้วยความเป็นมิตร ตอนปฏิบัติภารกิจขอให้ระมัดระวังเรื่องการควบคุมอารมณ์ให้ดี]

 

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

ถ้าห่วงใยชีวิตของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน นายก็ไม่ควรใส่เจ้าของบ้าๆ นี่ลงบนคอชาวบ้าน! สวมเสร็จแล้วยังมีหน้ามาเตือนด้วยความเป็นมิตร มิตรแม่มึงสิ!

หลังจากรอสองสามวินาที เมื่อมั่นใจว่าไม่มีข่าวสารใหม่อะไรอีก เจิ้งลั่วจู๋ก็เดินไปที่หน้าประตูห้องครัว มองเข้าไปยังประตูกระจกบานเลื่อนขอบอะลูมิเนียมที่กั้นอยู่ระหว่างห้องครัวกับห้องรับแขก ประตูนั้นไม่ได้ปิด บานประตูสองบานทับซ้อนกันอยู่ หนึ่งในนั้นหลุดร่วงออกจากราง เอียงขัดอยู่ที่นั่น

ห้องรับแขกไม่ได้ใหญ่กว่าห้องครัวสักเท่าไหร่ เป็นห้องรับแขกที่ไม่มีหน้าต่าง

เมื่อเอาคำสำคัญอย่างแดนน่าสะพรึงสุดขีด ปลอกคอชวนสะพรึง ค่าความหวาดกลัว และถูกกระแสไฟฟ้าช็อตจนหัวใจหยุดเต้นมาผนวกเข้าด้วยกัน เขาก็เดาวิธีการทดสอบนี้ได้ทันที มันก็แค่สร้างของชวนขนหัวลุกออกมาทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนเจียนตาย กลัวจนค่าความหวาดกลัวพุ่งทะลุขีดสูงสุดจนถูกไฟฟ้าช็อตตาย

กฎกติกาหยาบๆ เรียบง่ายแบบนี้ คิดจะผ่านด่านก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูว่าใครจะทนแบกรับความหวาดกลัวที่ประเดประดังเข้ามาไหว ข่มความรู้สึกหวาดกลัวนั้นไว้ในขอบเขตปลอดภัยได้สำเร็จ

ดีมอสเตรียมเรื่องราวสยองขวัญชุดใหญ่อะไรไว้ให้บ้างนะ

เจิ้งลั่วจู๋คิด สายตาหยุดอยู่บนกระจกประตูบานเลื่อนโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าบนกระจกจะเต็มไปด้วยคราบสกปรก ทว่าแสงไฟหม่นๆ นั่นก็ยังคงพอฉายให้เห็นภาพสะท้อนได้อยู่

เขามองเห็นปลอกคอบนลำคอของตัวเองก่อนเป็นลำดับแรก

ไม่ต่างอะไรกับปลอกคอในตอนที่ทำการทดสอบ ‘ใจคนน่าสะพรึง’ เลยแม้แต่น้อย ความต่างเพียงหนึ่งเดียวคือตรงกลางของปลอกคอมีจอมอนิเตอร์เล็กๆ อยู่อันหนึ่ง ตัวเลขบนนั้นกะพริบไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

 

‘20…21…22…19…20’

 

ค่าความหวาดกลัวที่แปรผันไปตามอารมณ์ความรู้สึกในเวลานี้ของเขา

เจิ้งลั่วจู๋รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ ตอนนี้เขายังไม่เจออะไรสักหน่อย ค่าความหวาดกลัวของเขาก็น่าจะเป็น 0 ไม่ใช่เหรอ

หรือจะบอกว่าสภาพแวดล้อมสกปรกอึมครึมไม่คุ้นเคยนี้กระตุ้นให้จิตใต้สำนึกของเขารู้สึกไม่ปลอดภัย

เดี๋ยวก่อน!

เจิ้งลั่วจู๋เนื้อตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง

เงาที่อยู่ในกระจกนั่นคือใคร

ตัวผอมแห้ง ไม่สมวัย ใส่เสื้อกล้ามลายการ์ตูนขาดๆ เผยให้เห็นแขนเล็กลีบที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูก หัวใหญ่กว่าตัวอย่างเห็นได้ชัด เหมือนหัวเป็นของเด็กเจ็ดแปดขวบแต่ร่างกายกลับไม่ต่างอะไรกับเด็กห้าหกขวบ คล้ายสารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ทำให้ร่างกายแลดูขัดแย้งแปลกประหลาดไม่สอดคล้อง

แต่ดูเหมือนว่าตัวประหลาดนี้จะไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ เพราะบนร่างนั้นเต็มไปด้วยจ้ำเลือดสีแดงรอยช้ำสีม่วงตัดสลับไปมารวมถึงรอยหยิกรอยบิดรอยตีด้วยฝ่ามือ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวประหลาดนี้ถูกรังแกอยู่เป็นประจำ

ตัวประหลาดที่ว่าก็คือเขาเอง

“ระวัง ระวัง ค่าความหวาดกลัวเกิน 60 แล้ว”

ทันใดนั้นเสียงเตือนร้อนอกร้อนใจก็ดังขึ้นที่ข้างหู

ลมหายใจของเจิ้งลั่วจู๋ชะงักค้างติดขัด เขารีบตั้งสติ ของปลอม พวกนี้มันของปลอมทั้งหมด มันแค่ต้องการทำให้ฉันตกใจก็เท่านั้น เจิ้งลั่วจู๋พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็พยายามชักสายตาจากกระจกประตูไปที่ห้องรับแขก มองดูทีวีสีล้าสมัย มองดูพัดลมที่เต็มไปด้วยฝุ่น มองดูตู้เย็นที่มีน้ำเจิ่งนองอยู่ทางด้านล่างเพราะประตูช่องฟรีซปิดไม่สนิท

กริ๊กๆ

เสียงพวงกุญแจดังมาจากนอกประตู

จู่ๆ เจิ้งลั่วจู๋ก็ตัวแข็งทื่ออีกครั้ง

“ระวัง ระวัง ค่าความหวาดกลัวเกิน 70 แล้ว”

ลูกกุญแจถูกเสียบเข้ากับแม่กุญแจดังกริ๊ก ประตูกันขโมยถูกเปิดออก

เงาร่างสูงใหญ่ของคนคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา มือกดลงบนสวิตช์ไฟ

หลอดไฟสีขาวเปลี่ยนให้ห้องรับแขกสว่างไสว ขับไล่แสงไฟสีเหลืองอึมครึมจากห้องครัวที่คลุมอยู่บริเวณมุมห้องออกไป

เงาดำไม่ใช่เงาดำอีกต่อไป

โครงร่างเพรียวระหง ผมลอนทันสมัย ใบหน้าสะสวยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นความทุกข์ระทมเอาไว้ได้

ผู้หญิงทั่วไปคนหนึ่ง

แต่เจิ้งลั่วจู๋กลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นตัวสูงใหญ่เหลือกำลัง ต้องออกแรงเงยหน้าถึงจะมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้

“ทำไมแกถึงได้สกปรกแบบนี้” หญิงคนดังกล่าวมองดูเขาด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เย็นคล้ายไม่รับรู้ถึงกลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากช่องฟรีซ เปิดช่องถนอมอาหาร หยิบเอาเบียร์เย็นๆ ออกมาสองขวด เธอเดินกลับมาพลางถาม “พ่อแกล่ะ”

ตายไปแล้ว

ตายไปตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว

เจิ้งลั่วจู๋รู้ดีแก่ใจ แต่ทันทีที่เอ่ยปากเสียงของเขากลับกลายเป็นเสียงงึมงำของเด็ก “ไม่รู้”

น้ำเสียงกระจ่างชัดของเด็กน้อยแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด

น้ำเสียงดังกล่าวชวนให้เจิ้งลั่วจู๋หวนนึกถึงความทรงจำไกลห่างชวนประหวั่นพวกนั้น

ไม่ ไม่ใช่ความทรงจำ แต่เป็นฝันร้าย

ในห้องครัวที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ห้องรับแขกอึมครึมคับแคบ ช่องฟรีซที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำอยู่ตลอดเวลา

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่แปลกประหลาดที่เจิ้งลั่วจู๋ไม่รู้จักมักคุ้นแต่อย่างใด

ที่นี่คือบ้านของเขา บ้านสมัยที่เขายังเป็นเด็ก

“อันตราย อันตราย ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว!”

เสียงภายในหูถี่กระชั้น โหวกเหวก และแหลมคม

ใจของเจิ้งลั่วจู๋เต้นไม่เป็นส่ำ เขารู้ดีว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองต้องแย่แน่ๆ ทันทีที่ค่าความหวาดกลัวเกิน 100 เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นเขาก็มีแต่ต้องตาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ ความรู้สึกหวาดหวั่นนั่นไม่ต่างอะไรกับถุงพลาสติกที่ครอบอยู่บนหัวของเขา ยิ่งพยายามสูดลมหายใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งขาดอากาศหายใจมากเท่านั้น

“ไสหัวไปให้พ้น!” หญิงที่ถือขวดเบียร์ไว้ในมือเตะเขาเต็มแรงคราวหนึ่ง ร่างของเขากระเด็นออกไปไม่ต่างอะไรกับขยะ จากนั้นอีกฝ่ายก็เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ริมผนัง ใช้ที่เปิดขวดที่วางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเปิดขวดเบียร์ แล้วกรอกมันใส่แก้วให้ตัวเอง

ก็แค่เตะทีเดียวเท่านั้น

เบากว่าที่เจิ้งลั่วจู๋คาดไว้อยู่โข

เสียงเตือนค่าความหวาดกลัวในหูบอกให้เขารู้ว่าตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่ 60 แล้ว

หญิงคนนั้นเทเบียร์ใส่แก้วโครมๆ ฟองเบียร์สีขาวล้นออกมาจากปากแก้วราคาถูก เจิ่งนองไปทั่วทั้งโต๊ะ

เธอก้มหน้าลงไปหมายจิบก่อนสักสองสามคำ แต่จู่ๆ ประตูกันขโมยก็ถูกคนทุบตึงตังเต็มแรง

หญิงคนนั้นหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที เธอร้องด่าพลางเดินไปเปิดประตู “ทำไมแกถึงไม่ไปตายอยู่ข้างนอกให้รู้แล้วรู้รอดนะ”

ประตูเปิดแล้ว ชายที่มีนัยน์ตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดคนหนึ่งเดินเข้ามา ไม่สนใจรองเท้าแตะบนพื้น เขาเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องรับแขก “วันทั้งวันเหล่าจื่อ* ทำงานเหนื่อยแทบตายเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อคนบ้านนี้!”

หญิงคนนั้นยิ้มหยันพลางเดินตามเข้าไป “เพื่อคนบ้านนี้? ฉันว่าแกแพ้พนันหมดตูดแล้วมากกว่าถึงได้ซมซานกลับบ้านมา”

ถูกอีกฝ่ายพูดแทงใจดำแบบนั้น ชายคนนั้นก็โมโหขึ้นมาทันที “แม่งเอ๊ย วันนี้ดวงซวยเป็นบ้า!”

เดิมทีเธอก็แค่ด่าส่งเดชออกไป นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะทายถูก เธอจึงกรีดร้องออกมาทันที “แกบอกว่าจะเลิกเล่นพนันแล้วไม่ใช่หรือไง!”

“แกจะไปเข้าใจอะไร วันนี้ตอนแรกฉันเกือบจะถอนทุนคืนได้อยู่แล้วเชียว ก็เพราะไอ้เวรเหล่าหลี่นั่นแหละ จะโทรมาตอนไหนไม่โทรดันโทรมาขัดลาภกันได้”

“เชอะ คนอย่างแกมันก็มีข้ออ้างตลอดนั่นแหละ! ฉันถามหน่อย หลายปีมานี้แกเคยชนะรึไง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ชนะน้อยเสียมาก ฉันพูดกี่ทีแล้วว่าคนอย่างแกมันไม่มีดวงเอาดีด้านการพนัน”

เพียะ!

ชายคนนั้นขัดจังหวะการพูดของหญิงคนนั้นด้วยการตบทีหนึ่ง และตัดบทยุติการทะเลาะภายในบ้าน

สองตาของหญิงคนนั้นแดงก่ำ สายตาเกลียดชังราวกับต้องการจะฆ่าคน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้โถมเข้าใส่อีกฝ่าย

ชายคนนั้นเดินอ้อมหญิงคนนั้นไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา เตรียมกลับเข้าห้อง

เจิ้งลั่วจู๋ขดตัวอยู่ที่มุมกำแพง พยายามขดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจุดที่ถูกเตะเมื่อครู่จะเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่นึกสนใจ คิดก็แค่เพียงต้องการขดตัวให้เล็กที่สุด เล็กจนไม่ว่าใครก็มองไม่เห็น

แต่ชายคนนั้นก็ยังคงมองเห็น

สายตาสองคู่สบประสานกัน เจิ้งลั่วจู๋หนาวสะท้านไปทั้งร่าง

พ่อแม่เขาตายไปแล้ว ใช่ ตายไปนานแล้ว นานเสียจนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ารูปร่างหน้าตาของคนทั้งคู่เป็นอย่างไร

แต่ทำไมคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านี้ถึงได้เหมือนจริงขนาดนี้

พวกเขาคล้ายปีศาจร้ายที่โผล่ออกมาจากใต้ดิน ยืมศพคืนชีพ ห่อคลุมร่างด้วยหนังของคนที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่

“แกมันไอ้เด็กดื้อ แม้แต่พ่อก็ไม่เรียกสักคำ ฮ้า?” ชายคนนั้นเดินตรงดิ่งเข้ามาด้วยความโมโห คว้าตัวเขาออกมาจากมุมห้อง ลากเขาไปข้างแผงกระจายความร้อน ใช้เชือกรองเท้าที่ตากอยู่ด้านบนมัดมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้กับแผงกระจายความร้อน “ไม่จัดการแกสักวันคงไม่ได้สินะ”

หลังมัดเสร็จชายคนนั้นก็หอบหายใจ เดินไปเข้าห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์

เจิ้งลั่วจู๋เจ็บปวดแสนสาหัส ปวดข้อมือ ปวดแขน ปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว

แต่เพราะคุ้นชินกับการลงโทษแบบนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวสักเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่หลับไปกับแผงกระจายความร้อน ลำบากนิดๆ หน่อยๆ และข้อมือชา พอพรุ่งนี้เช้าเพราะต้องไปโรงเรียนอีกฝ่ายก็จะมาปลดให้เขาเอง ไม่อย่างนั้นคุณครูก็จะมาถามเอากับผู้ปกครอง

เสียงกดน้ำดังมาจากห้องน้ำ

ชายคนนั้นเดินสะโหลสะเหลออกมาพลางอ้าปากหาว หลังจากนั้นก็ตรงดิ่งกลับเข้าห้องนอนไม่แม้แต่จะมองไปที่ห้องรับแขก

เสียงปิดประตูห้องนอนลั่นดัง บรรยากาศภายในห้องรับแขกเงียบสงัดลงอีกครั้ง

เหลือเพียงเสียงร่ำไห้กระซิกๆ ของผู้หญิง

ผู้หญิง?

ความรู้สึกหนาวเหน็บกะทันหันทำเจิ้งลั่วจู๋ถึงกับเนื้อตัวสั่นสะท้าน เขาลืมไปแล้วว่าในห้องรับแขกยังมีคนอยู่อีกคน

เสียงร่ำไห้ค่อยๆ ไกลออกไปพร้อมกับเสียงฝีเท้า

เพียงไม่นานเสียงก็ดังใกล้เข้ามาอีกคราว

เจิ้งลั่วจู๋ไม่กล้าเงยหน้า จนกระทั่งเงาดำปกคลุมอยู่เหนือศีรษะเขา

“ทำไมต้องทำให้พ่อโกรธด้วย”

น้ำเสียงทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยนดังมาจากขุมนรก

เจิ้งลั่วจู๋เงยหน้าอย่างหวาดๆ เพราะมองย้อนแสงจึงเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่กระนั้นเขากลับมองเห็นไม้แขวนเสื้อเหล็กในมืออีกฝ่ายถนัดตา

ที่อีกฝ่ายเดินห่างออกไปแล้วย้อนกลับมา ที่แท้ก็ไปเอาไม้แขวนเสื้อที่ระเบียงนี่เอง

“ทำไมต้องทำให้พ่อโกรธ!”

เธอถามซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นดุดันเกรี้ยวกราด ไม้แขวนเสื้อในมือฟาดลงมาเต็มแรง

เจิ้งลั่วจู๋กัดฟันแน่น ไม่ร้องแม้แต่แอะเดียว ทว่าน้ำตากลับหล่นร่วงไม่หยุด

“พูดสิ ท่าทางของแกแบบนี้หมายความว่าอะไร”

อีกฝ่ายฟาดแรงขึ้นทุกที ไม่เลือกที่ตี แค่หวดไม้แขวนเสื้อใส่ร่างเขาไม่ยั้ง

เจิ้งลั่วจู๋ก้มหน้า ซุกหัวแนบอยู่กับแขนที่ถูกตรึงไว้ เนื้อตัวเกร็งขึงรับการโบย

ไม้แขวนเสื้อฟาดใส่หัว ไหล่ แขน และแผ่นหลังของเขา

เจ็บปวดจริงๆ

เจ็บปวดจนเขานึกอยากตาย

“อันตราย อันตราย ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว!”

เขากลัว

เขาไม่เคยบอกกับคนอื่นมาก่อนว่าเขากลัวจริงๆ กลัวถึงขนาดแค่ได้ยินเสียงพ่อแม่กระแอมออกมาคำหนึ่งก็เนื้อตัวสั่นเกินกว่าจะควบคุมได้

“อันตราย อันตราย ค่าความหวาดกลัวเกิน 90 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 90 แล้ว!”

ไม่มีปีศาจร้ายยืมศพคืนชีพ

นี่คือพ่อแม่ของเขา

พ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขา แต่กลับไม่เคยเห็นเขาเป็นมนุษย์

“สัญญาณเตือนขั้นสูงสุด สัญญาณเตือนขั้นสูงสุด ค่าความหวาดกลัวเกิน 95 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 95 แล้ว!”

ตายเถอะ

ตายแล้วจะได้จบๆ กัน!

“เตือนครั้งสุดท้าย ค่าความหวาดกลัวถึง 99 แล้ว! ค่าความหวาดกลัว…”

“กรี๊ดดดด…”

เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูทรงพลังดังกลบเสียงเตือนในหูไปจนหมด

ขณะเดียวกันก็ตัดทำลายความหวาดกลัวที่สะสมจนเกือบถึงจุดวิกฤตของเจิ้งลั่วจู๋

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวแล้ว

เพียงแต่ความสนใจที่อยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวแต่เดิมนั้นถูกเสียงกรีดร้องเปี่ยมพลังนั่นทำกระเจิดกระเจิงหมดสิ้น

‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก II’

นอกจากคนที่ควบคุมต้นไอเทมดังกล่าวก็ไม่มีใครจะคุ้นเคยกับเสียงกรีดร้องนุ่มนวลงดงามนี้ไปกว่าเจิ้งลั่วจู๋แล้ว

หนานเกอ!

ด่าน คู่หู นครใต้พิภพ โลกใต้บาดาล ความทรงจำนับไม่ถ้วนเอ่อท้นออกมาราวกับสายน้ำหลาก เพียงพริบตาเจิ้งลั่วจู๋ตัวน้อยก็ถูกพาตัวกลับออกมาจากฝันร้าย

เขาเติบใหญ่แล้ว

ไม่ใช่เด็กที่ไม่อาจตอบโต้ได้นานแล้ว

ตาเนื้อของเขามองเห็นข้อมือเล็กบางที่ถูกเชือกรองเท้ามัดคู่นั้นเปลี่ยนเป็นกำยำแข็งแกร่งชัดเจน

แม้แต่หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไป ไม่ได้สูงใหญ่แบบนั้นอีก

เจิ้งลั่วจู๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คำรามออกมาทีหนึ่ง สะบั้นเชือกรองเท้าที่มัดเขาไว้กับแผงกระจายความร้อน

เขาดีดตัวผลุงขึ้นราวกับปลาไนทะยานพ้นผิวน้ำ หญิงคนนั้นเตี้ยและอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก’ ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุด

เสียงนั่นดังผ่านประตูกันขโมยเข้ามา

เจิ้งลั่วจู๋ไม่มองดูหญิงคนนั้นอีก เขาพุ่งตรงไปเปิดประตูกันขโมยและก้าวเท้าออกไปอย่างไม่ลังเล

ทันทีที่เท้าของเขาพ้นออกจากประตู ทุกสิ่งที่อยู่ทางด้านหลังก็ลับหาย

ไม่มีห้องรับแขก ไม่มีห้องครัว ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าคร่ำคร่า รวมถึงหญิงคลุ้มคลั่งคนนั้นด้วย

มีแต่ห้องพักผู้โดยสารเรียบง่ายห้องหนึ่ง โต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง เตียงหลังหนึ่งซึ่งหัวเตียงมีห่วงยางอันหนึ่งแขวนไว้ นอกหน้าต่างทรงกลมข้างเตียงคือใต้ทะเลลึกดำมืด

ใต้ทะเลลึก?

เจิ้งลั่วจู๋เดินออกมาจากห้อง พบว่าตัวเองอยู่บนโถงทางเดินยาวๆ บนโถงทางเดินเรียงรายไปด้วยประตูบานแล้วบานเล่า ประตูพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับบานประตูที่อยู่ด้านหลังเขาที่เพิ่งปิดลง สภาพของที่นี่คล้ายเป็นห้องพักบนเรือ

เสียงต่างๆ นานาดังมาจากหลังบานประตูแต่ละบาน

เสียงกรีดร้อง

เสียงตะโกน

เสียงร้องรันทด

เสียงด่าทอ?

เขาไม่สนใจวิเคราะห์ปฏิกิริยาหวาดหวั่นพรั่นพรึงสารพัดรูปแบบพวกนั้น เจิ้งลั่วจู๋ทำเพียงตั้งอกตั้งใจตามหา ‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก’

“กรี๊ดดดด…”

เยี่ยม ไม่ต้องหาแล้ว ขอเพียงหนานเกอกรีดร้อง มงกุฎราชินีย่อมเป็นของเธอ

เจิ้งลั่วจู๋อาศัยความเร็วคล้ายการวิ่งร้อยเมตรพาร่างพุ่งผ่านประตูสิบกว่าบานไปในรวดเดียวก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูที่เสียงกรีดร้องดังกล่าวเล็ดลอดออกมา เขาเริ่มลงมือทุบประตูปึงปัง “หนานเกอๆ”

เขาทุบประตูอยู่ราวๆ สิบนาที

ระหว่างนั้นเขาใช้สารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไหล่กระแทก ใช้เท้าถีบ หรือใช้มีดสั้นงัด แต่ประตูนั่นกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย

หลังจากตะโกนจนลำคอแหบแห้ง ในที่สุดประตูก็เปิดออกจากทางด้านใน

หนานเกอหอบหายใจวิ่งออกมา ใบหน้าซีดเผือด เส้นผมเปียกชื้นเพราะเหงื่อแนบติดอยู่กับสองแก้ม

เจิ้งลั่วจู๋ใช้มือลูบใบหน้าให้อีกฝ่ายก่อนจะถามด้วยความห่วงใยว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

เจิ้งลั่วจู๋ลงมือจริงจังจนสันจมูกของหนานเกอแทบจะถูกเขาลูบแบน แต่เห็นแก่ที่พรรคพวกรายนี้ไม่ต่างอะไรกับทหารเทพจากสวรรค์มาช่วยเธอไว้ได้ทันการณ์ เธอจึงยกโทษให้ “ค่าความหวาดกลัวของฉันเกือบจะถึง 100 อยู่แล้ว โชคดีที่นายมาทุบประตูเรียก”

เจิ้งลั่วจู๋ “ฉันก็เกือบถึง 100 เหมือนกัน โชคดีที่พี่สาวกรี๊ดออกมาพอดี!”

หนานเกอตะลึง “นายได้ยินเสียงกรีดร้องของฉัน?”

“แน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะรู้ได้ยังไงว่าพี่สาวอยู่หลังประตูบานไหน” เจิ้งลั่วจู๋รู้สึกว่าหนานเกอน่าจะรู้จักอานุภาพต้นไอเทมของตัวเธอเองดี “ฉันคิดว่าคนกว่าครึ่งบนเรือลำนี้น่าจะได้ยินเสียงเธอ”

“เรือ?” หนานเกอเพิ่งเอาชีวิตรอดออกมาจากแดนน่าสะพรึงสุดขีดเลยไม่ทันได้สังเกตดูรอบๆ พอได้ยินเจิ้งลั่วจู๋พูดแบบนั้นเธอถึงพบว่าบนผนังอีกด้านของโถงทางเดินล้วนแต่เป็นหน้าต่างทรงกลม ที่อยู่นอกหน้าต่างคือผืนน้ำสีฟ้าเข้ม มีเงาดำของปลานานาชนิดว่ายผ่าน

“ฉันคิดว่ามันน่าจะเหมือนกับในโรงแรมโลกใต้บาดาลนั่น เป็นเรือที่อยู่ใต้ทะเลลึก” เจิ้งลั่วจู๋อนุมานตามประสบการณ์

หนานเกอคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บางทีอาจเป็นเรือที่จมอยู่ใต้ทะเลเพราะประสบกับพายุมรสุมอะไรพวกนั้น ฝังร่างของคนบนเรือไว้ใต้ทะเลทั้งหมด หลังจากหลายปีผ่านไปในที่สุดก็มีพวกนักสำรวจแวะเวียนเข้ามาค้นหาสมบัติ และเพราะพบเจอกับเรื่องประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า เรือลำนี้จึงถูกขนานนามให้เป็นเรือผีสิง”

“พี่สาว” เจิ้งลั่วจู๋ก่ายหน้าผาก “ถ้าพี่ยังพบเจอเรื่องน่าสะพรึงสุดขีดไม่พอ ฉันส่งพี่กลับเข้าไปในห้องต่อก็ได้”

หนานเกอค้อนปะหลับปะเหลือกใส่เจิ้งลั่วจู๋คราวหนึ่ง “ไม่ว่าจะเรื่องน่ากลัวอะไรขอเพียงพูดออกมามันก็ไม่น่ากลัวอีก เข้าใจหรือเปล่า”

หนานเกอพูดอย่างมั่นอกมั่นใจฉะฉานมีเหตุมีผล แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากล้อเล่นอะไรต่อ

เจิ้งลั่วจู๋เพิ่งสังเกตเห็นว่าค่าความหวาดกลัวที่แสดงอยู่บนปลอกคอของหนานเกอนั้นอยู่ที่ 40

เธอยังคงหวาดกลัวและตื่นตระหนกต่อสิ่งที่ประสบพบเจอหลังบานประตูนั่น

เพราะเหตุนี้เธอถึงได้จงใจพูดย้อมใจตัวเอง

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเจิ้งลั่วจู๋ก็ตัดสินใจเอ่ยปากถาม “ตอนอยู่ในห้องพี่สาวเห็นอะไร” เพราะกลัวว่าหนานเกอจะไม่ยอมปริปากบอก เขาจึงรีบพูดเสริมออกมาประโยคหนึ่ง “ฉันก็แค่ถามเท่านั้น พี่ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้”

“นครใต้พิภพ” หนานเกอพูดออกมาสามคำเบาๆ

เจิ้งลั่วจู๋งุนงง “นครใต้พิภพทำไม”

หนานเกอถอนหายใจ ระยะเวลาเพียงนาทีเดียวเธอมองค้อนเขาไปแล้วถึงสองครั้ง “นครใต้พิภพ ช่วงที่ฉันเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้”

เจิ้งลั่วจู๋ตระหนักได้ทันที จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองถูกอีกฝ่ายค้อนใส่แบบนั้นมันเป็นเรื่องสมควรแล้ว

หนานเกอกลับไม่ปิดบังซ่อนเร้น ในเมื่อพูดแล้วก็ต้องพูดออกมาให้หมด “ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะตอนเพื่อนฉันออกไปหาอาหาร เวลาที่ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ฉันจะรู้สึกกลัวเป็นพิเศษ กลัวว่าจู่ๆ จะมีคนบุกเข้ามา”

หลังจากนั้นล่ะ?

ทันใดนั้นเจิ้งลั่วจู๋ก็ไม่กล้านึกต่อ

หนานเกอที่พูดอยู่ดีๆ ก็โมโห ค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอลดลงมาเหลือ 10 ราวกับผาขาด “ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ฉันเป็นอัมพาตอยู่ในนครใต้พิภพ เพราะพวกเราระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเลยไม่เคยมีใครบุกเข้ามาในที่พักของพวกเรา แต่เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องบ้านั่นมันกลับฉายภาพผู้ชายบุกเข้ามา แถมมันยังมากันเป็นฝูง!”

เจิ้งลั่วจู๋ “ฝูง…ฝูงเหรอ”

หนานเกอ “ใช่ นายว่าฉันจะไม่กลัวได้ไหมล่ะ ค่าความหวาดกลัวของฉันพุ่งขึ้นไปถึง 90 ฉันเลยเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง ทันทีที่กรีดร้องค่าความหวาดกลัวก็ไม่ขยับขึ้นอีก แถมพวกผู้ชายทั้งหมด แม้แต่ห้องเองก็เริ่มสั่น ยิ่งสั่นฉันก็ยิ่งกรีดร้องหนัก หลังจากนั้นนายก็ทุบประตู”

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

ประโยคที่พูดว่า ‘ร้องสิ ร้องให้ตายก็ไม่มีใครมาช่วยเธอหรอกพอมาถึงหนานเกอแล้ว มันกลับถูกดัดแปลงแก้ไขเสียใหม่

“นายล่ะ” หนานเกอไม่ได้เอาแต่พูดถึงแต่เรื่องตัวเอง “นายเจออะไร”

เจิ้งลั่วจู๋เองก็พูดออกมาแค่สามคำ “พ่อแม่ฉัน”

หนานเกอนิ่งเงียบ ไม่ถามอะไรอีก

เพราะไม่มีอะไรให้พูดถึง พ่อแม่ของจู๋จื่อตอนนั้นปฏิบัติต่อเขาแบบไหนอย่างไร เธอฟังแค่รอบเดียวก็พอแล้ว ขืนให้ฟังอีกเป็นรอบที่สองเรื่องค่าความหวาดกลัวอาจไม่มีปัญหา แต่ค่าความโมโหไม่น่าจะพอ

“เพราะฉะนั้นที่นี่ถึงเรียกว่า ‘แดนน่าสะพรึงสุดขีด’?” เจิ้งลั่วจู๋เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนล้วนต้องเข้าไปอยู่ในห้องห้องหนึ่ง สัมผัสกับเรื่องราวน่าสะพรึงที่สร้างขึ้นให้กับคนคนนั้นเป็นการเฉพาะ”

หนานเกอมองดูประตูแต่ละบานที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะส่ายหน้าครุ่นคิด “ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมพวกเราตอนนี้ถึงยังไม่ได้รับสัญญาณแจ้งบอกว่าผ่านด่านแล้วล่ะ”

“ก็จริง” เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้าเห็นด้วย แต่เพิ่งครุ่นคิดได้ไม่ทันไรจู่ๆ ประตูที่อยู่ห่างออกไปสองเมตรก็เปิดออกดังโครมใหญ่

คนคนหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน ความเร็วไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย เขากระแทกเข้ากับหน้าต่างทรงกลมที่โถงทางเดินดังตึง ไม่รู้ว่าที่ชนถูกคือหัวหรือตัว แต่ที่แน่ๆ คือคนกระเด้งกระดอนกลับมา ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น

เพราะแสงสว่างบนโถงทางเดินมีไม่พอเลยมองเห็นใบหน้าคนบนพื้นได้ไม่ชัด

ทว่าเจิ้งลั่วจู๋กับหนานเกอจำชุดวอร์มเขียวขาวบนตัวของอีกฝ่ายได้

หัวหน้ากลุ่มข่งหมิงเติงสาขานครใต้พิภพ โจวอวิ๋นฮุย

เจิ้งลั่วจู๋กับหนานเกอสบตากันทีหนึ่ง ไม่กล้าส่งเสียงอะไร ทว่าเพียงไม่นานพวกเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ โจวอวิ๋นฮุยนั่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับ ราวกับคนถูกทำให้อกสั่นขวัญหาย

ทั้งสองค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้จนสามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตา

ปากอ้าค้างอยู่ครึ่งหนึ่ง สายตาตื่นตระหนก สีหน้างุนงงหวาดผวา ท่าทีงามสง่าที่เคยมีก่อนหน้านี้ตอนนี้ล้วนหายลับไปจนเกลี้ยง

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือถึงเขาจะพ้นออกมาจากประตูนั่นแล้ว แต่ค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันยังคงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

‘80 83 88!’

 

“แบบนี้ต้องแย่แน่ๆ” เจิ้งลั่วจู๋รีบตะโกนปลุกอีกฝ่าย “โจวอวิ๋นฮุย”

ไม่มีประโยชน์

อีกฝ่ายยังคงไม่ขยับ ความหวาดผวาตื่นตระหนกที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตาเข้มข้นมากขึ้นทุกที คล้ายจมปลักอยู่ในโลกแห่งความหวาดกลัวของตนเอง

 

‘88 90 94!’

 

“โจวอวิ๋นฮุย!” เจิ้งลั่วจู๋ร้อนใจแทบตาย จับไหล่อีกฝ่ายเขย่าเต็มกำลัง “นายตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

 

‘94 96 98!’

 

“ปล่อยมือ!” จู่ๆ หนานเกอก็ดึงเจิ้งลั่วจู๋ออกมาแล้วขยับตัวขึ้นไปตบหน้าของโจวอิ๋นฮุยเต็มแรง

เพียะๆๆๆๆๆ

ซ้ายขวาสลับกันไม่หยุด ท่วงทีเข้มแข็งเปี่ยมพลัง

เจิ้งลั่วจู๋กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาอดลูบแก้มตัวเองไม่ได้ นวดมันครั้งแล้วครั้งเล่า

ค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอของโจวอวิ๋นฮุยเริ่มลดลง

 

‘90 85 70 60’

 

“เชี่ยเอ๊ย!” ในที่สุดหัวหน้ากลุ่มข่งหมิงเติงที่หัวสะบัดเป็นกลองป๋องแป๋งก็ได้สติ คว้าข้อมือเล็กๆ ของหนานเกอไว้ โกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “เธอตบฉันทำไม!”

ตบคนก็เป็นงานที่ต้องใช้แรงเหมือนกัน หนานเกอหอบหายใจ “ช่วยนายไง”

โจวอวิ๋นฮุย “ตบเพื่อช่วยฉันเนี่ยนะ?” นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน

“ตบอาจช่วยได้ไม่ได้ แต่ความโกรธช่วยได้” หนานเกอบอก ความโกรธเป็นวิธีต่อต้านความกลัวที่ดีที่สุด

“เรื่องนี้นายต้องเชื่อ” เจิ้งลั่วจู๋จำเป็นต้องพูดให้ความยุติธรรมกับหนานเกอ “เมื่อกี้ค่าความหวาดกลัวของนายพุ่งขึ้นไปถึง 98 แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหนานเกอ ตอนนี้นายคงไปพบยมบาลแล้ว!”

“ฉันเชื่อ” โจวอวิ๋นฮุยลดแขนลงอย่างไม่พอใจ หัวสมองว่างโล่ง “เมื่อก่อนฉันถูกเพื่อนลากเข้าบ้านผีสิง ผีโคตรน่ากลัวนั่นตามตอแยไม่เลิก ทำฉันกลัวแทบตาย แต่พอโมโหขึ้นมาฉันก็ถีบมันกระเด็น”

หนานเกอ “…”

เจิ้งลั่วจู๋ “หลังจากนั้นนายก็ไม่กลัว?”

โจวอวิ๋นฮุย “ไม่กลัวเลยสักนิด หลังจากนั้นฉันก็วนเวียนอยู่ในบ้านผีสิงนั่นอีกชั่วโมงกว่า”

เจิ้งลั่วจู๋ “ไม่จำเป็นต้องอวดเก่งก็ได้”

โจวอวิ๋นฮุย “ฉันตามขอโทษเจ้าผีนั่นอยู่ทางด้านหลัง จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมยกโทษให้ต่างหาก”

 

* เหล่าจื่อ เป็นภาษาพูด มักเป็นสรรพนามที่ชายสูงอายุใช้เรียกแทนตัวเอง หรือเป็นคำแทนตัวเมื่อต้องการวางอำนาจ วางท่าใหญ่โต

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: