ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
ปัญหาครอบครัว การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การตาย การฆาตกรรม การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่ การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ
และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 92
เกณฑ์มาตรฐานของดีมอส
วิหารเทพเจ้า
ถัดจากชายหน้าเหลี่ยมของกลุ่มหวนเซียงถวน ดีมอสก็เปลี่ยนไปพูดคุยกับสมาชิกกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งรายหนึ่งกับสมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงอีกหนึ่ง และเนื่องจากการสนทนาไม่ราบรื่นอย่างที่เขาต้องการ สุดท้ายคนทั้งสองก็ถูกความหวาดกลัวทำให้หวั่นไหว ทว่าจากบทเรียนของชายหน้าเหลี่ยมที่อยู่ก่อนหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีใครกล้าทำเรื่องโง่ๆ อย่างการบุ่มบ่ามลงมือกับดีมอสอย่างไม่เจียมตัว
แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลที่ว่าคุยไม่สนุก ดีมอสก็ยังคงคร่าชีวิตพวกเขา
ก็เหมือนกับที่เขาจัดการกับชายหน้าเหลี่ยม แค่จ้องคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเพียงไม่กี่วินาที อีกฝ่ายก็ตกตะลึงล้มลงขาดใจตาย
ไม่มีใครรู้ว่าดีมอสใช้วิธีการแบบไหน
ไม่แน่ว่าอาจคล้ายกับเสียงภูตผีปีศาจใน ‘ปริศนาสฟิงซ์’ ที่ดังก้องอยู่ภายในใจของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านและมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
หรือว่าอีกฝ่ายอาจใช้ความสามารถพิเศษบางอย่างที่มองไม่เห็นโจมตีใส่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน
ไม่มีใครรู้ว่ามาตรฐานความเบิกบานใจของดีมอสอยู่ตรงไหน
ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งหวาดผวา
ที่ยิ่งทำให้คนขนลุกตั้งชันคือจนถึงเวลานี้อัตราส่วนพูดคุยกับดีมอสแล้วตายนั้นสูงถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
พูดคุย = ตาย
แม้จะไม่มีใครพูดออกมาชัดแจ้ง แต่เวลานี้สมการที่แลกเปลี่ยนมาด้วยชีวิตคนสามคนนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในสมองของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านอย่างเงียบเชียบและครบถ้วนแล้ว
ตอนดีมอสเลือกสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายหนึ่งมาพูดคุยด้วยเป็นรายที่สี่ เขาแค่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย คนคนนั้นก็เนื้อตัวแข็งทื่อ ท้องขาเป็นตะคริว ยิ่งไปกว่านั้นหากพิจารณาดูดีๆ จะพบว่ามันสั่นระริกอยู่น้อยๆ จนยากจะสังเกตเห็น
นี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองแท้จริงที่เกิดขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัว โดยเฉพาะความหวาดกลัวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
เห็นได้ชัดว่าดีมอสไม่ปลื้ม
เขายกมือขึ้นแบบไม่บอกไม่กล่าว คัฟลิงก์บนแขนเสื้อทักซิโดสีดำวาดผ่านหน้าสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้น ในดวงตาของเขาเหลือไว้เพียงภาพสีเข้มที่แสนเย็นเยียบ
สมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นชักเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างระหว่างตนเองกับดีมอสไว้ราวๆ หนึ่งเมตร
“นายจะทำอะไร” ดีมอสงุนงง ยกแขนขึ้นลูบเส้นผมสีทองของตนเองด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติคล้ายนี่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำแต่แรก
สมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นกระอักกระอ่วน “ฉะ…ฉันคิดว่านายจะลงมือเล่นงานฉัน”
ดีมอสไม่พูดไม่จา
แสงไฟสีเหลืองอึมครึมภายในวิหารเทพเจ้าจับอยู่บนใบหน้าของเขา เส้นแสงอบอุ่นอ่อนโยน ทว่าคนกลับดูเย็นเยียบ
บรรยากาศในวิหารเทพเจ้าเองก็หนาวสะท้าน
สมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาถามว่า “นะ…นายต้องการดูสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในใจฉันไม่ใช่หรือไง”
เรื่องนี้ไม่ว่าช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเกิด เขาจึงตัดสินใจไม่ขอรออีกต่อไป
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ เข้าใจในความรู้สึกนี้ดี บ้างก็ถึงกับหวังว่าดีมอสจะลงมือเร็วหน่อย ในเมื่อเลือกแล้วก็เอ่ยปากพูดให้ไว ไม่ต้องเสียเวลาทรมานกันแบบนี้
นึกไม่ถึงว่าดีมอสจะส่ายหน้า “ไม่คุยแล้ว นายทำให้ฉันหมดสนุกได้สำเร็จ”
ผู้คุมด่านปรารถนาที่จะได้อิ่มเอมกับความสุขที่ผู้เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหลายมอบให้ สุขจนยอมปล่อยให้พวกเขาผ่านด่าน หลุดพ้นจากสายตาของความตาย
ทันทีที่สบตากันสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นก็ตะลึงลาน
ยังไม่ทันมีใครตั้งตัวได้ จู่ๆ ชุยจั้นก็พุ่งออกจากกลุ่มคนที่มีตราประทับ ใช้ต้นไอเทม ‘เท้าติดปีก’ เพิ่มความเร็วให้กับตัวเอง กระโจนเข้าใส่ดีมอสไม่ต่างอะไรกับกระสุนปืนใหญ่ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มสือเซ่อสาขานครใต้พิภพ เป็นคนพาสมาชิกคนอื่นๆ เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน เรื่องให้นิ่งเฉยดูพี่น้องถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เขาไม่มีทางทำได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องข้ามศพเขาไปเสียก่อน!
ตึง
โครม!
เสียงแรกเป็นเสียงชุยจั้นกระแทกเข้ากับร่างของดีมอส
เสียงที่สองเป็นเสียงสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นล้มลงกับพื้น
ชุยจั้นไม่ได้ชนดีมอสล้ม อีกฝ่ายใช้ร่างยันเขากระเด็นถอยกลับไปหลายเมตร
สุดท้ายสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นก็ตายอยู่ดี
“อ๊ากกก” ชุยจั้นคำรามออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ สองตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ทันใดนั้นเขาก็ใช้สองแขนกอดรัดดีมอสไว้ ออกแรงเท้าพุ่งเข้าใส่เสาวิหารเทพเจ้าต้นหนึ่งหมายอัดร่างอีกฝ่ายให้แหลกคาเสา
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้วิ่ง แต่กลับลื่นไถราวกับอยู่บนผิวน้ำแข็ง นี่เป็นต้นไอเทมที่สองของเขาที่เร็วยิ่งกว่า ‘เท้าติดปีก’!
การเคลื่อนไหวรวมถึงความเร็วของมันเห็นได้ชัดว่าชุยจั้นตั้งใจจะลากดีมอสให้ตายตกไปพร้อมๆ กัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วกะทันหัน
คนที่อยู่รอบๆ อย่าว่าแต่พูดหรือทำอะไรเลย แม้แต่เวลาจะคิดก็ยังไม่มี เพียงชั่วพริบตาเงาร่างที่กอดรัดอยู่ด้วยกันนั้นก็กระแทกเข้ากับเสาวิหารโครมใหญ่
เป็นเสาวิหารที่ไป๋ลู่เสียพิงอยู่ก่อนหน้าต้นนั้น
โครม
เสียงกระแทกดังลั่น วิหารเทพเจ้าสั่นสะเทือนอยู่เล็กๆ
บริเวณที่เกิดการกระแทกมีเศษหินปลิวว่อนฝุ่นควันคละคลุ้ง กลืนกินร่างของคนทั้งคู่ไปจนหมด
แม้จะผ่านไปหลายสิบวินาที ทว่าคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านก็ยังคงมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงต่อสู้ดุเดือดดังออกมาจากหมอกควันนั่นปะปนอยู่กับเสียงก่นด่าของชุยจั้น
ไม่ถึงนาทีเสียงการต่อสู้ก็แผ่วลง ก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด
เงาร่างเพรียวบางเดินออกมาจากหมอกควันช้าๆ ทักซิโดมีริ้วรอยยับย่นเพิ่มหลายรอย เส้นผมสีทองยุ่งเหยิงอยู่เล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูงามสง่า สีหน้าไม่เพียงไม่มีร่องรอยโกรธขึ้ง ตรงกันข้ามกลับแลดูอิ่มเอมเปี่ยมสุข
ฝุ่นควันหล่นลงพื้นหมดแล้ว
ทุกคนต่างเห็นชัด ที่อยู่ด้านหลังของดีมอสคือชุยจั้นที่นอนหมอบอยู่ด้านล่างของเสา
เขาหมอบนอนหน้าคว่ำอยู่กับพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น อีกทั้งยังเห็นรอยเท้าบนตัวได้รางๆ เป็นตายไม่รู้ชัด
จู่ๆ ดีมอสก็หันหน้ากลับ เดินไปหยุดอยู่ข้างชุยจั้นแล้วใช้ปลายเท้าเตะไหล่เขา “เลิกแกล้งตายได้แล้ว ฉันเปลี่ยนใจแล้ว คุยกับคนที่มีตราสัญลักษณ์อย่างนายก่อนดีกว่า”
ยังไม่ตาย?
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านมองหน้ากันไปมา พวกที่คุยกันดีๆ ก่อนหน้านี้ต่างล้มหายตายจากไปทีละคนสองคน แต่ชุยจั้นที่บุ่มบ่ามลงมือ อีกฝ่ายกลับออมมือให้เนี่ยนะ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่หวังจะเห็นชุยจั้นตาย ทว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาการกระทำของดีมอสก็ไม่เคยมีตรรกะ เรื่องนี้ทำคนสับสน
ชุยจั้นยังคงหมอบอยู่ที่นั่นไม่ขยับ
ดีมอสขมวดคิ้ว ออกแรงเตะเขาเพิ่มอีกหลายที “มา พวกเรามาคุยกันให้สนุกดีกว่า”
คำว่าสนุกลอยละล่องวนเวียนอยู่ในวิหารเทพเจ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เลือนหาย
ในที่สุดชุยจั้นก็ขยับแล้ว
เขาใช้เวลาสิบกว่าวินาทีถึงพลิกร่างขึ้นมาได้ จากนอนหมอบเปลี่ยนมาเป็นนอนหงาย บอกกับดีมอสที่ก้มมองดูเขาจากที่สูง “คุยกับแม่มึงสิ”
ดีมอส “…”
คนอื่นๆ “…”
บรรยากาศในวิหารเทพเจ้าเปลี่ยนเป็นเงียบงันอย่างน่าอัศจรรย์
เพราะยืนอยู่ด้านหลังของดีมอส คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดจึงไม่มีใครรู้ว่าสีหน้าท่าทางของดีมอสในเวลานี้เป็นแบบไหน
แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ยินดีมอสถอนหายใจเบาๆ เอ่ยปากบอกกับชุยจั้นว่า “นายมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ นับว่ามหัศจรรย์จริงๆ”
หลังจากนั้นชุยจั้นก็ตอบออกมาอย่างมีจังหวะจะโคน “ฉันเองก็กลุ้มใจกับเสน่ห์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน ทางที่ดีนายควรฆ่าฉันเสียแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นเรี่ยวแรงฉันกลับคืนมาเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าฉันต้องฆ่านายทิ้งแน่”
ดีมอสเย้ยหยัน “เลิกพูดคำก็ฆ่าสองคำก็ฆ่าได้แล้ว นายลุกขึ้นมาให้ฉันดูก่อนดีกว่า”
ชุยจั้นไม่มีเสียงแล้ว
อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของชุยจั้นคือถูกเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว
ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่ชุยจั้นยังคงสามารถต่อปากต่อคำกับดีมอสได้นั่นก็เพราะดีมอสต้องการพูดคุยกับเขา
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีความสามารถแตกต่างกันมากมายมหาศาล คำว่ายุติธรรมอะไรย่อมไม่มี
“ให้ฉันดูเรื่องที่นายกลัวที่สุดหน่อย” ดีมอสที่ยืนอยู่ข้างชุยจั้นย่อตัวลง เอ่ยปากกระซิบแผ่วเบา ท่าทีสนอกสนใจ ทิ้งคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งสิบเก้าไว้ด้านหลังอย่างใจเย็น
ไม่รู้ว่าถ้าคนทั้งสิบเก้าคนบุกเข้าไปพร้อมกันจะเอาชนะดีมอสได้หรือเปล่า
ถังหลิ่นคิดขึ้นมาในหัว แต่หลังจากกวาดมองไปรอบๆ สุดท้ายเขาก็ได้แต่เลิกคิด
อย่างน้อยคนเกินครึ่งก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะบุกเข้าไปเล่นงานดีมอสแล้ว
ดีมอสเปิดช่องให้ขนาดนั้น พวกเขากลับทำเหมือนไม่เห็น ความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่ที่บทสนทนาของฝ่ายนั้นกับชุยจั้น พยายามคิดวิเคราะห์ทุกประโยคทุกถ้อยคำ หมายจะค้นหากุญแจลับที่จะใช้ในการผ่านด่านบนตัวของคนที่ยังมีชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียวนั่น
คนที่สบตาเขามีอยู่ด้วยกันแค่หกคนได้แก่หลวงจีน เฉวียนม่าย อู่อู่เฟินกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียน ไป๋ลู่เสียกลุ่มไป๋จู่ ฉงเยวี่ยกลุ่มหวนเซียงถวน และชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขากลุ่มปู้ปู้เกาเซิง
สายตาของฉงเยวี่ยสบเข้ากับสายตาของชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขาโดยบังเอิญ ฝ่ายแรกลอบใช้สายตาทักทาย ฝ่ายหลังยิ้มขัดเขินตามมารยาท
ดังนั้นคนที่ต้องการจะต่อสู้จริงๆ จึงมีแค่สี่คนเท่านั้น
อา ใช่แล้ว ยังมีฟั่นเพ่ยหยางอีกคน
ทันทีที่ถังหลิ่นเริ่มกวาดตามองหาพรรคพวก ฟั่นเพ่ยหยางก็ใช้สายตามุ่งมั่นบอกกับเขาว่าถ้าคุณต้องการ ผมจะลงมือเอง ไม่ต้องมองหาคนอื่น นอกจากประสิทธิภาพจะต่ำแล้วยังยุ่งยากมากอีกด้วย
ถังหลิ่นไม่กล้าสบตาเขาเป็นครั้งที่สอง เกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจนเรียกใช้ต้นไอเทม ‘เสียงสวรรค์ของคนคร้าน’ ขึ้นมา
“เฮอะ” หลังจากพิจารณาดูชุยจั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดดีมอสก็ส่งเสียงออกมา หากแต่เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง “ฉันคิดว่านายจะมอบความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ให้ฉันได้เสียอีก ที่แท้ก็กลัวจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้ไปเลี้ยงดูส่งศพพ่อแม่”
เขาเอ่ยปากพูดถึงความลับในใจของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านอย่างไม่นึกสนใจไยดีพร้อมพ่นเสียงเย้ยหยันออกจากจมูก “น่าเบื่อชะมัด”
สีหน้าท่าทางของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแต่ละคนต่างแตกต่างกันออกไป แววตาสับสน
“น่าเบื่องั้นเหรอ” ชุยจั้นหัวเราะ แต่เพราะไม่ระวังบาดแผลเลยถูกกระทบกระเทือน เขาไอออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงแหบพร่า “ถ้านายไม่มีพ่อแม่ไม่มีคนเลี้ยงดูสั่งสอน ฉันยินดียกโทษให้ แต่ถ้านายมี งั้นฉันก็ต้องเสียใจแทนพวกเขาด้วยที่เสียเวลาเลี้ยงดูลูกทรพีมาซะนานหลายปีแบบนี้”
ประกายแสงวับวาวอันตรายปรากฏขึ้นในดวงตาดีมอส “…”
ชุยจั้นกลับราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “ทำไมไม่พูดล่ะ อ๋อ ที่แท้นายก็ไม่ได้เกิดมาจากก้อนหิน”
ดีมอสหรี่ตา “ฉันไม่เพียงมองเห็นความหวาดกลัวที่สุดของนายได้ ขอแค่ต้องการฉันยังสามารถมองเห็นความหวาดกลัวทั้งหมดในใจนายได้ด้วย”
ชุยจั้นพยายามสอดแขนเข้าไปที่หลังหัวของตัวเอง ฝืนทำเป็นนอนสบายๆ “เปลี่ยนเรื่องคุยแล้วสินะ ได้ เอาสิ เชิญมองดูตามสบาย ถ้าฉันตัวสั่นแม้สักนิด ฉันยินดีเปลี่ยนแซ่ตามนาย”
คนที่ห้อมล้อมอยู่โดยรอบ “…”
ดีมอสจั้น ไม่เห็นจะน่าฟังเลยสักนิด
“เฮอะ ไม่คุยแล้ว น่าเบื่อ” ดีมอสลุกขึ้น หันกลับไปทางด้านหลังอย่างกระฉับกระเฉง ช้อนตามองไปยังคนที่เหลือ “คนต่อไป”
ทุกคนต่างกะพริบตาโดยไม่ได้นัดหมาย
นับว่าชุยจั้น…ผ่านด่านแล้วงั้นเหรอ
ถ้าไม่ใช่เพราะประทับ ‘ตราปลอดภัย’ แล้ว คงยากจะอธิบายได้ว่าทำไมหลังจากทำตัวบ้าคลั่งอยู่ริมเส้นขอบแห่งความเป็นความตายอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งชุยจั้นถึงถอนตัวกลับมาได้อย่างปลอดภัย
หนำซ้ำชาวบ้านยังไม่พอใจมากอีกด้วย
“เฮ้ อย่าเพิ่งไป! ทำไม นายกลัวว่าถ้าคุยกันต่อฉันจะลุกขึ้นมาจัดการนายได้สำเร็จหรือไง”
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ความพยายามในการต่อสู้และความมั่นใจในชัยชนะ หัวหน้าชุยก็นับว่าได้ระดับ S แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้คุมด่านหงุดหงิดแล้ว
หัวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน เขาหันกลับไปเตะใส่หัวของอีกฝ่าย
ชุยจั้นหมดสติ
เสียงจ้อกแจ้กหยุดลงทันที
ดีมอสพึงพอใจ เขาหันกลับมา สายตาและฝีเท้าหันไปทางฝั่งคนที่มีตราประทับ “ในเมื่อเริ่มแล้ว งั้นคุยกับพวกนายต่อก็แล้วกัน”
กลุ่มคนที่มีตราประทับยังเหลืออีกห้าคนได้แก่ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง ฉีฮว่า ไป๋ลู่เสีย และหลวงจีน
ดีมอสเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าฉีฮว่า ฝ่ายหลังมีสีหน้าระแวดระวัง แต่ไม่ได้ออกอาการหวาดหวั่นหรือกระวนกระวายอะไรชัดแจ้ง
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งดีมอสก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไป๋ลู่เสีย
ไป๋ลู่เสียเลิกคิ้วน้อยๆ มุมปากยกขึ้นเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มชั่วร้าย
ดีมอสเม้มริมฝีปากแน่น ท่าทางไม่ปลื้มเท่าไหร่ เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยาง
ถังหลิ่นสีหน้าสงบนิ่ง
ฟั่นเพ่ยหยางสีหน้ายิ่งสงบนิ่ง
ดีมอสยกมือลูบคาง รู้สึกว่าตนเองกำลังยืนดูทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งสองแห่ง ไม่เพียงไม่น่าสนใจ ซ้ำยังเย็นยะเยือกอีกด้วย
สุดท้ายเขาก็มาหยุดอยู่หน้าหลวงจีน
เพราะการเผชิญหน้านี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่หลวงจีนคิดไว้ไม่น้อย ดังนั้นแม้เขาจะเตรียมใจรอรับ ‘การต่อสู้’ อยู่ก่อนก็ยังควบคุมความรู้สึกหวาดหวั่นไว้ไม่ได้ทั้งหมด
ความรู้สึกขัดแย้งผลักดันให้เขายกมือขึ้นลูบหัวโล้นๆ ของตัวเอง
การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปตามสัญชาตญาณ เขาเองก็ไม่รู้สึกตัว ทว่าเฉวียนม่ายกับอู่อู่เฟินที่อยู่อีกด้านกลับเข้าใจพรรคพวกของตัวเองดี พอเห็นการเคลื่อนไหวเช่นนั้นพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าจิตใจของหลวงจีนไม่สงบ
เดิมทีดีมอสกำลังกลัดกลุ้มอยู่กับการเลือกคน พอได้รับการชักนำจากหลวงจีน สายตาของเขาก็เหลือเพียงหัวโล้นๆ ของอีกฝ่าย
ภายในวิหารอึมครึม นี่คือจุดที่สว่างไสวที่สุด
“นายก็แล้วกัน”
สีหน้าของหลวงจีนตึงเขม็ง ทว่าจิตใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น
หากสู้กันด้วยอาวุธ ต่อให้ความสามารถที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายจะต่างชั้นกันมากก็ยังทุ่มสุดตัวต่อสู้ได้ ทว่าการทำตัวราวกับเป็นงูพิษที่มุดเข้าไปภายในจิตใจแล้วเหวี่ยงเอาของที่อยู่ข้างในออกมาได้อีก การลงทัณฑ์กันอย่างเปิดเผยแบบนี้ออกจะน่ากลัวเกินไปหน่อย
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือหลวงจีนเองก็ไม่รู้เลยว่าดีมอสจะขุดอะไรออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของตน
ทุกคนล้วนมีด้านมืดซ่อนอยู่
“ไม่ต้องหลบ” ดีมอสจับสายตาหลบเลี่ยงของหลวงจีนได้อย่างว่องไว เขาขยับเข้าไปใกล้ ใกล้เสียจนมองเห็นเงาสะท้อนตัวเองในดวงตาของอีกฝ่ายได้ “ขอฉันดูหน่อยว่าเจ้าความหวาดหวั่นที่ทำให้นายอยู่ไม่สุขนั่น…”
หลวงจีนหวาดกลัวอย่างยิ่ง กว่าจะควบคุมไม่ให้ตัวเองขยับได้เขาก็ต้องกัดฟันแน่น
เวลาเคลื่อนไปช้าๆ
วิหารเทพเจ้าเงียบงันมากขึ้นทุกที
ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอ ความลับที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจถูกกรีดเปิดออกมาอย่างโหดร้ายอีกคนแล้ว
นี่คือด่าน 2/10 คิดจะผ่านก็ต้องให้ผู้คุมด่านกรีดเนื้อเราะกระดูกก่อน
เพียงแต่ครั้งนี้เวลาเหมือนจะนานอยู่สักหน่อย
ดีมอสยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น รักษาระยะห่างแค่คืบนั้นไว้ จมูกต่อจมูก ตาต่อตา ทว่าสีหน้าค้นหานั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นงุนงงทีละนิดๆ ก่อนจะกลายเป็นหงุดหงิด สุดท้ายก็ยากเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้
การจ้องมองนั้นยาวนานเกินไป นานเสียจนหลวงจีนทนต่อไปไม่ไหว ในเมื่อยื่นหัวไปก็มีด หดหัวกลับก็มีด เขาจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ ว่า “ตกลงนายดูออกหรือเปล่าว่าความกลัวสุดขีดของฉันคืออะไร”
ดีมอสดูออกแล้ว แต่ก็เพราะดูออกเขาถึงไม่อยากพูดออกมา
ทว่าผู้คุมด่านก็มีขั้นตอนการทำงานที่ต้องปฏิบัติเช่นกัน ใช่แล้ว ดื้อรั้นเอาแต่ใจได้ แต่กฎเกณฑ์การทำงานจำเป็นต้องรักษา ดังนั้นเขาจึงต้องตอบคำถามของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน
“ตัวคนเดียว ไม่มีคนรักตลอดชีวิต มองหาความรักที่แท้จริงไม่พบ ไม่มีทางพบเจอคนที่ยินดีจะแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันกับนายไปตลอดชีวิต”
หลวงจีนสองตาเบิกโพลงปากอ้าค้าง “…อ่า”
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมด “…”
ความหวาดกลัวของนายไม่เจาะจงเกินไปหน่อยหรือไง!
บทที่ 93
ทุบประตู
โถงทางเดินมืดดำแคบยาวคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด
หน้าต่างทรงกลมบานแล้วบานเล่า ด้านนอกของกระจกที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะคือทะเลลึก
ห้องพักผู้โดยสารแต่ละห้องมีประตูไม้ผุๆ กระดำกระด่างที่กักเก็บความน่าสะพรึงไว้ภายใน
แต่มันกลับไม่อาจกั้นขวางเสียงตะโกนเสียงกรีดร้องได้
“อ๊ากกกกก”
“ช่วยด้วย…”
“ถอยไป ว้ากๆๆ”
“ฮือๆๆๆ”
บ้างก็เป็นเสียงกรีดร้องน่าเวทนาปานจะขาดใจ บ้างก็เป็นเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นดังก้องอยู่ทั่วโถงทางเดิน ทิ่มแทงโสตประสาทของเจิ้งลั่วจู๋ หนานเกอ และโจวอวิ๋นฮุยที่ออกมาได้ก่อน
เสียงภูตผีร่ำไห้หมาป่าคร่ำครวญดังระคนอยู่ด้วยกันจนยากจะบอกได้ว่าเสียงไหนเป็นเสียงของใคร แต่ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักทุกคนล้วนเป็นคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเหมือนกัน ด้วยมโนสำนึกพวกเจิ้งลั่วจู๋ไม่มีทางฟังอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยแบบนั้น
หลังจากสบตากันพวกเขาทั้งสามก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต่างเห็นพ้องต้องกัน
เจิ้งลั่วจู๋ “ในเมื่อไม่รู้ว่าหลังจากนี้ต้องทำอะไรต่อ งั้นพวกเราก็ช่วยคนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที!”
หนานเกอ “เดี๋ยวฉันจะกรีดร้อง ส่วนพวกนายทุบประตู ช่วยได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น”
โจวอวิ๋นฮุย “ไปกันเถอะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงเจิ้งลั่วจู๋กับโจวอวิ๋นฮุยก็หันไปพร้อมกัน ไม่ยอมปล่อยเวลาให้เสียเปล่า สองเท้ารวมเป็นหนึ่งถีบเข้าใส่บานประตูห้องพักผู้โดยสารที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
โครม!
พวกเขาสองคนออกแรงเต็มกำลัง แต่ประตูนั่นกลับไม่ขยับเลยสักนิด มีแต่เศษไม้กระดำกระด่างที่ปริแตกอยู่แต่เดิมเท่านั้นที่หลุดออกมา
ทว่าหลังจากนั้น ‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก II’ ก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศวังเวงของโถงทางเดินลงอย่างง่ายดาย
“กรี๊ดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องของแมนเดรกไม่ต่างอะไรกับการมาถึงของราชาปีศาจ กักเสียงภูตผีร่ำไห้หมาป่าคร่ำครวญทั้งหมดไว้ภายใน ทันใดนั้นโถงทางเดินก็กลายเป็นเวทีหลักของหนานเกอ
พลังเสียงร้ายกาจพุ่งเข้าใส่หูของโจวอวิ๋นฮุยที่เตรียมจะถีบบานประตูอีกรอบเต็มๆ ทำเอาเขาถึงกับผมลุกตั้งชัน โจวอวิ๋นฮุยตะโกน “ไม่โจมตีหมู่ได้หรือเปล่า”
หนานเกอซึ่งกำลังกรีดร้องอยู่ไหนเลยจะมีเวลาสนใจเขา
“อย่ากวนชาวบ้านควบคุมต้นไอเทม!” เจิ้งลั่วจู๋เรียกร้องความยุติธรรมให้พรรคพวก “พี่สาวหลบเลี่ยงพวกเราสองคนแล้ว ตอนนี้กำลังโจมตีแบบกำหนดเป้าหมายอยู่”
โจวอวิ๋นฮุย “หลบเลี่ยงพวกเราสองคนแล้ว? แล้วทำไมฉันถึงยังได้ยินอยู่”
เจิ้งลั่วจู๋ “เสียงกรีดร้องที่มีพลังทำลายล้างนั่นหลบเลี่ยงพวกเราสองคนไปแล้ว ที่นายได้ยินอยู่ตอนนี้ก็แค่เสียงกรีดร้องธรรมดาๆ ของสาวสวยคนหนึ่งเท่านั้น”
โจวอวิ๋นฮุย “ฉันเวียนหัวหูดังลั่นวิ้งขนาดนี้นายยังบอกว่านี่เป็นแค่เสียงกรีดร้องธรรมดาๆ อีก!”
“หุบปาก!” ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของหนานเกอก็สูงขึ้นกว่าเดิม “ทุบประตู”
พวกเขาสองคนคนหนึ่งขวาคนหนึ่งซ้าย แยกย้ายกันทั้งทุบทั้งถีบทั้งตะโกน
ตึงๆๆ
โครมๆๆ
“คนที่อยู่ข้างในตื่นสิโว้ย”
เจิ้งลั่วจู๋ไล่ทุบประตูทีเดียวห้าบานรวด แต่กลับไม่มีสักบานที่เปิดออก เขาร้อนอกร้อนใจราวกับถูกไฟสุม ตะโกนจนเสียงแหบไปหมด “คนที่อยู่ด้านในฟังนะ ที่นายมองเห็นเป็นของปลอมทั้งหมด เป็นภาพลวงที่ด่านสร้างขึ้น รีบออกมาเร็วเข้า ออกมาจะได้ไม่ต้องกลัวอะไรอีก!”
ตึง!
ประตูบานที่ห้าถูกผลักเปิด คนคนหนึ่งพุ่งออกมาโผเข้าใส่อ้อมแขนของเจิ้งลั่วจู๋
เมื่อคนวิ่งออกมา ประตูที่อยู่ทางด้านหลังก็ปิดลงอย่างแรง
เจิ้งลั่วจู๋กอดอีกฝ่ายไว้ตามสัญชาตญาณ พอก้มหน้าดูเขาก็พบว่าอีกฝ่ายคือชายคิ้วเข้มตาโต สวมรองเท้าบาสแอร์จอร์แดนสีแดง “แสนหนึ่งหมื่น?”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนเขาเหงื่อแตกเต็มหัว ใบหน้าที่ดูอ่อนแอแหงนเงยขึ้น ค่าตัวเลขบนปลอกคอชวนสะพรึงคือ 92 สายตาเหม่อลอย
เจิ้งลั่วจู๋รีบตบหน้าอีกฝ่าย “แสนหนึ่งหมื่น! แสนหนึ่งหมื่น!”
ทุกครั้งที่ตบค่าความหวาดกลัวของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ลดลง หลังจากที่ไม่รู้ว่าตบไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ชายคนดังกล่าวก็คว้ามือของเจิ้งลั่วจู๋ ท่าทางอ่อนระโหย “นายตบพอหรือยัง…”
เจิ้งลั่วจู๋ถอนหายใจโล่งอก “นายได้สติก็ดีแล้ว”
สายตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นใสกระจ่าง เขาพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ใครชื่อแสนหนึ่งหมื่น”
“ฉันรู้ นายชื่อชิงอีเซ่อ สมาชิกกลุ่มเหลียนฮวา” เจิ้งลั่วจู๋จำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ “ฉันเป็นคนใช้ไอเทม ‘[เวท] หายอย่างรวดเร็ว’ ช่วยรักษาแผลบนหัวนาย ไอเทมนั่นมูลค่าแสนหนึ่งหมื่น นายติดค้างพวกเรา เจียงฮู่ชวนเป็นพยานได้”
“ใครติดค้างพวกนาย หัวฉันถูกพวกนายเอาก้อนอิฐฟาดใส่ต่างหาก!”
“ถ้านายไม่ชิงปลอกคอของหนานเกอ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องหวดนาย!”
“แน่จริงนายก็หาตัวเจียงฮู่ชวนออกมา!”
ข้อขัดแย้งเรื่องเงินๆ ทองๆ พยานเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ใครจะไปรู้ว่าเจียงฮู่ชวนอยู่หลังประตูบานไหน
ตึง!
ทางด้านโจวอวิ๋นฮุย ประตูบานหนึ่งดีดเปิด
เจิ้งลั่วจู๋กับชิงอีเซ่อต่างได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขาหันมองไปพร้อมกัน
ยังไม่ทันเห็นเงาร่างของคนที่อยู่ทางด้านนั้นชัด เจิ้งลั่วจู๋ก็ได้ยินชิงอีเซ่อร้องอย่างตื่นเต้น “ต้าซื่อสี่”
ทันทีที่ชายคนดังกล่าวได้สติก็ตะโกนดีใจอย่างออกนอกหน้า “ชิงอีเซ่อ!”
จากนั้นเจิ้งลั่วจู๋ก็ถูกคนผลักออก เขาสองตาเบิกกว้างมองดูชิงอีเซ่อวิ่งเข้าหาพรรคพวกของตัวเองราวกับแม่ไก่
ตึง!
ตึง!
อาจเป็นเพราะเสียงกรีดร้องของหนานเกอเปลี่ยนจากปริมาณมาเน้นคุณภาพ ชิงอีเซ่อวิ่งไปได้เพียงครึ่งทาง ประตูอีกสองบานที่อยู่ทางด้านนี้ก็เปิดออก
บานหนึ่งเพราะอยู่ใกล้มาก เป็นประตูห้องที่อยู่ติดกับห้องของชิงอีเซ่อ ดังนั้นคนที่วิ่งออกมาจึงเท่ากับวิ่งเข้าใส่เจิ้งลั่วจู๋ตรงๆ
ไม่ต้องดูหน้าตาของอีกฝ่าย แค่เห็นรอยสักลายเจ้าสาวศพสวยบนแขนนั่นก็บอกได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนของกลุ่มปู้ปู้เกาเซิงเจ้าของต้นไอเทม ‘อัศวินกระดูกขาว’ เพราะเขากับหนานเกอช่วยฉงเยวี่ยชิงปลอกคอของอีกฝ่าย พวกเขาเลยมีหนี้แค้นต่อกัน
ประตูอีกบานอยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล แทบจะอยู่สุดปลายโถงทางเดิน จากตำแหน่งที่เจิ้งลั่วจู๋ยืนอยู่ นอกจากเงาร่างสูงผอมของอีกฝ่ายที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแล้วเขาก็มองไม่เห็นอะไรอีก
ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ก่อนหน้า ตอนที่ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยวิ่งออกมาสติสัมปชัญญะของเขาก็สมบูรณ์พร้อมแล้ว ถึงค่าตัวเลขความหวาดกลัวบนปลอกคอจะอยู่ที่ 75 สีหน้าตื่นตระหนกยังคงมีให้เห็น แต่เขาก็จำเจิ้งลั่วจู๋ได้ทันที “เสียงกรีดร้องของพวกนาย?”
เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้า “อืม”
ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ สีหน้าพิลึกพิลั่นอยู่นาน สุดท้ายก็พึมพำออกมาว่า “ขอบใจ”
เจิ้งลั่วจู๋ตบไหล่อีกฝ่ายด้วยท่าทีองอาจ “ตอนชิงปลอกคอของนายไป ฉันเคยบอกแล้วว่าหลังเข้า ‘แดนน่าสะพรึงสุดขีด’ พวกเราจะดูแลนายเอง!”
ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยนึกอยากอัดคน “ถ้านายไม่ช่วยเจ้าอ้วนนั่นแย่งปลอกคอฉัน ฉันก็คงไม่ต้องมาที่นี่!”
ฟึ่บ
สายลมเร็วรี่พุ่งผ่านใบหน้าของพวกเขาสองคนไป
เจิ้งลั่วจู๋กับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยเนื้อตัวแข็งทื่อ ไม่มีใครกล้าขยับ
สายลมนั่นวาดผ่านหนานเกอที่ยืนแนบร่างอยู่ด้านหนึ่งของโถงทางเดิน แฉลบผ่านข้างกายของชิงอีเซ่อ แค่ชั่วพริบตามันก็พุ่งไปถึงตรงหน้าของโจวอวิ๋นฮุยกับต้าซื่อสี่
มองไม่เห็นอาวุธ แต่ไอสังหารกลับโถมเข้าใส่หน้า
จากตำแหน่งที่ยืนอยู่พวกเขาสองคนไม่มีทางหลบได้ทัน ด้วยเหตุนี้ค่าความหวาดกลัวของพวกเขาสองคนจึงพุ่งสูงขึ้นถึง 95!
เวลานั้นเองประตูที่อยู่ข้างพวกเขาสองคนก็เปิดออก
บานประตูหนาหนักบังขวางสายลมรุนแรงที่โจมตีเข้าใส่นั่นได้พอดิบพอดี
เสียงตึงดังขึ้นคราวหนึ่ง
สายลมสลายตัวไปรวดเร็ว
รอยเจาะลึกๆ รอยหนึ่งปรากฏขึ้นบนประตูกระดำกระด่าง
เหอลวี่หัวหน้ากลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งสาขานครใต้พิภพผลักประตูเปิด เขาเดินออกมาด้วยสีหน้างุนงง เพราะได้ยินเสียงเขาเลยชะโงกหน้ามองดูรอยเจาะบนบานประตู “สู้กันอยู่?”
เสียงกรีดร้องของหนานเกอหยุดชะงักเพราะลูกธนูที่พุ่งออกมากะทันหันนั่น
บรรยากาศบริเวณโถงทางเดินเงียบลงยิ่งกว่าเก่า
โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และต้าซื่อสี่ไม่มีเวลาอธิบายให้เหอลวี่ฟัง พวกเขาต่างหันหน้ามองไปทางเจิ้งลั่วจู๋กับชายสักลายเจ้าสาวศพสวย “นี่มันเรื่องบ้าอะไร”
ถ้าไม่ใช่เพราะเหอลวี่เปิดประตูออกมาพอดี โจวอวิ๋นฮุยกับต้าซื่อสี่อย่างน้อยก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งถูกแขวนไปแล้ว
เจิ้งลั่วจู๋กับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยไม่ยอมแบกหม้อ* พวกเขาเองก็หันมองไปทางเงาร่างที่ออกมาพร้อมกับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยและยังคงซ่อนตัวลึกเข้าไปในโถงทางเดินรายนั้น ใจเต้นเป็นกลองรัว “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย”
ฟุ่บๆๆ
คำตอบที่เงาร่างปลายโถงทางเดินมอบให้กับพวกเขาคือลูกธนูชุดใหม่สามดอก
“เชี่ย!” เจิ้งลั่วจู๋รีบเรียกต้นไอเทม ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ความกว้างเท่ากับโถงทางเดิน ดูไม่ต่างอะไรกับเขื่อนขนาดใหญ่ที่คั่นโถงทางเดินเอาไว้ บังเขากับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยรวมถึงคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังไว้อย่างแน่นหนา
ตึกๆๆ
ลูกธนูสามดอกกระแทกเข้าใส่แผ่นเหล็ก แรงปะทะที่เกิดขึ้นไม่ใช่เบาๆ ทำเอาแผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋เกิดรอยบุ๋มขึ้นสามรอย รอยบุ๋มรอยหนึ่งเป็นรอยแทงทะลุจนเกิดเป็นรูเล็กๆ ที่พอสังเกตเห็นได้
ธนูอากาศ การโจมตีต่อเนื่องสามครั้ง ต่อให้เห็นแค่เงาร่างเลือนรางแต่เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นใครนั้นกลับชัดเสียยิ่งกว่าชัด
“ลีออง! นายมันบ้าไปแล้ว” เจิ้งลั่วจู๋ตะโกนดังลั่นผ่านแผ่นเหล็ก หวังว่าจะสามารถปลุกอีกฝ่ายได้
เขาเชื่อว่านี่ต้องไม่ใช่ความต้องการดั้งเดิมของลีออง ไม่แน่ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจเป็นเหมือนโจวอวิ๋นฮุยกับชิงอีเซ่อที่ยังคงตกอยู่ในความหวาดกลัว
แต่สิ่งที่ตอบกลับมายังคงเป็นลูกธนูที่ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตึก
ตึกๆ
ตึกๆๆ
ลูกธนูสามดอกต่อเนื่องชุดสุดท้ายเจาะทะลุแผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋ สายลมรุนแรงที่พุ่งมาพร้อมกับลูกธนูที่มองไม่เห็นแฉลบผ่านหนังศีรษะของชายสักลายเจ้าสาวศพสวยกับเจิ้งลั่วจู๋ไป
พอเห็นแบบนั้นคนที่อยู่ด้านหลังก็รีบนั่งยองๆ หลบเอาชีวิตรอดทันที
เหอลวี่เรียกใช้ต้นไอเทม ‘ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์’ สั่งว่า “ห้ามโจมตี”
รัศมีสี่เมตรโดยรอบ ทุกอย่างปลอดภัยไร้กังวล
ทันทีที่ธนูอากาศของลีอองผ่านเข้าไปยังขอบเขตของต้นไอเทมมันก็เปลี่ยนสภาพเป็นสายลมแผ่วเบาอ่อนโยน
โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และต้าซื่อสี่ที่อยู่ใกล้ๆ มองหน้ากันไปมาก่อนจะพุ่งเข้าไปรวมกลุ่มด้วยกัน ทางด้านร่างกายพวกเขาน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยมีเหอลวี่เป็นศูนย์กลาง ทางด้านจิตใจพวกเขาต่างกอดขาของหัวหน้าเหอเอาไว้แน่น
เจิ้งลั่วจู๋ที่อยู่ยังแนวหน้าของสมรภูมิรบจ้องมองดูรูบนแผ่นเหล็ก ปลายจมูกมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ เพื่อคลุมพื้นที่ได้ครอบคลุมแน่นหนาพอเขาเลยไม่สามารถหดพื้นที่ของแผ่นเหล็กให้เล็กลงได้อีก ความหนาและความแข็งแกร่งของแผ่นเหล็กในเวลานี้เรียกได้ว่าถึงขีดจำกัดตามขนาดแล้ว หากลีอองยังมีแรงเหลือ แผ่นเหล็กของเขาคงพร้อมถูกยิงพรุนเป็นกระชอนได้ทุกเมื่อ
ในความทรงจำของเขาลีอองเป็นคนพูดน้อยเย็นชา สุขุมรู้จักควบคุมตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายคลุ้มคลั่งจนยิงไม่เลือกแบบนี้ต้องเป็นเรื่องน่าสะพรึงสุดขีดแน่ๆ!
ขณะที่กำลังกระวนกระวาย จู่ๆ เจิ้งลั่วจู๋ก็รู้สึกเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างไหลเข้าสู่ ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ รูบนแผ่นเหล็กค่อยๆ ประสานเข้าหากันอีกครั้ง
ขณะที่แผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋กำลังซ่อมแซมตัวเอง ธนูอากาศอีกชุดก็พุ่งตรงเข้าใส่แผ่นเหล็ก ทว่าคราวนี้มันไม่เพียงไม่ทะลุ แม้แต่รอยบุ๋มที่เกิดขึ้นก็ยังตื้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
ความแข็งแกร่งของแผ่นเหล็กเพิ่มมากขึ้น!
เจิ้งลั่วจู๋ประหลาดใจ ไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไรให้ถี่ถ้วนเขาก็ได้ยินเสียงต้าซื่อสี่ดังมาจากทางด้านหลัง “พวกนายสองคนรีบเข้ามา ตรงนี้เป็นเขตปลอดภัย”
เขตปลอดภัยที่อีกฝ่ายพูดถึงย่อมหมายถึงภายในขอบเขต ‘ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์’ ของเหอลวี่
ในที่สุดเจิ้งลั่วจู๋ก็เข้าใจได้ว่าทำไมจู่ๆ แผ่นเหล็กของเขาถึงแข็งแกร่งขึ้น นี่มันไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในเมืองวงแหวนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย เขาใช้เส้นเหล็กช่วยชิงอีเซ่อเอาตัวต้าซื่อสี่ออกมาจากบ่อน้ำ ทว่าตอนนั้นเส้นเหล็กเหยียดยืดออกไม่หยุด ไม่อาจดึงคนขึ้นมาได้ แต่หลังจากได้ต้นไอเทมของต้าซื่อสี่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ ในที่สุดพวกเขาก็ช่วยคนขึ้นมาได้สำเร็จ
ในเวลานั้นเขาไม่ทันได้ถาม ในที่สุดตอนนี้ก็มีโอกาสแล้ว
“ต้าซื่อสี่” เจิ้งลั่วจู๋ใช้แผ่นเหล็กรับการโจมตีพลางพาชายสักลายเจ้าสาวศพสวยถอย ขณะเดียวกันก็หันกลับไปถามอีกฝ่าย “ต้นไอเทมของนายชื่อว่าอะไร”
ต้นไอเทมนางฟ้าที่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับต้นไอเทมของคนอื่นได้แบบนี้จำเป็นต้องมีชื่อเรียก
“เอ๋?” ต้าซื่อสี่ไม่ทันตั้งตัว หลังจากตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งเขาก็ตอบออกมา “ ‘ฉันคือดาวนำโชคของนาย’ ”
เจิ้งลั่วจู๋ “เพราะดี!”
โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และชายสักลายเจ้าสาวศพสวย “…”
การประจบสอพลอของนายมันชัดเกินไปแล้ว
หลังจากถอยไปได้ครึ่งทางเจิ้งลั่วจู๋ก็ชนเข้ากับหนานเกอพอดี เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าพรรคพวกของเขาคนนี้ยังคงยืนอยู่กับที่ ไม่ได้ถอยเข้าไปอยู่ในรัศมีสี่เมตรของเหอลวี่
“หนานเกอ?” เจิ้งลั่วจู๋หยุดเท้า ถือแผ่นเหล็กต้านธนูอากาศที่ระดมยิงเข้ามาดังตึงตัง มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย
หนานเกอช้อนตาขึ้นบอก “ฉันอยากทดลองดู”
เจิ้งลั่วจู๋ไม่เข้าใจ “ทดลองอะไร”
ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยที่ตามอยู่ทางด้านหลังของเจิ้งลั่วจู๋ยิ่งสงสัยหนัก
หนานเกอไม่ได้อธิบาย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปล่งเสียงร้องของแมนเดรกออกมา “ลีออง…”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง
เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า
คนที่อยู่บริเวณโถงทางเดินทั้งหกต้านทานแทบไม่ไหว อีกฝ่ายส่งเสียงเรียกลีอองก็จริง แต่ประสิทธิภาพของมันกลับไม่ต่างอะไรกับส่งพวกเขาลงนรก
ชื่อของลีอองที่เกิดจากเสียงกรีดร้องโหยหวนดังอยู่บนโถงทางเดินอยู่ราวๆ ยี่สิบวินาที
หลังยี่สิบวินาทีผ่านไปหนานเกอก็เงียบเสียง ‘มือฉมังขั้นกลาง’ หยุดชะงัก
แผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋ไม่ถูกยิงถล่มดังอีก
ลีอองเองก็ไม่ได้เคลื่อนไหว
“แค่ตะโกนทีเดียวก็ได้แล้ว?” เจิ้งลั่วจู๋ลดแผ่นเหล็กลงเล็กน้อยอย่างไม่นึกเชื่อ โผล่หัวออกมามองไปยังปลายโถงทางเดินที่อยู่อีกด้าน “อัศจรรย์ขนาดนี้เชียว?”
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ทุกคนล้วนทอดตามองไป
ในที่สุดชายคนหนึ่งก็เดินออกจากเงามืดตรงมาทางนี้เงียบๆ
ฝ่ายนั้นสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ รูปร่างงดงามเพรียวบาง
ทว่าได้โปรดให้อภัยชายรูปร่างกำยำอย่างเจิ้งลั่วจู๋ ชายสักลายเจ้าสาวศพสวย โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ ต้าซื่อสี่ และเหอลวี่ ทั้งหกไม่มีตาชื่นชมความงามดังกล่าว พวกเขาจำได้ก็แต่ความรู้สึกหวาดผวาที่มาพร้อมกับธนูอากาศก่อนหน้านี้
โชคดีที่ลีอองชะงักเท้าหยุดยืนห่างจากแผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋ไปราวๆ สองเมตร
อาศัยข้อได้เปรียบทางด้านร่างกาย เขามองผ่านแผ่นเหล็กที่หดเล็กลงมาทางหนานเกอ “ขอบคุณมาก”
ที่จริงหนานเกอเองก็ไม่ได้มั่นใจสักเท่าไหร่ กระทั่งตอนนี้เธอถึงได้ถอนหายใจโล่งอก “ไม่ต้องเกรงใจ”
ได้ยินแบบนั้นทุกอย่างก็น่าจะปลอดภัยแล้ว
เจิ้งลั่วจู๋มองดูปลอกคอของลีออง ค่าความหวาดกลัวของอีกฝ่ายอยู่ที่ 20 เขาจึงโล่งอกและเก็บแผ่นเหล็กลง
เมื่อแผ่นเหล็กถูกถอนออก บรรดาคนที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ เหอลวี่ก็หันมายืนเผชิญหน้ากับลีออง
เรื่องนี้ต้องฟ้อง…
ชิงอีเซ่อ “เมื่อกี้นายเกือบฆ่าพวกเราตายกันหมด!”
โจวอวิ๋นฮุย “ตกลงตอนอยู่ในห้องนายเจออะไรกันแน่”
ต้าซื่อสี่ “นายกับพี่หนานเกอเป็นอะไรกัน”
เหอลวี่ “?”
เขาควรถามอะไรดีล่ะ
“ไม่เกี่ยวอะไรกัน” เจิ้งลั่วจู๋เอ่ยปากแทนพี่สาวคนสวยของกลุ่มตัวเอง “เธอเป็นคนตั้งสมญานามให้ลีออง”
ต้าซื่อสี่ “สมญานามอะไร”
เจิ้งลั่วจู๋ “ก็ลีอองไง ก่อนหน้านี้เขาไม่มีสมญานาม ไม่ว่าใครตั้งอะไรให้เขาก็ไม่พอใจ แต่พอหนานเกอตั้งให้ เขาก็ยอมรับขึ้นมาทันที”
ลีออง “…”
หนานเกอ “…”
โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และต้าซื่อสี่ “…”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเกี่ยวกันมากกกกก!
ตึง!
ธนูอากาศพุ่งเข้าใส่พื้นที่ที่อยู่ระหว่างหน้าต่างทรงกลมสองบาน ทิ้งรูเล็กๆ น่ารักไว้บนผนังเรือด้านใน
ลีอองลดมือลง หันกลับมามองดูทุกคน “จะช่วยคนต่อหรือเปล่า”
ทุกคนต่างกลืนน้ำลายตอบรับออกมาอย่างพร้อมเพรียง “อืม”
* แบกหม้อ มาจากสำนวน ‘แบกหม้อดำ’ หมายถึงแบกรับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.