X
    Categories: everYทดลองอ่านพ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 96-97 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

ปัญหาครอบครัว การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การตาย การฆาตกรรม การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่ การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ

และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 96

เคลื่อนไหวตามอำเภอใจ

 

หักหลังกลุ่มของตัวเองเพื่อผู้อื่น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเลวร้ายหรือเปล่า

แน่นอนว่าหากว่ากันตามหลักศีลธรรมแล้ว คนทรยศสมควรถูกทอดทิ้ง

แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานชายหน้าเหลี่ยมที่ดีมอสจ้องสำรวจเข้าไปถึงความหวาดกลัวที่ซ่อนลึกลงไปภายในจิตใจรายนั้นก็เป็นคนของกลุ่มหวนเซียงถวนเหมือนกัน คนคนนั้นทำตัวน่าละอายยิ่งกว่า ถึงขนาดฆ่าเพื่อน ยึดไอเทมของชาวบ้านไปเป็นของตัวเอง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นโศกเศร้ากอดศพของเพื่อนที่ตนเองฆ่าร่ำไห้เจ็บปวดเจียนขาดใจ

พอมีตัวอย่างให้เปรียบเทียบ การคาบข่าวมาบอกคนอื่นของฉงเยวี่ยจึงดูเบากว่ากันมาก

ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นความคิดของคนนอก

เพราะไม่ใช่ทั้งคนของกลุ่มหวนเซียงถวนและไม่ใช่คนของกลุ่ม VIP แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์กันได้สบายๆ

แต่สำหรับคนในแล้วกลับไม่อาจทำเช่นนั้น

นับได้ว่าฉีฮว่าเยือกเย็นและสุขุมที่สุด

ตั้งแต่ต้นจนจบหัวคิ้วเขาไม่แม้แต่จะขยับ ท่าทางราวกับตัวเองไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มหวนเซียงถวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉงเยวี่ยทรยศหักหลังก็ดี เรื่องลอบเล่นงานกลุ่ม VIP ก็ช่าง ทั้งหมดล้วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา

สภาพจิตใจยอดเยี่ยมเช่นนี้ คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ ต่างพากันนึกละอายใจ

ตอนนี้ในกลุ่มคนที่ไม่มีตราประทับเหลือสมาชิกจากกลุ่มหวนเซียงถวนเพียงสองคนเท่านั้น ทว่าปฏิกิริยาของพวกเขากลับเรียกได้ว่ามีเลือดเนื้อมีจิตใจ ขณะที่ดีมอสพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็มองไปทางฉงเยวี่ยคล้ายไม่อยากเชื่อ หวังจะได้ยินพี่น้องของตัวเองตัดบทผู้คุมด่านด้วยความหนักแน่น ด่าอีกฝ่ายว่าแต่งเรื่องได้ทุเรศมากออกมาคำหนึ่ง

ทว่ากลับไม่มี

สิ่งที่พวกเขามองเห็นคือฉงเยวี่ยพูดอะไรไม่ออก สีหน้าแข็งทื่อมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งดีมอสพูดจบ ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำไปหมด เนื้อตัวสั่นสะท้านเบาๆ

ความจริงเป็นแบบไหนอย่างไรล้วนประจักษ์ชัดแล้ว

เรื่องนี้ทำเอาสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนทั้งสองอกกระเพื่อมรุนแรง ภาพที่พวกเขากับฉงเยวี่ยร้องด่าตำหนิติติงชายหน้าเหลี่ยมในตอนแรกคล้ายกำลังตบใส่หน้าพวกเขาคนแล้วคนเล่า

“ทำไม…” ในที่สุดหนึ่งในสองของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนก็เอ่ยปาก ไม่ใช่ซักไซ้ด้วยความโกรธแค้น ไม่ใช่เอ่ยปากตัดสัมพันธ์ เสียงนั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่เข้าใจ

เสียงของอีกฝ่ายทำให้ฉงเยวี่ยตื่นจากความรู้สึกหวาดกลัว

เพราะไม่กล้าสบตากับสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนทั้งสอง ดังนั้นฉงเยวี่ยจึงได้แต่มองดีมอสต่อ

“ขอโทษ…”

คำพูดประโยคนี้เขามอบมันให้กับพี่น้อง

“แต่ฉันไม่นึกเสียใจ”

คำพูดประโยคนี้เขาบอกกับตัวเอง

ฉงเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง ฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมคราม ขณะที่ลมหายใจเริ่มมั่นคงขึ้น จู่ๆ เขาก็พบว่าพอเรื่องที่เขากังวลมากที่สุดนี้เกิดขึ้นจริง มันกลับไม่ได้เป็นเหมือนวันสิ้นโลก ฟ้าไม่ได้ถล่มคนไม่ได้ตาย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกโล่งอกโล่งใจที่ไม่ต้องปิดบังต่อ

“ตั้งแต่เข้าร่วมกลุ่มหวนเซียงถวนฉันก็ยึดเอาที่นี่เป็นความเชื่อเป็นความศรัทธาของฉันมาโดยตลอด เกียรติยศของกลุ่มหวนเซียงถวนคือเกียรติยศของฉัน ใครดูแคลนกลุ่มหวนเซียงถวนก็เท่ากับดูถูกฉันด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นใครหรือกลุ่มไหน ขอเพียงกล้าหยามเกียรติกลุ่มหวนเซียงถวนของพวกเรา ฉันก็พร้อมที่จะชักหน้าใส่คนคนนั้น จนกระทั่งได้มาพบกับกลุ่ม VIP…”

ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานนี่นับเป็นครั้งแรกที่ฉงเยวี่ยเผชิญหน้ากับจิตใจของตัวเอง

“เรื่องที่ฉันถูกกลุ่ม VIP ตบหน้าพวกนายเองก็รู้ ตอนฉันถูกหัวหน้ากลุ่มลงโทษพวกนายเองก็อยู่ที่นั่น บางทีพวกนายอาจรู้สึกว่าที่ฉันคาบข่าวไปบอกกลุ่ม VIP ก็เพราะตอน PK กันในห้องฝึกซ้อมพวกเขาปล่อยฉันครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะฉันแค้นที่ถูกหัวหน้ากลุ่มลงโทษ

ถ้าพวกนายให้ฉันตอบ คำตอบของฉันก็มีทั้งที่ใช่และไม่ใช่

ใช่ เพราะกลุ่ม VIP แต่ไม่ใช่ว่าฉันคิดจะตอบแทนน้ำใจของพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาทำให้ฉันตระหนักได้เป็นครั้งแรกถึงความหมายที่แท้จริงของการรวมตัวอยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่ คือการแย่งชิงทรัพยากรให้ได้มากยิ่งขึ้น? คือการปฏิเสธคนกลุ่มอื่น? หรือคือการให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนพากันปิดปากเงียบเมื่อได้ยินชื่อกลุ่มของนาย?

ไม่ใช่ เพราะฉันเชื่อว่าวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งกลุ่มในตอนแรกคือการรวบรวมคนให้มาอยู่ด้วยกัน ใช้พลังแข็งแกร่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันฝ่าด่าน แต่หลังจากผ่านไปปีแล้วปีเล่าก็ไม่รู้ว่าความหมายของกลุ่มมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตอนไหน แม้แต่พวกเราทุกคนเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน แต่ไม่ใช่กับกลุ่ม VIP…

พวกเขาปล่อยฉันไม่ใช่เพราะเห็นว่าฉันเจริญหูเจริญตาและยิ่งไม่ใช่เพราะต้องการยุยงให้ฉันทรยศพรรคพวก แต่เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่เขายอมปล่อยฉัน ก็เพราะพวกเขาเข้าใจกระจ่างแจ้งว่าศัตรูของพวกเราไม่ใช่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน หากแต่เป็นสถานที่บัดซบนี่!”

ฉงเยวี่ยพูดจบแล้ว และเนื่องจากอารมณ์หวั่นไหวทำให้เขาหอบหายใจหนักหน่วง ท่ามกลางวิหารเทพเจ้าเงียบสงัดนี้เสียงนี้จึงฟังดูกระจ่างชัดเป็นพิเศษ

การทดสอบภายในวิหารเทพเจ้าดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครสักคนที่พูดยาวรวดเดียวแบบนี้ เนื้อหาหรือก็ชวนให้ครุ่นคิด ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่าง จะมากจะน้อยคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนที่มีกลุ่มต่างถูกคำพูดดังกล่าวชักจูงให้ครุ่นคิดไตร่ตรอง

ที่ที่มีคนล้วนมียุทธภพ

ที่ที่มีคนล้วนมีสังคม

ยุทธภพวุ่นวาย สังคมซับซ้อนสับสน คนที่เข้าไปอยู่ในนั้นล้วนถูกชักจูงง่ายดาย สุดท้ายก็ลืมความจริงที่เรียบง่ายที่สุดข้อหนึ่งไป…ที่จริงนายไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ที่นายต้องทำมีเพียงแค่เชื่อมพลังของแต่ละคนเข้าด้วยกันแล้วหนีไป

แต่เพราะการต่อสู้ระหว่างกลุ่ม ระหว่างคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างหากที่คอยบั่นทอนพลังนั่น

แปะๆๆ

ดีมอสปรบมือตัดบทความคิดอ่านสับสนของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันอดทนฟังคนพูดจาเหลวไหลได้จนจบ” เขายิ้มอ่อนโยน หางตาหางคิ้วแขวนไว้ซึ่งความรู้สึกเย้ยหยัน “พูดได้น่าฟังมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แต่น่าเสียดายที่จุดเริ่มต้นไม่ถูกต้อง”

เขาคว้าคอเสื้อของฉงเยวี่ย ดึงคนให้ขยับเข้ามาใกล้ “ภารกิจสำคัญของพวกนายที่นี่ไม่ใช่การผ่านด่าน หากแต่เป็นการเอาตัวรอด” เขาเก็บรอยยิ้มไปทีละน้อย น้ำเสียงทุ้มต่ำ “จับกลุ่มช่วยเหลือกันก็ดี ฆ่าฟันกันเองก็ดี ทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ก็ดี ฆ่าคนให้ร้ายผู้อื่นก็ดี ขอเพียงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ไม่ว่าจะแบบไหนก็ล้วนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง คนตายไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น”

ฉงเยวี่ยอยากตอบโต้ แต่วินาทีถัดมาเขาก็สบตาเข้ากับตาของดีมอส

ในดวงตาคู่นั้นเขามองไม่เห็นตัวเอง

ที่เขามองเห็นคือเหวลึก

นับแต่ฉงเยวี่ยถูกดีมอสเลือก สมาธิของถังหลิ่นก็ไม่เคยเคลื่อนออกจากตัวของอีกฝ่าย ต่อให้เรื่องที่ฉงเยวี่ยขายข่าวให้พวกเขาถูกเปิดโปง กลุ่มหวนเซียงถวนตกใจ ฉงเยวี่ยชี้แจงความในใจ เขาล้วนไม่เคยลดความระแวดระวังลง ทั้งนี้ก็เพราะกลัวดีมอสจะฉวยโอกาสตอนเขาไม่ทันระวังปลิดชีวิตของฉงเยวี่ย

ตอนนี้เรื่องที่เขากังวลใจที่สุดเกิดขึ้นแล้ว

จู่ๆ ฉงเยวี่ยก็เนื้อตัวแข็งทื่อ สองตาเหม่อลอย นั่นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าดีมอสลงมือแล้ว

อีกฝ่ายไม่คิดจะพูดคุยกับฉงเยวี่ยอีก บางทีนับแต่ตอนปรบมือเขาก็มอบโทษประหารให้อีกฝ่ายแล้ว

ฉงเยวี่ยไม่ใช่คนของกลุ่ม VIP

แต่ถังหลิ่นอยากช่วย

นับแต่ฉงเยวี่ยบอกข่าวให้กับพวกเขา เขาก็อยากจะช่วยอีกฝ่าย

ยิ่งกับคำพูดที่อีกฝ่ายโพล่งออกมาเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้เขาอยากช่วยมากขึ้นอีก!

‘เงาร่างหมาป่าโดดเดี่ยว’ เริ่มต้นทำงานแทบจะในเวลาเดียวกับที่ร่างของฉงเยวี่ยแข็งทื่อ เงาสีดำที่ปรากฏออกมาจากอากาศพุ่งเฉียงไปทางด้านหลังของดีมอสแล้วกระโจนเข้าใส่แผ่นหลังของอีกฝ่ายรวดเร็วดุดัน

ฟุ่บ

เงาร่างหมาป่าพุ่งแหวกอากาศ

ทันทีที่ได้ยินเสียงดีมอสก็หันหลังกลับมา ถึงจะยังไม่ทันเห็นชัดแต่เขาก็เบี่ยงกายหลบไปทางด้านข้างด้วยท่าทางคล่องแคล่วได้ทันท่วงที ปฏิกิริยาตอบสนองต่ออันตรายตามสัญชาตญาณนับว่ารวดเร็วกว่าตาเห็น

เงาร่างหมาป่าเฉียดผ่านไหล่ของเขาไป ทันทีที่แตะถูกพื้นมันก็หันกลับมา บังขวางอยู่หน้าฉงเยวี่ย คำรามเสียงทุ้มต่ำขู่ใส่ดีมอส

เมื่อการจ้องตากันถูกขัดจังหวะ แววตาเหม่อลอยของฉงเยวี่ยก็ค่อยๆ กลับเป็นปกติอีกครั้ง

ดีมอสไม่นึกสนใจ ไม่แม้แต่จะมอง สมาธิทั้งหมดล้วนจับอยู่บนร่างของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน เขาจะเอาชีวิตฉงเยวี่ยเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ตอนนี้สิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้คือใครไม่รู้จักเจียมตัว กล้าขวางทางมีดแทนเจ้าอ้วนนี่

ถังหลิ่นตั้งใจจะเดินออกมาจากกลุ่มคนที่มีตราประทับ แต่ทันทีที่ขยับฟั่นเพ่ยหยางก็คว้าแขนเขาเอาไว้แน่น

เขาออกแรงคว้าไว้จนถังหลิ่นหน้านิ่วเจ็บปวด

เมื่อหันหน้ามองไปถังหลิ่นก็พบว่าฟั่นเพ่ยหยางกำลังไม่พอใจ เขาดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อยู่อย่างสุดกำลังจนไฟแทบจะลุกโชนออกมาจากสองตา

ไม่มีสัญญาณอะไรบอกให้ฟั่นเพ่ยหยางรู้เลยว่าถังหลิ่นกำลังจะลงมือ ถ้าสังเกตเห็นเร็วกว่านี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายปล่อย ‘เงาร่างหมาป่าโดดเดี่ยว’ ออกมาแน่!

ถังหลิ่นสะบัดมือฟั่นเพ่ยหยางออกจนเกิดเสียงดัง

ดีมอสเห็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นแล้ว

ถังหลิ่นจะออกมาหรือไม่ออกมาก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก

“นายคิดจะช่วยเขา?” ใบหน้าของดีมอสราบเรียบไร้ความรู้สึก น้ำเสียงสงบนิ่งไม่ต่างอะไรกับผิวน้ำช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ปราศจากลม

ถังหลิ่นส่ายหน้า “คุณไม่ควรคิดว่าผมมีความสามารถพอจะช่วยเขาได้และผมเองก็ไม่คิดแบบนั้น” เขาหยุดไปชั่วขณะ “ดังนั้นไม่สู้เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่าเป็นผมไม่อยากให้คุณฆ่าเขาดีกว่าเหรอ”

สายตาของดีมอสที่พิจารณาดูถังหลิ่นนั้นแฝงไว้ด้วยความหมายคลุมเครือ “ในเมื่อรู้ว่าช่วยไม่ได้แล้วยังคิดจะช่วย?”

ถังหลิ่นบอก “พยายามอย่างสุดความสามารถ ที่เหลือก็แล้วแต่สวรรค์”

ทันทีที่พูดจบเงาร่างหมาป่าที่ยืนอยู่หน้าฉงเยวี่ยก็พุ่งเข้าใส่ดีมอส

คราวนี้ดีมอสไม่ได้ถอย ตรงกันข้ามกลับรอให้เงาร่างหมาป่ามาถึงตรงหน้า เขายกมือขึ้นวาดใส่ท้องของเงาร่างหมาป่ารวดเร็วราวกับเป็นมีดเล่มหนึ่ง

ไม่ว่าใครก็ไม่เคยเห็นการเคลื่อนไหวแบบนี้ของดีมอส

ถ้ามือของเขาเป็นมีดจริง จุดจบของเงาร่างหมาป่าคงไม่พ้นไส้ทะลัก

ถังหลิ่นสะท้านไปทั้งใจ เขารีบสั่งให้เงาร่างหมาป่ากลายร่างเป็นหมอกดำทันที

ทว่าสำนึกด้านการโจมตีของเงาร่างหมาป่าแข็งแกร่ง มันไม่ยอมสลายตัว

ปลายนิ้วของดีมอสที่สัมผัสถูกเงาร่างหมาป่านั้นกำลังกรีดลงล่าง

จู่ๆ ก็มีวัตถุชิ้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมา เร็วจนแทบมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร กระแทกเข้าใส่มือของดีมอสราวกับกระสุนปืนใหญ่

ถูกเล่นงานโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนั้น มือของดีมอสก็ถูกกระแทกเบี่ยงออกไปจากเดิม

เงาร่างหมาป่าโจมตีใส่เป้าหมายได้อย่างราบรื่นตามแรงเฉื่อย ขาหน้าทั้งสองข้างตวัดใส่ช่วงอกทิ้งรอยฉีกขาดสามแถวสองรอยไว้บนทักซิโดสีดำของดีมอส

รอยฉีกขาดทะลุจากทักซิโดไปถึงเสื้อเชิ้ต เผยให้เห็นแผ่นอกขาวอยู่รางๆ

พอโจมตีสำเร็จมันก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เงาร่างหมาป่าเจ้าเล่ห์แพรวพราวรู้ดีว่าเมื่อไหร่ควรสู้ตาย เมื่อไหร่ควรถอย

เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำเอาดีมอสแม้แต่จะนึกโกรธก็ยังลืม เขาลูบมือที่ถูกกระแทกจนแดง เรื่องแรกที่เขาทำคือก้มหน้ามองหาวัตถุปริศนานั่น

อาหารกระป๋องกระป๋องหนึ่งนอนอยู่บนพื้นห่างจากข้างเท้าเขาไปไม่ไกล

เขาเห็นชัดแล้ว

บรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเองก็เห็นชัดเช่นกัน

หลังจากนั้นในกลุ่มคนที่ไม่มีตราประทับก็มีเสียงตะโกนร้องไห้ฟูมฟายของเฉวียนม่ายดังขึ้นมา “เนื้อกระป๋อง มื้อเที่ยงของฉัน”

นั่นเป็นสิ่งประโลมจิตใจเพียงหนึ่งเดียวของการทำเควสต์ฝ่าด่านในคืนนี้ของเขา ขนาดตอนเกือบถูกทำให้บ้าตายอยู่ใน ‘ทะเลลึกชวนสะพรึง’ เขาก็ยังตัดใจกินไม่ลง

ฟั่นเพ่ยหยาง

‘เสียงสวรรค์ของคนคร้าน’

ถังหลิ่นคิดหันกลับไปดูประธานฟั่นของกลุ่มตัวเอง แต่เพิ่งหันหน้าไปได้ไม่ทันไรมือใหญ่ๆ ข้างหนึ่งก็กดหัวเขาไว้ ฝืนให้เขามองดูดีมอสต่อ “อย่าเสียสมาธิ”

ฉงเยวี่ยไม่มีคนขวาง ดังนั้นคิดอยากหันหน้าเขาก็หัน สายตาที่มองไปทางถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยางนั้นไม่อาจใช้คำว่า ‘ซาบซึ้ง’ แค่คำเดียวมาบรรยายได้ หากแต่ผสานไว้ซึ่งความรู้สึกซับซ้อนลึกล้ำมากมาย สิ่งนี้ทำให้ตาของเขาเจ็บ แดงระเรื่อยากจะควบคุม

สายตาของดีมอสจับจ้องไปมาระหว่างพวกเขาสามคน แล้วก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

ความรู้สึกไม่สบอารมณ์ปรากฏอยู่ในแววตาของเขาเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย “ไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย แถมยังมีหน้ามาทำซาบซึ้งอีก ภาพแบบนี้ฉันโคตรเกลียดเลย”

พูดจบจู่ๆ เขาก็พุ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉงเยวี่ย สี่นิ้วคมกริบราวกับปลายมีดพุ่งเข้าใส่ลำคออ่อนแอของฉงเยวี่ย

ฉงเยวี่ยสะดุ้ง สองตาเบิกกว้าง ไม่มีเวลาพอให้หลบ

ฟุ่บ

เงาร่างหมาป่าพุ่งกระโจนเข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง มันไม่ได้กระโจนใส่ดีมอส หากแต่เป็นฉงเยวี่ย

ฉงเยวี่ยถูกชนล้ม ร่างกระแทกพื้นดังโครมใหญ่ รอดพ้นจากการโจมตีของดีมอสได้อย่างฉิวเฉียด เรียกได้ว่าคล่องแคล่วปราดเปรียวกว่าหลบเองหลายร้อยเท่า

ในเวลาเดียวกันวัตถุคมกริบอีกชิ้นก็พุ่งลอยแหวกอากาศเข้ามา

เนื่องจากมีประสบการณ์มาก่อน คราวนี้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจึงสามารถจับรูปร่างเค้าโครงของวัตถุแหลมๆ นั่นได้อย่างรวดเร็ว

อู่อู่เฟินสมาชิกกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนเองก็เช่นกัน ท่ามกลางความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเขาคลำไปที่ข้างเอวของตัวเอง “เชี่ย มีดพกฉัน”

เฉวียนม่ายที่เพิ่งจะสูญเสียเนื้อกระป๋องที่เป็นมื้อกลางวันไป รู้สึกเหมือนได้รับความยุติธรรมขึ้นมาเล็กๆ

เสียงอุทธรณ์ของคนเป็นเจ้าของพวกนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่อปฏิกิริยาตอบสนองของดีมอส เท้าเขายังคงไม่ขยับ มีเพียงร่างกายท่อนบนเท่านั้นที่เอนไปด้านหลังเล็กน้อย หากวิเคราะห์ถึงเส้นทางของวัตถุมีคมนั่น การเคลื่อนไหวเพียงเท่านี้เพียงพอที่จะหลบพ้นได้อย่างสบายๆ แล้ว

ทว่าหลังจากเอนตัวไปด้านหลังได้ไม่เท่าไหร่เขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ความเร็วไม่ถูกต้อง

จู่ๆ การเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลง!

ภายใต้แสงสายัณห์ฉงเยวี่ยที่ควรตายไปก่อนหน้านี้สีหน้าหนักแน่นจดจ่อ กล้ามเนื้อทั่วร่างเขม็งตึง เห็นได้ชัดว่ากำลังควบคุมต้นไอเทม

ไอเทมลดความเร็ว?

ดีมอสรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกคนเข้ามาขวางมือขวางเท้า เจ้าอ้วนรวมถึงประเภทของต้นไอเทมของอีกฝ่ายล้วนสร้างความรำคาญให้กับเขาสุดๆ

มีดคมกริบมาถึงตรงหน้าแล้ว

ด้วยความเร็วของดีมอสในเวลานี้เขาไม่สามารถหลบมีดสั้นนั่นได้พ้น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่หลบ หันมารวบรวมสมาธิเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ก่อนจะยกมือขึ้นมารับคมมีดตรงๆ

คนที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ต่างมองกันตาค้าง “…”

รับมีดด้วยมือเปล่าเนี่ยนะ

ในตอนนั้นเองลมสายหนึ่งก็พัดวูบเข้าใส่แผ่นหลังของดีมอสไปอย่างรวดเร็ว

โลหะส่องประกายวับวาวแหวกผ่านอากาศเกิดเป็นเส้นสีขาว

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแต่ละคนรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ คราวนี้ฟั่นเพ่ยหยางขโมยมีดใครมาอีกล่ะเนี่ย

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขาให้คำตอบกับทุกคนอย่างรวดเร็ว “เฮ้ นั่นมันวอลนัทเหล็ก* ของผม”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “ทำไมนายถึงทำตัวพิลึกพิลั่นแบบนี้!”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “พกมีดอาจทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้ง่าย แล้วก็อันตราย!”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “วอลนัทเหล็กไม่อันตราย แล้วมีประโยชน์อะไร”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “เวลาอยู่ว่างๆ สามารถใช้มันฝึกกำลังมือได้”

ทุกคน “…”

ปลอดภัยพกพาได้ง่าย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย หนำซ้ำยังมีเหตุผลด้านมรดกทางวัฒนธรรมสนับสนุน นายชนะ

การต่อสู้เริ่มต้น คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องต่างพากันชักเท้าแยกย้ายไปยืนอยู่ตลอดสองข้างทาง ในเวลานี้การต่อสู้โจมตีของทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักลงชั่วขณะ กลางสมรภูมิรบดีมอสยืนอยู่ด้านหนึ่ง ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และฉงเยวี่ยยืนอยู่อีกด้าน ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน

เสื้อผ้าของดีมอสขาดวิ่นทว่าคนกลับไม่กระเซอะกระเซิง เขายังคงสงบนิ่ง ผิวหนังหรือก็ยังคงขาวไร้สีเลือด แม้ต้องหลบเลี่ยงอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่มันกลับไม่ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเลยแม้แต่น้อย

แต่ไม่ใช่สำหรับคนทั้งสาม

ไม่ว่าจะเป็นฟั่นเพ่ยหยางที่ลงมือโจมตีมากที่สุด หรือคนที่รองลงมาอย่างถังหลิ่น รวมถึงฉงเยวี่ยที่คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดระยะเวลาครึ่งหลัง กำลังกายของพวกเขาล้วนถดถอยลงในระดับที่ต่างกันออกไป ฟั่นเพ่ยหยางจังหวะลมหายใจไม่สม่ำเสมออยู่เล็กๆ ถังหลิ่นมีเหงื่อเกาะอยู่ที่ปลายจมูก ฉงเยวี่ยเห็นชัดที่สุด อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหอบหายใจ

ดีมอสนิ่งมองดูคนที่สามที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้เขาเคยประสบพบเจอมาก่อน

ในตอนนั้นเขาเองก็มาคุมด่านเหมือนอย่างเวลานี้ ขณะกำลังคิดจะส่งคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเดินทางไปยังปรโลก สุดท้ายก็มีคนคนหนึ่งเสนอหน้าออกมาปกป้อง

จำได้แล้ว

มุมปากของดีมอสยกขึ้นน้อยๆ ยากจะสังเกตเห็น

ฮั่วสวี่

วันนี้นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขานึกถึงคนคนนี้ ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่อีกฝ่ายได้ทิ้งความประทับใจลึกล้ำไว้ให้เขาจริงๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือบทบาทของฮั่วสวี่ในคืนนั้นคือบทบาทเดียวกับเจ้าอ้วนที่อยู่ตรงหน้า

ไม่ใช่อีกฝ่ายโดดออกมาปกป้องคนอื่น

แต่เป็นตอนที่เขากำลังจะปลิดชีวิตฮั่วสวี่ กลับมีคนออกมาปกป้องอีกฝ่าย

เรื่องราวหลังจากนั้นยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่

หลังจากบรรดาผู้พิทักษ์ที่กระโดดออกมาปกป้องอย่างกระตือรือร้น พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั้งสามที่กำลังยืนคุมเชิงอยู่ตรงหน้าเขาอย่างในเวลานี้ ต่างกันตรงที่ฮั่วสวี่ไม่รับน้ำใจชาวบ้าน

คำพูดประโยคแรกที่ฮั่วสวี่บอกและอาจเป็นเพียงคำพูดประโยคเดียวคือ ‘ไสหัวไป อย่ามาเกะกะขวางทางฉัน’

ภาพเหตุการณ์นั่นอัศจรรย์สุดๆ

อัศจรรย์ถึงขั้นที่เวลานี้ดีมอสก็ยังอดนึกถึงสีหน้าท่าทางของเจ้าคนกระตือรือร้นคนนั้นซ้ำๆ ไม่ได้

ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และฉงเยวี่ย “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ “…”

ผู้คุมด่านไม่พูด ไม่โจมตี เอาแต่ยืนนิ่งครุ่นคิด ท่าทีปล่อยปละละเลย รอยยิ้มแปลกประหลาดแขวนประดับอยู่บนใบหน้า นี่เป็นท่าเตรียมพร้อมต่อสู้แบบใหม่?

“ไม่สู้แล้ว” จู่ๆ ดีมอสก็ยักไหล่ สายตาจับจ้องไปที่ร่างของฉงเยวี่ยอีกครั้ง “เจ้าอ้วน นายโชคดีไม่เบา ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ยอมให้นายผ่านก็ได้”

ฉงเยวี่ย “…”

หนึ่งวินาทีก่อนเขาเพิ่งตัดสินใจสู้ตายหยกๆ แต่วินาทีถัดมาผู้คุมด่านกลับให้เขาผ่านด่านเสียดื้อๆ ชีวิตคนเราขึ้นๆ ลงๆ วูบวาบเกินไปหน่อยหรือเปล่า

“แต่พวกนายสองคนไม่ได้” ดีมอสเปลี่ยนเรื่องคุย หันมองไปทางถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยาง “พวกนายสองคนทำให้ฉันนึกสนุก เพราะฉะนั้นต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”

“ได้” ในเมื่อกล้าช่วยฉงเยวี่ย ถังหลิ่นก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด “คุณจะเอาแบบไหนยังไงก็ว่ามา”

“ไม่ๆ ฉันชอบทำตามธรรมเนียมดั้งเดิม” ดีมอสพูด “เรามาคุยเรื่องความหวาดกลัวของนายกัน”

ถังหลิ่นรับคำอย่างไม่สะทกสะท้าน “เริ่มได้เลย”

ดีมอสส่ายหน้า “ฉันจะเก็บของที่อยากกินที่สุดไว้กินทีหลัง”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

การท้าทายก่อนทำศึกสงครามจะใช้คำพูดรุนแรงแบบไหนก็ย่อมได้ แต่คำว่าแบบไหนยังไง ธรรมเนียมดั้งเดิม อยากกินพวกนี้นี่มันคืออะไรกัน!

พูดกับถังหลิ่นจบ ดีมอสก็หันมองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง เขายังคงยิ้ม สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้นทีละน้อย “ของอร่อยก็ต้องกินท้ายสุดถึงจะดี เพราะฉะนั้นคนต่อมาก็คือนาย”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด แต่เพื่อความมั่นใจเขาจึงเอ่ยปากถามว่า “คุณต้องการคุยกับผม?”

ดีมอสเอียงคอน้อยๆ พิจารณาดูเขาตามอำเภอใจ “พวกนายสามคนลงมือกับฉัน ถ้าแม้แต่ค่าตอบแทนสักนิดก็ไม่ต้องจ่าย แบบนั้นมันคงสบายเกินไปหน่อย คนหนึ่งผ่านไปได้ อีกคนฉันตั้งใจเก็บไว้เป็นคนสุดท้าย ดังนั้นเขาตอนนี้จึงยังปลอดภัยอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนั้นฉันก็คงได้แต่ต้องคุยกับนายแล้ว”

“ได้” ฟั่นเพ่ยหยางไม่สนใจลำดับการพูดคุย “แต่ก่อนจะคุยกัน” เขามองไปทางถังหลิ่น “ผมต้องคุยกับเขาสองสามประโยคก่อน”

เขาบอกว่า ‘ต้อง’ ไม่ได้บอกว่า ‘อยาก’

ความต่างของคำสองคำนี้ทำเอาดีมอสเลิกคิ้ว

บางทีคนอื่นอาจไม่ทันสังเกต ทว่าสำหรับคนที่ทำการทดสอบคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเขากลับสามารถจับความรู้สึกนี้ได้ชัดแจ้ง

‘ต้อง’ เป็นข้อเสนอ

‘อยาก’ เป็นการขอร้อง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เคยเอ่ยปากขอร้องเขามีอยู่มากมาย แต่คนที่ยื่นข้อเสนอออกมาตรงๆ กลับมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ไม่แม้แต่จะหยุดคิด ทั้งหมดล้วนออกมาจากความรู้สึกแท้จริง

เกลียดจริงๆ เชียว

เขาจัดการมอบโทษประหารให้กับฟั่นเพ่ยหยางอยู่ภายในใจเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้นเขาก็เตรียมแสดงความเมตตา ตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่าย ขณะกำลังจะเอ่ยปากทางนั้นกลับชิงพูดขึ้นก่อน

ฟั่นเพ่ยหยาง “เรื่องแบบเมื่อกี้นี้ วันหน้าจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”

ดีมอส “…”

ที่แท้ข้อเสนอเมื่อครู่นี้ก็เป็นแค่ขั้นตอนพิธีการอย่างหนึ่ง?

ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของผู้คุมด่าน

ความสนใจของทุกคนล้วนรวมกันอยู่ที่ฟั่นเพ่ยหยางกับถังหลิ่น

อีกเดี๋ยวก็ต้องเจอกับบทสนทนาแห่งความเป็นความตายแล้ว แต่ฟั่นเพ่ยหยางกลับจะพูดคุยกับถังหลิ่นให้ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆ

นึกไม่ถึงว่าที่ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยปากจะเป็นเรื่องเมื่อครู่นี้

ช่วยเหลือเจ้าอ้วนเยวี่ย ซ้ำยังช่วยเหลือสำเร็จอีก ท่ามกลางความเป็นความตายแบบนี้พวกเขายังจะหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดอีก?

ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ

ถังหลิ่นกลับรู้สึกว่า นึกอยู่แล้วเชียว สุดท้ายก็เลี่ยงไม่พ้น

นับแต่ยื่นมือเข้าช่วยฉงเยวี่ยเขาก็มองเห็นสายตาโกรธขึ้งไม่พอใจของฟั่นเพ่ยหยาง สะบัดมือฟั่นเพ่ยหยางพุ่งตัวออกไป นับแต่นั้นเขาก็รู้แล้วว่าต้องถูกอีกฝ่ายตามคิดบัญชีภายหลังแน่

ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายมีเพียงเรื่องเดียวคืออีกฝ่ายไม่คิดจะรอนานขนาดนั้น

“เรื่องอย่างเมื่อกี้นี้” ฟั่นเพ่ยหยางจ้องลึกเข้าไปในตาของถังหลิ่น ก่อนจะเอ่ยปากซ้ำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ห้ามไม่ให้มีอีกเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”

คำว่า ‘เด็ดขาด’ นั้นหนักแน่น ไม่เปิดโอกาสให้ถังหลิ่นได้นึกเคลือบแคลงสงสัย

ถังหลิ่นนิ่งมองดูเขา “ฉงเยวี่ยช่วยพวกเรา พวกเราก็ควรช่วยเขาเช่นกัน”

ฟั่นเพ่ยหยางบอก “ควร แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยง”

ถังหลิ่นถาม “คุณโกรธที่ผมทำตามอำเภอใจ?”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่พูด แต่ท่าทีกลับชัดเจน

ทว่าถังหลิ่นไม่ยอมจำนน เขาจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนขึ้นไปอีก “คุณกลัวผมจะตาย?”

ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบคำคำนี้ และยิ่งไม่ชอบที่จะได้ยินมันหลุดออกมาจากปากของถังหลิ่น แค่ได้ยินใจเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำแล้ว

ถังหลิ่นถอนหายใจเบาๆ คล้ายปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้นที่เก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานาน “ตอนนี้คุณคงเข้าใจความรู้สึกของผมแล้วใช่ไหม”

ฟั่นเพ่ยหยางตะลึงงัน คำถามที่มาอย่างไม่มีเค้าลางนี้ทำเอาเขาถึงกับไปไม่ถูก

ถังหลิ่นเองไม่ได้คิดจะพูดแทงใจดำอีกฝ่าย คราวที่แล้วเพราะโกรธจัดเขาถึงไม่อยากพูดและไม่มีเวลาพูด สุดท้ายจึงได้แต่ยึดอำนาจมาไว้กับตัว แต่ตอนนี้สบจังหวะพอดี เขาจำเป็นต้องพูดให้ฟั่นเพ่ยหยางเข้าใจ

“ผมทำตามอำเภอใจ คุณโกรธ เหตุผลเดียวกัน คุณทำตามอำเภอใจ ผมเองก็โกรธ คุณรู้ไหมว่าความรู้สึกที่หลังตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคนหายตัวไป ทิ้งไว้ก็แต่โน้ตแผ่นหนึ่ง แถมข้างบนยังเขียนข้อความโกหกที่มองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่งมันเป็นยังไง”

ฟั่นเพ่ยหยางพูดอะไรไม่ออก เขาคิดว่าเรื่องที่ตัวเองไปต้งเสวียฉวินที่อยู่ใต้ทะเลตามลำพังนั้นผ่านพ้นไปแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรื้อฟื้นหยิบยกขึ้นมารุกฆาตใส่เขากะทันหันจนป้องกันไม่ทันแบบนี้

เขาทำตามอำเภอใจจริงๆ หากยังเอ่ยปากตำหนิถังหลิ่นอีก เช่นนั้นก็เท่ากับเขาทำตัวไร้เหตุผล

แต่ว่า…

“ไม่มีหาก ไม่มีแต่ ไม่มีทว่า” ขณะที่ฟั่นเพ่ยหยางกำลังคิดจะแก้ตัว ถังหลิ่นก็ตอกคำพูดของเขากลับมาจนหมด “คุณห่วงใยผมเท่าไหร่ ผมก็ห่วงใยคุณเท่านั้น ห่วงใยมากกว่า” จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก น้ำเสียงค่อยๆ กลับกลายเป็นสงบนิ่งแต่ในเวลาเดียวกันก็หนักแน่นมั่นคง “มากกว่าที่คุณคิด”

บางทีในเวลานี้เขาอาจยังไม่อาจตอบสนองความรู้สึกของฟั่นเพ่ยหยางได้

ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาฟั่นเพ่ยหยางก็เป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

ฝ่ามือของฟั่นเพ่ยหยางเต็มไปด้วยเหงื่อ

ได้ยินถังหลิ่นบอกว่าห่วงใยแบบนั้นเขาก็อดตื่นเต้นตกประหม่าไม่ได้

มีอยู่แวบหนึ่งที่เขาคิดว่าถังหลิ่นคนเก่ากลับมาแล้ว แต่เพียงไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่ ถังหลิ่นคนนั้นไม่มีทางเอาความคิดอ่านที่ซ่อนลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมาโยนใส่เขาแบบนี้ ไม่มีทางปลดปล่อย ตรงไปตรงมา และเร่าร้อนแบบนี้

เขานึกอยากโอบกอดอีกฝ่าย

แสงสว่างในวิหารเทพเจ้ามืดดับลง แสงสีเหลืองอึมครึมเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเงียบสงัด ประกายแสงสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นให้เห็นเป็นครั้งคราว

คล้ายคืนค่ำปลอดโปร่งแจ่มใส

แสงจันทร์สาดส่องอยู่บนร่างของคนทั้งคู่

เดี๋ยวก่อน

ดีมอส “…”

ทุกคน “…”

ทำไมพวกเขาถึงต้องมาดูผู้ชายสองคนบอกความในใจกันอยู่ที่นี่ด้วย!

 

* วอลนัทเหล็ก เป็นหนึ่งในพืชสกุลวอลนัท เรียกอีกอย่างว่าวอลนัทย่างปี๋ เพราะมีแหล่งที่มาจากเขตปกครองตนเองย่างปี๋ มณฑลยูนนาน

บทที่ 97

ความกลัวของประธานฟั่น

 

วิหารเทพเจ้าเคร่งขรึม อึมครึมมืดสลัว ความหวาดกลัวแผ่ขยาย การประหัตประหารเริ่มต้นขึ้น

ทุกครั้งที่ด่าน 2/10 เปิด ดีมอสล้วนต้องเผชิญกับฉากเหล่านี้ เขาเป็นทั้งพยานทั้งผู้สร้างฉากเยี่ยงนรกภูมินี้ อีกทั้งยังใช้มันเพื่อแสวงหาความสุข

ในเมื่อเป็นแบบนั้นใครจะสามารถบอกกับเขาได้ว่าที่จริงแล้วคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในคืนนี้มีอะไรผิดปกติ

พวกเขาผ่านด่านไปได้แล้วสี่คน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ผ่านไปได้ตามปกติ

หลังจากที่เขาเล่นงานชุยจั้นจนสลบ อดทนต่อหลวงจีน ใส่ใจชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขาเป็นพิเศษ เมตตาเปิดทางรอดให้ฉงเยวี่ย ไม่น่าเชื่อว่าเขายังอดทนฟังคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านสองคนบอกรักกันจนจบได้อีก

นายโกรธ ฉันโกรธ นายเป็นห่วงฉัน ฉันเป็นห่วงนายบ้าบออะไรกัน

ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือฝ่าด่านไม่ใช่หรือไง ให้เกียรติกับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศบ้าง คิดว่านี่เป็นห้องนอนในบ้านของตัวเองเหรอ!

“ฟั่น…ประธานฟั่น” ฉงเยวี่ยกระทุ้งฟั่นเพ่ยหยางอย่างระมัดระวังคราวหนึ่งพลางกระซิบเตือน “เรื่องที่อยากพูดนั่นใกล้พูดจบแล้วใช่ไหม เลิกคุยกับหัวหน้าถังได้แล้ว” เขาชำเลืองดูดีมอสปราดหนึ่ง “บรรยากาศทางนั้นเหมือนจะอึมครึมมากขึ้นทุกที”

ไม่เพียงอึมครึม

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างชำเลืองมองไปทางผู้คุมด่าน เห็นได้ชัดว่านอกจากฝนฟ้าคะนองกำลังก่อตัวแล้ว ลมพายุเองก็กำลังพัดโหม

จะว่าไปอารมณ์เช่นนั้นของดีมอสก็พอเข้าใจได้อยู่

เพราะพวกเขาที่เดิมควรร่วมมือกับกลุ่ม VIP ล้วนอยากใช้ไอเทม ‘[ป้องกัน] น้ำเย็นหนึ่งกะละมังใจร่มเย็น’ สาดโครมใส่ฟั่นเพ่ยหยางตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกัน

เป็นประธานแล้วเจ๋งมากหรือไง

หน้าตาดีแล้วเจ๋งมากหรือไง

ขายาวแล้วเจ๋งมากหรือไง

มีผู้ชายเป็นของตัวเองแล้วเจ๋งมากหรือไง

เฮอะ

“รอคุณผ่านด่าน” ถังหลิ่นเอ่ยปากพูดคำสี่คำนั้นออกมา ใช้มันยุติบทสนทนารวมถึงถ่ายทอดความเชื่อมั่นไว้วางใจ

ฟั่นเพ่ยหยางไม่พูดอะไร เพียงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของถังหลิ่นก่อนจะพยักหน้ารับ

บรรยากาศภายในวิหารเทพเจ้าเคร่งขรึมอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างมองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง เห็นเขาหมุนตัว หันมองไปทางดีมอส ดูเขาเอ่ยปากอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ว่ามา” ฟั่นเพ่ยหยางพูดแผ่วเบารวดเร็วคล้ายอากาศดีน่าไปวิ่งเล่นที่ริมทะเลสาบ “จะเริ่มจากจุดไหนก่อน”

ดีมอส “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ทุกคนต่างรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าผู้คุมด่านน่าจะอยากให้เขาไม่ผ่าน แล้วปลิดชีวิตฟั่นเพ่ยหยางทันที

“นายเคยกลัวอะไรบ้างหรือเปล่า” จู่ๆ ดีมอสก็เอ่ยปาก เขาถามพลางขยับเข้าไปใกล้ฟั่นเพ่ยหยาง

ในเมื่อเป็นการพูดคุยกันฟั่นเพ่ยหยางจึงไม่คิดจะทำแบบขอไปที เขาครุ่นคิดจริงจังก่อนจะส่ายหน้าออกมาเบาๆ “ไม่มี”

ดีมอสนึกสนุก เขาหยุดนิ่งอยู่หน้าฟั่นเพ่ยหยาง “ฉันเคยเห็นคนแบบนายมามาก ความสามารถไม่เลว แถมยังประเมินตัวเองไว้สูงลิ่ว บางทีอาจนับเป็นคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่แข็งแกร่งคนหนึ่งได้ แต่ทันทีที่ความมั่นใจถูกทำลาย คนพวกนั้นกลับพังทลายลงเร็วกว่าบรรดาคนที่อ่อนแอกว่า”

ฟั่นเพ่ยหยางถาม “คุณคิดว่าผมเหมือนกับคนพวกนั้น?”

ดีมอสกระตุกมุมปากหยันเย้ยเขาออกมาน้อยๆ “ไม่ใช่คิดว่า แต่มันเป็นเรื่องจริงต่างหาก สมัยโบราณ มนุษย์กลัวความอดอยาก กลัวความมืด กลัวสัตว์ร้ายบุกโจมตี ตอนนี้คนมีความต้องการมากขึ้น และนั่นก็ทำให้พวกเขามีความหวาดกลัวมากขึ้นเช่นกัน” รอยยิ้มหยันเย้ยของดีมอสกลับกลายเป็นลึกล้ำกว่าเดิม “แต่ตอนนี้นายกลับบอกฉันว่าตัวเองไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน นายไม่คิดว่าคำพูดประโยคนี้น่าขันหรือไง”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่หวั่นไหว “ความหมายของคำว่าหวาดกลัวของแต่ละคนแตกต่างกัน คุณถามผมตอบ ถ้าคุณไม่เชื่อ เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์”

ดีมอสจ้องเข้าไปในดวงตาของฟั่นเพ่ยหยาง “งั้นฉันก็คงต้องเข้าไปดูเองแล้ว”

เพราะความสูงพอๆ กันพวกเขาสองคนจึงสบตากันได้พอดิบพอดี

ฟั่นเพ่ยหยางตอบรับสายตาของอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยปากอย่างสุภาพนอบน้อม “ด้วยความยินดี”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ท่ามกลางความเป็นความตาย พวกเขาสองคนยังจะมีพิธีรีตองอะไรกันอีกเนี่ย

วิหารเทพเจ้าถูกปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว การเปลี่ยนคนใหม่ในแต่ละครั้งอาจหมายถึงการประหัตประหารครั้งใหม่

พอมาถึงคราวของฟั่นเพ่ยหยางทุกคนก็รู้สึกว่านี่เป็นการเปิดโรงที่มีลำดับชัดเจนที่สุดของคืนนี้

ไม่ ไม่ใช่แค่การเปิดโรง

สองสามนาทีต่อมาสมรภูมิรบก็เงียบงันผิดปกติ

คล้ายตาของพายุเฮอร์ริเคน เห็นได้ชัดว่าผู้คนโดยรอบตึงเครียดจนยากที่จะสะกดกลั้นลมหายใจไว้ได้ แต่ภายในวังวนนั้นกลับสงบนิ่ง

ดีมอสกำลังค้นหา

ฟั่นเพ่ยหยางกำลังถูกค้น

การสบตาดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครบอกได้ว่าดีมอสค้นพบความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยางหรือไม่ แต่จากการประเมินด้วยสายตา อย่างน้อยเขาก็คงจ้องลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งภายในจิตใจของอีกฝ่ายแล้วแน่ๆ

เพราะในเวลานี้ดวงตาใสกระจ่างของฟั่นเพ่ยหยางคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยอะไรบางอย่าง อาจไม่ถึงขั้นเหม่อลอยเหมือนคนอื่นๆ ที่ถูกดีมอสรุกล้ำเข้าไปสำรวจจิตใจก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมองเห็นร่องรอยของการถูกบุกรุกได้อยู่

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วตำแหน่งที่ถังหลิ่นยืนอยู่เรียกได้ว่าห่างจากพวกเขาน้อยที่สุด

ความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยางคืออะไร

จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ

ท่ามกลางการเฝ้ารอเนิ่นนาน ท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำสับสน ถังหลิ่นได้แต่หวังว่าฟั่นเพ่ยหยางจะผ่านด่านได้สำเร็จ

ดีมอสเดินเข้าสู่เหวลึกที่มองไม่เห็นก้น

ใจของทุกคนล้วนมีเหวลึกอยู่แห่งหนึ่งและเหวลึกที่ว่านี้ก็คือตู้เก็บความหวาดกลัว

ผู้คนต่างเก็บซ่อนความหวาดกลัวของตนไว้ในเหวลึก บ้างก็ชัดแจ้ง บ้างก็รางเลือน บ้างก็ถูกคนล่วงรู้ บ้างก็เป็นเพียงเงาสะท้อนของจิตใต้สำนึกที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้

ความหวาดกลัวเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนเป็นตัวประหลาดอัปลักษณ์ได้สารพัดสารพัน กองกันอยู่เต็มเหวลึก คอยหาโอกาสปีนไต่ออกมา

การก้าวเข้าไปสำรวจเหวลึกเหล่านี้คือหนึ่งในความสามารถของดีมอส

เขาไม่เคยพลาดมาก่อน

รวมถึงในเวลานี้

ฟั่นเพ่ยหยางบอกว่าเขาไม่มีเรื่องหวาดกลัว แต่พอเข้ามาถึงดีมอสกลับมองเห็นเหวลึกของอีกฝ่ายได้แทบจะทันที

ที่น่าขันก็คือปากเหวนั่นกินพื้นที่ถึงสามในสี่ส่วนของก้นบึ้งหัวใจ

หากบอกว่าก้นบึ้งของใจคนเป็นพื้นที่สีเขียว

เหวลึกแห่งความหวาดกลัวก็เหมือนกับท่อระบายน้ำบนพื้นที่สีเขียวที่ฝาท่อถูกขโมยไป ทำให้ตัวประหลาดทั้งหลายสามารถมุดลอดออกมาได้ทุกเมื่อและพร้อมจะมีคนพลัดตกลงไปอยู่ตลอดเวลา

ปากท่อเหล่านั้นบ้างก็ใหญ่ บ้างก็เล็ก บ้างก็ลึก บ้างก็ตื้น แต่สุดท้ายพวกมันก็ล้วนแต่เป็นจุดดำบนพื้นที่สีเขียว หากโชคดีดีมอสอาจต้องวนเวียนอยู่บนพื้นที่สีเขียวอยู่หลายรอบกว่าจะหาท่อที่ถูกปิดบังอำพรางเป็นอย่างดีนั่นพบ

แต่กับฟั่นเพ่ยหยางเขาไม่ต้องเปลืองเวลาแบบนั้น

เพราะมันไม่ใช่ท่อระบายน้ำ แต่เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์

นี่น่ะหรือที่บอกว่า ‘ไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน’?

ดีมอสไถลตัวลงไปตามผนังของเหวลึก หวังว่าอีกหนึ่งวินาทีถัดมาเขาจะลงไปถึงก้นเหวย้ายเอาความกลัวที่ใหญ่โตที่สุดออกมาโยนใส่หน้าฟั่นเพ่ยหยาง

ทว่าสุดท้ายเขากลับลงไปไม่ถึงก้นเหวนั่นเสียที

หลังจากนั้นดีมอสก็พบว่าในเหวลึกของฟั่นเพ่ยหยางนั้นไม่ได้มีตัวประหลาดเล็กๆ ที่ก่อขึ้นมาจากความหวาดกลัวสับสนอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงตัวประหลาดตัวใหญ่โตที่สุดซึ่งถูกซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดเบื้องล่าง

เหวลึกของฟั่นเพ่ยหยางไม่ต่างอะไรกับหลุมขนาดใหญ่ที่มีคนใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดทำความสะอาดเกลี้ยงเกลาหมดจด

ดีมอสลดความเร็วของตัวเองลง รู้สึกหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มีเหวลึกก็ต้องมีความหวาดกลัว หากฟั่นเพ่ยหยางไม่กลัวอะไรเลยจริง ในใจของเขาก็ไม่น่าจะมีเหวลึกอยู่

เรื่องนี้เหลือคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ตัวประหลาดชวนสะพรึงขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เหวลึกนี้ได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสามารถกลืนกินได้หมดแล้ว รวมทั้งพวกเดียวกัน

ดีมอสคุมด่านมานาน ไม่เคยพบเจอตัวประหลาดแบบนั้นมาก่อน

ในความรู้สึกหวั่นไหวเขากลับรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กๆ

ท่ามกลางเสียงเสียดสีของทักซิโดที่ดังสวบสาบ ในที่สุดดีมอสก็ไถลลงมาถึงก้นเหว

บางทีสำหรับคนอื่นแล้วเขาก็แค่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่ถูกค้นหาเท่านั้น

แต่สำหรับเขานี่เป็นการทดสอบที่แท้จริง

ก้นเหวมืดดำกว่าที่เขาคิดไว้มาก ไม่ต่างอะไรกับคุกใต้ดินที่ไม่มีวันได้พบแสงสว่าง

ดีมอสขมวดคิ้วลุกขึ้น ปัดฝุ่นบนเสื้อพลางกวาดตามองไปรอบๆ

สายตาของเขาค่อยๆ คุ้นชินกับความมืดที่อยู่โดยรอบ จนสุดท้ายก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ชัดเจน

พื้นที่ว่างแห่งนี้ใหญ่พอๆ กับวิหารเทพเจ้าทว่ากลับเล็กกว่าปากเหวอยู่หลายส่วน ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าคือโคลนสีดำ ส่วนที่อยู่รอบๆ คือผนังหินสีดำที่มีพืชกับดอกไม้สีดำปกคลุม ที่อยู่ตรงกลางคือโต๊ะทำงานสีดำ ข้างๆ มีชั้นหนังสือสีดำตั้งอยู่ บนชั้นมีหนังสือเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แม้แต่สันหนังสือก็ยังเป็นสีดำ

ดีมอส “…”

ช่างเป็นสุนทรียภาพที่ไร้ชีวิตชีวาสิ้นดี

ไม่ถูก ดีมอสได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นเหวลึกแห่งความหวาดกลัว ปัญหาที่ใหญ่โตหนักหนากว่าสุนทรียภาพด้านการตกแต่งย่อมต้องเป็นเรื่องความหวาดกลัว แล้วความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยางล่ะอยู่ที่ไหน ทำไมถึงเป็นโต๊ะทำงาน หรือเจ้าตัวประหลาดที่น่าหวาดกลัวที่สุดซึ่งสามารถแว้งกัดผู้เป็นเจ้าของกลืนกินตัวประหลาดอื่นๆ ที่นอนหลับอยู่ที่ก้นเหวนั่นจะลุกขึ้นมาทำงานอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่ถูกปลุกให้ตื่น?

ผู้คุมด่านหน้าตาหล่อเหลาขยับเข้าไปหาโต๊ะทำงานนั่นด้วยสีหน้างุนงง

โต๊ะทำงานไม้สีดำ นาฬิกาตั้งโต๊ะชั้นเลิศทำงานอยู่เงียบๆ บนโต๊ะมีกระดาษเอสี่สองสามแผ่นกระจัดกระจายอยู่ บนนั้นคือตัวอักษรยุ่งเหยิงกับตารางแปลกๆ ที่วาดขึ้นด้วยมือ ปากกาที่ปลายเป็นสีทองงดงามด้ามหนึ่งวางอยู่บนกระดาษพวกนั้น คล้ายคนที่นั่งทำงานอยู่บนโต๊ะเพิ่งจากไปไม่นาน

ข้อความบนกระดาษจดบันทึกนั่นยากจะเข้าใจได้

ดีมอสทำได้เพียงขมวดหัวคิ้ว เดินตรงไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ข้างๆ

ชั้นหนังสือเรียงรายอัดแน่นไปด้วยหนังสือ สันของพวกมันล้วนเป็นสีดำทว่าชื่อหนังสือกลับแตกต่างกันออกไป

 

‘อันตรายภายในด่านที่อาจเกิดขึ้นกับถังหลิ่น’

‘สร้างจิตสำนึกในการลดความเสี่ยงให้ถังหลิ่น’

‘ความเป็นไปได้ที่โรคที่ไม่อาจรักษาของถังหลิ่นจะกำเริบขึ้นมาอีก’

‘ความเป็นไปได้ที่ถังหลิ่นจะเต๊าะคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ และมาตรการรับมือเมื่ออีกฝ่ายหวั่นไหว’

‘ถังหลิ่น…’

‘ถังหลิ่น…’

 

หลังกวาดตามองจากบนลงล่างตั้งแต่แถวที่หนึ่งมาจนเกือบสุดแถวที่สองเขาก็พบว่าไม่มีหนังสือแม้แต่เล่มเดียวที่ไม่มีชื่อของถังหลิ่นอยู่บนนั้น เล่นเอาเขายากจะปฏิเสธได้ว่าไม่รู้จักตัวหนังสือสองตัวนั่น

นี่คือก้นบึ้งภายในจิตใจของฟั่นเพ่ยหยางจริงงั้นเหรอ แล้วหนังสือเกี่ยวกับถังหลิ่นที่วางอยู่เต็มชั้นหนังสือนั่นมันอะไรกัน

โอเค รู้แล้วว่าพวกนายสองคนมีความรู้สึกที่ดีให้กัน แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักแยกแยะ ให้เกียรติเหวลึกแห่งความหวาดกลัวบ้าง!

ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณวิหารเทพเจ้า ในที่สุดบนชั้นหนังสือแถวสุดท้ายคำว่าถังหลิ่นก็หายไปแล้ว

หนังสือที่อยู่ชั้นล่างสุดดูคล้ายเป็นบทกวี

 

‘ช่วงเวลาที่ถูกลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์’

‘สหายชั่วชีวิต’

‘ให้ผมได้อยู่ข้างกายคุณ’

‘อย่าชอบคนอื่น’

‘…’

 

จู่ๆ ใจของดีมอสก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง

เขายกมือกุมหน้าอก รู้สึกงุนงง ขณะเดียวกันก็คล้ายเข้าใจ

เรื่องที่เขาเข้าใจมีอยู่ด้วยกันสองเรื่อง

เรื่องแรก ชั้นหนังสือนี้ก็คือความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยาง

เรื่องที่สอง ฟั่นเพ่ยหยางใส่ใจถังหลิ่นมาก ทว่าถังหลิ่นกลับลืมเขา

ที่งุนงงคือเขาถึงขั้นรู้สึกเป็นทุกข์ไปกับหนอนแมลงตัวหนึ่ง

ไม่ นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา เรื่องที่สองนี้มันโคตรรันทด รันทดเกินไปแล้ว

 

ที่วิหารเทพเจ้า

การสบตากันดำเนินไปเนิ่นนาน นานเสียจนคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านส่วนใหญ่ต่างคิดว่าจะนั่งลงดีหรือเปล่า

หลวงจีน “ตกลงพวกเขาทำอะไรอยู่กันแน่”

เฉวียนม่าย “ฉันดูนาย นายดูฉัน”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว ตกลงผู้คุมด่านนั่นดูอะไรออกหรือเปล่า พวกเขาสองคนไม่ขยับแบบนี้ ดูน่ากลัวจะตายชัก”

“ยังมีที่น่ากลัวกว่านี้อีก” อู่อู่เฟินฟั่นผมหยักศกของตัวเองทีหนึ่ง “พวกนายดูตาของดีมอสให้ดีๆ สิ”

เพราะฟั่นเพ่ยหยางเป็นฝ่ายถูกค้น คนส่วนใหญ่จึงต่างทุ่มเทความสนใจไปที่เขา แต่ทันทีที่ได้ยินอู่อู่เฟินเอ่ยปากขึ้นมาแบนนั้น พวกเขาก็ชักสายตาไปที่ใบหน้าของดีมอสเป็นครั้งแรก

จากนั้นพวกเขาก็พบว่าสายตาของดีมอสเหมือนจะเหม่อลอยอยู่เล็กๆ จนสุดท้ายเหมือนจะมากกว่าฟั่นเพ่ยหยางเสียอีก

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา “เกิดอะไรขึ้น”

อู่อู่เฟิน “ถึงฉันจะไม่อยากยอมรับ แต่ดูท่าเขาเหมือนจะถูกเล่นงานกลับแล้ว”

ฉงเยวี่ยสองตาเป็นประกาย นึกอยากชูป้ายไฟให้กับไอดอลของตัวเอง “นายหมายความว่าประธานฟั่นเองก็สำรวจลึกลงไปในใจของดีมอสด้วยเหมือนกัน?”

“หรือไม่ความหวาดกลัวของเขาอาจไม่ธรรมดา” ไป๋ลู่เสียที่นั่งอยู่กับพื้นก่อนหน้าพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ทำเอาดีมอสขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว”

สมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงรายหนึ่งประชดเสียงออกจมูก “เลิกยกหางชาวบ้านได้แล้ว ก็แค่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางทำผู้คุมด่านตกใจเสียขวัญได้หรอก”

เฉวียนม่าย หลวงจีน และอู่อู่เฟินสมาชิกกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนทั้งสามที่เคยผ่านการต่อสู้ในนครใต้พิภพมาก่อนต่างหันหน้ามองไปยังสมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรรายนั้น “ตอนอยู่ด่าน 1/10 เขาเล่นงานเทียร์ซึ่งเป็นผู้คุมด่านจนสลบมาแล้ว”

สมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงรายนั้น “ขอโทษ”

ถังหลิ่นแทบจะไม่ได้ยินเสียงที่ดังอยู่รายรอบ

นับตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้สายตาของเขายังไม่เคลื่อนออกจากคนทั้งคู่ ไม่กล้าเสียสมาธิแม้แต่เสี้ยววินาที ระหว่างนั้นมีอยู่หลายครั้งที่เขาแทบห้ามตัวเองไม่ให้ลงมือไม่อยู่ ไม่ว่าจะใช้เงาร่างหมาป่าก็ดีหรือพุ่งตรงเข้าไปก็ช่าง ขอแค่สามารถยุติการสบตาที่สุดแสนอันตรายเนิ่นนานนี้ลงได้ก็พอ

แต่ทุกครั้งสิ่งที่หยุดยั้งเขาไว้กลับเป็นประกายวับวาวเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาของฟั่นเพ่ยหยาง

ฟั่นเพ่ยหยางยังไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้ถูกความมืดเล่นงาน จิตใจของเขาก็ยังคงมีแสงสว่างเล็กๆ เหลืออยู่

ก้นบึ้งภายในจิตใจของประธานฟั่นมีแสงสว่าง?

ทว่าดีมอสกลับมองไม่เห็น เขาคลำตามความมืดลงไปก่อนจะคลำตามความมืดขึ้นมา กว่าจะคลานออกจากหลุมดำได้ก็ไม่ง่ายเลย ดีมอสสาบานกับตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่เข้ามาสำรวจจิตใจของคนคนนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

“นายนี่มันพิเศษจริงๆ”

หลังจากดีมอสพูดประโยคนี้ออกมาบรรยากาศหยุดนิ่งภายในวิหารเทพเจ้าก็เริ่มขยับไหวอีกครั้ง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจออกมายาวๆ บอกไม่ได้ว่ายินดีหรือผิดหวัง

ที่ยินดีคือดีมอสยังคงทำตามขั้นตอน ไม่มีเรื่องนอกเหนือการควบคุมจนเป็นเหตุให้ซวยไปถึงปลาในบ่อ

ที่ผิดหวังคือไม่มีเซอร์ไพรส์อย่างผู้คุมด่านถูกเล่นงาน

ฟั่นเพ่ยหยางเองก็กลับมาได้สติอีกครั้ง เพียงแต่ช้ากว่าดีมอสอยู่เล็กน้อย

ทัศนวิสัยกระจ่างชัด เขามองเห็นก็แต่ดีมอสที่เพิ่งพูดจบไปกับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เขาบอกว่านายพิเศษ” ในบรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านมีคนกระตือรือร้นเอ่ยปากสรุป ไม่ใช่เพื่อฟั่นเพ่ยหยาง หากแต่เพื่อให้พวกเขาสามารถกินแตง* ต่อได้

อะไรที่เรียกว่า ‘พิเศษ’

ตกลงว่าระหว่างการสบตาเนิ่นนานเมื่อครู่นั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ฟั่นเพ่ยหยางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาถามดีมอสออกมาตรงๆ “คุณเห็นแล้วหรือยัง”

ดีมอสบอก “ความหวาดกลัวของนาย”

หว่างคิ้วฟั่นเพ่ยหยางขมวดเข้าหากันเล็กๆ

ดีมอสมองดูฟั่นเพ่ยหยาง คิดอยากตบไหล่ปลอบใจอีกฝ่าย แต่เพราะต้องควบคุมความรู้สึกเห็นอกเห็นใจที่อยู่ลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจเขาจึงได้แต่รักษาท่าทีเย็นชาไว้ “ฉันบอกแล้วว่าทุกคนล้วนมีความหวาดกลัวด้วยกันทั้งนั้น นายเองก็ไม่มีข้อยกเว้น”

ฟั่นเพ่ยหยางนึกกระหายใคร่รู้ “งั้นความพิเศษของผมอยู่ตรงไหน”

ดีมอสคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะรู้ว่าตัวเองมีความกลัวซุกซ่อนอยู่ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าฟั่นเพ่ยหยางสนใจกับคำว่า ‘พิเศษ’ มากกว่า

ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเขาก็ต้องพูดออกมาอยู่แล้ว “ลึกลงไปในใจของทุกคนล้วนมีเหวลึกแห่งความหวาดกลัวอยู่ ใหญ่เล็กลึกตื้นต่างกันออกไป ภายในมักจะอัดแน่นไปด้วยตัวประหลาดที่ก่อกำเนิดจากความกลัว ต้องผ่านเจ้าตัวประหลาดพวกนั้นลงไปที่ก้นเหวถึงจะพบกับความหวาดกลัวสุดขีดที่ซ่อนตัวเร้นลับอยู่ที่นั่น”

คำอธิบายของดีมอสทำเอาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหลายต่างพากันสองหูตั้ง

ถึงพวกเขาจะจินตนาการกันได้อยู่เลาๆ ถึงขั้นตอนการสำรวจความหวาดกลัวของดีมอส แต่เรื่องเหวลึกนี้กลับถูกผู้คุมด่านพูดออกมาเป็นครั้งแรก

“ในเหวลึกของเขามีแค่บ้านของพ่อแม่” ดีมอสชี้ไปทางชุยจั้นที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ หลังจากนั้นก็ชี้ไปทางหลวงจีน ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขา และฉงเยวี่ยตามลำดับ “ของเขาคือโบสถ์ร้างปราสาทร้างริมผา ของเขาน่าเบื่อที่สุดเพราะเป็นตัวประหลาดอันเกิดจากความกลัวตาย ส่วนของเขาโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็น ‘ช็อปปิ้งอาร์เคด’ ของโลกใต้บาดาล”

ฟั่นเพ่ยหยางอดทนรอฟังเหวลึกของตัวเอง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเองก็อยากรู้อยากเห็นแทบแย่แล้ว

“แต่ของนายกลับไม่ใช่อะไรพวกนั้น” ดีมอสแบมือส่ายหน้า “ของนายเป็นพื้นที่ทำงาน”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ไม่เสียทีที่เป็นประธานเผด็จการ ไม่เหมือนใครจริงๆ

ฟั่นเพ่ยหยางพยายามนึกตาม แต่เพราะนึกไม่ออกเขาจึงยิ่งรู้สึกสนใจ “รายละเอียดล่ะ เฟอร์นิเจอร์เป็นแบบไหน ตกแต่งเป็นสไตล์อะไร”

“โต๊ะไม้สีดำตัวหนึ่ง นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนหนึ่ง กระดาษจดบันทึกสองสามแผ่น ปากกาหมึกซึมด้ามหนึ่ง ยังมี…” ดีมอสจู่ๆ ก็หยุดไว้แค่นั้น

นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายคอยตอบคำถามของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแบบนี้ด้วย

ฟั่นเพ่ยหยาง “ยังมีอะไรอีก”

ดีมอส “ชั้นหนังสือ”

ผู้คุมด่านจำเป็นต้องบอกคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านให้รู้ถึงผลการสำรวจความหวาดกลัว

ผู้คุมด่านจำเป็นต้องบอกคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านให้รู้ถึงผลการสำรวจความหวาดกลัว

หลังเตือนสติตนเองถึงกฎระเบียบการทำงานเงียบๆ อยู่ภายในใจสองรอบ อารมณ์ของดีมอสก็ค่อยๆ สงบนิ่ง

“ขออภัย” ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยปากอย่างเกรงอกเกรงใจ “ผมอาจต้องย้อนกลับไปที่ปัญหาแรกสุดก่อน ความหวาดกลัวของผมอยู่ที่ไหน”

ทุกคนต่างพยักหน้ากันอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ใครอยากรู้เรื่องโต๊ะสับปะรังเคพื้นที่ทำงานอะไรนั่นกัน เรื่องสำคัญคือความหวาดกลัวต่างหาก ความหวาดกลัวสุดขีดของคนที่สามารถเล่นงานเทียร์จนสลบได้คืออะไร

“หนังสือบนชั้น” ดีมอสแบ่งปันผลลัพธ์ของการสืบค้นอย่างใจกว้าง “ทุกเล่มล้วนเป็นความหวาดกลัวของนาย คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนที่ฉันเคยเจอ ความหวาดกลัวล้วนระเกะระกะอยู่ในเหวลึก ไม่มีการจัดระเบียบ ทันทีที่สบช่องมันก็จะอาศัยความหวาดกลัวอื่นๆ เป็นที่วางเท้าปีนไต่ขึ้นมา

มีแค่นาย” น้ำเสียงของดีมอสลุ่มลึกจนฟังไม่ออกว่าตอบรับหรือปฏิเสธ “มีแค่นายเท่านั้นที่ยัดความหวาดกลัวใส่ไว้ในชั้นหนังสือ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบจนฉันดูไม่ออกว่าอันไหนเป็นเรื่องที่นายกลัวที่สุด เพราะฉะนั้นฉันถึงได้บอกว่านายพิเศษ”

จนถึงตอนนี้ในที่สุดฟั่นเพ่ยหยางก็พอมองเห็นเค้าโครงความหวาดกลัวของตัวเองขึ้นมาได้เล็กๆ “แล้วมันดีเป็นพิเศษหรือว่าแย่เป็นพิเศษ”

“พิเศษ…” ดีมอสลากเสียงยาว สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมา “แบบแย่ๆ”

น้ำเสียงหยอกเย้าคล้ายกำลังล้อเล่น

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดต่างรู้ชัด ผู้คุมด่านรายนี้ไม่เคยล้อเล่นกับพวกเขา

ฟั่นเพ่ยหยางยังคงสงบนิ่ง “แย่ยังไง ไหนคุณลองเล่าให้ผมฟังหน่อย”

ดีมอสตัดสินชะตากรรมของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ได้รังเกียจที่จะมอบคำสั่งเสียให้อีกฝ่ายมากหน่อย “ทุกคนล้วนมีระดับความเข้าใจในความกลัวของตนเองแตกต่างกัน ยิ่งสับสนก็ยิ่งแปลว่าเจ้าตัวไม่รู้ชัด ก็เหมือนกับเจ้าหัวโล้นที่กลัวการอยู่คนเดียวไปจนวันตายนั่น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นความกลัวสุดขีดของตัวเอง”

หลวงจีน “…”

อุตส่าห์ถอยห่างออกมาจากแนวรบแล้วแท้ๆ ยังถูกชาวบ้านยิงธนูปักหัวเข่าอีก

ดีมอส “แต่สิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัวนี้ ยิ่งสติสัมปชัญญะชัดแจ้งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น พูดอีกอย่างคือยิ่งนายรู้ว่าตัวเองกลัวอะไร ความหวาดกลัวของนายก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี โชคร้ายมากที่นายเป็นคนที่ตระหนักรู้ถึงความหวาดกลัวของตัวเองชัดแจ้งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ”

ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งเงียบ

ถังหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองดูใบหน้าสงบนิ่งของอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ว่าคนที่มีสติสัมปชัญญะชัดแจ้งที่สุดเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด

“คุยกันแค่นี้ดีกว่า” ดีมอสลดเสียงลง ท่าทีผ่อนปรนยากจะพบเห็น “นายบอกว่าตัวเองไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน แต่ผลกลับเป็นว่านายรู้ถึงความกลัวของตัวเองชัดเจนกว่าใครเพื่อน นายโกหกฉัน เรื่องนี้ฉันไม่ถือสา และฉันเองก็ไม่คิดจะเปิดเผยความกลัวมากมายแบบนั้นภายในวิหารเทพเจ้านี้”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ผ่านด่านแล้วเหรอ ตกลงมันเป็นความหวาดกลัวอะไรแบบไหนกัน ถึงได้ทำให้คนเลือดเย็นอย่างดีมอสหวั่นไหวได้

ดีมอส “ความหวาดกลัวของนายชวนให้รู้สึกรันทด เพราะฉะนั้นตายซะเถอะ ตายแล้วจะได้ไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไรอีก ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป”

ฟั่นเพ่ยหยาง “…”

ถังหลิ่น “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

นี่มันตรรกะบ้าบออะไรกัน!

 

* กินแตง ใช้เปรียบเปรยถึงอาการล้อมมุงดูเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง โดย ‘แตง’ หมายถึงข่าวที่กำลังเป็นประเด็นร้อนหรือเรื่องซุบซิบบางอย่าง คล้ายคำว่า ‘กินเผือก’ ของไทย

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: