X
    Categories: everYทดลองอ่านพ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 98-99 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

ปัญหาครอบครัว การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การตาย การฆาตกรรม การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่ การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ

และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 98

คนที่ไม่มีความหวาดกลัว

 

“คุณจะฆ่าผม?” ฟั่นเพ่ยหยางรู้สึกประหลาดใจต่อนิสัยพิลึกพิลั่นของผู้คุมด่าน ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย “ยืนยันแล้ว?”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้จริงจังนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ดีมอสรู้สึกหงุดหงิดกับความเคลือบแคลงของอีกฝ่ายได้ “แน่นอน ฉันเป็นผู้คุมด่าน ไม่มีเวลามาล้อเล่นข่มขวัญนาย”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงนิ่งเงียบมองดูคนที่อยู่ตรงหน้า

เฉวียนม่าย หลวงจีน และอู่อู่เฟินซึ่งเคยเห็นความสามารถที่แท้จริงของฟั่นเพ่ยหยางมาก่อน “…”

แย่แล้วๆ ไม่รู้ว่าคราวนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะ จะเป็นฟั่นเพ่ยหยางที่สุดท้ายก็ได้สัมผัสกับความร้ายกาจของผู้คุมด่านหรือเป็นผู้คุมด่านที่ต้องพบเจอกับหมัดเหล็กของประธานเผด็จการอีกครั้ง

ดีมอสไม่ชอบสายตาของฟั่นเพ่ยหยาง มันทำให้เขารู้สึกอึดอัด

เกลียด!

เกลียดจริงๆ

ในใจดีมอสประทับตราตายด้วยหมึกสีดำตึงตังๆ ไม่หยุด จนกระทั่งฟั่นเพ่ยหยางกลายเป็นแผ่นกระดานสีดำ

หนอนแมลงที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้ ไม่ควรค่าให้เขาต่อปากต่อคำอะไรด้วยมากมาย เพราะทันทีที่พูดมาก อีกฝ่ายก็จะเผลอคิดไปว่าตัวเองคือคนที่สวรรค์เลือกสรร ได้คืบจะเอาศอก ไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร

กดไว้และเหยียบให้ตายแค่นั้นก็จบแล้ว

เท่านี้ก็สะอาดเรียบร้อย

ทันใดนั้นความเคร่งขรึมก็วาดผ่านดวงตาของดีมอส เขารวบรวมสมาธิ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฟั่นเพ่ยหยาง คล้ายต้องการยึดเอาทุกอย่างของอีกฝ่าย…

“ไม่ผ่าน” ฟั่นเพ่ยหยางส่ายหน้าเบาๆ น้ำเสียงราบเรียบ ปฏิเสธด้วยท่าทีหนักแน่น

ดีมอสตะลึง พลังในการควบคุมขาดลงกลางคัน

ความรู้สึกนี้เหมือนเพชฌฆาตบนลานประหารที่พ่นเหล้าลงบนคมมีด กำลังยกแขนเตรียมฟัน ทว่าจู่ๆ นักโทษก็หันกลับมาบอกว่า ‘ฉันว่านายไม่น่าจะไหว’

ไม่เพียงขัดจังหวะ หากยังส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเพชฌฆาตอีกด้วย!

“นายว่าใครไม่ผ่าน?” ดีมอสถามเสียงแผ่วคล้ายพึมพำแต่กลับซ่อนแฝงไว้ซึ่งอันตรายใหญ่หลวง

“คุณไม่ผ่าน” ในพจนานุกรมของฟั่นเพ่ยหยางไม่มีคำว่าอ้อมค้อม “ถ้าคุณเป็นลูกน้องผม แค่คำพูดที่คุณพูดออกมาเมื่อครู่ ผมคงให้ทางแผนกส่งจดหมายตำหนิคุณแล้ว”

ดีมอสโมโหจนนึกอยากหัวเราะ “นายสมองเพี้ยนไปแล้วใช่ไหม ฉันเป็นผู้คุมด่าน ด่านนี้ฉันเป็นใหญ่ ทำไมในวิหารเทพเจ้าถึงมีรูปปั้นของฉันตั้งอยู่ นั่นก็เพราะว่าฉัน…” เขาพูดเสียงขรึมออกมาทีละคำ “คือเทพเจ้าของที่นี่”

ฟั่นเพ่ยหยาง “คุณคิดเยอะไปแล้ว”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ต่อปากต่อคำกันไม่หยุด ไม่เปิดโอกาสให้ได้พักหายใจเลยแม้แต่น้อย

“คุณเป็นแค่ผู้คุมด่านคนหนึ่งเท่านั้น” ฟั่นเพ่ยหยางพูดน้ำเสียงสงบนิ่ง “คนแบบคุณไม่ว่าจะด่านไหนก็มี อย่างน้อยก็น่าจะมีสักสิบคน ยิ่งถ้าเป็นการผลัดเวรกัน แบบนั้นก็น่าคูณเข้าไปอีกสาม หรืออาจมีมากกว่านั้น”

เทพศักดิ์สิทธิ์ถูกกำจัด

ฟั่นเพ่ยหยาง “พูดกันให้ชัดๆ คือพวกคุณเป็นก็แค่คนดำเนินการ ในเมื่อมีหน้าที่ดำเนินการ งั้นก็ควรจดจำคำว่า ‘ลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง’ ไว้ให้ดี”

ตำแหน่งหน้าที่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แน่ชัด

ฟั่นเพ่ยหยาง “ถ้าผู้คุมด่านไม่เคารพระเบียบขั้นตอน คิดจะให้คนอื่นเคารพนับถือก็คงยาก แม้แต่อำนาจของด่านเองก็จะพลอยเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยตามไปด้วย สุดท้ายความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านก็จะได้รับผลกระทบจนมีจำนวนลดลง จากที่ผมสังเกตการกระตุ้นให้มีคนเข้าด่านเพิ่มมากขึ้นต่างหากถึงจะสอดคล้องกับผลประโยชน์หลักของพวกคุณ”

โจมตีแม่นยำ รุกฆาต!

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหลาย “…”

พวกเขาคล้ายมองเห็นห้องประชุมห้องหนึ่งที่ประธานฟั่นกำลังกดดีมอสลงบนโต๊ะประชุม

แต่ผู้คุมด่านอย่างไรก็ยังเป็นผู้คุมด่าน ถึงกองกำลังทหารนับหมื่นพันจะบุกโจมตีเข้ามา อีกฝ่ายก็ยังคงจับจุดสำคัญได้ในทันที

ดีมอส “นายกำลังสงสัยขั้นตอนในการคุมด่านของฉัน?”

ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้านั่นราวกับกำลังจะบอกว่า ‘ยังเห็นไม่ชัดอีกหรือไง’ “ขั้นตอนการคุมด่านของคุณน่าจะเป็นการสืบค้นความหวาดกลัว ประกาศความหวาดกลัวนั่นออกมาเพื่อเล่นงานคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน จากนั้นก็อาศัยปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาเป็นตัวตัดสินว่าควรผ่านด่านหรือเปล่า”

ดีมอสฟังเข้าใจแล้ว ที่อีกฝ่ายพูดอ้อมอยู่นานที่แท้ก็ไม่อยากตายนี่เอง เขาเผยรอยยิ้มหยัน “ฉันยอมรับว่าปฏิกิริยาตอบสนองของนายสงบนิ่งกว่าคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านส่วนใหญ่อยู่มาก แต่เรื่องนี้ไม่ส่งผลอะไรต่อการตัดสินของฉัน นาย…ไม่ผ่าน”

ฟั่นเพ่ยหยางนึกสงสัยว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนโง่คนหนึ่ง “ผมไม่สนใจคำตัดสินของคุณ ผมต้องการก็แค่ให้คุณชดเชยสิ่งที่คุณทำหล่นหายไปก็เท่านั้น”

ดีมอส “เอ๋?”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ประกาศความหวาดกลัวทั้งหมดที่คุณเห็น ใช้มันเล่นงานผม”

ดีมอส “…”

ตลอดชีวิตของบรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านไม่เคยได้ยินคำขอเช่นนี้มาก่อน หากวิญญาณสามารถเปลี่ยนมามีตัวตนได้ เชื่อว่าในเวลานี้พวกเขาแต่ละคนคงกำลังใช้มือเล็กๆ กุมหน้าอกอยู่แน่ๆ น่าตื่นเต้นเป็นบ้าเลย

ดีมอสเองก็คิดทำแบบนั้น แต่เพื่อเกียรติยศของผู้คุมด่าน เขาจำเป็นต้องรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ เว้นก็แต่เสียงที่สูงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม “นายต้องการให้ฉันประกาศความหวาดกลัวทุกอย่างของนายต่อหน้าทุกคน?”

“ชั้นหนังสือใช่ไหม” ฟั่นเพ่ยหยางพูดจาสุภาพเปี่ยมมารยาท “จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา บอกให้หมดทุกอย่างเลย ขอบคุณ”

หน้าอกของดีมอสเจ็บแปลบไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะถูกทำให้อับอาย แต่เป็นเพราะถูกทำให้โมโห “นายรู้ชัดขนาดสามารถยัดเอาความหวาดกลัวแต่ละอันจัดเรียงเข้าไปในชั้นหนังสือได้ แล้วยังจะให้ฉันพูดออกมาทีละเล่มอีกเนี่ยนะ”

ถ้าไม่ใช่ว่าฟั่นเพ่ยหยางมีแนวโน้มเป็นมาโซคิสต์ อีกฝ่ายก็ต้องกำลังล้อเขาเล่น จงใจถ่วงเวลา

ในที่สุดใบหน้าสงบนิ่งของฟั่นเพ่ยหยางก็ฉายให้เห็นถึงความรู้สึกไม่ปลาบปลื้มระคนอยู่กับความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์รำคาญ

เขาหันหน้ามองไปทางถังหลิ่น “ผมอยากลงมือตรงๆ”

ทุกคนต่างสองตาเบิกโพลง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเหมือนได้ยินสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนและยิ่งไม่นึกอยากเชื่อว่าประธานเผด็จการอย่างฟั่นเพ่ยหยางจะขอความคิดเห็นจากคนอื่น

เพราะการบอกเล่าความในใจใต้แสงจันทร์ก่อนหน้านี้?

เพราะถังหลิ่นพูดว่า ‘คุณทำอะไรตามใจ ผมเองก็เป็นห่วง’?

การอบรมสั่งสอนนี้เห็นผลทันตา…ไม่ ฟั่นเพ่ยหยางว่านอนสอนง่ายอย่างเหลือเชื่อ…ไม่ นี่คือความรัก

“ผมขอปฏิเสธ” ถังหลิ่นที่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศที่อยู่รายรอบเอ่ยปากรวบรัดราวกับว่าเป็นมือสังหารที่ไม่มีความรู้สึก

ประธานฟั่นเอ่ยปากติง “ความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาแย่มาก ประสิทธิภาพในการสื่อสารก็ต่ำ”

“เข้าใจ” ถังหลิ่นบอก พร้อมกับหันหน้าไปทางดีมอส

ดีมอสไม่อาจตามบทสนทนาของคนทั้งคู่ได้ทัน เขาทั้งงุนงงไม่เข้าใจทั้งโมโหเดือดดาล “ความสามารถในการทำความเข้าใจของฉัน…”

“ไม่แย่” ถังหลิ่นยกมือเอ่ยปากปลอบอย่างรู้ใจ

แค่คำพูดไม่กี่คำ ถังหลิ่นก็ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้เป็นที่เรียบร้อย สถานการณ์ตึงเครียดค่อยเบาบางลง

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ทักษะความสามารถช่ำชองในการควบคุมสถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรกันแน่

ถ้าในเวลานี้มีพนักงานระดับสูงในบริษัทของฟั่นเพ่ยหยางผ่านมา เขาต้องช่วยคลี่คลายความรู้สึกสงสัยให้กับคนพวกนั้นได้แน่

หลายต่อหลายครั้งที่ความอดทนอดกลั้นของประธานฟั่นหมดสิ้น และก่อนที่จะเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่น่ากลัวสุดขีด ประธานถังล้วนใช้วิธีการนุ่มนวลช่วยประนีประนอมให้

ดังนั้น…

การควบคุมสถานการณ์จึงเป็นงานถนัดของประธานถัง

“ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องมีใครตายกันไปข้างหนึ่ง…”

ถังหลิ่นหวังว่าการพูดคุยกันระหว่างฟั่นเพ่ยหยางกับดีมอสจะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น การใช้กำลังเป็นการตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุด มีเพียงการพูดคุยกันต่อเท่านั้นถึงจะมีหนทางมีโอกาสคลี่คลายสถานการณ์

“สิ่งที่เขาต้องการง่ายมาก” ถังหลิ่นมองไปทางดีมอส ช่วยประธานฟั่นสรุป “คุณบอกว่ามองเห็นความหวาดกลัวของเขา แถมยังยืนยันว่าเขารู้จักความหวาดกลัวนั้นดี แต่ตัวเขากลับปฏิเสธบอกว่าตัวเองไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน วิธีการที่จะจัดการกับความต่างในเรื่องนี้มีอยู่เพียงวิธีเดียวคือเปิดเผยความหวาดกลัวเหล่านั้นออกมาให้หมด ในเมื่อเป็นการพูดคุย งั้นก็พูดกันให้กระจ่าง พูดจนกว่าเขาจะเข้าใจชัดเจน หรือไม่คุณก็แก้ไขข้อผิดพลาด”

ดีมอสสงสัยว่าตัวเองกำลังพบเจอกับการไกล่เกลี่ยแบบลำเอียง “ฉันมีอะไรผิดพลาดต้องแก้ไข?”

ถังหลิ่นยิ้มอ่อนโยน “ยังไม่ทันได้คุยกัน ใครจะไปรู้”

ดีมอส “…”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการไกล่เกลี่ยแบบลำเอียงชัดๆ

เสียก็แต่ว่าก่อนหน้านี้เขานึกเห็นใจคนทั้งคู่ ในเมื่อเป็นคนที่น่าสงสาร ถ้าอย่างนั้นเขาจะสนองความต้องการให้ก็ได้

“ได้” ดีมอสถอนหายใจออกมาเบาๆ สายตาจ้องนิ่งไปที่ฟั่นเพ่ยหยาง “อยากให้ฉันพูดให้กระจ่างใช่ไหม เอาล่ะ งั้นพวกเรามาคุยกัน”

ฟั่นเพ่ยหยางมองส่งถังหลิ่นเดินกลับเข้าไปในกลุ่มคนที่มีตราประทับ ความรู้สึกกลัดกลุ้มรำคาญที่สั่งสมอยู่ในใจก่อนหน้านี้จางหายไปหมดแล้ว ตรงกันข้ามตอนนี้เขากลับรู้สึกรื่นรมย์อยู่เล็กๆ ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็พอบอกได้ว่าต่อให้ต้องใช้เวลาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเขาก็สามารถนั่งคุยได้ด้วยจิตใจอันสงบ

ดีมอสยื่นมือแกว่งไปมาอยู่ตรงหน้าของฟั่นเพ่ยหยาง “เลิกดูชาวบ้านได้แล้ว มองที่ฉันนี่”

ในที่สุดฟั่นเพ่ยหยางก็หันกลับมาและเอ่ยว่า “เล่มแรก”

ดีมอส “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ท่าทีของนายเปลี่ยนเร็วเกินไปแล้ว!

แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกเขาล้วนอยากฟังว่าที่จริงแล้วบนชั้นหนังสือของฟั่นเพ่ยหยางนั้นมีอะไร ดีมอสเองก็อยากดูเหมือนกันว่าฟั่นเพ่ยหยางจะยังรักษาท่าทีมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นได้หรือเปล่า

“หนังสือเล่มแรก” ดีมอสจงใจยกเสียงสูง ดังจนเกือบจะก้องไปทั่วจักรวาล “ ‘อันตรายภายในด่านที่อาจเกิดขึ้นกับถังหลิ่น’…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านพากันตะลึง ชั้นหนังสือนี้อยู่ในจิตใจของฟั่นเพ่ยหยางไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมหนังสือเล่มแรกถึงเกี่ยวข้องกับถังหลิ่นได้

ท่าทีของถังหลิ่นสงบนิ่ง แต่ในใจกลับมีกระแสอากาศอบอุ่นไหลผ่าน

ความหวาดกลัวของฟั่นเพ่ยหยางมีเขาอยู่ เรื่องนี้เขาไม่รู้สึกประหลาดใจ แต่ที่แปลกใจก็คือตัวเองกลับถูกวางไว้อยู่เป็นลำดับแรก

หลังพูดเสียงดังจบดีมอสก็มองดูฟั่นเพ่ยหยางอย่างพอใจ ยิ่งเห็นเขาไม่พูด รอยยิ้มของดีมอสก็ยิ่งฉีกกว้างมากขึ้นไปอีก “ฟังความหวาดกลัวแรกของตัวเองไปแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง”

ฟั่นเพ่ยหยางช้อนตาขึ้น แววตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ “ที่แท้คุณก็มุดเข้าไปในจิตใจของคนได้จริงๆ”

“…ก่อนหน้านี้ตายไปแล้วห้าคน ผ่านไปได้สี่คน หรือว่านายคิดว่าทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหกที่ฉันสร้างขึ้น” ดีมอสเอ่ย

ฟั่นเพ่ยหยางเผยท่าทีนึกเสียใจที่ยากจะพบเห็นได้ออกมาเล็กๆ “นึกไม่ถึงว่าในใจผมจะมีชั้นหนังสืออยู่ด้วย น่า…ประหลาดมาก”

ดีมอสกัดฟัน “นายควรสงสัยตัวเอง ไม่ใช่สงสัยฉัน”

ฟั่นเพ่ยหยาง “แต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่เคยนึกสงสัยตัวเอง”

ดีมอส “…”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

การพูดคุยกันนี้น่าอึดอัดเป็นบ้า

“ผมเป็นห่วงเรื่องอันตรายภายในด่านที่อาจเกิดขึ้นกับถังหลิ่นจริง” จู่ๆ ฟั่นเพ่ยหยางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เป็นห่วงอยู่ตลอด”

นี่เป็นเรื่องจริง ฟั่นเพ่ยหยางไม่เคยหลบเลี่ยง

ดีมอสเลิกคิ้วประหลาดใจ “นายยอมรับแล้ว?”

“ผมยอมรับว่าในใจผมมีเรื่องนี้อยู่จริง แต่มันไม่ใช่ความหวาดกลัว” ฟั่นเพ่ยหยางบอก “มันเป็นแค่ปัญหาที่ไม่ว่ายังไงผมก็จำเป็นต้องจัดการให้ลุล่วง”

ดีมอสนึกขำไปกับความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย “จัดการ? นายจะจัดการยังไง”

ฟั่นเพ่ยหยางสงบนิ่งจริงจัง “อยู่ข้างๆ เขา ช่วยบังขวางอันตรายทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น”

ดีมอสเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ “นายเนี่ยนะ”

ฟั่นเพ่ยหยางพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ “ใช่ ช่วยบังขวางอันตรายให้เขา ผลลัพธ์ของการกระทำแบบนั้นมีก็แค่สองประการ คือหนึ่งขวางได้สำเร็จ ผมมีชีวิตรอด นั่นแสดงให้เห็นว่าผมมีความสามารถที่จะปกป้องเขา ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องกลัว และสองขวางไว้ไม่สำเร็จ ผมตาย ในเมื่อผมตายไปแล้ว ยังจะต้องกลัวอะไรอีก”

เชี่ย มีเหตุผล

ทุกคนต่างได้ยินเต็มสองหู และเพราะได้ยิน พวกเขาถึงยิ่งอยากรู้ว่าดีมอสจะรับมืออย่างไร

ดีมอสเอ่ยต่อ “เล่มที่สอง ‘สร้างจิตสำนึกในการลดความเสี่ยงให้ถังหลิ่น’ ”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

เล่มหนึ่งจบแล้วงั้นเหรอ

ฟั่นเพ่ยหยางกลับยินดีต้อนรับการมาถึงของหนังสือเล่มที่สองสุดๆ เขาถึงกับมองถังหลิ่นด้วยสายตาที่แฝงไว้ซึ่งความหมายลึกซึ้งคราวหนึ่งก่อนจะเริ่มตอบ “ก่อนจะมาที่นครใต้พิภพ เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำเควสต์ฝ่าด่านมาก่อน ดังนั้นความคิดอ่านจึงยังไม่สอดคล้องกับโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่าน ทำให้การพิจารณาเรื่องต่างๆ ภายในด่านเป็นไปตามมุมมองของโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งนี้ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่างๆ ที่ผมต้องทำคือให้เขาตระหนักถึงจุดบกพร่องเหล่านี้”

ถังหลิ่น “…”

รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเรียกชื่อออกมาตำหนิเลยแฮะ

ดีมอส “ถ้าเขายังคงตระหนักไม่ได้ นั่นก็จะกลายเป็นความหวาดกลัวของนาย?”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ในส่วนที่เขาตระหนักไม่ได้ ผมจะเติมเต็มให้เอง แล้วจะมีความกลัวอะไรที่ไหนได้”

ดีมอส “เล่มที่สาม ‘ความเป็นไปได้ที่โรคที่ไม่อาจรักษาของถังหลิ่นจะกำเริบขึ้นมาอีก’ ”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ผมจะใช้เงินซื้อไอเทมรักษาที่พอจะหาซื้อได้ในด่านทั้งหมด”

ดีมอส “เงินซื้อความสบายใจได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ด้วยเหตุนี้ผมถึงได้มีเงินมากมาย”

ดีมอส “…”

K.O. ติดกันสามยก

หลวงจีนลูบหัวโล้นๆ ของตัวเอง แค่มองดูเขาก็เหงื่อท่วมหัวแล้ว การแบตเทิลนี้น่าตื่นเต้นสุดๆ “ฉันเลือกอยู่ข้างฟั่นเพ่ยหยาง ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าเขาไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน”

อู่อู่เฟินใช้นิ้วม้วนๆ ผมของตัวเอง มองดูอย่างใจจดใจจ่อ เส้นผมหลุดร่วงออกมาหลายเส้น “ฉันยืนอยู่ฝั่งดีมอส ความหวาดกลัวเต็มชั้นหนังสือ นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”

ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขากะพริบตาปริบๆ ในหัวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม “ทำไมหนังสือทั้งสามเล่มถึงเกี่ยวข้องกับถังหลิ่น”

ฉงเยวี่ย “ยังไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกแปลกประหลาดอื่นๆ เอาแค่ที่เห็นชัด ถังหลิ่นเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ร่วมทำเควสต์ฝ่าด่านอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ ใครหน้าไหนบ้างที่ไม่เห็นหัวหน้าเป็นคนสำคัญที่สุดในใจ!”

ฉีฮว่า “…”

สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวน “…”

คนที่รอกินแตงคนอื่นๆ “…”

“เอ่อ พวกนายคุยกันเถอะ ถือซะว่าฉันไม่มีตัวตนก็แล้วกัน” ฉงเยวี่ยเอ่ย

เรื่องราวต่างๆ บนโลกล้วนมีหนึ่งมีสองแต่ไม่มีสาม

แต่สำหรับฟั่นเพ่ยหยางหนังสือเล่มที่สี่ก็ยังคงเกี่ยวกับถังหลิ่น

“ ‘ความเป็นไปได้ที่ถังหลิ่นจะเต๊าะคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ และมาตรการรับมือเมื่ออีกฝ่าย…หวั่นไหว’?” ตอนอยู่ในเหวลึกดีมอสทำเพียงกวาดตามองคร่าวๆ ไม่ได้ดูให้ละเอียด ตอนนี้เขารู้สึกว่านี่มันหนังสือฆ่าคนชิงทรัพย์เล่มหนึ่งชัดๆ

การที่ต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเป็นครั้งแรกนี้ทำเอาท่าทีเด็ดเดี่ยวราวกับผ่าลำไผ่ของฟั่นเพ่ยหยางชะงักค้าง

เขาตระหนักได้ถึงอันตราย

แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะถูกจัดวางไว้ในลำดับที่สี่

อันที่จริงมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ดีมอสพูดผิด

เขารู้ใจของตัวเองดี ทว่าทันทีที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับถังหลิ่น ลำดับของเรื่องราวเหล่านั้นก็มักสับสน นอกจากความปลอดภัยในชีวิตของถังหลิ่นจะถูกวางอยู่ในลำดับต้นๆ อย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เรื่องอื่นล้วนเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด บางครั้งเขาอาจพิจารณาถึงสิ่งนี้ บางครั้งเขาอาจพิจารณาถึงสิ่งนั้น

เป็นห่วงว่าถังหลิ่นจะเรียกผึ้งล่อผีเสื้อโดยไม่รู้ตัว ในความคิดของเขาเรื่องนี้น่าจะอยู่ช่วงกลางๆ ของชั้นหนังสือและกว่าจะถึงจุดนั้นดีมอสก็น่าจะเหนื่อยแล้ว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจเลือกกระโดดข้ามหนังสือบางเล่มไป

ช่างเถอะ ตอนนี้คิดไปก็ไม่มีประโยชน์

ในเมื่อมาแล้วนั่นก็นับว่าเป็นพรหมลิขิต ฟั่นเพ่ยหยางยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมเคยคิดคำนวณมาก่อน โอกาสที่ถังหลิ่นจะดึงดูดคนอื่นโดยไม่รู้ตัวมีความเป็นไปได้สูงถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นวิธีการจัดการของผม…”

“เดี๋ยวก่อน” ดีมอสจำเป็นต้องเอ่ยปากหยุดอีกฝ่าย “ทำไมนายถึงบอกว่าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์”

ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้ว “ผมเพิ่งบอกไปไม่ใช่เหรอว่าผมเคยคิดคำนวณมาก่อน”

ดีมอส “วิธีการคิดคำนวณล่ะ”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ไม่สำคัญ สำคัญคือวิธีจัดการ”

ดีมอสรู้สึกหนาวอยู่เล็กๆ เขากระชับทักซิโดที่มีกระดุมจำนวนนับไม่ถ้วนแน่น “นายคิดจะจัดการยังไง”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ทำให้คนคนนั้นหายตัวไป”

ดีมอสพยักหน้า

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนก็พยักหน้าเช่นกัน

ไม่แปลกใจเลยสักนิด

ได้ยินแบบนั้นสองตาของถังหลิ่นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างยั้งไม่อยู่

บนชั้นหนังสือแห่งความวิตกกังวลของฟั่นเพ่ยหยางมีพื้นที่พิเศษสำหรับความรู้สึก นี่เป็นเรื่องที่เห็นชัดอยู่แล้ว เพียงแต่ถังหลิ่นนึกไม่ถึงว่าตอนหนังสือเล่มนี้ถูกเปิดเผยออกมา ตัวเองกลับไม่กระอักกระอ่วนหรืออึดอัดใจเลยแม้แต่น้อย เขาถึงกับไม่รู้สึกว่าหนังสือเล่มที่สี่ของฟั่นเพ่ยหยางนี้จะชั่วร้ายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่ารักเสียด้วยซ้ำ

เขาคล้ายจู่ๆ ก็มองเห็นอีกด้านของฟั่นเพ่ยหยาง

ท่าทีประเภท ‘ไร้เหตุผล’ ‘ทำเรื่องราวต่างๆ โดยพลการ’ ‘มองหาประสิทธิภาพสูงสุด’ ‘พวกคุณจำเป็นต้องฟังผม’ ลักษณะพิเศษที่ไม่ว่าใครพบเจอก็ล้วนนึกอยากอัดสักป้าบสองป้าบพวกนี้ถูกชำระล้างออกไปจนหมดทันที สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่ชายที่นึกกังวลกลัวคนรักจะเปลี่ยนใจเป็นอื่นอยู่ตลอดเวลาคนหนึ่งเท่านั้น

อา ใช่แล้ว คนคนนี้ยังเชื่อในเสน่ห์ของคนที่สูญเสียความทรงจำอย่างเขาได้อย่างน่าประหลาดอีกด้วย

โอกาสที่จะดึงดูดคนอื่นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์อะไรกัน

ถังหลิ่นนึกย้อนถึงอดีตของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เขาทำอะไรก็ล้วนแต่ถูกต้องเรียบร้อยเสมอมาไม่ใช่เหรอ

เล่มที่ห้า

เล่มที่หก

เล่มที่สิบ

เล่มที่ยี่สิบ

ทุกเล่มล้วนมีแต่คำว่า ‘ถังหลิ่น’

ทุกเล่มฟั่นเพ่ยหยางล้วนมีมาตรการรับมือ

 

หนังสือพวกนี้ล้วนนำเอาหนังดราม่าทำเงินแห่งปีมาร้อยเรียงอยู่ด้วยกันหรือเลือกเอาเฉพาะฉากเหตุการณ์จริงบนโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่านมากันแน่

แต่ยิ่งฟังไปถึงตอนท้ายความรู้สึกซับซ้อนที่ทำให้คนที่ทุ่มเทตั้งหน้าตั้งตากินแตงทั้งหลายก็กลับกลายเป็นเรื่องรองไปหมดสิ้น คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเริ่มตระหนักได้ถึงความจริงที่น่ากลัวประการหนึ่ง ทั้งยังเป็นเรื่องที่ดีมอสเองก็รับรู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว

ฟั่นเพ่ยหยางไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ

เขาไม่ได้เก็บความหวาดกลัวทั้งหมดยัดใส่ชั้นหนังสือที่อยู่ในเหวลึก ที่เขาทำก็แค่เปลี่ยนวิธีการจัดเก็บพวกมันเท่านั้น ทันทีที่ตัวประหลาดในเหวลึกก่อกำเนิด พวกมันก็จะกลายเป็นหนังสือ นอนนิ่งอยู่ในชั้นรอวันถูกหยิบเปิดและจัดการ

ในเหวลึกที่กินพื้นที่ถึงสามในสี่ของก้นบึ้งหัวใจฟั่นเพ่ยหยางนั้นไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงหน้าที่

ที่แท้โต๊ะทำงานตัวนั้นก็คือตัวของฟั่นเพ่ยหยางเอง

ส่วนพื้นที่ทำงานนั้นก็คือจิตใจที่ควบคุมทุกอย่างไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

นี่คือคนที่ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวของแท้

“เล่มที่ยี่สิบเอ็ด?” ประธานฟั่นนึกสนุก พอเห็นดีมอสหยุดอยู่ตรงนั้น เขาก็ส่งสัญญาณให้คิวอย่างสนิทสนม

ดีมอส “…”

เขาไม่ควรพูดคุยกับคนคนนี้ ถ้าไม่คุยแล้วลงมือฆ่าทันทีย่อมไม่มีปัญหา คุยแล้วซ้ำยังคุยจนหมดไส้หมดพุง หากยังฆ่าอีกนั่นก็เท่ากับเขาทำผิดกฎแล้ว

เรื่องนี้ควรโทษใคร?

โทษตัวเองที่ใจอ่อนหรือโทษฟั่นเพ่ยหยางที่ไม่มีความกลัว

ล้วนไม่ใช่

ดีมอสชำเลืองดูถังหลิ่นเงียบๆ

นี่ต่างหากคือต้นเหตุของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมด

นับแต่ถังหลิ่นโผล่ออกมาขัดจังหวะการประจันหน้ากันระหว่างเขากับฟั่นเพ่ยหยาง ทิศทางการทดสอบก็เบี่ยงเบนไปตามการไกล่เกลี่ยที่แสนลำเอียงนั่น จนมาถึงขั้นที่ไม่อาจเยียวยาแก้ไขได้

“ไม่คุยแล้ว” ดีมอสกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง เสียงแหบพร่าอยู่เล็กๆ กล่าวสรุปให้กับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก “ฉันขอประกาศว่านาย…ผ่านด่าน”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้พูดอะไร ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกค้างคา

ดีมอสหันไปยังคนที่เหลือ “ถ้ายังคุยต่อ เสียงฉันต้องไม่มีเหลือแน่ เมื่อไม่มีเสียงก็จะคุยต่อกับพวกนายไม่ได้ และถ้าคุยไม่ได้ฉันก็คงได้แต่ต้องตัดสินให้พวกนายทั้งหมดไม่ผ่านด่าน”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เหลือต่างมองไปทางฟั่นเพ่ยหยางพลางเอ่ยปากออกมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงดังว่า “ประธานฟั่น นายชนะแล้ว เชิญกลับมาได้”

ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งไปชั่วขณะ

ในเมื่อให้เกียรติกันแบบนั้นก็ย่อมได้

ฟั่นเพ่ยหยางกลับไปยังกลุ่มคนที่มีตราประทับด้วยท่าทางปีติยินดี ดีมอสมองดูอีกฝ่าย ในใจรู้สึกไม่ยอมจำนนอยู่เล็กๆ

ด่านจำเป็นต้องให้ผ่าน แต่ไม่จำเป็นต้องไว้หน้า

ให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านผ่านไปได้อย่างสง่างามแบบนั้นเขาย่อมไม่มีความสุข

“เฮ้” เขาตะโกนใส่แผ่นหลังของฟั่นเพ่ยหยาง “นายรู้หรือเปล่าว่าที่ชั้นล่างสุดของชั้นวางมีหนังสืออะไรบ้าง”

ฟั่นเพ่ยหยางชะงักเท้า หันกลับมา สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าดีมอสไม่ประสงค์ดี

ชั้นล่างสุด

ว่ากันตามความเคยชินแล้วตรงนั้นน่าจะเป็นหนังสือที่เขาไม่อยากอ่านที่สุด ถ้าชั้นหนังสือในเหวลึกสะท้อนจิตใจของเขาจริง เช่นนั้นหนังสือที่อยู่ชั้นล่างสุดพวกนั้นก็น่าจะเป็นปัญหาที่เขาไม่อยากเผชิญหน้าที่สุด

ดีมอสมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างยากจะสังเกตได้ของฟั่นเพ่ยหยาง ในใจเริ่มมีความสุขขึ้นมาทีละน้อย อันที่จริงหนังสือที่อยู่ชั้นล่างสุดพวกนั้นเขาไม่ได้เห็นมันทั้งหมด แค่กวาดตามองผ่านๆ สองสามเล่มแรกเท่านั้น แต่ถ้าคิดจะเล่นงานคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านยโสโอหังคนหนึ่ง พลังทำลายล้างของมันนับว่าเพียงพอแล้ว

“ ‘ช่วงเวลาที่ถูกลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์’ ‘สหายชั่วชีวิต’ ‘ให้ผมได้อยู่ข้างกายคุณ’ ‘อย่าชอบคนอื่น’ ” ดีมอสคล้ายกำลังดำเนินการประหารชีวิต เขาพูดรายชื่อหนังสือออกมาทีละเล่มๆ อย่างชัดแจ้งเป็นจังหวะ สุดท้ายก็เอ่ยปากทอดถอนใจ “พอดูมาถึงตรงนี้ฉันก็อดเศร้าขึ้นมาไม่ได้”

ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งเงียบ

หากออร่าของคนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเสื้อเกราะได้ ตอนนี้ทุกคนก็ย่อมมองเห็นว่าเกราะที่หุ้มอยู่บนตัวของฟั่นเพ่ยหยางกำลังหลุดลอกออกทีละชิ้นๆ ไม่ต่างอะไรกับปราการแข็งแกร่งที่สุดที่กำลังพังทลาย

นี่ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีมอสมีความสุขที่สุด

ถึงจะสายไปสักหน่อย แต่ก็ยังดีที่มันยังคงน่าเบิกบานอยู่

ไม่มีใครสามารถวางท่าหยิ่งยโสต่อหน้าเขาได้

“ฟั่นเพ่ยหยาง” น้ำเสียงใสกระจ่างของถังหลิ่นดังทำลายบรรยากาศชวนไม่สบอารมณ์นั่น

ฟั่นเพ่ยหยางหันหน้ากลับไปมองทางถังหลิ่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร

ถังหลิ่นยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ซึ่งท่าทีจริงจังเล็กๆ หยอกเย้าหน่อยๆ “ ‘ช่วงเวลาที่ถูกลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์’ ‘สหายชั่วชีวิต’ ‘ให้ผมได้อยู่ข้างกายคุณ’ ‘อย่าชอบคนอื่น’?”

ฟั่นเพ่ยหยาง “คุณไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ”

ถังหลิ่น “ถ้าไม่พูด ผมก็กลัวว่าคุณจะไม่รู้ชัดถึงท่าทีของผม”

ฟั่นเพ่ยหยางตะลึง ท่าทีสงบนิ่งทั้งหมดถูกทำลายแหลกละเอียด

ถังหลิ่นเก็บรอยยิ้ม ไม่หยอกเย้าอีก เหลือไว้เพียงน้ำเสียงจริงจัง “คุณฟังให้ดี เล่มหนึ่งสองสี่ต้องรอดู แต่สามไม่มีปัญหา”

“เล่มที่สี่ก็ต้องรอดูเหรอ” ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดปากของฟั่นเพ่ยหยางก็พูดออกไปก่อนแล้ว

ถังหลิ่นยิ้ม “ถ้ายังต่อรองอีก แม้แต่เล่มที่สามก็ไม่ได้”

ฟั่นเพ่ยหยาง “รอดูก็ได้”

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”

ประธานฟั่นที่สามารถกดผู้คุมด่านลงกับโต๊ะก่อนหน้านี้บางทีอาจเป็นเพียงภาพลวง

ถังหลิ่นพยักหน้าพึงพอใจ เขาช้อนตาขึ้นก่อนจะพบว่าดีมอสยังคงยืนอยู่ตรงนั้น

พวกเขาสบตากัน

ถังหลิ่นโบกมือให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร

ในที่สุดดีมอสก็มั่นใจว่าตัวเองกำลังถูกรังแก สองคนนั้นรุมรังแกเขาคนเดียว

บทที่ 99

ห้องจัดเลี้ยง

 

[โน้ตย่อ : ยินดีต้อนรับสู่ห้องจัดเลี้ยง]

 

นับตั้งแต่ได้รับข่าวสารที่ว่าจนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปสามนาทีแล้ว คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่โชคดีมาถึงห้องจัดเลี้ยงได้ทั้งยี่สิบคนยังคงยืนนิ่งอยู่จุดเดิม

เนื่องจากไม่มีข่าวสารอะไรใหม่เพิ่มเติม พวกเขาจึงไม่กล้าเดินเข้าไปข้างในต่อ

ทว่าภายในห้องจัดเลี้ยงกว้างขวาง ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้าไปพวกเขาก็มองเห็นทุกอย่างได้ชัดแจ้ง

โต๊ะอาหารหน้าตาเหมือนกันหลายสิบโต๊ะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบทั่วห้อง บนโต๊ะแต่ละตัวถูกปูไว้ด้วยผ้าปูโต๊ะงดงาม ที่อยู่ทางด้านบนคือจานแก้วสะอาดสะอ้านเป็นมันเงาเหมือนใหม่ ที่วางอยู่ข้างจานคือมีด ส้อม และผ้าเช็ดปากที่พับไว้อย่างประณีตบรรจง

เก้าอี้สีเขียวขอบทองกระจายอยู่รอบโต๊ะ จำนวนเก้าอี้ที่ถูกจัดวางอยู่รอบโต๊ะแต่ละตัวนั้นมีจำนวนเท่ากัน แม้แต่ตำแหน่งจัดวางและระยะห่างก็ล้วนผ่านการคิดคำนวณมาเป็นอย่างดี

หากเงยหน้าขึ้นพวกเขาก็จะพบกับภาพวาดบนโดมโค้งวิจิตร

เมื่อกวาดตาไปรอบๆ ก็จะได้พบกับเปลวไฟส่ายไหวบนเชิงเทียนติดผนังกับม่านกำมะหยี่สีแดงที่ห้อยลงมาจากทางด้านบน

สีแดงทองเป็นสีหลักของห้องจัดเลี้ยงนี้

โอ่อ่างดงาม สะอาดสะอ้านว่างเปล่า

“นี่มัน…อะไรกัน” สมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายหนึ่งเอ่ยปากถามด้วยความรู้สึกงุนงงที่ล้วนซ่อนลึกอยู่ภายในใจของทุกคนออกมา

เหอลวี่ยกมือมองดู ‘โน้ตย่อ’ อีกครั้ง “เป็นไปได้ไหมว่าต้องรออีกสักพักถึงจะมีสัญญาณเตือนส่งมาใหม่”

นี่เป็นแนวความคิดอ่านทั่วไปและเป็นความคิดของพวกเขาแทบทุกคนในเวลานี้

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“ต้องใช่แบบนั้นแน่ๆ ไม่งั้นจะให้พวกเรามาที่ห้องจัดเลี้ยงทำไม หรือว่าจะให้พวกเราทำตัวบินว่อนเป็นแมลงวันไม่มีหัว”

“ตกลงว่าจะรอ?”

“รอเถอะ…”

“งั้นพวกเราก็หาโต๊ะนั่งรอกันก่อนเถอะ” ทั่นฮวาเพิ่งจะตามคนอื่นๆ เข้ามาทีหลัง เพราะต้องวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างหนัก ขาของเขาเลยอ่อนเปลี้ยไปหมดแล้ว

“…” ความนิ่งเงียบคือคำตอบที่พรรคพวกทั้งสิบเก้าคนมอบให้กับเขา

ความฉลาดเป็นกรดของทั่นฮวาทำให้เขาเข้าใจได้ทันที เขาพยักหน้า “ยืนก็ดีเหมือนกัน ปลอด…”

ที่เขาอยากจะพูดคือคำว่าปลอดภัย

ทว่ายังพูดไม่ทันจบจู่ๆ ห้องจัดเลี้ยงก็มีลมพัดโหม ทั้งเย็นเฉียบทั้งเปียกชื้น ระคนอยู่กับกลิ่นเค็มขื่นของน้ำทะเล

เสียงตึงดังมาจากทางด้านหลังของทุกคน ประตูห้องจัดเลี้ยงปิดลง!

ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ที่เบาหน่อยก็แค่สะดุ้ง ที่หนักหน่อยก็เนื้อตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอของคนทั้งยี่สิบคนคล้ายจะพุ่งพรวดขึ้นพร้อมกัน

เสียงเตือนภายในหูของเจิ้งลั่วจู๋ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อันตราย อันตราย ค่าความหวาดกลัวเกิน 80! ค่าความหวาดกลัวเกิน 80!”

ของเขายังจัดว่าต่ำ มีอยู่หลายคนพุ่งขึ้นไปเกินกว่า 90

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดพากันปั่นป่วนขึ้นมาทันที

เจิ้งลั่วจู๋พยายามควบคุมความรู้สึกภายในใจอย่างสุดกำลัง เขารีบคุ้มกันหนานเกอไว้ทางด้านหลัง กวาดตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังเหมือนกับทุกคน

จู่ๆ สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนที่ยืนอยู่รอบนอกสุดรายหนึ่งก็รู้สึกว่าข้อเท้าของตัวเองถูกอะไรบางอย่างจับไว้

พอก้มหน้าเขาก็เห็นคนที่หัวเต็มไปด้วยเลือดคนหนึ่งหมอบอยู่กับพื้น มือจับอยู่บนข้อเท้าของเขา

คล้ายรู้ว่ากำลังถูกคนมองจ้องอยู่ คนคนนั้นขยับขยุกขยิกหันหน้ามองกลับมา

นั่นไม่อาจบอกได้ว่าเป็นใบหน้าที่สมบูรณ์ จากหว่างคิ้วจนถึงแก้มขวาถูกเฉือนทิ้งไปหนึ่งในสี่ เผยให้เห็นโครงกระดูกสีขาวชวนสะพรึง

“ว้ากกกกก!” สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้นหวาดกลัวสุดขีด แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังเพี้ยน

เดิมทุกคนก็กังวลมากพออยู่แล้ว พอได้ยินเสียงร้องของอีกฝ่ายแบบนั้นพวกเขาก็แทบหัวใจหยุดเต้น หัวของคนทั้งสิบเก้าต่างหันมองไป ทันใดนั้นพวกเขาก็มองเห็นคนอยู่บนพื้น หากยังพอเรียกว่าคนได้ล่ะก็

ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นทำเอาหัวสมองของพวกเขาว่างเปล่า

จู่ๆ มือซีดขาวที่เกาะกุมข้อเท้าของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้นก็ออกแรงกระชาก

โครม!

สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้นเสียสมดุลล้มกระแทกพื้นโครมใหญ่ เสียงกรีดร้องหยุดชะงัก ทว่าคนคนนั้นที่จับข้อเท้าเขากลับไม่หยุด มือข้างหนึ่งยังคงจับข้อเท้าของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวน มืออีกข้างแนบติดอยู่กับพื้น อาศัยท่วงท่าแปลกประหลาดคลานเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงอย่างรวดเร็ว

ความเร็วของ ‘มัน’ เร็วจนเหลือเชื่อ เพียงพริบตาสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้นก็ถูกลากไปไกลหลายเมตร

ทุกคนเพิ่งได้สติ

ชิงอีเซ่อ ลีออง และโจวอวิ๋นฮุยสามคนสามารถลงมือโจมตีระยะไกลได้พร้อมกัน

ต้นไอเทม ‘ยากเกินย่างก้าว’ ทำให้มีเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากพื้นที่ที่อยู่ใต้ร่างของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ มันก็พันรัดอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าจนกลายเป็นมัมมี่

มีเถาวัลย์พันรัดไว้ ความเร็วในการถูกลากตัวไปของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้นก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

‘มือฉมังขั้นกลาง’ กับ ‘ประกายไฟ’ พุ่งเข้าไปเล่นงานคนที่คลานอยู่บนพื้น

ธนูอากาศพุ่งไปถึงก่อน ทว่าไม่ได้ยินเสียงเสียบทะลุเนื้อกลับเป็นเสียงเจาะเข้ากับพื้นแทน

ตูม! ตูม!

ภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้อง ลูกไฟขนาดเล็กพุ่งทะลุผ่านร่าง สะเก็ดไฟแตกกระจายอยู่บนพื้น

เลือดที่อยู่ในร่างของทุกคนเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ

‘มัน’ ไม่ใช่ร่างแท้จริงแต่เป็นวิญญาณ!

ขณะที่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหลายถูกความรู้ใหม่ทำให้ค่าความหวาดกลัวพุ่งสูง จู่ๆ ร่างของคนที่คลานอยู่บนพื้นรายนั้นก็หายลับไป

เจิ้งลั่วจู๋ได้สติก่อนใครเพื่อน เขาวิ่งตรงไปยังสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้นพลางตะโกน “ชิงอีเซ่อ เก็บต้นไอเทม!”

ชิงอีเซ่อปลดต้นไอเทม ‘ยากเกินย่างก้าว’ ออกอย่างรวดเร็ว

พอเถาวัลย์ที่พันรัดสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนหายลับ เจิ้งลั่วจู๋ก็ไปถึงตัวอีกฝ่ายพอดี

เขานั่งยองๆ หมายตบหน้าสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้น แต่พอยกขึ้นมือขึ้นมาได้แค่ครึ่งจู่ๆ มือของเขาก็ชะงักค้าง

ทุกคนเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลังถูกลากตัวไปสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนรายนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรอีก

เสียงกรีดร้องคร่ำครวญ หรือเสียงตะโกนว่าช่วยด้วยสักคำก็ไม่มี

หนานเกอขยับขึ้นหน้ามาหยุดอยู่ข้างเจิ้งลั่วจู๋

หลังจากนั้นทุกคนก็ค่อยๆ ล้อมวงเข้ามา

สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนที่นอนอยู่บนพื้นมีค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอคือ 100

ใบหน้าของเขานิ่งค้างอยู่ในท่าก่อนสิ้นลมหายใจ สองตาถลนออกนอกเบ้า ปากอ้ากว้าง คล้ายตกใจสุดขีด

วิญญาณนั่นไม่ได้ฆ่าเขา

ที่พรากลมหายใจของเขาไปคือความหวาดกลัวต่างหาก

 

‘ค่าความหวาดกลัวจะขยับขึ้นลงอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 ทันทีที่ค่าของมันขึ้นไปถึง 100 ซึ่งเป็นขีดสูงสุดที่ ‘ปลอกคอชวนสะพรึง’ รับได้ มันจะปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจของผู้สวม เป็นเหตุให้หัวใจหยุดเต้นถึงแก่ความตาย’

 

‘โน้ตย่อ’ เขียนเอาไว้ชัดแจ้ง

ภายในห้องพักผู้โดยสารที่ไม่ได้เปิดออกพวกนั้น บางทีภาพเหตุการณ์เช่นนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว

แต่สำหรับผู้ที่โชคดีทั้งหลายที่สามารถออกจากห้องมาถึงที่นี่ได้ นี่กลับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นมันกับตา

หากจะบอกว่าค่าความหวาดกลัวขยับขึ้นๆ ลงๆ ก่อนหน้านี้มันก็แค่นำความเสี่ยงมาให้พวกเขาเท่านั้น

ยามนี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงคมมีดเย็นเยียบของทูตแห่งความตายแล้วจริงๆ

แสงสีม่วงแลดูไม่ต่างอะไรกับมือขนาดใหญ่คู่หนึ่ง ประคองร่างไร้วิญญาณนั่นขึ้นช้าๆ ก่อนจะพามันลับหายไปจากฝ้าเพดานของห้องจัดเลี้ยง

ผู้โชคดีที่ยังมีชีวิตรอดเหลืออยู่ทั้งหมดสิบเก้าคน

ห้องจัดเลี้ยงมีแต่ความเงียบงัน แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังฟังดูเก็บกดอึมครึม

กวนหลันเอ่ยปากทำลายความเงียบก่อนเป็นคนแรก “ที่พวกเราอยู่ในตอนนี้คือ ‘แดนน่าสะพรึงสุดขีด’ หลังจากนี้เรื่องราวทำนองนี้อาจมีให้พบเจออีกมาก บางทีอาจเป็นนายหรืออาจเป็นฉัน ไม่อยากตายมีต้นไอเทมป้องกันอะไรก็เอาออกมาใช้ให้หมด”

“ไอเทมป้องกันมีประโยชน์อะไร” มีคนสิ้นหวังแล้ว “นายป้องกันการโจมตีได้ แต่ป้องกันความหวาดกลัวไม่ได้ ค่าความหวาดกลัวถึง 100 เมื่อไหร่ไม่ว่าใครก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น!”

กวนหลันไม่แม้แต่จะมองดูอีกฝ่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสนอกสนใจเลย

คำพูดเตือนเมื่อครู่เขามอบให้อีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ ถ้าเตือนจบแล้วยังต้องบอกวิธีควบคุมความหวาดกลัวให้อีก แบบนั้นทำไมไม่ขึ้นสวรรค์ไปซะเลยเล่า

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนต่างกระเสือกกระสนดิ้นรนพาตัวเองหลุดพ้นมาจากเงาของความตายก่อนหน้านี้ด้วยกันทั้งนั้น ตอนนี้พวกเขาก้มมองดูต้นไอเทมของตัวเอง บ้างก็เปิด ‘กล่องไอเทม’ ค้นหาวิธีการป้องกันตัว

กวนหลันปากว่าง หลังจากล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่เป็นนานในที่สุดเขาก็หาลูกอมรสพีชเม็ดหนึ่งเจอ ทันทีที่แกะเปลือกเสร็จเขาก็โยนมันเข้าปาก เคี้ยวมันอยู่สองสามที ราวกับกำลังกินลูกพีชฉ่ำน้ำหอมฉุยอยู่

ทั่นฮวากับลีอองคนหนึ่งมีต้นไอเทม ‘ผ่านตาไม่มีลืม’ อีกคนมีต้นไอเทม ‘มือฉมังขั้นกลาง’ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการป้องกันเลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงยืนเฝ้าอยู่ข้างหัวหน้ากลุ่ม อดทนรอการจัดวางลำดับต่อไป

คำพูดประโยคแรกของหัวหน้ากวนคือ “ฉันคิดถึงหลวงจีนแล้ว”

ทั่นฮวาแฉออกมาอย่างไม่กลัวอีกฝ่ายเสียหน้า “ที่หัวหน้านึกถึงคือ ‘เรือนกระจก’ ”

หลวงจีนเป็นสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถหลักในการป้องกัน

ต้นไอเทมระดับต้นของเขาคือ ‘เรือนกระจกกันลมกันฝน’

ต้นไอเทมระดับสองคือ ‘เรือนกระจกมีดหอกแทงไม่เข้า’

เจิ้งลั่วจู๋ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเรียกใช้ต้นไอเทม ‘แผ่นเหล็กม้วนหนึ่ง’ เขาไม่ได้ใช้ทั้งหมดสี่แผ่น แต่ใช้แค่สามแผ่นเรียงต่อกันเป็นรูปตัว U ให้เขากับหนานเกอเข้ามาอยู่ตรงกลาง เหลือพื้นที่ด้านหนึ่งไว้สำหรับสังเกตการณ์ และเนื่องจากอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนพอดี จึงสามารถได้ยินบทสนทนาของอีกฝ่ายได้ชัดเต็มสองรูหู

ต้นไอเทมป้องกันแบบเดียวกัน

ตอนอยู่ในด่าน 1/10 เทียร์ชื่นชมเรือนกระจกของหลวงจีนอย่างออกหน้าออกตา

เรื่องนี้เจิ้งลั่วจู๋เองก็จำได้

ตอนนี้เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะดูดีสักแค่ไหนสุดท้ายก็น้ำไกลไม่อาจช่วยดับกระหาย

“นายคิดจะเรียกพวกเขาสามคนเข้ามา?” หนานเกอกระซิบถาม

เจิ้งลั่วจู๋ตะลึง สงสัยว่าอีกฝ่ายแอบฟังเสียงหัวใจของตัวเองอยู่ “พี่สาวรู้ได้ยังไง”

หนานเกอบอก “ต้นไอเทมของพวกเขาสามคนล้วนไม่ใช่ไอเทมป้องกัน ในเมื่อแผ่นเหล็กยังมีพื้นที่ว่าง คุ้มครองเพิ่มได้คนหนึ่งก็คนหนึ่ง”

เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้าเต็มแรง “ใช่”

ที่จริงก็ไม่ใช่หรอก สำหรับหนานเกอที่เธอสังเกตเห็นคือสีหน้าไม่ยอมจำนน อยากพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าแผ่นเหล็กของตัวเองดีที่สุดต่างหาก

ส่วนเจิ้งลั่วจู๋เองก็รู้สึกว่าต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าแผ่นเหล็กของตัวเองดีที่สุด

ขณะที่กำลังพูดคุยกันสมาชิกกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนก็ทอดตามองมาพอดี

พอดีเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอารัมภบท เจิ้งลั่วจู๋บอกอีกฝ่ายไปตรงๆ “มานี่สิ ฉันคุ้มกันพวกนายเอง”

กวนหลันเลิกคิ้ว รับน้ำใจอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ไว้ใจสักเท่าไหร่ “แค่แผ่นเหล็กสามแผ่น?”

เจิ้งลั่วจู๋ฟังไม่เข้าหู “หมายความว่าอะไรที่ว่า ‘แค่’ นี่มันอินดัสเทรียลสไตล์เรียบง่ายแต่แข็งแกร่งต่างหาก!”

กวนหลัน ทั่นฮวา และลีออง “…”

มีข้อบกพร่องเต็มไปหมด แต่กลับจนปัญญาจะเถียง

หนึ่งนาทีให้หลัง

เม็ดเหงื่อใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดถั่วหยดเปาะแปะลงมาจากหน้าผากของเจิ้งลั่วจู๋ ขอบเขตป้องกันของแผ่นเหล็กของเขาในเวลานี้หดเล็กลงกว่าเดิมพอสมควร ควบคุมยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ด้านในเบียดเสียด หนานเกอ กวนหลัน ทั่นฮวา ลีออง รวมถึงอีกสิบสี่คนที่เหลือ

“พวกนายไม่มีไอเทมป้องกันกันบ้างหรือไง” เจิ้งลั่วจู๋แทบคลั่ง จะเบียดเสียดกันเข้ามาทำไมเยอะแยะแบบนี้!

ผู้ลี้ภัยหมายเลข 1 เหอลวี่ “ฉันใช้ ‘ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์’ สร้างเขตปลอดภัยได้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะตั้งกฎว่าอะไรดี”

ผู้ลี้ภัยหมายเลข 2 โจวอวิ๋นฮุย “ฉันใช้ไฟโจมตี นายรู้ใช่ไหม”

หมายเลข 3 ชายสักลายพระพุทธองค์ “ของฉัน ‘จิตสงบ’ นายเคยเห็นมันมาก่อน”

หมายเลข 4 ชายสักลายเจ้าสาวศพสวย “ของฉัน ‘อัศวินกระดูกขาว’ ”

หมายเลข 5 เจียงฮู่ชวน “ของฉัน ‘ถนนทุกสายล้วนมุ่งหน้าสู่กรุงโรม’ ”

หมายเลข 6 ชิงอีเซ่อ “ของฉัน ‘ยากเกินย่างก้าว’ ”

หมายเลข 7 ต้าซื่อสี่ “ฉัน…”

เจิ้งลั่วจู๋ “ฉันไม่ได้ขอให้พวกนายบอก ‘เมนู’ สักหน่อย!”

ต้าซื่อสี่ “ฉันแค่อยากถามว่านายอยากให้ฉันใช้ ‘ฉันคือดาวนำโชคของนาย’ ช่วยหรือเปล่า”

เจิ้งลั่วจู๋ “เพิ่มความกว้าง เพิ่มความหนา เพิ่มความแข็งแกร่ง ขอบคุณ”

เมื่อมีไอเทม ‘ฉันคือดาวนำโชคของนาย’ ช่วยเสริม ประสิทธิภาพในการป้องกันของแผ่นเหล็กรูปตัว U ก็แข็งแกร่งขึ้น อย่างน้อยคนทั้งสิบเก้าคนที่อยู่ภายใต้การป้องกันของแผ่นเหล็กสามด้านก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอีกเล็กน้อย ค่าความหวาดกลัวค่อยๆ หยุดนิ่ง

อันที่จริงในบรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านใช่ว่าจะไม่มีคนที่มีต้นไอเทมป้องกันเลย ไม่ว่าจะ ‘ยากเกินย่างก้าว’ ของชิงอีเซ่อ ‘ถนนทุกสายล้วนมุ่งหน้าสู่กรุงโรม’ ของเจียงฮู่ชวนล้วนสามารถใช้ป้องกันในเวลาต่อสู้ได้ แต่ที่ใช้ได้ตรงๆ มีคุณค่าเหมือน ‘แผ่นเหล็ก’ ของเจิ้งลั่วจู๋นั้นกลับมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

บางครั้งยิ่งเรียบง่าย ก็ยิ่งใช้ได้คล่องมือ

การป้องกันคือก้าวแรกของการรักษาชีวิต ผ่านด่านถึงจะเป็นเป้าหมายสุดท้าย

แต่ตอนนี้พวกเขาออกจากห้องจัดเลี้ยงไปไม่ได้ สัญญาณเตือนใหม่เองก็ยังไม่มาสักที ทุกคนคล้ายกับเดินเข้าไปในซอยตัน

“แล้วตอนนี้พวกเราจะเอายังไง”

“รอ”

“รอให้ปีศาจเข้ามาโจมตีอีกรอบหรือไง”

“หรือว่าพวกเราจะพบเจอเบาะแสอะไรบางอย่างจากที่นี่ได้”

“เกิดเจอกับอะไรที่มันน่ากลัวกว่านี้ล่ะ”

ต่างคนต่างพูด ต่างฝ่ายต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่อาจรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ขณะที่นายพูดประโยคฉันพูดประโยคอยู่นั้น จู่ๆ เชิงเทียนติดผนังที่อยู่ทั้งสี่ด้านก็กะพริบ ก่อนที่แสงไฟจะดับวูบลงพร้อมกันและสว่างกลับขึ้นมาอีกครั้ง เร็วราวกับกะพริบตา

ทุกคนต่างพากันปิดปากเงียบ

เพราะแค่ชั่วพริบตาห้องจัดเลี้ยงทั้งห้องก็เปลี่ยนไป

ม่านถูกกระตุกหล่น โต๊ะเก้าอี้ล้มคว่ำ แก้วจานระเกะระกะ ศพนอนเกลื่อนพื้น

โต๊ะแต่ละตัวล้วนมีคนนั่งอยู่เต็ม สภาพการตายของพวกเขาแต่ละคนล้วนน่าเวทนา บรรยากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

ราวกับมีภูตผีปีศาจโผล่ขึ้นมากลางห้องจัดเลี้ยงบนเรือสำราญซึ่งตกแต่งงดงาม และเปิดฉากสังหารหมู่เหล่าแขกเหรื่อที่กำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

แสงไฟไม่ได้อึมครึมลง ตรงกันข้ามกลับยิ่งสว่างมากกว่าเดิม เชิงเทียนติดผนังแต่ละอันมีเปลวเทียนลุกไหม้สว่างไสว แสงไฟส่องสะท้อนเปลี่ยนห้องจัดเลี้ยงจนดูไม่ต่างอะไรกับตอนกลางวัน

 

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: