X
    Categories: everYทดลองอ่านพ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 149-150 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 149

ฉงเยวี่ยเข้าร่วมกลุ่ม

 

เมื่อเห็นตัวเองอีกคนเข้าไปในห้องของฉงเยวี่ย ถังหลิ่นก็รับรู้ถึงเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ทันที เขารีบออกจากห้องตรงดิ่งไปยังที่เกิดเหตุ

ฉงเยวี่ยพักอยู่ที่ห้องหมายเลข 2002 ส่วนถังหลิ่นพักอยู่ห้องหมายเลข 9087 ห่างกันเจ็ดชั้น แทนที่จะรอลิฟต์ถังหลิ่นกลับเลือกใช้บันได เพราะนี่เป็นการวิ่งลงไม่ใช่วิ่งขึ้น กว่าลิฟต์จะเคลื่อนมาถึงชั้นที่เขาอยู่ ถังหลิ่นเชื่อว่าตัวเองน่าจะวิ่งไปถึงที่นั่นได้ก่อนแล้ว

แต่ถังหลิ่นลืมพิจารณาถึงรายละเอียดข้อหนึ่ง

ลำดับห้องในแต่ละชั้นล้วนเรียงจากซ้ายไปขวา เขากับฉงเยวี่ยไม่เพียงอยู่ห่างกันเจ็ดชั้น แต่ยังมีเรื่องที่ห้องหมายเลข 2 ถึงหมายเลข 87 กั้นขวางอยู่อีก ผนวกกับพื้นที่ของแต่ละห้องที่มีขนาดใหญ่โต ทำให้ระยะห่างของแต่ละห้องถูกลากยาวมากขึ้นไปอีก ดังนั้นทันทีที่ถังหลิ่นมาถึงชั้นสองที่ปรากฏต่อสายตาของเขาก็คือ ‘ลู่วิ่ง’ ยาวเหยียด

ถังหลิ่นไม่ได้หยุดเท้า เขารวบรวมพละกำลังวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด ลางสังหรณ์เลวร้ายทำให้เขาไม่อาจทนรอให้ตัวเองวิ่งไปถึงที่นั่นเองได้ ด้วยเหตุนี้ถังหลิ่นจึงเรียกใช้ ‘เงาร่างหมาป่าโดดเดี่ยว’ ให้เจ้าเสี่ยวหลางกลายร่างเป็นหมอกดำพุ่งผ่านร่องประตูห้องของฉงเยวี่ยเข้าไปก่อน

หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นถังหลิ่นเองก็ไม่อาจรู้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ สิ่งที่เขาทำมีเพียงใช้พลังจิตเชื่อมต่อกับเงาร่างหมาป่า ในเวลาเดียวกันก็ออกคำสั่ง ‘ปกป้องฉงเยวี่ย’ ส่วนจะดำเนินการเช่นไรนั้นทั้งหมดเสี่ยวหลางล้วนตัดสินใจเอง

ขณะที่เขาอยู่ห่างจากห้องของฉงเยวี่ยไปไม่กี่เมตร ประตูห้องหมายเลข 2002 ก็ถูกผลักเปิดออกมาอย่างแรง ‘ถังหลิ่น’ พุ่งออกมาจากทางด้านในแล้วกระโดดผ่านราวกั้นลงไปที่ชั้นหนึ่ง

ตอนเห็น ‘ตัวเอง’ หลบหนี ถังหลิ่นก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือที่พุ่งโผล่ตามมาคือเงาร่างหมาป่าสองตัวที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันกลางอากาศ

สองตัว?

ยังไม่ทันที่ถังหลิ่นจะได้นึกคิดอะไรมากไปกว่านั้น จู่ๆ เงาร่างหมาป่าหนึ่งในสองตัวนั้นก็ลับหายไปเงียบๆ ทำให้เงาร่างหมาป่าอีกตัวพบเจอแต่ความว่างเปล่า ครั้นร่างของมันตกถึงพื้น เงาร่างหมาป่านั่นก็หันมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกสับสนงุนงง

นี่คือเสี่ยวหลางของตัวเอง ส่วนอีกตัวนั้น…หรือว่าจะเป็นของฉีฮว่า? ‘วาดหนัง’ ของอีกฝ่ายถึงระดับที่สามารถเลียนแบบต้นไอเทมของชาวบ้านได้แล้วงั้นเหรอ

เพียงพริบตาคนที่กระโดดหนีไปที่ชั้นหนึ่งก็หายลับไม่เหลือแม้แต่เงา

ถังหลิ่นไม่มีเวลาครุ่นคิดอะไรมากมาย เขารีบวิ่งเข้าไปในห้อง เห็นฉงเยวี่ยนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูส่วนที่จัดเตรียมอาหาร มือกุมท้อง การเสียเลือดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้สติสัมปชัญญะของเขาเลือนราง มือเริ่มตกลงทีละนิดๆ

ถังหลิ่นรีบแบกคนไปที่ห้องพยาบาล แนบภาพนกเค้าแมวบนแขนของฉงเยวี่ยเข้ากับจอรักษาพยาบาล จากนั้นลำแสงสีทองอบอุ่นกลุ่มหนึ่งก็คลุมลงบนร่างของฉงเยวี่ย

ท่ามกลางแสงนั่นเลือดหยุดไหลอย่างรวดเร็ว ปากแผลค่อยๆ สมานเข้าหากัน สีหน้าของฉงเยวี่ยเริ่มกลายเป็นปกติขึ้นมาทีละน้อย สติสัมปชัญญะก็เช่นกัน

ฉงเยวี่ยค่อยๆ ลืมตา เขาตะลึงมองดูถังหลิ่นที่ยังคงแบกร่างของเขาเอาไว้ คล้ายร่างกายหายเป็นปกติแล้ว แต่สมองยังคงไม่ทำงาน

นับเป็นหายนะที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางโดยแท้ ถังหลิ่นเอ่ยปากยืนยันสถานะของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว “ผมคือถังหลิ่นตัวจริงจริงๆ”

คำว่า ‘จริง’ สามคำนั้น แต่ละคำล้วนสัตย์ซื่อจริงใจ

สายตาของฉงเยวี่ยค่อยๆ กลับมากระจ่างชัด ถูกท่าทียากจะพบเห็นแบบนั้นของถังหลิ่นทำเอาเขานึกขัน ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจะทำให้รอยยิ้มของเขาแลดูอ่อนระโหยก็ตามที “ผมรู้…”

ตอนเงาร่างหมาป่าตัวแรกโผล่ออกมากัด ‘ถังหลิ่น’ เขายังรู้สึกงุนงงอยู่เล็กๆ แต่พอเงาร่างหมาป่าตัวที่สองเข้ามาฟัดกับเงาร่างหมาป่าตัวแรก และ ‘ถังหลิ่น’ รายนั้นฉวยโอกาสหลบหนีไป เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที ตอนหลังแม้สติสัมปชัญญะจะเริ่มเลือนราง แต่เขาก็ยังคงจำได้ว่ามีคนพุ่งเข้ามาแบกตัวเองมาที่ห้องพยาบาล

ตอนนี้พอย้อนคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง ฐานะของ ‘คนร้าย’ แทบจะเรียกว่ากระจ่างชัดอยู่ตรงหน้าแล้ว

“ฉีฮว่า…” ฉงเยวี่ยกัดฟันพูดชื่อนี้ออกมา

คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่มีต้นไอเทมเป็น ‘วาดหนัง’ อาจจะมีฉีฮว่าแค่คนเดียว แต่หากเอาทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายมี ‘วาดหนัง’ ซ้ำยังมีเรื่องขัดแย้งกับฉงเยวี่ยผนวกเข้าด้วยกัน ผู้ต้องสงสัยย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว

ถังหลิ่นประคองฉงเยวี่ยกลับมานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก ก่อนถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “คุณไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ใช่หรือเปล่า”

“วางใจได้” ฉงเยวี่ยเลิกเสื้อขึ้นแล้วตบพุงกลมๆ ของตัวเองคราวหนึ่ง “หายดีแล้ว”

ถังหลิ่นถอนหายใจโล่งอก “นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ฉีฮว่าไม่เพียงเลียนแบบรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่ยังก๊อปปี้ต้นไอเทมได้ด้วย”

“แต่คำพูดคำจากับท่าทางโกหกกันไม่ได้” ฉงเยวี่ยพูดด้วยความโมโห “ตอนนี้พอลองย้อนคิดดูอีกที ที่จริงตั้งแต่เข้าห้องมาเขาก็เผยพิรุธให้เห็นแล้ว คิดจะเลียนแบบบุคลิกของคุณ เขายังต้องหัดอีกเยอะ ผมมันโง่เง่าเอง…”

ขณะตำหนิตัวเองฉงเยวี่ยก็ยังสามารถเอ่ยปากยกยอเขาได้อีก ถังหลิ่นรู้สึกว่าทักษะความสามารถในการอวยชาวบ้านของคนคนนี้ไม่ได้ด้อยกว่าจู๋จื่อที่อะไรๆ ก็เจ้านายอยู่ตลอดเวลาเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมคุณถึงรู้ว่าผมเกิดเรื่องแล้ว” ฉงเยวี่ยเพิ่งนึกขึ้นได้

ถังหลิ่นบอกกับอีกฝ่ายตามตรง “สองวันมานี้ผมคอยจับตาดูคุณตลอด”

ฉงเยวี่ยนึกสงสัย “เอ๋?”

“การสอบในวิหารเทพเจ้า คุณเอ่ยปากตัดขาดกับฉีฮว่าไม่ใช่เหรอ” ถังหลิ่นพูด “ผมคิดว่าเมื่อมาถึงเขตรวมพล เรื่องนี้น่าจะยังไม่จบ”

ฉงเยวี่ยถอนหายใจ “คุณทายถูกแล้ว…”

ฉงเยวี่ยเล่าเรื่องที่เขาทะเลาะกับฉีฮว่าซึ่งหน้า เรื่องที่ผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนช่วยไกล่เกลี่ย รวมถึงเรื่องที่ต่อมาเขาขอถอนตัวแล้วผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนพยายามรั้งตัวเขาไว้ออกมาให้ถังหลิ่นฟังจนหมด

หลังจากนิ่งฟังจนจบถังหลิ่นก็ถามขึ้น “งั้นก็แสดงว่าตอนนี้คุณเตรียมจะไปจากกลุ่มหวนเซียงถวน?”

“ก่อนหน้านี้ผมแค่เตรียม” ฉงเยวี่ยตอบ ความรู้สึกสับสนปรากฏลึกอยู่ในดวงตาคู่นั้น “แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว”

ถังหลิ่นรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ทว่าฉงเยวี่ยกลับมองมาทางเขาพร้อมถามว่า “หัวหน้าถัง คุณว่าทั้งๆ ที่ผมกำลังจะไปจากกลุ่มหวนเซียงถวนแล้ว ทำไมฉีฮว่าถึงยังต้องการฆ่าผมอีก ได้ชื่อว่าฆ่าอดีตพรรคพวกของตัวเอง มันคุ้มแล้วงั้นเหรอ”

ถังหลิ่นชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเผยยิ้มด้วยท่วงทีสบายๆ “เขาปลอมตัวเป็นผมไม่ใช่เหรอ ไม่ว่ายังไงความผิดนี้ก็ไม่มีทางไปตกอยู่กับเขาได้”

“แต่สำหรับเขาแล้วการฆ่าผมจะมีประโยชน์อะไร” ฉงเยวี่ยไม่กล้าบอกว่าตัวเองมีสมองปราดเปรื่อง ทว่าเรื่องนี้เขาสามารถเข้าใจมันได้ไม่ยาก “กระทั่งข้อเสนอประนีประนอมของผู้ดูแลกลุ่มเขายังตอบตกลง ยินดีมีฐานะเท่าเทียมกับผม แล้วทำไมในเมื่อผมตัดสินใจจะไปจากกลุ่มหวนเซียงถวน ไม่อยู่ขวางหูขวางตาเขาอีกชั่วนิรันดร์ เขาถึงกลับต้องเปลืองแรงฆ่าผมด้วย”

“เอาเถอะ ไหนๆ เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว” ถังหลิ่นตบไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปสู่การเชื้อเชิญด้วยความกระตือรือร้น “คุณอยากจะเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราหรือเปล่า”

ฉงเยวี่ยตะลึง รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญแบบนี้ “ผม? พวกคุณต้องการผม?”

ถังหลิ่นนึกขัน “ไม่ใช่ต้องการ แต่เป็นการเชิญ เวลาต่อสู้กัน ‘ใจเย็นๆ’ ของคุณเรียกได้ว่าเป็นอาวุธทรงอานุภาพ สามารถใช้มันควบคุมคู่ต่อสู้ได้ ผมกลัวว่าหากช้าไปคุณจะถูกคนจากกลุ่มอื่นแย่งตัวไปเสียก่อน”

ฉงเยวี่ยทนฟังคำยกย่องไม่ไหว พอได้ยินก็ไม่ต่างอะไรกับถูกไฟฟ้าช็อต เขานั่งตัวตรงขึ้นมาทันที สีหน้าท่าทางฮึกเหิม “ตอนนี้ไม่ใช่ ‘ใจเย็นๆ’ แล้ว ต้นไอเทมระดับสี่ของผมคือ ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ สามารถบังคับให้หนึ่งในเป้าหมายหยุดการเคลื่อนไหว ได้แต่นิ่งอยู่กับที่ แต่มันใช้งานได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ผมกำลังฝึกใช้มันอยู่!”

ถังหลิ่นรู้ว่าต้นไอเทมของอีกฝ่ายยังพัฒนาไปได้อีกไกล แต่ก็นึกไม่ถึงว่าแค่ตอนนี้ก็มีข่าวดีแล้ว “ผมคิดอยู่แล้วว่าตัวเองต้องมาหาถูกคนแน่ ว่าไง คุณจะพิจารณาพวกเราดูหรือเปล่า”

“ยังจะต้องพิจารณาอะไรอีก” ฉงเยวี่ยสีหน้าหนักแน่น สองตาเปล่งประกาย “ผมยินดีเข้าร่วมกลุ่มกับพวกคุณ”

ถังหลิ่นเผยสีหน้าลำบากใจออกมาให้เห็น “หรือคุณจะลองคิดดูอีกสักหน่อย? ว่ากันตามที่ผมคิดไว้ คุณน่าจะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อน จากนั้นผมก็ไปลากตัวประธานฟั่นมา ถึงตอนนั้นคุณก็จะรีบแปลงกายเป็นแฟนคลับเขา ยินดีเข้าร่วมกลุ่มอย่างปราศจากเงื่อนไข”

แรกๆ ฉงเยวี่ยก็ยังตั้งอกตั้งใจฟัง พอมาถึงช่วงกลางๆ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าถังหลิ่นกำลังกระเซ้า เขาพยักหน้าให้ความร่วมมือ “ใช่ ผมตอบรับเร็วเกินไป เห็นชัดว่าผมไม่รู้จักรักเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเองเอาเสียเลย…”

พอบรรลุเป้าหมายแล้วถังหลิ่นก็เล่าแผนการขั้นต่อไปให้สมาชิกใหม่รายนี้ฟังคร่าวๆ ว่าเมื่อถึงเวลาที่ประตูด่านต่อไปเปิดพวกเขาจะยังไม่เข้าไป ระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่านี้ให้ถือเป็นช่วงพักผ่อนและฝึกฝน การฝึกฝนในช่วงเวลาดังกล่าวให้ต่างคนต่างฝึกฝนกันเอง รอให้คุ้นเคยกับการควบคุมไอเทมใหม่ได้พอสมควรแล้วค่อยมารวมตัวฝึกฝน หัดใช้ต้นไอเทมร่วมกันอีกที

ส่วนเรื่องของฮั่วสวี่ ถังหลิ่นไม่ได้บอกฉงเยวี่ย นั่นก็เพราะเขายังไม่ได้ติดต่อกับอีกฝ่าย อันที่จริงเรื่องนี้เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย

หลังจากพูดคุยกันพอสมควรแล้วถังหลิ่นก็ลุกขึ้นขอตัวลา บอกฉงเยวี่ยให้พักผ่อนให้ดีๆ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือนับแต่นี้เป็นต้นไปเขาต้องระมัดระวังตัวให้มาก ห้ามเปิดประตูรับใครเข้ามาง่ายๆ อีก

ฉงเยวี่ยเพิ่งจะไปเดินเล่นแถวปากประตูนรกมา ไหนเลยยังจะต้องให้ถังหลิ่นกำชับอีก

“อีกเดี๋ยวผมจะปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนา!”

ถังหลิ่นนึกยินดี “ต้องรู้จักระแวดระวังตัวแบบนี้ไว้ให้ตลอด”

หลังส่งถังหลิ่นจากไป ในห้องก็เงียบเหงาขึ้นมาอีกครั้ง

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉงเยวี่ยค่อยๆ จางหายไป เขากลับไปนั่งลงบนโซฟา เหม่อมองโคมแขวนอยู่นาน

การที่ฉีฮว่าลงมือฆ่าเขามันไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงยังทำ

ปัญหาข้อนี้ถูกคำเชิญของถังหลิ่นขัดจังหวะ

เขารู้ว่าอีกฝ่ายจงใจ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังครุ่นคิดเข้าใจในเรื่องนี้ได้ เชื่อว่าคนฉลาดอย่างถังหลิ่นคงเข้าใจได้ตั้งแต่พบว่าฉีฮว่าปลอมตัวเข้ามาในห้องของเขาแล้ว

แต่ไหนแต่ไรมาคนที่ต้องการเอาชีวิตเขาก็ไม่ใช่ฉีฮว่า แต่เป็นกลุ่มหวนเซียงถวน

การตายของเขาคือจุดจบของคนที่คิดทรยศถอนตัวออกจากกลุ่ม ถ้ามีสมาชิกกลุ่มหน้าไหนที่กล้าหวั่นไหวไปกับการยื่นใบลาออกของเขา นี่ก็คือ ‘การเชือดไก่ให้ลิงดู’

แต่ไหนแต่ไรผู้ดูแลกลุ่มก็ไม่เคยสนใจว่าคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจะเพิ่มหรือลด ที่เขาสนใจมีเพียงศักดิ์ศรีหน้าตาและขวัญกำลังใจที่มั่นคงของคนในกลุ่มหวนเซียงถวนที่อยู่ในเขตรวมพลแห่งนี้เท่านั้น

ฉงเยวี่ยมั่นใจว่าถังหลิ่นรู้ว่าเขาเองก็ดูออก แต่ถังหลิ่นเลือกที่จะไม่พูด ซ้ำยังจงใจใช้การเชื้อเชิญให้เขาเข้าร่วมกลุ่มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถ้าแฉเรื่องนี้ออกมา การเชื้อเชิญเขาเข้าร่วมกลุ่มย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แถมยังสามารถอ้างเรื่องแล้งน้ำใจของกลุ่มหวนเซียงถวนมายกกลุ่ม VIP ให้ดูดีขึ้น ทว่าถังหลิ่นกลับไม่พูดถึงมันแม้แต่คำเดียว

เพราะถ้าพูดออกมานั่นย่อมทำให้เขาลำบากใจ ทำให้ช่วงเวลาที่เขาจงรักภักดีต่อกลุ่มหวนเซียงถวนกลายเป็นเรื่องน่าขัน

ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็นึกอิจฉาสมาชิกกลุ่มของถังหลิ่น อิจฉาหนานเกอ อิจฉาเจิ้งลั่วจู๋

หัวหน้ากลุ่มที่เอาใจใส่แม้แต่กับคนนอก กับพรรคพวกของตนเองย่อมยิ่งใส่ใจมากขึ้นไปอีก

 

ถังหลิ่นกลับมาที่ห้องของตัวเอง ในหัวยังคงคิดถึงเรื่องของฉงเยวี่ย

ถึงแม้ว่าการเข้าร่วมกลุ่มของฉงเยวี่ยจะตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย แต่อย่างไรกลุ่มหวนเซียงถวนก็คงไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าควรหาเวลาไปพูดคุยกับผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนในเขตรวมพลตามลำพังสักครั้ง ด้านหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าในเวลานี้ฉงเยวี่ยมีกลุ่ม VIP คุ้มครองอยู่ อย่าได้คิดลงมือกับฉงเยวี่ยเด็ดขาด ส่วนอีกด้านก็เพื่อให้ทางนั้นสบายใจว่าเรื่องฉงเยวี่ยถอนตัวออกจากกลุ่มหวนเซียงถวนมาเข้ากลุ่ม VIP นี้ ทางกลุ่ม VIP จะไม่โพนทะนาออกไปเด็ดขาด

ถ้าผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนฉลาดพอก็น่าจะรู้ว่าการที่ทั้งสองฝ่ายเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ ย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุด ถึงตอนนั้นคนเก่าไปจากเขตรวมพล คนใหม่เข้ามาเสริม เรื่องนี้ย่อมผ่านพ้นไปได้โดยไม่มีใครสนใจ

ตอนหนานเกอถ่ายทอดเสียงมา ถังหลิ่นกำลังคิดว่าจะสร้างโอกาส ‘พูดคุยส่วนตัว’ กับผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนอย่างไร ควรจะไปเยี่ยมเยือนอีกฝ่ายตรงๆ หรือแสร้งทำเป็นบังเอิญเจอกันดี

“หัวหน้า…”

เสียงจาก ‘ตราตรึงไม่รู้ลืม’ นี้แฝงไว้ซึ่งบรรยากาศพิลึกพิลั่น

ถังหลิ่นรับรู้ได้ถึงไอเย็นที่แผ่ซ่านผ่านแผ่นหลัง

“ดูห้อง…”

แล้วต่อด้วย

“ของฉัน…”

จะพูดต่อกันรวดเดียวจบไม่ได้หรือไง ต้องใช้จังหวะราวกับน้ำเสียงของปีศาจสาวแบบนี้ด้วยเหรอ!

ถังหลิ่นให้นกเค้าแมวเปลี่ยนภาพบนจอไปยังห้องหมายเลข 4033 หนานเกอกำลังนั่งยิ้มหวานให้เขาอยู่ภายในห้องรับแขก

เห็นได้ชัดว่า ‘การทำให้หัวหน้ากลุ่มตกใจ’ คือความบันเทิงประการหนึ่ง

ถังหลิ่นรู้สึกเหนื่อยใจ “ผมรู้ว่าต้นไอเทมของคุณยกระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว ไม่ต้องเห็นคนก็สามารถ ‘ถ่ายทอดเสียง’ ได้ แต่เวลาถ่ายทอดเสียงมา คุณพอจะพูดให้เร็วอีกสักหน่อย มีชีวิตชีวาอีกสักนิดได้หรือเปล่า”

หลังจากสนุกพอแล้วหนานเกอก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ทางฉงเยวี่ยเป็นอันตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วสินะ”

ถังหลิ่นรู้สึกประหลาดใจ “คุณรู้แล้วงั้นเหรอ”

นี่มันเส้นทางข่าวสารความเร็วแสงอะไรกัน

“เมื่อกี้ฉันนึกอยากดูสถานการณ์ของเจ้าอ้วนเยวี่ยสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะเห็นคุณผ่านเข้าประตูห้องของเขาไปพอดี เลยได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด” หนานเกออธิบาย

ถึงถังหลิ่นจะเอาความรับผิดชอบเรื่องการจับตาดูฉงเยวี่ยกับฮั่วสวี่ไว้กับตัว แต่หนานเกอก็ยังอาศัยช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างการฝึกซ้อมจับตาดูคนทั้งสองด้วยเช่นกัน

เขานึกไม่ถึงว่าพรรคพวกของเขาจะช่วยเขาใส่ใจกับเรื่องดังกล่าว ถังหลิ่นรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กๆ เขายิ้มให้หนานเกออย่างเป็นธรรมชาติ

นึกไม่ถึงว่าหนานเกอกลับถอนหายใจออกมาคราวหนึ่ง “หัวหน้า เมื่อกี้คุณยิ้มให้ฉงเยวี่ยแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังยิ้มให้ฉันแบบนี้อีก ถ้าคุณยังหว่านเสน่ห์แบบนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะก็ ประธานฟั่นต้องได้มาเยือนแน่”

ถังหลิ่นตะลึง เกือบหันหน้ามองกลับไปที่ประตูแล้ว โชคดีที่สุดท้ายเขายังสะกดกลั้นตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ได้ปล่อยให้ท่าทีของหัวหน้ากลุ่มพังทลาย

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกกังวล พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องดังกล่าว ตอนนี้ฟั่นเพ่ยหยางน่าจะไม่ได้กำลังดูห้องของเขาอยู่หรอกใช่ไหม

“วางใจเถอะ” เพราะดูออกถึงความรู้สึกลำบากใจของอีกฝ่าย หนานเกอจึงเอ่ยปากรายงานข่าวให้ถังหลิ่นฟังด้วยความปรารถนาดี “ประธานฟั่นกำลังรับซื้อไอเทมอยู่ เมื่อกี้ตอนขึ้นมาฉันเห็นเข้าพอดี”

ถังหลิ่นรู้สึกโล่งอก แต่ไม่นานเขาก็คิดขึ้นมาอีก ทำไมต้องกระวนกระวายด้วย เขาไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อชาวบ้านเสียหน่อย แล้วทำไมต้องกลัวถูกฟั่นเพ่ยหยางเห็นด้วย

หลังจากครุ่นคิดอย่างใจลอยอยู่ครึ่งค่อนวันถังหลิ่นก็บังเอิญเงยหน้าขึ้น เห็นหนานเกอเท้าคางยิ้มมองเขาคล้ายเห็นอะไรบางอย่างน่าสนใจ

“คุณยิ้มอะไร” ถังหลิ่นไม่เข้าใจ

หนานเกอบอก “คุณดูอ่อนโยนลงแล้ว”

ถังหลิ่นตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยถามต่อว่า “ก่อนหน้านี้ผมไม่อ่อนโยน?”

ตอนเขายังอยู่ในบริษัท บางทีเขาอาจถูกพวกพนักงานเข้าใจว่าเป็นคนอารมณ์ดี เวลาพบเจอคนล้วนยิ้มให้

“แน่นอนว่าไม่ใช่” หนานเกอทำลายจินตนาการของหัวหน้ากลุ่มตัวเองอย่างไม่ปรานีปราศรัย “ตอนเผชิญหน้ากับ ‘ปริศนาสฟิงซ์’ ที่นครใต้พิภพ คุณมาขอให้ฉันช่วย ฉันถามย้อนกลับไปว่า ‘ทำไมฉันต้องช่วยเพื่อนคุณด้วย’ ตอนนั้นคุณตอบฉันว่าอะไร”

หนานเกอไม่สนใจกับสายตาปฏิเสธของหัวหน้ากลุ่มตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอกระแอมออกมาคำหนึ่ง สีหน้าท่าทางรวมไปถึงน้ำเสียงล้วนเย็นชา กลายร่างเป็นถังหลิ่นในเวลานั้นอย่างสมบูรณ์แบบ “ไม่มีเหตุผล คุณจะปฏิเสธก็ได้ แต่ช่วยรีบให้คำตอบผมหน่อย เวลามีจำกัด ผมยังต้องคิดหาวิธีอื่นอีก”

ถังหลิ่น “…”

การถูกคนกันเองรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตที่ไม่น่าจดจำถึงกับทำคนตายได้เลยทีเดียว

“ตอนนั้นฉันคิดว่าคนคนนี้เย็นชาจริงๆ ไม่เหมาะกับใบหน้าหล่อๆ นั่นเลยสักนิด” หนานเกอยังคงจมอยู่ท่ามกลางความทรงจำอัน ‘งดงาม’ นั่น “แต่หลังจากได้เข้าร่วมกลุ่ม VIP แล้วได้เจอกับประธานฟั่น…”

เพราะมีการเปรียบเทียบ ถึงได้รู้ว่าอบอุ่น

ทุกสิ่งล้วนไม่จำเป็นต้องพูด

ความคิดอ่านของถังหลิ่นถูกหนานเกอดึงกลับไปยังนครใต้พิภพ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นความทรงจำเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องในอดีตที่แสนยาวไกล “ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาในด่าน ยังไม่คุ้นเคย ความจริงผมรู้สึกกังวลมาก เส้นประสาททั่วทั้งร่างล้วนตึงเขม็ง”

หนานเกอส่ายหน้า “ก็ใช่ว่าจะเป็นเพราะวิตกกังวลเสียทั้งหมด คุณในเวลานั้น…ฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี มันคล้ายกับเปลือกหอยอะไรทำนองนั้น คุณเข้าใจหรือเปล่า เปลือกหอยที่ปิดสนิท”

พรรคพวกของตนเองไม่เพียงแค่พูดเฉยๆ เท่านั้น แต่ยังเปรียบเทียบราวกับกลัวว่าเขาจะฟังไม่เข้าใจ

ถังหลิ่นก่ายหน้าผาก คำอธิบายนี้เขารับไม่ได้จริงๆ

“แต่ตอนนี้เปิดออกแล้ว” หนานเกอสรุป ทั้งยังไม่ลืมพูดชดเชยบาดแผลก่อนหน้านี้ “เป็นการแปรผันตรงระหว่างความหล่อเหลากับความอ่อนโยน”

ถังหลิ่น “…ขอบคุณสำหรับคำยกย่อง”

หนานเกอรู้สึกเป็นสุข เธอจงใจชำเลืองมองถังหลิ่นด้วยสายตาคลุมเครือพลางเอ่ยว่า “โชคดีที่หากุญแจเปิดหัวใจของคุณพบ…”

“ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฟั่นเพ่ยหยาง” ถังหลิ่นปฏิเสธออกมาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ผมในเวลานั้นหนึ่งคือยังปรับตัวไม่ได้ สองยังไม่คุ้นเคยกับพวกคุณ แต่ตอนนี้ในเมื่อคุ้นเคยแล้วก็ย่อมต้อง…”

“หัวหน้า กุญแจที่ฉันพูดถึงคือดีมอส หลังจากที่เขา ‘สำรวจความหวาดกลัว’ คุณก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง” หนานเกอกล่าวพร้อมรอยยิ้มซุกซน “ดูเหมือนว่าคุณจะคิดมากเกินไปแล้ว…”

ถังหลิ่น “…”

กับดักมาถี่จนยากเกินกว่าจะป้องกันได้จริงๆ

ติ๊ง…

เสียงข้อความเตือนดังขึ้นอยู่ภายในห้องทั้งสอง

ถังหลิ่นกับหนานเกอต่างชะงักงัน ครั้นมองเห็นข้อความบนแขนชัดเจน ทั้งคู่ก็อดนึกประหลาดใจไม่ได้

 

[โน้ตย่อ : ด่าน 4/10 จะเปิดหลังจากนี้อีกหกวัน ขอให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเตรียมตัวให้พร้อม และเมื่อถึงเวลาให้ดำเนินตาม ‘แผนที่’]

 

นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการเปิดด่าน

ครั้งแรกคือเมื่อวาน ข่าวแจ้งว่าการเปิดด่านจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน ครั้งที่สองคือตอนนี้ วันเวลาเปลี่ยนเป็นหกวัน

เรื่องราวเช่นนี้ตอนอยู่ในนครใต้พิภพกับโลกใต้บาดาลพวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน ข่าวเรื่องการเปิดด่านถูกแจ้งให้ทราบเฉพาะตอนเจ็ดวันก่อนเปิดด่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

การช่วยพวกเขานับเวลาถอยหลังแบบนี้ของ ‘โน้ตย่อ’ ชวนให้รู้สึกรีบเร่ง คล้ายมีอะไรบางอย่างผลักดันพวกเขาให้รีบเข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่าน

ส่วน ‘แผนที่’ ตอนเอาชีวิตรอดอยู่บนเกาะร้างพวกเขาเคยพบเห็นมันมาก่อน ทว่าเรื่องที่มันมาปรากฏให้เห็นอยู่ในข้อความเตือนแบบนี้ นี่นับเป็นครั้งแรก

ถังหลิ่นแตะเปิด ‘แผนที่’ ที่เมื่อวานเขาเพิ่งดูไปขึ้นอีกครั้ง

ม้วนแผนที่สามมิติค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

ที่อยู่ด้านล่างสุดคือทะเล แสงอาทิตย์เล็กละเอียดปรากฏอยู่บนคลื่นน้ำที่กำลังกระเพื่อมไหว

สิ่งปลูกสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยมริมหาดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลคือเขตรวมพล

เหนือขึ้นไปจากเขตรวมพลคือผืนดินกว้างใหญ่ มีที่ราบ มีป่า มีแม่น้ำลำธาร นอกจากนี้ยังมีทะเลทราย ห้วยหนองคลองบึง และอะไรบางอย่างที่มีรูปทรงแปลกๆ ซึ่งตอนนี้ยังบอกไม่ได้แน่ชัดว่าคืออะไร

ที่ปลายสุดของผืนแผ่นดินคือภูเขาสูงที่มองไม่เห็นยอด มองไม่เห็นจริงๆ เนื่องจากยอดเขาถูกหมอกหนาปกคลุมไว้หมดสิ้น หนำซ้ำตัวภูเขาเองก็ตั้งอยู่ส่วนบนสุดของแผนที่ ดังนั้นที่ปลายสุดของแผนที่จึงมองเห็นแค่หมอกขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ

ทว่าที่เชิงเขากลับสามารถมองเห็นได้ชัดแจ้ง เพราะที่นั่นมีเครื่องหมายเด่นชัดสะดุดตากำกับไว้ว่า ‘ผ่านด่าน 4/10’

ออกจากเขตรวมพล เดินทางข้ามผ่านผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ไปถึงเชิงเขา เท่านั้นก็ถือว่าผ่านด่านสำเร็จ

แผนที่ระบุไว้ชัดแจ้ง

เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถังหลิ่นถึงได้นึกอยากปัดหมอกพวกนั้นออก เพื่อจะได้ดูยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไปทางด้านบนนั้น

สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ฉบับนี้ยังไม่ใช่โฉมหน้าทั้งหมดของมัน

บทที่ 150

เงาร่างหมาป่าแกะรอย

 

ม่านราตรีปกคลุม จันทร์กระจ่างดวงดาวพร่าเลือน

ห้องนอนทุกห้องภายในเขตรวมพลล้วนมีหน้าต่างยาวจรดพื้นอยู่ด้านหนึ่ง นอกหน้าต่างคือที่ราบกว้างใหญ่ซึ่งปรากฏอยู่บนแผ่นที่ด่าน 4/10 ตอนแสงอาทิตย์เจิดจ้า หากยืนอยู่หน้าหน้าต่างจะสามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าไกลลิบ

นี่เป็นคืนที่สามของการเข้ามาอยู่ในเขตรวมพล ถังหลิ่นเริ่มเคยชินกับการแค่พลิกตัวก็มองเห็นท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาวด้านนอกนั่นแล้ว น่าเสียดายก็แต่ไม่อาจสัมผัสกับสายลมยามค่ำคืนได้ เพื่อให้ทางเข้าด่านกลายเป็นเส้นทางเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ด่าน 4/10 เพียงหนึ่งเดียว หน้าต่างภายในห้องจึงไม่สามารถเปิดได้ ไม่ว่าจะออกแรงทุบทำลายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

ถังหลิ่นปิดไฟหัวเตียงสีฟ้าอ่อน ภายในห้องมืดสนิท เหลือเพียงแสงจันทร์สลัวรางที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาบริเวณข้างเตียง

ดึกแล้ว ถังหลิ่นถอนหายใจเบาๆ ออกมาคราวหนึ่ง ขยับตัวเลือกท่าที่สบายที่สุดเตรียมเข้านอน…

ตึงๆๆ!

ดึกดื่นเที่ยงคืนผีที่ไหนมาทุบประตู

ความรู้สึกง่วงนอนของถังหลิ่นถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อย

รบกวนการนอนของชาวบ้านนับเป็นหนึ่งในการกระทำต่ำช้าที่ยากเกินกว่าจะให้อภัย แต่วันนี้ถังหลิ่นกลับไม่นึกโกรธเลยแม้แต่น้อย เขาถึงกับรีบชักเท้าตรงไปเปิดประตูอย่างไม่รู้ตัว

เหตุผลไม่มีอะไรไหนอื่น นอกเสียจากคนที่มาเคาะประตูในเวลานี้ คิดไปคิดมาก็คงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ถังหลิ่นเดินผ่านห้องรับแขกไปถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว

เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อเนื่อง อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงอะไร เป็นเสียงเคาะประตูธรรมดาๆ แต่เพราะตอนกลางคืนบรรยากาศเงียบสงัด จึงทำให้เสียงฟังดูชัดเป็นพิเศษ จังหวะเคาะที่ดังต่อเนื่องไม่หยุดนั้นเผยให้เห็นถึงความรู้สึกร้อนรนของคนที่มา

ถังหลิ่นเปิดประตู เผชิญกับใบหน้าของพรรคพวกตนเอง เขายิ้มหยอกเย้า “ยินดีต้อนรับกลับมา”

มือของเจิ้งลั่วจู๋ยังคงค้างอยู่กลางอากาศ เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลูบจมูกตัวเองด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน “หัวหน้า ตอนแรกผมตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมาหาคุณ แต่ว่า…”

แต่ว่าสุดท้ายเขากลับทนรอไม่ไหว ที่จริงเขากลับมาถึงตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ขนาดนั่งอยู่ในห้องของตัวเองก็ยังนั่งไม่ติด เอนหลังล้มตัวลงนอนก็ยังไม่ได้ เดินวนไปรอบห้องแล้วก็ยังคงข่มใจไม่สำเร็จ สำหรับเรื่องนี้ความอดทนอดกลั้นทั้งหลายทั้งปวงที่มีล้วนเปราะบางเป็นที่สุด

“ฉันเข้าใจ” ถังหลิ่นไม่แม้แต่จะอ้อมค้อม เขายื่นมือไปหาอีกฝ่าย “เอาของมาให้ฉันสิ”

เจิ้งลั่วจู๋สองตาเบิกกว้าง เขาตกใจจริงๆ “คุณรู้ได้ยังไง”

เขายื่นมือซ้ายที่ไพล่อยู่ด้านหลังตลอดออกมา ที่อยู่ในมือคือสมุดบางๆ ที่ถูกม้วนเป็นทรงกระบอก

ถังหลิ่นรับสมุดเล่มนั้นไว้ก่อนจะเปิดมันดู นั่นเป็นสมุดการบ้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา

ที่อยู่ทางด้านล่างของปกสมุดคือตัวอักษรงดงามเป็นระเบียบ ‘ปีสามห้องหก ซือฟางเจ๋อ’

นับแต่นายรู้ว่าต้นไอเทมของฉันคือ เงาร่างหมาป่าแกะรอย ใจของนายก็ไม่เคยสงบ ถังหลิ่นปิดประตู นำสมุดการบ้านกับพาพรรคพวกของตนเองไปที่ห้องรับแขก สัมพันธภาพทางสังคมของนายในเวลานี้แทบจะเรียกได้ว่าศูนย์ ทันทีที่เข้ามาถึงเขตรวมพลนายก็รีบร้อนจะกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากต้องการเอาของของเพื่อนสนิทมาให้ฉันช่วยตามหาแกะรอยให้แล้ว ฉันก็คิดไม่ออกอีกว่ายังมีเรื่องอะไรที่ทำให้นายร้อนรนได้ขนาดนี้

นี่ไม่ใช่ถังหลิ่น นี่มันเทพเจ้าชัดๆ

เจิ้งลั่วจู๋ยอมศิโรราบ หัวหน้า คุณน่ากลัวจริงๆ…

ถ้านายจะยกยอกันแบบนี้ ก็อย่าเลยจะดีกว่า ถังหลิ่นกระเซ้า ยืนอยู่บนพื้นที่ว่างข้างโซฟา ก้มหน้ามองดูสมุดการบ้านในมือ

นี่เป็นสมุดของเขาตอนอยู่ ม.สาม เจิ้งลั่วจู๋เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเป็นกังวล เวลานานเกินไปใช่หรือเปล่า…

เดิมเขาตั้งใจจะไปหาของของซือฟางเจ๋อที่ใหม่กว่านี้สักหน่อย อย่างเช่นเสื้อผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้หลังเข้ามหาวิทยาลัยอะไรพวกนั้น เขารู้ว่าคุณน้าคุณอาเก็บข้าวของของลูกตัวเองไว้เป็นอย่างดี

ทว่าเขาเองก็เป็นกังวลกลัวว่าการที่จู่ๆ ตัวเองก็โผล่ไปเยี่ยมแบบนั้นอาจสร้างผลกระทบต่อชีวิตของอีกฝ่าย ตลอดสองสามปีมานี้กว่าที่คุณน้าคุณอาทั้งสองจะยอมรับความจริงเรื่องที่ลูกของตัวเองหายสาบสูญไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย วันเวลาเพิ่งสงบนิ่งได้ไม่นาน เขากลัวว่าการปรากฏตัวของเขาอาจก่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาอีก กลัวว่าการที่ตัวเองไปขอข้าวของของซือฟางเจ๋ออาจทำให้อีกฝ่ายคิดมาก

คนเป็นพ่อเป็นแม่ล้วนมีความรู้สึกฉับไว ถ้าพวกเขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ความหวังย่อมลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วหากเขาไม่อาจหาตัวซือฟางเจ๋อกลับมาได้ การที่ต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจซ้ำสองจะส่งผลต่อคนทั้งคู่แบบไหน เจิ้งลั่วจู๋ไม่กล้าแม้แต่จะคิด

หลังจากครุ่นคิดไปมาสุดท้ายเขาก็หยิบเอาข้าวของของซือฟางเจ๋อที่ตัวเองมีอยู่เพียงชิ้นเดียวนั่นกลับมา

คาดว่าจนถึงตอนนี้ซือฟางเจ๋อก็คงไม่รู้ว่าตอนนั้นทำไมตัวเองรื้อกระเป๋านักเรียนหาแทบตาย แต่ก็หาสมุดการบ้านเล่มนี้ไม่พบ

ถูกแล้ว เขาเป็นคนซ่อนมันเอาไว้เอง เรื่องนี้มันก็แค่แผนการชั่วร้ายไร้เดียงสาของพวกเด็กๆ เท่านั้น เขาก็แค่อยากรู้ว่าเมื่อไม่มีการบ้านส่ง ซือฟางเจ๋อเด็กดีของคุณครูจะถูกตำหนิอะไรบ้างหรือเปล่า

สุดท้ายคุณครูต่อว่าซือฟางเจ๋อหรือเปล่าเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าสมุดการบ้านเล่มนี้เขาไม่เคยมีโอกาสได้คืนอีกฝ่าย

นานมากแล้วจริงๆ อีกอย่างหลังจากนั้นมันยังอยู่ในมือนายมาโดยตลอด ฉันเองก็ไม่กล้ารับรองว่าเงาร่างหมาป่าจะสามารถแยกแยะแกะรอยได้สำเร็จหรือเปล่า น้ำเสียงของถังหลิ่นลากเจิ้งลั่วจู๋กลับจากภวังค์ เอาเป็นว่าฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถก็แล้วกัน

เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้าหนักแน่น ขอบคุณครับหัวหน้า

ถังหลิ่นรวบรวมสมาธิ ใจจดจ่ออยู่กับสมุดการบ้านเล่มนั้น เขาหลับตาและค่อยๆ เชื่อมต่อเข้ากับ เงาร่างหมาป่าแกะรอย II

นี่เป็นต้นไอเทมระดับสี่ที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ สองวันนี้เขาเคยลองใช้มันกับข้าวของของหนานเกอและฟั่นเพ่ยหยาง มันสามารถล็อกเป้าหมายได้เร็วกว่าและแม่นยำกว่า เงาร่างหมาป่าแกะรอย

บรรยากาศภายในห้องรับแขกเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ

เจิ้งลั่วจู๋พยายามควบคุมลมหายใจของตนเอง เพราะกลัวว่ามันจะไปรบกวนถังหลิ่น ทว่าใจที่เต้นราวกับกลองรัวของเขากลับดังมากขึ้นทุกที

หมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันรวมตัวกันและเผยให้เห็นโครงร่างของหมาป่าอยู่ตรงหน้าถังหลิ่น

หลังจากนั้นจู่ๆ เงาร่างหมาป่าก็พุ่งไปที่ประตูห้อง ครั้นเจอบานประตูกั้นขวาง มันก็กลายร่างเป็นหมอกดำมุดลอดผ่านช่องว่างออกไปอย่างรวดเร็ว

เจิ้งลั่วจู๋ตื่นเต้นจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แต่ขณะเดียวกันก็กลัวจะดีใจเก้อ จึงเอ่ยปากถามด้วยความกระวนกระวายว่า หา…หาพบแล้ว?!

ถังหลิ่นลืมตา ไม่ได้ตอบ ทำเพียงหันหลังวิ่งไล่ตามไป

เจิ้งลั่วจู๋เองก็รีบตามไปติดๆ

ครั้นเปิดประตูห้องพวกเขาก็พบว่าเงาร่างหมาป่ากำลังยืนอยู่นอกประตูคล้ายกำลังรอพวกเขา

ทันทีที่เห็นถังหลิ่นออกมา เงาร่างหมาป่าก็กระโจนผ่านราวกั้น กลายร่างเป็นหมอกดำและค่อยๆ ลอยจากชั้นเก้าลงไปยังโถงใหญ่บริเวณชั้นหนึ่ง

เจิ้งลั่วจู๋เองก็คิดจะกระโจนผ่านราวกั้นไปเช่นกัน

โชคดีที่ถังหลิ่นมือไวตาไว คว้าคอเสื้อทางด้านหลังของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน นายคิดว่าตัวเองเหาะเหินเดินอากาศได้หรือไง ขึ้นลิฟต์

เวลาดึกลิฟต์ไม่มีคนใช้ ไม่นานมันก็ส่งพวกเขาลงไปถึงชั้นหนึ่ง

พอเดินออกจากลิฟต์พวกเขาก็มองเห็นเงาร่างหมาป่า มันดีอกดีใจวิ่งตรงไปยังอีกด้านของโถงใหญ่รวดเร็ว หากพวกเขาช้าอีกเพียงนิดเดียว มันคงหายลับไปจากสายตาแล้ว

ถังหลิ่นกับเจิ้งลั่วจู๋วิ่งไล่ตามเงาร่างหมาป่าตัดผ่านโถงใหญ่มาถึงหน้าประตูกระจกที่อยู่ปลายสุดของอีกฟาก

ประตูบานดังกล่าวเป็นประตูทรงโค้งสูงใหญ่ ดูไม่ต่างอะไรกับประตูทางเข้าสวนดอกไม้ของปราสาท

ทว่าที่อยู่ทางด้านนอกไม่ใช่สวนดอกไม้แต่เป็นด่าน 4/10

เงาร่างหมาป่าแกะรอย พาพวกเขามาถึงยังประตูทางเข้าด่าน 4/10

ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นคือคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเหอลวี่

เหอลวี่นึกไม่ถึงว่าดึกขนาดนี้แล้วยังจะมีคนพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นที่หน้าประตูด่านแบบนี้ เขามองดูคนสองคนกับหมาป่าตัวหนึ่งด้วยสายตางุนงงพลางถาม พวกนาย…

หน้าประตูด่านก็ดี เหอลวี่ก็ช่าง เงาร่างหมาป่าไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มันรู้แต่ว่าต้องสะกดรอย ทว่าประตูกระจกขวางมันไว้ ไม่ว่ามันจะกลายร่างเป็นหมอกดำเพื่อหาช่องว่างหรือกลายร่างเป็นเงาร่างหมาป่าพุ่งกระแทกเข้าใส่ ประตูกระจกก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นมันจึงยิ่งออกอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องออกมาคล้ายน้อยอกน้อยใจ

ถังหลิ่นรีบเข้าไปลูบหัวมัน

เงาร่างหมาป่าถือโอกาสประจบ ถูไถเข้ากับอ้อมอกของถังหลิ่น ไม่ไปไหนอีก

เหอลวี่มองดูภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า จู่ๆ เขาก็รู้สึกอิจฉา บางทีอาจเพราะคืนค่ำเงียบสงัดทำคนซาบซึ้งได้ง่าย เขาครุ่นคิดจริงจังว่าหลังจากเข้าไปในด่าน 4/10 หรือดินแดนด้านนอกนั่นแล้ว เขาจะดูซิว่าจะพอหาแมวป่าอะไรจำพวกนั้นได้บ้างหรือเปล่า ถึงตอนนั้นเขาจะใช้ปลาตากแห้งล่อมันมาเลี้ยงสักตัว

พวกเรากำลังตามหาคน เห็นถังหลิ่นไม่มีทีท่าจะตอบเหอลวี่แบบนั้น เจิ้งลั่วจู๋ก็รู้ว่าหัวหน้ากลุ่มของตัวเองไม่อยากเล่าเรื่องส่วนตัวของเขาให้คนอื่นฟัง ทว่าแค่บอกว่าหาคนมีอะไรที่จะพูดไม่ได้ ใช่ว่าต้องบอกเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้อีกฝ่ายรู้เสียหน่อย

หาคน?

เหอลวี่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ถามไถ่อะไร เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของชาวบ้านไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา

จู๋จื่อ ในเมื่อสมาชิกกลุ่มของตัวเองไม่รังเกียจ ถังหลิ่นจึงพูดออกมาตรงๆ ถ้าสมุดการบ้านเล่มนั้นคนที่เคยครอบครองมีก็แค่นายกับเขา เช่นนั้นเป้าหมายที่เงาร่างหมาป่าเล็งไว้ย่อมต้องเป็นเขา ไม่มีทางผิดพลาดแน่ เพียงแต่ตอนนี้อีกฝ่ายอยู่นอกเขตรวมพล

หัวใจของเจิ้งลั่วจู๋เต้นรัวจนแทบกระเด็นกระดอนออกจากปาก น้ำเสียงสั่นสะท้านแผ่วเบาอย่างไม่อาจควบคุม ด่าน 4/10 งั้นเหรอ…

ถังหลิ่นไม่อยากสาดน้ำเย็น* ใส่อีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงพูดออกมาตามตรง ด้านนอกอาจไม่ได้มีเพียงด่าน 4/10 ฉันรู้สึกว่าแผนที่ในโน้ตย่อนั่นยังไม่ได้เผยออกมาทั้งหมด มีความเป็นไปได้ว่าคำว่านอกเขตรวมพลอาจหมายถึงด่านทั้งหมดหลังจากนี้

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง หากพิจารณาดูจากท่าทีของเงาร่างหมาป่าก็คงบอกได้เพียงว่าซือฟางเจ๋อในเวลานี้อยู่ในด่านที่อยู่หลังจากด่าน 3/10

หรือบางทีเขาอาจอยู่ที่ด่าน 4/10 เจิ้งลั่วจู๋สองตาเป็นประกายราวกับว่าทันทีที่พุ่งทะลุผ่านประตูกระจกออกไปก็จะสามารถพบเจอสหายเก่าได้

ถังหลิ่นตัดการเชื่อมต่อกับต้นไอเทม ให้เงาร่างหมาป่าหายลับไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าเจิ้งลั่วจู๋ ไม่ให้เขามองออกไปด้านนอก จู๋จื่อ เรื่องบางเรื่องหากนายเอาแต่คิดถึงมันในแง่ดี ผลลัพธ์ที่ได้ส่วนใหญ่มักเป็นความผิดหวัง ในทางตรงข้ามถ้านายคิดถึงมันในแง่ที่เลวร้าย มันมักนำมาซึ่งความประหลาดใจ

ซือฟางเจ๋ออยู่ในที่ที่เขาควรอยู่ ไม่ใกล้และก็ไม่ไกล

ถังหลิ่นหวังว่าเส้นทางที่เจิ้งลั่วจู๋กำลังมุ่งหน้าไปเพื่อตามหาเพื่อนนี้จะไม่ขาดแคลนความหวังและไม่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

หัวหน้า คำพูดของคุณผมเข้าใจ เจิ้งลั่วจู๋เอ่ยปากอย่างยากลำบาก ราวกับกำลังต่อต้านความรู้สึกวาดหวังที่ขยายตัวไม่หยุดเอาไว้ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ แต่ผมทำไม่ได้

ถังหลิ่นตบไหล่เอ็นดูอีกฝ่าย เขาไม่เอ่ยปากกล่าววาจาเตือนสติอะไรอีก

เก็บไว้ให้ดี ถังหลิ่นส่งสมุดการบ้านคืนให้เจิ้งลั่วจู๋

เจิ้งลั่วจู๋ยังคงจมอยู่ท่ามกลางความรู้สึกหวั่นไหว หลังจากนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็ยื่นมือออกไปรับ

เหอลวี่กระอักกระอ่วนอยู่นิดๆ จะไปก็ไม่ใช่ จะไม่ไปก็ไม่ถูก หลังจากทุกอย่างจบลงไปได้ครู่หนึ่งเขาก็สบโอกาสเอ่ยปาก งั้นฉันขอตัวก่อน เชิญพวกนายตามสบาย

ทว่าเขาหันหลังไปได้ไม่ทันไร จู่ๆ ถังหลิ่นก็เอ่ยปากเรียกชื่อเขา หัวหน้าเหอ รอก่อน

เหอลวี่หันกลับไปมองอีกฝ่าย สายตาสับสนงุนงง

ถังหลิ่นยิ้มและเอ่ยทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ ตั้งแต่เข้าเขตรวมพลมา ผมยังไม่ได้พูดคุยทักทายคุณอย่างเป็นทางการเลย

เหอลวี่ส่ายหน้าบอก นับแต่นครใต้พิภพพวกเราแต่ละกลุ่มต่างฝ่าด่านทำเควสต์มาตลอด มีทั้งร่วมมือกัน ทั้งต่อสู้กัน ความสัมพันธ์แบบนี้ ทักไม่ทักมันก็แค่รูปแบบอย่างหนึ่งเท่านั้น ทันทีที่พวกนายเข้าเขตรวมพลมา ฉันก็รู้แล้ว

ถังหลิ่นยกยิ้มอีกครั้ง ถึงจะเป็นความตรงไปตรงมาเหมือนกัน ทว่าความตรงไปตรงมาของเพนกลับทำให้คนตระหนักได้ถึงความรีบเร่งที่ต้องการจะยุติทุกอย่างลงให้เร็วที่สุด ส่วนความตรงไปตรงมาของไป๋ลู่เสียทำให้คนรับรู้ได้อยู่ลึกๆ ว่าอะไรเรียกว่าการเอาแต่ใจตัว จะมีก็แต่เหอลวี่เท่านั้นที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกจากปากเขาล้วนเป็นเรื่องจริง จนแทบเรียกได้ว่าไม่มีอะไรปิดบัง แต่ที่น่าแปลกก็คือมันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกถึงท่าทีแข็งกร้าวมุ่งร้ายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจกว้างก็เท่านั้น

อีกฝ่ายเป็นเช่นไรถังหลิ่นก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่พูดอ้อมค้อมอีกต่อไป พวกเราสามสิบคนเข้าไปเอาชีวิตรอดอยู่บนเกาะร้าง สุดท้ายก็เอาชีวิตรอดมาได้ยี่สิบเก้าคน นับว่าไม่ง่ายเลย

คนที่ผ่านด่านเข้ามาได้ทุกคนต่างนึกอยากรู้ว่ายังมีใครอีกที่ทำเควสต์ฝ่าด่านได้สำเร็จ ดังนั้นเหอลวี่จึงไม่นึกแปลกใจกับข่าวที่ถังหลิ่นได้รับมานี้

เขายิ่งอยากรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่ถังหลิ่นรั้งตัวเขาไว้ ด้วยเหตุนี้เหอลวี่จึงถามออกมาตรงๆ ว่า นายอยากรู้อะไรก็ถามมา ถ้าตอบได้ฉันจะบอกแน่ แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องขอโทษด้วย

ถังหลิ่นเอียงคอครุ่นคิดว่าตัวเองอยากถามอะไร เขาตัดสินใจช่วยเหอลวี่ชั่งน้ำหนักก่อน เรื่องนี้น่าจะพอ…

เหอลวี่นึกขำ เขาพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ว่ามาเถอะ

ถังหลิ่น ผมได้ยินว่าตอนอยู่บนเกาะร้าง คุณกับไป๋ลู่เสียถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกัน

เหอลวี่นึกไม่ถึงว่าถังหลิ่นจะถามเรื่องนี้ แต่เพราะเรื่องนี้อยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถตอบได้ ดังนั้นเขาจึงตอบมันออกมาตามตรง ใช่

ถังหลิ่นถาม งั้นพวกคุณผ่านด่านมาได้ยังไง เขาไม่แย่งขนมปังกับพวกคุณเหรอ

เขาได้ยินก็แค่การแบ่งกลุ่ม ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นทั้งหมดยังคงเป็นปริศนา

ด้วยนิสัยของไป๋ลู่เสีย ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่ลงมือแย่ง แต่หากเขาทำแบบนั้น บนเกาะย่อมเกิดความขัดแย้งบาดหมาง การที่พวกเขาหกคนผ่านด่านมาได้ด้วยกันทั้งหมดออกจะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเกินไปหน่อย

วันแรกเขาคิดแย่งขนมปังไปจริงๆ เหอลวี่ไม่เข้าใจว่าถังหลิ่นถามเรื่องนี้เพื่ออะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงตอบออกไปตามจริง ฉันห้ามเขาไว้

ถังหลิ่น หลังจากนั้นล่ะ

เหอลวี่ จากนั้นฉันก็คุยเหตุผลกับเขา ให้เขาเข้าใจว่าในเมื่อเลือกที่จะร่วมมือกับทุกคน แบบนั้นก็ต้องมีจิตสำนึกและตระหนักรู้ถึงคำว่าพรรคพวก…

เดี๋ยวก่อน ถังหลิ่นนึกสงสัยว่าตัวเองอาจหูฝาดไป เขาเลือกที่จะ…ร่วมมือ…กับพวกคุณ?

อืม จะว่ากันให้ถูกก็ต้องบอกว่าเขาไม่ได้เลือก แต่เป็นฉันที่เชิญเขาให้เข้ามาร่วมกลุ่ม เหอลวี่บอก

ทันทีที่คุณเอ่ยปากเชิญ เขาก็เห็นพ้องด้วย? ถังหลิ่นนึกสงสัยว่าพวกเขากำลังพูดถึงไป๋ลู่เสียคนเดียวกันหรือเปล่า

จะเป็นไปได้ยังไง เหอลวี่พูดตามจริง ตอนแรกเขาปฏิเสธ ต่อมา…

เจิ้งลั่วจู๋มองดูด้วยสายตางุนงง ทำไมหัวหน้ากลุ่มต้องขวางเหอลวี่ที่บังเอิญพบเจอกัน แล้วจุดเทียนเสวนากับอีกฝ่ายในยามค่ำคืนแบบนี้ด้วย

ในใจของเขายังคงคิดเรื่องตามหาซือฟางเจ๋อ ดังนั้นสองคนพูดอะไร เขาล้วนฟังไม่เข้าหู เห็นก็แต่หัวหน้ากลุ่มของตัวเองสมาธิมุ่งมั่นคล้ายกำลังฟังปรมาจารย์สอนสั่ง

 

เช้าวันรุ่งขึ้นถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง เจิ้งลั่วจู๋ หนานเกอ และฉงเยวี่ยก็รวมตัวอยู่ด้วยกัน คนทั้งห้าร่วมกันแบ่งปันข่าวสารที่ได้มา พร้อมถือโอกาสปรับแผนการขั้นต่อไป

หลังจากพูดคุยกันที่ห้องฝึกซ้อมในวันนั้นฟั่นเพ่ยหยางก็เคลื่อนไหวตามอิสระ ถังหลิ่นเองก็ไม่ได้สนใจเขา บอกเพียงว่าหากจะไปจากเขตรวมพล อีกฝ่ายต้องรายงานให้เขารู้

ระหว่างนั้นฟั่นเพ่ยหยางรายงานเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนกลับไปยังนครใต้พิภพ ทว่าหลังจากกลับมาฟั่นเพ่ยหยางก็ไม่ได้รีบมารายงานสถานการณ์อะไรกับเขา ถังหลิ่นเชื่อว่าครั้งนี้อีกฝ่ายคงไม่ได้ไอเทมเวทที่มีค่าให้ทดลองอะไรกลับมา

ตอนพบเจอประธานฟั่นอีกครั้ง ความกดอากาศรอบตัวเขาลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าร้างไร้ความรู้สึกชัดแจ้งชวนให้คนรู้สึกแผ่นฟ้าผืนปฐพีเย็นเยียบ

ฉงเยวี่ยเปิดตัวในฐานะสมาชิกใหม่ของกลุ่มเป็นครั้งแรก หลังเอ่ยปากทักทายกับประธานฟั่นเสร็จ ความรู้สึกกระตือรือร้นเต็มเปี่ยมของเขาก็จางหายไปจนสิ้น ตอนหนานเกอกับเจิ้งลั่วจู๋มาถึง พวกเขาสองคนก็เห็นแต่เจ้าอ้วนเยวี่ยที่ยืนคอย่นต่ำต้อยสุดๆ

ถังหลิ่นไม่ยอมเสียเวลาไปกับการคลี่คลายบรรยากาศดังกล่าว ประสบการณ์นานปีของการเป็นพาร์ตเนอร์กับประธานฟั่นบอกให้เขารู้ว่าในเวลานี้การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ครั้นทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย เขาก็เอ่ยปากช้าๆ สายตาอ่อนโยนสบายๆ หนานเกอ เล่าข่าวที่คุณรวบรวมมาได้ตลอดสองสามวันนี้ก่อน

คนทั้งสามต่างมองไปทางถังหลิ่นพร้อมกัน รู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิย้อนกลับมาอีกครั้งแล้ว สายลมอบอุ่น ดอกไม้ผลิบาน

หนานเกอกระแอมออกมาคำหนึ่งก่อนจะบอกเล่าออกมาตามลำดับอย่างชัดแจ้ง ข่าวสารที่พอมีค่ามีอยู่ด้วยกันสามเรื่อง หนึ่งคือพวกเราสามารถรับภารกิจได้ที่ช็อปปิ้งอาร์เคดเหมือนตอนอยู่ในโลกใต้บาดาล เมื่อภารกิจสำเร็จจะได้ค่าประสบการณ์กับไอเทมใช้ครั้งเดียวมา ว่ากันว่าหลังจากเข้าไปในด่าน 4/10 จะไม่มีภารกิจอะไรพวกนี้อีก นั่นก็หมายความว่าหลังจากนี้โอกาสที่จะได้ไอเทมแบบใช้ครั้งเดียวนั้นมีน้อยลงทุกที ด่านบางด่านอาจถึงขั้นไม่มีเลย ดังนั้นต้นไอเทมจึงกลายเป็นความสามารถในการต่อสู้เพียงหนึ่งเดียวที่พวกเราพอจะพึ่งพาได้ ด้วยเหตุนี้การขุดค้นฝึกฝนต้นไอเทมจึงเป็นงานสำคัญอันดับหนึ่ง…

สองคือโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่านนี้น่าจะเป็นการขยับขึ้นบนไปเรื่อยๆ ตอนเข้าไปในนครใต้พิภพพวกเราต่างโดยสารลิฟต์กันอยู่นานใช่ไหม หากใช้ความรู้สึกคำนวณระยะทางแล้วล่ะก็ ตอนนั้นพวกเราก็น่าจะถูกพาตัวลงไปอยู่ก้นทะเล ดังนั้นตอนออกมาจากนครใต้พิภพพวกเราจึงเท่ากับโผล่ออกมาจากก้นทะเล มาถึงโลกใต้บาดาลที่ถูกห้อมล้อมด้วยน้ำทะเล จากนั้นขยับขึ้นมาจากโลกใต้บาดาล โผล่พ้นผิวน้ำมาถึงเกาะร้าง…

เจิ้งลั่วจู๋กระซิบเตือนอีกฝ่าย แต่หลังจากเกาะร้างก็เป็นเขตรวมพล พื้นแผ่นดินกับเกาะร้างนั่นอยู่บนแนวระนาบเดียวกัน

แต่จากแผนที่ที่โน้ตย่อให้พวกเรามา ปลายสุดของพื้นแผ่นดินคือภูเขา จุดผ่านด่าน 4/10 อยู่ที่เชิงเขานั่น หนานเกอบอก

เจิ้งลั่วจู๋จับสายสนกลในได้ หรือว่าด่าน 5/10 จะอยู่บนภูเขาลูกนั้น

นี่ก็คือข่าวสารที่สองที่ฉันอยากจะบอก หนานเกอพูด ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าด่าน 5/10 ต้องเกี่ยวข้องกับภูเขาลูกนั้นแน่ แต่รายละเอียดเป็นยังไงนั้น ไม่มีที่ให้สืบรู้ได้

ไม่มีใครนึกประหลาดใจกับผลลัพธ์ดังกล่าว

ระบบเซียวห้ามไม่ให้คนที่ผ่านด่านไปแล้วเปิดเผยเรื่องราวภายในด่านให้คนที่ยังไม่ผ่านด่านรู้ ดังนั้นไม่ว่าจะเมื่อไหร่เรื่องราวภายในด่านก็ล้วนแต่เป็นความลับ

แล้วข่าวที่สามล่ะ ถังหลิ่นถาม

ข่าวที่สาม หัวหน้า ทางที่ดีคุณต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม หนานเกอหันไปยิ้มขื่นให้กับถังหลิ่น ฮั่วสวี่มาถึงที่นี่เกือบจะสามเดือนแล้ว กลุ่มต่างๆ ภายในเขตรวมพลนี้ล้วนเคยเชิญเขามาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ประสบความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนที่เลิกราต่อกันเพราะถูกปฏิเสธแล้ว กลุ่มอื่นๆ ที่เหลือล้วนประมือกันก่อนจะแยกย้าย บางกลุ่มถึงกับเคยมีเรื่องกันมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

ฟังดูเหมือนเจ้านั่นจะเป็นศัตรูของคนทั้งเขตรวมพล

ฉงเยวี่ย

จะชวนฮั่วสวี่เข้าร่วมกลุ่มด้วยงั้นเหรอ ตอนที่หัวหน้าถังชวนเข้าร่วมกลุ่ม ไม่เห็นจะเล่าให้ฟังว่ามีแผนการอันตรายแบบนี้!

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งมุมปากของถังหลิ่นก็ยกขึ้นน้อยๆ ดังนั้นตอนนี้เขาถึงเป็นดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดในเขตรวมพล ทุกคนต่างรอดูว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไปรวมกลุ่มกับใคร

หนานเกอตะลึง การตีความแบบนี้เหมือนจะต่างจากความตั้งใจเดิมของเธออยู่มากโข

ฟั่นเพ่ยหยางที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรมาโดยตลอดเริ่มเอ่ยปาก ชอบมีเรื่องทะเลาะเป็นลักษณะของนักสู้ ยินดีแสดงต้นไอเทมของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้เห็น ไม่กลัวคนอื่นจะแอบจับตาดูศักยภาพของตัวเองเป็นลักษณะของคนที่มีความมั่นอกมั่นใจ คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่ล้วนดื้อรั้นหัวแข็ง แต่ถ้าสามารถเชิญตัวมาได้ พวกเขาส่วนมากล้วนสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าที่คิดไว้

ที่ฟั่นเพ่ยหยางพูดก็คือสิ่งที่ถังหลิ่นคิด ในแง่ของการปฏิบัติต่อผู้มีความสามารถแล้ว พวกเขาสองคนล้วนเห็นพ้องต้องกันอย่างไม่น่าเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

พวกเราอยากดึงฮั่วสวี่เข้าร่วมกลุ่ม ถังหลิ่นมองไปทางฉงเยวี่ย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาถามความคิดเห็นของสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ คุณคิดว่ายังไง

ฉงเยวี่ยชูมือทั้งสองข้างเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าความคิดใจกล้านี้เยี่ยมมาก

ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และหนานเกอ “…”

เจิ้งลั่วจู๋ เจ้าอ้วนเยวี่ย คำขยายแปลกประหลาดอย่างคำว่า ใจกล้า นั่น ทรยศหัวใจของนายแล้ว

นโยบายของถังหลิ่นแต่ไหนแต่ไรมาก็คือวางแผนรอบคอบ ลงมือรวดเร็ว

ดังนั้นหลังกลั่นกรองแผนการเรื่องรับสมาชิกใหม่อยู่กับสมาชิกกลุ่มของตนเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบจนมั่นใจว่าไม่มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อะไรตกหล่นอีก พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

หลังจากสั่งสมกำลังกันอยู่คืนหนึ่ง เช้าวันที่ห้าของการเข้ามายังเขตรวมพล ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า คนทั้งห้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหมายเลข 8066 ของฮั่วสวี่

หนานเกอยืนอยู่ตำแหน่งเซ็นเตอร์ ตรงกับประตูพอดี รับผิดชอบใช้ ตราตรึงไม่รู้ลืม ยื่นส่งกิ่งมะกอกอันเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพของกลุ่ม VIP ผ่านประตูไปให้อีกฝ่าย

เจิ้งลั่วจู๋นั่งอยู่บนพื้นระหว่างหนานเกอกับประตู ทำหน้าที่เป็น แท่นบอกบท คอยชูกระดาษให้เธอ ที่อยู่บนกระดาษล้วนเป็นข้อความรับสมัครที่ถังหลิ่นเขียนเอาไว้ล่วงหน้า เปี่ยมไปด้วยเหตุผลชวนซาบซึ้ง อีกทั้งยังมีวิธีการรับมือกับปฏิกิริยาตอบสนองต่างๆ นานาของฮั่วสวี่กำกับไว้

ฉงเยวี่ยยืนอยู่ด้านซ้ายของพวกเขาสองคน รับผิดชอบเตรียมใส่ กุญแจหยุดนิ่ง ให้กับ เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย ทันทีที่มันเกิดขึ้น

ถังหลิ่นยืนอยู่ด้านขวาของพวกเขาสองคน ครั้นเห็นทุกคนประจำตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ส่งสายตาบอกให้หนานเกอ เริ่ม ได้

ฟั่นเพ่ยหยางยืนอยู่ด้านหลังสุด ห่างจากประตูกว่าใครเพื่อน พิงอยู่กับราวกั้น ถังหลิ่นไม่ได้มอบหมายหน้าที่อะไรให้กับเขา แต่ในฐานะของคนที่มีมาตรฐานสูงและในฐานะของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เพิ่งได้รับ วินาศกรรมระดับกลาง ประธานฟั่นยังคงแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้กับตัวเอง…ทันทีที่การเจรจาไม่สำเร็จหรืออีกฝ่ายยืนกรานไม่ยอมเปิดประตู เขาจะหาเวลาเหมาะๆ ทำการระเบิดประตูนั่น

 

* สาดน้ำเย็น หมายถึงการพูดจาให้เสียกำลังใจ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: