ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 151
รับสมัครผ่านอากาศ
ในห้องนอนของห้องหมายเลข 8066
บนเตียงขนาดสองเมตรมีคนคนหนึ่งกำลังตะแคงหลับ ผ้าห่มขนห่านอ่อนนุ่มห่อคลุมร่างเขาไว้มิดชิด นอกจากศีรษะที่โผล่ออกมาแล้วก็ไม่มีช่องว่างให้อวัยวะส่วนอื่นโผล่ลอดออกมาได้ ดูไม่ต่างอะไรกับดักแด้
แสงสว่างถูกม่านหนาๆ บังไว้ โลกภายนอกยามนี้ถูกอาบไล้อยู่ภายใต้แสงตะวันอบอุ่น แต่ที่นี่กลับยังคงมืดมิดไม่ต่างอะไรกับราตรีที่เงียบสงัด
ฮั่วสวี่หายใจแผ่วเบา เบาจนไม่เหมือนกำลังหลับใหล หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆ ตรงกันข้ามกลับท่านอนสุขสงบนั่น คล้ายร่างกายผ่อนคลายทว่าจิตใจกลับระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
เขาเป็นคนประเภทหลับตื้น
ตื้นจนแทบไม่รู้จักฝัน อาจมีบ้างบางคราวแต่เพียงไม่นานก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นความฝัน หลังจากนั้นก็จะบังคับตัวเองให้ตื่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยมีเศษเสี้ยวของความฝันใดๆ อยู่ในความทรงจำของเขาเลย ต่อให้หลังจากฝืนปลุกตัวเองให้ตื่นจะยังคงจำมันได้กระจ่างชัด แต่ไม่นานเขาก็โยนมันทิ้งออกจากหัวสมอง
ไม่ว่าจะฝันงดงามขนาดไหนก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ ฮั่วสวี่ปฏิเสธเรื่องราวไร้สาระเหล่านี้ตามสัญชาตญาณ
แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน
วันนี้ความฝันของเขาไม่มีภาพ มีแต่เสียง
เป็นท่วงทำนองแปลกหู เป็นเสียงฮัมแผ่วเบานุ่มนวลของผู้หญิงที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย คล้ายธารน้ำไหลเอื่อยใต้แสงจันทร์สีเงินยวง
เป็นเพลงกล่อมเด็ก
แม้ฮั่วสวี่จะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่านั่นคือเพลงกล่อมเด็ก เพราะเมื่อนานมาแล้วเคยมีคนฮัมบทเพลงแบบนี้อีกเพลงให้เขาฟังมาก่อน ท่วงทำนองแม้จะต่างกันออกไป แต่กลับอบอุ่นอ่อนโยนเฉกเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเขาจึงทำลายกฎเกณฑ์เดิม
ทั้งๆ ที่รู้ว่าฝัน แต่เขากลับดื้อแพ่งไม่ยอมตื่น
ท่วงทำนองผ่อนคลาย
ฮั่วสวี่หลับตาขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแน่น รอการมาถึงของทำนองท่อนถัดไปอย่างว่าง่าย
ทว่าเสียงที่ดังขึ้นมากลับไม่ใช่ท่วงทำนอง แต่เป็นเสียงพูด ถึงจะยังคงเป็นหญิงสาวคนเดิม แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้
“หัวหน้า ยังต้องให้ ‘บริการเวกอัพคอลล์ด้วยเสียงธรรมชาติ’ ต่อหรือเปล่า…ฉันฮัมจนตัวเองก็เริ่มง่วงแล้ว คุณมั่นใจเหรอว่าทำแบบนี้จะสามารถปลุกเขาได้”
ถามใคร หัวหน้าอะไร
ฮั่วสวี่งุนงงไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง
“ได้ งั้นฉันจะแสดงความสามารถตามอำเภอใจล่ะนะ…”
แสดงความสามารถตามอำเภอใจ?
“ฮั่วสวี่…ฮั่ว…สวี่…ฮั่วๆๆๆ…สวี่ๆๆๆ…”
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจังหวะ ‘ดักแด้’ ก็กระโดดผลุงขึ้นมายืนตัวตรงอยู่บนเตียง
ผ้าห่มหล่นอยู่ที่ข้างเท้า ที่เผยให้เห็นกลับไม่ใช่ชุดนอนหรือท่อนอกเปลือยเปล่า หากแต่เป็นเสื้อผ้าครบชุด
ฮั่วสวี่นอนพร้อมกับเสื้อนอก แม้แต่ผ้าพันแผลที่อยู่บนแขนก็ยังคงพันรัดไว้เหมือนปกติ
เขาหรี่ตากวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ไม่มีทีท่าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนไม่ใช่เตียงอ่อนนุ่ม แต่เป็นทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยอันตราย มีสิ่งผิดปกติแฝงอยู่ คนที่นอนอยู่จำต้องตื่นตัวระแวดระวังศัตรูอยู่ตลอดเวลา
ทว่าศัตรูไม่ได้อยู่ในห้อง กลับอยู่ในหูของเขา
“ฮั่วสวี่…”
ไร้รูปไม่มีร่าง เป็นภูตผีปีศาจ
“ใคร! โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้…” เมื่อการกวาดตามองไปรอบๆ ไม่ได้ผล ฮั่วสวี่จึงตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
เขาตวาดออกมาเต็มแรง น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยกำลังดังทะลุบานประตูออกมา ก้องไปทั่วระเบียงทางเดินชั้นแปด
หนานเกอที่ยืนอยู่หน้าประตูตกใจ แต่เป็นการตกใจในแง่ดี เธอหันมองไปทางหัวหน้าทันที
‘บริการเวกอัพคอลล์’ นี้ได้ผลเร็วกว่าที่ถังหลิ่นคิดไว้ เพราะรู้สึกพึงพอใจกับความสำเร็จดังกล่าวมาก เขาจึงรีบส่งสายตายืนกรานให้กับหนานเกออีกคราว
หนานเกอรับทราบ รีบดำเนินการขั้นสองต่อ ลงมือ ‘สยบเป้าหมาย’ เพื่อจะได้เริ่มต้นการพูดคุยตกลงเงื่อนไขกันได้อย่างราบรื่น
“สวัสดีฮั่วสวี่” หนานเกอทำตัวไม่ต่างอะไรกับพี่สาวที่รู้ใจ น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสามารถปลอบประโลมสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ “ฉันชื่อหนานเกอ ตอนนี้กำลังคุยกับนายผ่านต้นไอเทม ‘ตราตรึงไม่รู้ลืม’…”
ทักทายเรียบร้อย แนะนำตัวเสร็จสิ้น สถานการณ์เห็นได้ชัดว่าเป็นไปได้ด้วยดี
ทางฮั่วสวี่ถูกสยบแล้วหรือเปล่าไม่มีใครรู้ชัด แต่หากมองดูโดยรอบทั่วทั้งชั้นแปดยามนี้มีประตูหลายบานถูกผลักเปิดแล้ว ทั้งหมดล้วนเพราะถูกเสียงตวาดของฮั่วสวี่ทำสะดุ้งตกใจ ชะโงกหน้าออกมาหมายดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น
นึกไม่ถึงว่าแทนที่จะเห็นตัวการ พวกเขากลับมองเห็นผู้ต้องสงสัยห้าคนยืนอยู่หน้าประตูห้องของฮั่วสวี่ ซ้ำหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้หญิง บอกเล่าพูดจาอะไรบางอย่างอยู่กับบานประตูด้วยท่าทีละมุนละไม
คนเหล่านั้นมองหน้ากันไปมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
คนพวกนั้นมาถึงหน้าประตูเพื่อสารภาพความในใจกับฮั่วสวี่?
“เชื่อฉัน ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย…”
เมื่อบรรดาเจ้าของห้องบนชั้นแปดเริ่มสมาธิจดจ่อ ระเบียงทางเดินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบสงัด เสียงของหนานเกอชัดขึ้นทีละน้อย
“ตอนนี้ฉันกำลังพูดคุยกับนายอยู่ในห้องของตัวเอง…”
คนที่มุงดูอยู่รายรอบ “…”
ปากของผู้หญิง ยิ่งกว่าผีหลอกคน
ประตูห้องต่างๆ ทยอยเปิดออกเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดล้วนเกิดจากเสียงของฮั่วสวี่เป็นเหตุ นอกจากชั้นแปดแล้วยังมีชั้นเจ็ดกับชั้นเก้าอีกด้วย พวกเขาถ้าไม่หมอบอยู่กับราวกั้นมองลงมาก็เท้าอยู่กับราวกั้นมองขึ้นไป
เมื่อวานตอนที่สมาชิกกลุ่ม VIP กลั่นกรองแผนการกัน พวกเขาก็คาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องมีคนห้อมล้อมมุงดูแน่ ดีไม่ดีอาจมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไรบางอย่างตามมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกสะท้านสะเทือนอะไรกับปฏิกิริยาของคนพวกนั้น
หนานเกอปฏิบัติตามแผนการได้อย่างน่าประทับใจ บางครั้งเวลา ‘แท่นบอกบท’ ทำงานช้าเกินไป เธอถึงกับเลื่อนเปลี่ยนหน้าเอง “ฉันเป็นสมาชิกกลุ่ม VIP สมาชิกกลุ่มรวมฉันแล้วมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน ตอนนี้ฉันอยากเชิญนายเข้ามาเป็นสมาชิกคนที่หกของพวกเรา…”
ที่แท้ก็รับสมัครสมาชิก
บรรดาเจ้าของห้องบนชั้นแปดต่างส่งสายตาให้แก่กัน จุดเทียนให้กับหน่วยกล้าตายกลุ่มนี้อย่างพร้อมเพรียง
ส่วนคนที่อยู่บนชั้นเจ็ดกับชั้นเก้าถึงจะไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดถนัดตา ทว่ากลับวิพากษ์วิจารณ์ชาวบ้านได้สะดวกสบายสุดๆ ไม่จำเป็นต้องสนใจคู่กรณี
“กลุ่ม VIP คือใครน่ะ?”
“เป็นพวกหน้าใหม่ เพิ่งผ่านการเอาชีวิตบนเกาะร้างมาได้ไม่นาน”
“มีสมาชิกแค่ห้าคนแต่กลับเรียกตัวเองว่ากลุ่ม?”
“คนถึงจะน้อย แต่ใจกล้าอย่างเหลือเชื่อ มาถึงไม่ทันไรก็เล็งเป้าไปที่เจ้านั่นแล้ว”
“ฉันใจดำไปหน่อยหรือเปล่านะ ถึงได้นึกอยากเห็นคนพวกนี้ถูกฮั่วสวี่เล่นงานไวๆ…”
“ฉันยิ่งกว่านายอีก ฉันอยากเห็นเจ้าเด็กแซ่ฮั่วนั่นถูกชาวบ้านเล่นงาน…”
“ไม่อะ ของนายไม่เรียกว่าใจดำ เขาเรียกว่าผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ต่างหาก”
มีคนห้อมล้อมมุงดูกลุ่ม VIP ทั้งยังมีคนนั่งอยู่ในห้องมองดูฮั่วสวี่ที่อยู่บนหน้าจอ
ในเวลานี้ชายหนุ่มที่พันผ้าพันแผลไว้บนแขนกำลังนั่งอยู่บนพื้นกลางห้องรับแขก บรรยากาศรอบตัวไม่ต่างอะไรกับตอนพายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะปะทุ ชวนให้คนรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายพร้อมจะกระโดดขึ้นใช้คลื่นลูกยักษ์สาดซัดทำลายทุกสิ่งอย่าง
แต่หลังจากรอแล้วรอเล่าฮั่วสวี่ก็ยังคงไม่ทำอะไร เขาเพียงนั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่ตรงนั้น
สายตาของเขาแลดูโหดเหี้ยม แต่ถึงอย่างนั้นก็คล้ายยังมีสิ่งอื่นแอบแฝงอยู่
คนที่มุงดูเหตุการณ์ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจ รู้สึกแค่ว่าอีกฝ่ายแขนขาล้วนมีการพัฒนายกเว้นก็แต่สมองเท่านั้นที่เรียบง่าย ชาวบ้านแค่บอกว่า ‘ฉันอยู่ในห้องของตัวเอง’ เขาก็ไม่คิดจะออกมาพิสูจน์
ถังหลิ่นเองก็นึกไม่ถึง หนานเกอมาถึงขั้นตอน ‘แจ้งเงื่อนไขอย่างเป็นทางการ’ แล้ว หลังประตูยังคงสงบนิ่งแบบนี้ เมื่อวานตอนเขาอนุมานเหตุการณ์ เดิมเขาคิดว่าหลังจากถูกปลุกให้ตื่นฮั่วสวี่จะพุ่งออกมาตามหาตัวศัตรู ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะอยู่นอกประตูหรืออยู่ในห้องของตัวเองเสียอีก
มีแต่ฮั่วสวี่เท่านั้นที่รู้ดีว่าการที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะไว้หน้าเพลงกล่อมเด็กนั่น
กลุ่มบัดซบที่รบกวนการนอนของชาวบ้านต่อให้ถูกน้ำท่วมพัดหายไปสักหมื่นครั้งก็ไม่มีอะไรให้น่าเสียดาย ทว่าเสียงฮัมเปิดโรงนั่นกลับบังเอิญเล่นงานถูกจุดอ่อนเขาได้พอดิบพอดี
ฮั่วสวี่ถึงกับหวังว่าหลังจากพูดเรื่องเหลวไหลพวกนั้นจบ เสียงผู้หญิงที่ดังอยู่ในหูเขาจะกลับไปฮัมเพลงกล่อมเด็กก่อนหน้านี้อีกครั้ง เพียงแต่ต้นไอเทม ‘ตราตรึงไม่รู้ลืม’ พิลึกพิลั่นนี้เหมือนจะสื่อสารได้ฝ่ายเดียว
ไม่เป็นไร ต่อให้สามารถสื่อสารได้สองฝ่าย เขาก็ไม่มีทางเอ่ยปากขอร้องอะไรแบบนั้น
โง่เป็นบ้า
“ฉันจะถือเสียว่านายยินดีที่จะฟังฉันพูดก็แล้วกัน ต่อไปฉันจะเริ่มอธิบายถึงเหตุผลที่ ‘นายจำเป็นต้องเข้าร่วมกลุ่ม’ อย่างเป็นทางการล่ะนะ”
จำเป็น?
ฮั่วสวี่หางตายกสูง หึๆ
เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่เขาพอจะนึกขึ้นได้คือความสามารถของเขาสูงเกินไป จำเป็นต้องอุทิศตนช่วยดึงความสามารถของพวกงี่เง่าทั้งหลายให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกัน
“ข้อแรก นายอยากเข้าด่าน 4/10 ถ้านายไม่ต้องการ นายย่อมไม่จำเป็นต้องฝึกฝนตัวเองหนักขนาดนั้นทุกวัน ถ้านายไม่ต้องการ นายก็น่าจะเลือกทำภารกิจเพิ่มพูนค่าประสบการณ์ เพื่อจะได้ยืดระยะเวลาพักอาศัยอยู่ที่นี่…
ในเมื่ออยากเข้าไป จะเร็วจะช้ายังไงก็ต้องเข้า ทำไมถึงต้องรอให้ค่าประสบการณ์หมดแล้วถูกบังคับให้เข้าไปในด่านลำพังคนเดียวด้วย”
ฮั่วสวี่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาเอ่ยปากแย้ง “เธอว่าใครลำ…”
คำพูดหลุดออกจากปากไปได้ครึ่งเดียว เขาถึงนึกขึ้นได้ว่าพูดคุยกับอากาศจะมีประโยชน์อะไร
นึกไม่ถึงว่าเสียงที่ดังก้องอยู่ในหูนั้นจะเหมือนได้ยินคำพูดของเขา อีกฝ่ายเอ่ยแก้ไข
“หัวหน้าของฉันบอกว่าห้ามใช้คำว่าลำพังตัวคนเดียว ความสามารถในการต่อสู้ของนายสูง ต้องใช้คำว่าบุกเดี่ยว…”
หรือว่าเธอจะอยู่ในห้องจริงๆ และกำลังมองดูเขาผ่านทางหน้าจอ?
แล้วหัวหน้าที่ว่าคือใคร ตอนนี้อยู่ข้างๆ เธอหรือเปล่า
“ไหนๆ ก็พูดถึงหัวหน้าแล้ว งั้นฉันขอแนะนำสมาชิกกลุ่ม VIP ของพวกเราให้นายรู้จักก่อนก็แล้วกัน ถังหลิ่นคือหัวหน้ากลุ่มของพวกเรา…”
ฮั่วสวี่ “…”
เสียงที่ดังก้องอยู่ในหูทุกครั้งล้วนเชื่อมต่ออยู่กับการเคลื่อนไหวภายในจิตใจของเขาอย่างแนบสนิท เรื่องนี้ทำเอาชายหนุ่มที่พันผ้าพันแผลไว้บนแขนรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด เขาถึงกับรู้สึกว่าบนผนังคล้ายมีดวงตากะพริบวิบวับอยู่เต็มไปหมด
ใบหน้าของเขายับย่นเข้าด้วยกัน หลังผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้น
สองตาของคนที่เฝ้ารอดูเหตุการณ์อยู่ในห้องทั่วทั้งอาคารเป็นประกาย อ่า กำลังจะสู้กันแล้ว!
ฮั่วสวี่เดินออกจากห้องรับแขก ก่อนจะเลี้ยวขวาไปยังห้องฝึกซ้อมที่อยู่ด้านในสุด
บรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน “…”
นายจะเข้าไปหลบอยู่ในห้องฝึกซ้อมทำไม ขนาดนอนหลับนายยังไม่กลัวว่าคนจะจับตามองเลยไม่ใช่หรือไง รีบออกไปหาต้นตอของเสียงสิ ระเบิดต้นไอเทมออกมาเลย!
ท่าทีผิดปกตินี้ของฮั่วสวี่ทำเอาคนที่เดิมนั่งดูเหตุการณ์ผ่านจออยู่ในห้องกว่าครึ่งพากันเปิดประตูเดินไปที่ระเบียงทางเดิน หมายฟังดูว่ากลุ่ม VIP ใช้ถ้อยคำแปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไร ถึงทำให้คนที่แค่แตะถูกก็ระเบิดรายนี้ทนฟังได้จนถึงตอนนี้
หนานเกอที่อยู่หน้าห้องหมายเลข 8066 เพิ่งแนะนำสมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งห้าเสร็จ กำลังเตรียมวกกลับเข้าประเด็น
ถังหลิ่นถอยไปหยุดอยู่ข้างฟั่นเพ่ยหยางแล้ว เขายืนเอนกายพิงอยู่กับราวกั้น จากมุมนี้ทำให้เขาสามารถสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของแต่ละชั้นได้ง่าย เหมือนอย่างเมื่อครู่ที่แค่ชั่วพริบตาก็มีคนโผล่หน้าออกมาดูกันมากมาย
การที่คนพวกนี้โผล่ออกมาพร้อมกันแน่นอนว่าย่อมต้องมีเหตุผล และเหตุผลที่ว่าก็น่าจะไม่เกี่ยวกับเสียงตวาดของฮั่วสวี่ที่ดังอยู่ก่อนหน้านี้
ดังนั้นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ถังหลิ่นพอจะนึกออกก็คือฮั่วสวี่ไปจากห้องแล้ว บางทีอาจเข้าไปในห้องฝึกซ้อม เมื่อจู่ๆ เป้าหมายหายตัวไป ‘คนที่เฝ้าจับตาดู’ พวกนั้นถึงได้พร้อมใจกันกรูออกมา
แน่นอนว่าฮั่วสวี่ไม่ได้ไปจากห้อง ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเขาต้องได้ทักทายกันแล้ว
นั่นก็แปลว่าฮั่วสวี่เข้าไปในห้องฝึกซ้อมแล้ว
สองตาของถังหลิ่นเป็นประกาย เขาพูดกับหนานเกอว่า “ไม่ต้องถ่วงเวลาแล้ว เร่งจังหวะเถอะ”
ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากฟัง ไม่ว่าคุณจะพูดมากขนาดไหนมันก็เป็นเพียงคำพูดเหลวไหล ถึงตอนนั้นคุณจะพูดไม่มีแก่นสารอะไรแบบไหนก็ย่อมได้
แต่ในเวลานี้เขารู้สึกว่าฮั่วสวี่น่าจะพร้อมรับฟังคำพูดของพวกเขาแล้ว
หนานเกอรับคำสั่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง น้ำเสียงกลับมาองอาจชัดถ้อยชัดคำเหมือนปกติ อ่อนโยนน้อยลงเยือกเย็นเฉียบขาดมากขึ้น
“ค่าประสบการณ์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการปลดล็อกต้นไอเทม ถ้านายใช้พวกมันอย่างสิ้นเปลืองอยู่ที่นี่ แถมบุกเดี่ยวไปยังด่านที่อยู่หลังๆ นั่นก็เท่ากับว่าตัวนายเองกำลังสร้างอุปสรรคใหญ่หลวงให้กับตนเอง จำเป็นด้วยเหรอที่ต้องทำแบบนั้น…
ข้อสอง ถ้าเหตุผลที่นายไม่อยากเข้ากลุ่มคือรู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้ เช่นนั้นกลุ่ม VIP ของพวกเรา…”
ก็สามารถมอบครอบครัวอันอบอุ่นให้กับนายได้?
คนที่กำลังรอฟังทั้งหลายต่างพร้อมใจกันเผยสีหน้าหยันเย้ยออกมา คำพูดนี้ถูกชาวบ้านใช้กันจนเปื่อยแล้ว
“เช่นนั้นกลุ่ม VIP ของพวกเราก็เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องของนายแล้ว พวกเราจะไม่ฝืนใจนายให้ต้องมามีความรู้สึกอะไรด้วย พวกเราแค่จับกลุ่มกันเท่านั้น พอเข้าไปถึงด่าน 4/10 ได้เป็นที่เรียบร้อย ขอเพียงไม่ผิดกฎด่าน นายสามารถไปจากกลุ่มได้ทุกเมื่อ…”
คนที่แอบฟังอยู่ “…”
ไม่ต้องมีความรู้สึกอะไรต่อกันเลยจริงๆ
“ข้อสาม ถ้าเหตุผลของการไม่อยากมีกลุ่มของนายเป็นเพราะรู้สึกว่าความสามารถของอีกฝ่ายไม่คู่ควรกับนาย งั้นก็ง่ายมาก ห้องฝึกซ้อมของกลุ่ม VIP เปิดรับการมาเยือนของนายตลอดเวลา สมาชิกกลุ่ม VIP ทุกคนพร้อมรับการทดสอบของนายทุกเมื่อ…
ข้อสี่ หัวหน้าของเรารู้สึกว่าเรื่องนี้อาจไม่ดึงดูดใจนายสักเท่าไหร่ แต่หากว่ากันตามมารยาทแล้วพวกเรายังมีเรื่องที่ต้องบอกให้นายรู้ การเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเรานั้นนายมีโอกาสได้รับเงินรางวัลตอบแทนด้วย ทันทีที่เข้าร่วมกลุ่มนายก็จะได้รับเงินตอบแทนนั่นเลย ประธานฟั่นเจ้าอารมณ์จะโอนเงินให้นายทางระบบออนไลน์ หลังจากรวมกลุ่มกันเป็นที่เรียบร้อย ค่าใช้จ่ายทั้งตอนอยู่ในเขตรวมพลและด่านต่างๆ นอกจากส่วนที่นายตัดสินใจจ่ายเองแล้ว กลุ่ม VIP ล้วนเป็นคนจ่ายให้ ขอเพียงนายยังอยู่ในกลุ่มของพวกเรา คำมั่นสัญญานี้จะมีผลไปชั่วนิรันดร์…”
คนที่แอบฟังอยู่พากันปั่นป่วน
ถึงจะเคยเห็นกลุ่มต่างๆ พยายามชักชวนฮั่วสวี่ให้เข้าร่วมกลุ่มมาก่อน ทว่าวิธีการของกลุ่ม VIP นี้เรียกได้ว่าน่าประทับใจสุดๆ
ข้อแรกอธิบายถึงความจำเป็นในการเข้าร่วมกลุ่ม
ข้อสองกับข้อสามใช้ทั้งความรู้สึกและความสามารถทำลายความวิตกกังวลของฮั่วสวี่
และข้อสี่…ใช้! เงิน! ทุ่ม!
มีคนทนไม่ไหว ตะโกนออกมาตรงๆ ว่า “ถ้าเขาไม่เอา ฉันเอา…”
เสียงนี้ไม่ได้ทำกลุ่ม VIP หวั่นไหว แต่ทำฮั่วสวี่สะดุ้งตกใจ
เขาตระหนักได้ทันที คำพูดนั้นทั่วเขตรวมพลล้วนได้ยิน?
ชายหนุ่มที่พันผ้าพันแผลไว้บนแขนวิ่งออกจากห้องฝึกซ้อมไปราวกับพายุ เปิดประตูห้องเสียงดังปึง
สมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งห้าปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา
คนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขา ถือกระดาษน่าสงสัยไว้ในมือ
คนหนึ่งกำลังยืนหันหน้ามาทางประตูที่เขายืนอยู่ หน้าตาสะสวยงดงาม
อีกคนยืนอ้าปากค้างสองตาเบิกโพลง คือเจ้าอ้วน
สองคนยืนเคียงไหล่พิงอยู่กับราวกั้น…อยู่ใกล้กันเกินไปหน่อยหรือเปล่า
“ฮัลโหล?” หนานเกอเผยยิ้มกระอักกระอ่วนแต่เปี่ยมมารยาทให้กับอีกฝ่าย เธอเอ่ยปากทักทายชาวบ้านก่อน ถึงจะรู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กๆ แต่เธอก็เลี่ยงไม่ได้ ใครใช้ให้เธอยืนเป็นเซ็นเตอร์อยู่ล่ะ
“ฉันไม่สู้กับผู้หญิง” ฮั่วสวี่พูดเสียงขรึม “แต่ถ้าเธอยังพูดพล่ามเรื่องข้อที่ห้าอะไรอีกล่ะก็ ฉันก็ไม่กล้ารับรอง”
ว่ากันตามวิธีรับสมัคร ขอเพียงฮั่วสวี่เปิดประตูออกมา จากนั้นถังหลิ่นจะเป็นคนรับมือต่อเอง แต่คำพูดของเขาที่ว่า ‘ไม่สู้กับผู้หญิง’ นี้เป็นการสร้างศัตรูโดยแท้
“ยังมีข้อที่ห้าจริงอย่างที่นายว่า” หนานเกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ตอบรับสายตาของอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะคิดหลบ
เจิ้งลั่วจู๋เองก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน ขวางอยู่ด้านหน้าของหนานเกอ หน้าแทบจะชนอยู่กับหน้าของฮั่วสวี่ เขาพูดด้วยความโมโห “ฉันพูดเอง…”
ฮั่วสวี่ยิ้มหยันออกมาคราวหนึ่ง การโจมตีด้วยน้ำกำลังก่อตัวอยู่ในอุ้งมือเขา
เจิ้งลั่วจู๋โยนกระดาษบอกบททิ้งไป คำพูดพวกนั้นเขาจำมันได้นานแล้ว “ข้อห้า ฉันอยู่ห้อง 4033 นายอยู่ห้อง 8066 หมายเลขห้องของนายมีค่าเป็นสองเท่าของเลขห้องฉันพอดี นายว่านี่เป็นวาสนาหรือเปล่า!”
ฮั่วสวี่ “…”
คนที่ลอบฟังอยู่ “…”
วาสนาไม่วาสนาอะไรไม่พูดถึงก่อนก็ได้ น้ำเสียงที่ตกลงกันไว้อยู่แต่เดิม ไม่น่าจะเป็นแบบนี้!
ฮั่วสวี่มองเจิ้งลั่วจู๋ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จู่ๆ ใต้เท้าก็มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่แอ่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา เปลี่ยนระเบียงทางเดินที่มีห้องของเขาเป็นศูนย์กลางให้เปียกชื้นไปหมด ราวกับห้องสิบกว่าห้องเปิดประตูสาดน้ำออกมาพร้อมกัน
หลังจากน้ำเอ่อล้นแผ่วงกว้างออกไป มันก็พุ่งลงจากพื้นตึก จากนั้นเพียงพริบตามันก็ยกตัวขึ้นสูง ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นคลื่นยักษ์สูงสองเมตร
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา
คลื่นยักษ์ม้วนตัวซัดกลับมา เห็นได้ชัดว่าต้องการอัดสมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งห้าให้ตายคาคลื่น
ทว่าที่อยู่ใกล้ๆ นั้นไม่ได้มีเพียงสมาชิกกลุ่ม VIP แต่ยังมีคนที่กำลังมุงดูอยู่อีก นับแต่เห็นว่าเพื่อนบ้านข้างเคียงเสียสติไปแล้ว พวกเขาก็กุลีกุจอหมายปิดประตู ทว่าคลื่นยักษ์นั่นกลับโหมกระหน่ำเข้ามารวดเร็วไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่า
โครม…
คลื่นโถมกระหน่ำลงมา ทว่ามันกลับไม่ได้ตกถึงพื้น แต่หยุดอยู่เหนือหัวสมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งห้า ไม่ต่างอะไรกับเสือหิวที่กำลังตะครุบเหยื่อ แต่กลับถูกหยุดไว้กลางคัน
คนอื่นๆ พากันตะลึงลาน ทว่ากลุ่ม VIP กลับไม่มีใครอยู่นิ่ง พวกเขาอาศัยจังหวะดังกล่าวเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว วิ่งไกลออกไปราวๆ สิบกว่าเมตร
ทางนั้นยังไม่ทันได้หยุดเท้า คลื่นยักษ์ทางนี้ก็คืนสภาพซัดโครมลงมา
นอกจากฮั่วสวี่ที่กระโดดขึ้นไปอยู่บนยอดคลื่นได้อย่างสบายๆ ในวินาทีสุดท้ายแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเปียกโชกกันถ้วนหน้า
กระแสน้ำถอยจากไปแล้ว
บรรดาเพื่อนบ้านข้างเคียงที่พลอยซวยไปด้วยบ้างก็ยืนนิ่งอยู่กับที่บ้างก็ยันประตูถอนหายใจ เปียกม่อล่อกม่อแล่กตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฮั่วสวี่ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา สายตาล็อกอยู่บนร่างของสมาชิกกลุ่ม VIP ที่วิ่งออกไปอยู่นอกรัศมีสิบกว่าเมตรเป็นที่เรียบร้อยเหล่านั้น
เจ้าอ้วนเยวี่ยชูแขนขวาขึ้น โบกมาทางเขาด้วยท่าทีเป็นมิตร “ฉันชื่อฉงเยวี่ย ฉงเยวี่ยก็คือฉัน! เมื่อกี้คือ ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ ของฉัน แต่มันคงสภาพได้ไม่นานเท่าไหร่ ประธานฟั่นบอกว่ายังสามารถพัฒนาได้ ฉันจะพยายามฝึก…”
สายตาของฮั่วสวี่ส่องประกายวับวาวอันตราย ขณะกำลังเตรียมรวบรวมสมาธิอีกรอบ วัตถุที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็พุ่งตรงเข้ามา
เขาหลบเลี่ยงไปทางด้านข้างตามสัญชาตญาณ
วัตถุบางอย่างนั่นชนเข้ากับประตูห้องของฮั่วสวี่ก่อนจะระเบิดออก
นอกรัศมีสิบกว่าเมตรเจ้าอ้วนเยวี่ยรีบถอยฉาก เปิดช่องให้ไอดอลของตัวเองได้ปรากฏตัว
ฟั่นเพ่ยหยางขยับขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง มองไปทางฮั่วสวี่ด้วยสมาธิแน่วแน่ “ฟั่นเพ่ยหยาง ‘วินาศกรรมระดับกลาง’ จะไปลองศึกษาแลกเปลี่ยนที่ห้องฝึกซ้อมกันสักหน่อยดีไหม”
กว่าจะดันเจ้าอ้วนเยวี่ยไปทางด้านข้างและดึงฟั่นเพ่ยหยางกลับมาถังหลิ่นก็ต้องออกแรงอย่างสุดกำลัง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เผยยิ้มเป็นมิตรให้กับ ‘พรรคพวกที่พวกเขาหมายตาไว้’ “ว่ากันตามขั้นตอนที่วางไว้แต่เดิม หลังจากนั้นผมต้องเอ่ยปากชมความสามารถของคุณ ดังนั้นการเชื้อเชิญเมื่อครู่คุณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน ย้อนความทรงจำกลับไปตอน ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ พวกเราเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง”
ฮั่วสวี่ “…”
บทที่ 152
ศึกษาแลกเปลี่ยน
ย้อนความทรงจำกลับไปเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
บรรยากาศยามเช้าแสนสงบถูกรบกวนทำลายไปหมดสิ้นแล้ว อารมณ์ของฮั่วสวี่ในเวลานี้ไม่ใช่แค่ย่ำแย่ธรรมดา แต่เป็นย่ำแย่มาก ขณะกำลังกลัดกลุ้มไม่รู้ว่าควรจะลงดาบกับใครก่อน จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยปากขันอาสา
“ศึกษาแลกเปลี่ยนใช่ไหม” สายตาของเขามองผ่านถังหลิ่นที่เดินขึ้นหน้าเป็นคนสุดท้ายไปหยุดอยู่บนใบหน้าของฟั่นเพ่ยหยาง “ตายไปฉันไม่รับผิดชอบด้วยนะ”
ฟั่นเพ่ยหยางพยักหน้าเบิกบาน “ในเมื่อฉันเป็นคนเอ่ยปากเชิญ ถ้างั้นนายว่ายังไงก็ว่ากันตามนั้น”
ถังหลิ่นถอนหายใจเงียบๆ เขาถูกชาวบ้านมองข้ามไปโดยสิ้นเชิงจริงๆ
แต่ช่างเถอะ จากแผนการเดิมอย่างไรการต่อสู้นี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แค่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้นิดหน่อยก็เท่านั้น เร็วกว่าก็เร็วกว่าเถอะ ถ้ายังถ่วงเวลาอีก ประธานฟั่นต้องคว่ำโต๊ะแน่
“ถังหลิ่น?” จู่ๆ ฮั่วสวี่ก็ดึงสายตากลับมาบนตัวของถังหลิ่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
คนที่พูดแนะนำตัวมีก็แต่หนานเกอ ฉงเยวี่ย ฟั่นเพ่ยหยาง ส่วนถังหลิ่นกับเจิ้งลั่วจู๋ ฮั่วสวี่ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณตัดสินเอาว่าใครเป็นใคร
ถังหลิ่นรู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายเอ่ยปากถามเขา ถึงคำเชิญรับสมัครคนนี้ทางกลุ่ม VIP จะเป็นคนส่ง แต่ใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม VIP ฮั่วสวี่ก็น่าจะไม่ใส่ใจไม่ใช่เหรอ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือวันนี้ไม่ว่าคนที่มาเคาะประตูห้องของเขาจะเป็น VIP หรือ MVP ในสายตาของฮั่วสวี่แล้วล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง
“ผมเอง” สงสัยก็ส่วนสงสัย สุดท้ายถังหลิ่นก็ยังคงบอกถึงฐานะของตน
เมื่อได้รับคำยืนยัน ดวงตาของฮั่วสวี่ก็ฉายแววเย้ยหยัน “ตอนนี้สมาชิกกลุ่มของนายต้องการศึกษาแลกเปลี่ยนกับฉัน นายยังคงยืนกรานจะย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ไหม”
ตอนนี้อีกฝ่ายขอความเห็นจากเขา? เรื่องนี้นับว่าอัศจรรย์จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นถังหลิ่นก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้า “ไม่แล้ว ในเมื่อเขาเชื้อเชิญและคุณก็ยินดี เช่นนั้นผมย่อมไม่มีอะไรจะพูดอีก”
ฮั่วสวี่เองก็ยิ้ม มองดูถังหลิ่นด้วยสายตาดูแคลนอย่างไม่คิดปิดบัง “ขนาดสมาชิกกลุ่มของตัวเองยังดูแลควบคุมไม่ได้ หัวหน้ากลุ่มอย่างนายนี่มันไม่เอาไหนเลยจริงๆ”
ภายในห้องฝึกซ้อมของห้องหมายเลข 8066
ถังหลิ่น เจิ้งลั่วจู๋ หนานเกอ และฉงเยวี่ยนั่งอยู่ด้านหนึ่งของห้องฝึกซ้อม หลังพิงอยู่กับผนัง หน้าหันไปทางพื้นที่ฝึกซ้อม
ฟั่นเพ่ยหยางกับฮั่วสวี่ยืนอยู่กลางห้องฝึกซ้อม ห่างจากพวกเขาสิบกว่าเมตร
เจิ้งลั่วจู๋ขยับเข้าไปข้างถังหลิ่นแล้วถาม “หัวหน้า ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ เจ้าหนุ่มนั่นเพิ่งถามสถานะคุณ เขาจงใจใช่หรือเปล่า แบบว่าไม่พอใจคุณ”
ฉงเยวี่ยที่อยู่ด้านข้างได้ยินแบบนั้นก็ก่ายหน้าผาก วงรีเฟล็กซ์* นี้เชื่องช้าเกินไปแล้ว
ถังหลิ่นคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่ตลอด ตอนนี้พอถูกพรรคพวกพูดขึ้นต่อหน้า เขาก็พยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน “ผมคุมประธานฟั่นไม่อยู่จริงๆ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ภาวะผู้นำไม่มากพอ ถูกว่าว่า ‘ไม่เอาไหน’ ก็ถูกแล้ว”
“อย่างคุณเนี่ยนะยังไม่พอ?” เจิ้งลั่วจู๋หมดคำพูด “หัวหน้า คนเราถ่อมตัวได้ แต่ก็ไม่ควรถ่อมตัวจนเกินไป เจ้านายของผมถ้าไม่ใช่ว่ามีคุณคอยกำกับควบคุม ตอนนี้คงขึ้นสวรรค์ไปแล้ว”
“ฉันเห็นด้วย” เสียงพูดสมทบของหนานเกอดังมาจากด้านข้าง “ถ้าปล่อยให้ประธานฟั่นทำตามอำเภอใจ ประตูด้านนอกตอนนี้คงไม่มีแล้ว ฮั่วสวี่เองก็คงไม่มีโอกาสฟังพวกเราบรรยายหนึ่งสองสามสี่ห้า ในห้องฝึกซ้อมนี้น่าจะเริ่มสู้กันรอบที่สามแล้ว”
ถังหลิ่น “…”
การอยู่ท่ามกลางคนขี้ประจบนับเป็นเรื่องอันตรายเรื่องหนึ่ง หากไม่ระวัง ดีไม่ดีอาจถูกถ้อยคำหวานหูพวกนั้นทำเอาหลงลืมไปจนหมดว่าตัวเองเป็นใครและคิดจะทำอะไรอยู่
“หัวหน้า ที่พวกเขาพูดบางทีอาจโอเวอร์อยู่บ้าง ผมได้รับการอบรมจากประธานฟั่นผ่านการศึกษาแลกเปลี่ยน เป็นคนที่มีประสบการณ์ตรง ผมพูดอะไรย่อมเชื่อถือได้” ฉงเยวี่ยตบอก “ผมใช้น้ำหนักตัวเป็นประกัน ประธานฟั่นในเวลานี้เจียมตัวกว่าตอนนั้นเยอะ ไม่ว่าจะสายตาหรือว่ากลิ่นอายบนตัว จากคำพูดคำจาจนถึงการกระทำ ออร่าความยโสโอหังที่เจิดจ้าไม่เหมือนใครนั่นล้วนไม่พบแล้ว”
ถังหลิ่น “…”
ฟั่นเพ่ยหยางที่ฉงเยวี่ยพูดถึงใช่คนเดียวกับฟั่นเพ่ยหยางที่เขารู้จักงั้นเหรอ
ในเวลาเดียวกันนอกประตูห้องหมายเลข 8066
ศีรษะของคนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน หวังว่าจะได้ยินความคืบหน้าของการ ‘ศึกษาแลกเปลี่ยน’ ผ่านร่องประตูรูกุญแจรวมถึงช่องว่างทั้งหลายได้
ยังมีพวกอยากรู้อยากเห็นที่ชั้นบนชั้นล่างรวมถึงฝั่งตรงกันข้ามอีก พวกเขาตะโกนถาม “เป็นไงบ้าง สถานการณ์ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว…”
“ไม่ได้ยินอะไรสักนิด…” บรรดาศีรษะที่อยู่บริเวณหน้าประตูต่างหงุดหงิดผิดหวัง
ทันทีที่ประตูห้องฝึกซ้อมถูกปิด มันก็จะกลายเป็นห้องลับส่วนตัวโดยสมบูรณ์ ไม่อาจมองเห็นอะไรผ่านทางหน้าจอได้อีก เสียงหรือก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ช่วยรักษาความลับเกี่ยวกับต้นไอเทมและศักยภาพของผู้ใช้อย่างสุดกำลัง แต่สำหรับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่อยากรู้อยากเห็นแล้ว เรื่องนี้ทรมานใจกันสุดๆ
“ศึกษาแลกเปลี่ยนกันที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องไปที่ห้องฝึกซ้อมด้วย” มีคนโอดครวญไม่พอใจ “ไปทำกันที่โถงชั้นหนึ่งก็ได้ ทั้งกว้างทั้งโล่ง!”
คนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามตอบ “กลัวแพ้แล้วจะขายหน้าไง…”
ทั่วทั้งเขตรวมพลยามนี้มีคนออกมาดูความคึกคักไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามแล้ว ตอนนี้การถ่ายทอดสดถูกตัดขาด พวกเขาจึงได้แต่ใช้วิธีเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ปลอบใจตัวเอง
“พวกนายว่าฮั่วสวี่กลัวแพ้หรือว่าพวก VIP กลัวแพ้”
“ยังต้องถามอีกหรือไง ฮั่วสวี่เอาชนะคนในเขตรวมพลไปทั่ว แม้แต่ห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ก็ยังเอาเขาไม่ลง แล้วแบบนี้กลุ่ม VIP จะทำได้เหรอ”
“นายทำฉันนึกขึ้นได้ เชี่ย ตอนนี้ยังวางเดิมพันทันหรือเปล่า ฉันแทงว่ากลุ่ม VIP ทำได้!”
“เอ๋ นายรู้จักคนพวกนั้น?”
“ไม่อะ”
“…แล้วนายยังจะทุ่มเงินกับพวกเขา?”
“เงินที่ทุ่มไปก่อนหน้านี้ล้วนถูกเจ้ามือกินจนเกลี้ยง เสียอีกนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป เกิดชนะขึ้นมา อัตราต่อรองของกลุ่ม VIP ที่ไม่มีใครรู้จักต้องสูงเป็นพิเศษแน่ ชนะแค่ครั้งเดียวก็สบายแล้ว”
บริเวณราวกั้นแห่งหนึ่งบนระเบียงทางเดินชั้นสิบเจ็ด
โจวอวิ๋นฮุย “ดูเหมือนจะมีคนพูดถึงพวกเราแล้ว”
ชุยจั้น “ได้ยินชัดเต็มสองหู แม้แต่ห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ก็ยังเอาเขาไม่ลง กลุ่มสือเซ่อของพวกเราแพ้แล้ว กลุ่มข่งหมิงเติงของพวกนายก็ไม่สำเร็จ”
“แต่ฉันไม่ได้เข้าไปให้ชาวบ้านตบหน้าเสียหน่อย”
“ฉันโดนไปแล้ว ช่างเถอะ คราวหน้าเวลาเจอคนโสดความสามารถสูง ฉันก็ยังคงจะเข้าไปหาอยู่ดี…”
“คนโสด?”
“ก็พวกที่ยังไม่มีกลุ่มไง พวกที่บุกตะลุยทำเควสต์ฝ่าด่านคนเดียวลำพัง”
“คราวหน้านายพูดออกมาชัดๆ เลยดีกว่า อย่าสำบัดสำนวนให้มาก”
“เอาเป็นว่าถ้าอยากให้กลุ่มตัวเองแข็งแกร่งก็ต้องพยายามควานหาคนเก่งเข้าร่วมทีม”
“งั้นนายก็รีบไป ‘ควานหาคนเก่ง’ สิ จะวิ่งมาเคาะประตูห้องฉันที่ชั้นสิบเจ็ดนี่ทำไม”
“นายจะมาเข้าร่วมกลุ่มสือเซ่อของฉันหรือเปล่า”
“…?”
“มาเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อย ฐานะเท่าเทียมกับฉัน”
“นายหาสมัครพรรคพวกจนมาถึงฉันเนี่ยนะ!”
“ฉันรู้สึกว่านายยอดมาก”
“ฉันรู้สึกว่านายไม่ไหว”
“จะไม่ลองคิดดูสักหน่อยเหรอ”
“ไม่มีทาง”
บริเวณราวกั้นแห่งหนึ่งบนระเบียงทางเดินชั้นสิบห้า
กวนหลันหมอบอยู่บนราวกั้น เขาไม่ได้คิดจะแอบฟังเลยแม้แต่น้อย ทว่าคนทั้งสองที่อยู่ชั้นบนของชั้นบนกลับทำตัวราวกับรอบข้างไร้ผู้คน เขาก็แค่ให้ความร่วมมือนิ่งฟังตั้งแต่เริ่มจนจบก็เท่านั้น นอกจากฟังแล้วยังตั้งอกตั้งใจวิเคราะห์ โจวอวิ๋นฮุยปฏิเสธคำเชิญของชุยจั้นด้วยใจแท้จริงหรือแค่ปฏิเสธพอเป็นพิธีเท่านั้น…
“เฮ้” ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนในเขตรวมพลที่อยู่ข้างๆ ยังคงพูดโน้มน้าวอย่างไม่ลดละ “ไปลองดูเถอะ ด้วยเสน่ห์ของนาย ไม่แน่ว่าอาจชักชวนฮั่วสวี่ได้สำเร็จ”
กวนหลันทำตาปะหลับปะเหลือก ปฏิเสธเด็ดขาด “ไม่เอา”
ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียน “เขามีความสามารถ แถมยังน่าสนใจไม่น้อย เหมาะกับกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนของพวกเรา”
กวนหลันกอดราวกั้นไว้ไม่ต่างอะไรกับโคอาลา “ในกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนมีคนพิลึกมากพอแล้ว”
ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนไม่พูดอะไรอีก
ครั้นอีกฝ่ายปิดปากเงียบ กวนหลันก็กลับนึกอยากรู้ เขาหันหน้าไปถาม “ในเมื่อนายอยากได้เขาขนาดนั้น แล้วทำไมแค่ถูกปฏิเสธทีเดียวก็ล้มเลิกความตั้งใจเอาง่ายๆ”
ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนโบกมืออย่างไม่ลังเล “ไม่มีใครปฏิเสธฉันได้สองครั้ง ไม่ว่าจะดีงามสักขนาดไหนก็ไม่ได้”
กวนหลัน “…”
ถึงได้บอกว่าคนในกลุ่มนี้ล้วนแต่พิลึกพิลั่นแปลกประหลาด
ขณะที่กวนหลันกำลังเล่นอยู่กับราวกั้น เหอลวี่ที่อยู่ที่ชั้นสิบเอ็ดก็กำลังเดินกลับเข้าห้อง
ที่ตามอยู่ข้างๆ เขาคือสมาชิกกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งที่ผ่านด่านเอาชีวิตรอดจากเกาะร้างมาด้วยกัน “หัวหน้า คุณไม่ดูต่องั้นเหรอ”
“ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้คงยังไม่มีผลลัพธ์อะไร” เหอลวี่ตบไหล่อีกฝ่าย “แทนที่จะดูคนอื่น พวกเราไม่สู้รีบฝึกฝน ยกระดับความสามารถของตนเองดีกว่าเหรอ”
สมาชิกกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งไม่ได้ทำตัวตามสบายเหมือนหัวหน้ากลุ่มของตัวเอง เขายังคงครุ่นคิดถึงเรื่องของกลุ่ม VIP ขณะเดินตามเหอลวี่เข้าไปในห้องเขาก็เอ่ยปากถาม “หัวหน้า เมื่อกี้คุณบอกว่าเมื่อวานถังหลิ่นเคยถามคุณว่าตอนเอาชีวิตรอดอยู่บนเกาะร้างคุณพูดยังไงถึงสามารถเกลี้ยกล่อมไป๋ลู่เสียให้ตกลงร่วมมือด้วยใช่ไหม”
เหอลวี่ “อืม”
สมาชิกกลุ่มรายนั้นเขยิบเข้าไปใกล้เขาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ พูดด้วยน้ำเสียงหยอกกระเซ้า “หัวหน้า ที่แท้คุณก็หลอกคนเป็นด้วย”
เท้าที่กำลังมุ่งตรงไปยังห้องฝึกซ้อมของเหอลวี่หยุดชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ “หลอกคน?”
สมาชิกกลุ่มรายนั้นปั้นหน้า ‘อย่ามาโกหกกันดีกว่า’ พลางเอ่ยว่า “เขาถามคุณเรื่องนี้ แน่นอนว่าต้องคิดว่าไป๋ลู่เสียกับฮั่วสวี่เป็นคนประเภทเดียวกัน ย่อมยากจะจัดการเหมือนกัน ดังนั้นเลยคิดจะขอแชร์ประสบการณ์กับคุณใช่หรือเปล่า”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ผิด” เหอลวี่พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพอเขาถามเสร็จ วันนี้ก็เลยลงมือ วิธีการพวกนั้นถ้าไม่ใช่หัวหน้าเป็นคนถ่ายทอดให้เขา ยังจะมีใครอีก” สมาชิกกลุ่มรายนั้นเลิกคิ้ว แปลงกายเป็นโมริ โคโกโร่
เหอลวี่ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ตอนนั้นพวกเราร่วมมือกับไป๋ลู่เสียยังไง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นนายย่อมรู้ดี ฉันแค่บอกเล่าให้ถังหลิ่นฟังก็เท่านั้น ไม่ได้ต่อเติมเสริมแต่งอะไร”
สมาชิกกลุ่มรายนั้นงงงัน
หัวหน้ากลุ่มของเขาไม่มีทางโกหก ถ้าอย่างนั้นก็มีปัญหาแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าที่หัวหน้ากลุ่มบอกเล่าให้กลุ่ม VIP ฟังคือประสบการณ์ตามจริง แล้วกลุ่ม VIP ไปเอาวิธีการแบบนั้นมาจากไหน ความคิดอ่านที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นเป็นแบบไหนอย่างไรยากจะเข้าใจได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหลังตระหนักได้ว่ามีคนมากมายพบเจอกับอุปสรรครวมไปถึงนิสัยย่ำแย่ของฮั่วสวี่แล้ว กลุ่ม VIP ยังคงยืนกรานจะรับสมัครชาวบ้านด้วยวิธีการยากจะอธิบายได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวพวกนั้น เรื่องนี้ทำทุกคนสับสนงุนงงหมดสิ้น
“หัวหน้า ผมรู้สึกว่าคนที่รีบรับฮั่วสวี่เข้ากลุ่ม รวมถึงกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งของพวกเราต้องไม่เคยเสียเปรียบมาก่อนแน่ คนอย่างไป๋ลู่เสียแค่ร่วมมือกันเจ็ดวันก็ทำเอาพวกเราแทบบ้าแล้ว กับคนที่รับมือยากยิ่งกว่าอย่างฮั่วสวี่ พวกเขายังคิดจะแย่งชิงกัน งานนี้เท่ากับหาเหาใส่หัวชัดๆ”
“ทุกคนต่างมีที่ที่เหมาะกับตัวเอง” เหอลวี่เดินไปถึงหน้าประตูห้องฝึกซ้อม พูดเข้าประเด็น “ไป๋ลู่เสียไม่เหมาะกับกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหมาะกับกลุ่มอื่น ตอนที่อยู่กลุ่มไป๋จู่เขาก็อยู่สบายดีไม่ใช่เหรอ”
อยู่สบายดี? สมาชิกกลุ่มรายนั้นนึกสงสัย
เหอลวี่กับสมาชิกกลุ่มของตัวเองเข้าไปในห้องฝึกซ้อม เริ่มฝึกฝนการต่อสู้แบบเผชิญหน้าประจำวัน ส่วนไป๋ลู่เสียที่อยู่บนชั้นสิบเก้ากลับนั่งหาวหวอดอยู่บนราวกั้นไม่มีอะไรทำ สองขาแกว่งไกวไปมาอยู่นอกราวกั้น โอดครวญว่า “ห้องฝึกซ้อมน่าเบื่อนั่นน่าจะยกเลิกได้แล้ว”
“ใช่ๆ ยกเลิก” ชายรูปร่างผอมสูงรายหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าค้อมเอวตอบรับ
อีกฝ่ายคือผู้ดูแลกลุ่มไป๋จู่ประจำเขตรวมพล แต่ที่ต่างจากกลุ่มอื่นๆ คือผู้ดูแลกลุ่มส่วนใหญ่จะมีฐานะเทียบเท่ากับหัวหน้ากลุ่ม ทว่าผู้ดูแลกลุ่มไป๋จู่นี้กลับมีหน้าที่ดูแลแนวหลังเพียงอย่างเดียว ภารกิจของเขาคือดูแลแกนหลักของกลุ่มไป๋จู่ในเขตรวมพลนี้ให้ดี ส่งข่าวให้ทันเวลา และลำเลียงคนที่มีความสามารถอย่างต่อเนื่อง
ปกติเขาก็วางตัวนอบน้อมกับสมาชิกกลุ่มไป๋จู่คนอื่นๆ อยู่แล้ว ทว่ากับไป๋ลู่เสียเขากลับนอบน้อมยิ่งกว่า ทั้งนี้เพราะตลอดระยะเวลาครึ่งปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่กลุ่มไป๋จู่มีสมาชิกใหม่ผ่านเข้ามาถึงเขตรวมพล หนำซ้ำตอนอยู่นครใต้พิภพชื่อเสียงของไป๋ลู่เสียยังแพร่สะพัดมาถึงหูของยอดฝีมือในกลุ่ม กับมหาเทพเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องปรนนิบัติรับใช้
“เบื้องบนบอกลงมาว่าพวกเราที่นี่อยู่สบายนานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องรวมกลุ่มฝ่าด่านแล้ว…” ชายรูปร่างผอมสูงถ่ายทอดข้อความให้ไป๋ลู่เสียฟังด้วยท่าทีระมัดระวัง
อันที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก คนอื่นๆ อย่างน้อยก็ได้พักผ่อนอยู่ที่นี่ครึ่งปี ส่วนไป๋ลู่เสียเพิ่งจะมาถึงได้ไม่ทันไรเบื้องบนก็เร่งให้ทำเควสต์ฝ่าด่านแล้ว แต่เขาเป็นเพียงลูกน้อง จึงได้แต่ต้องกัดฟันปฏิบัติตามคำสั่ง
ไป๋ลู่เสียให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอีกทั้งยังเอ่ยปากเหมือนใส่ใจ “แน่นอนว่าต้องตะลุยทำเควสต์ฝ่าด่านต่อ ไม่งั้นจะให้อยู่ที่นี่ไปจนแก่หรือไง”
ชายรูปร่างผอมสูงตะลึง พอได้สติเขาก็รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล “อืม ใช่ ใช่แล้ว! งั้นคุณอยากจะจับกลุ่มกับใคร ขอเพียงบอกชื่อ เรื่องที่เหลือผมจะจัดการเอง”
“ให้ฉันบอกชื่อ?” ไป๋ลู่เสียเพิ่งจะฟังคำพูดของอีกฝ่ายเข้าใจ เขาเอียงคอมองชายรูปร่างผอมสูง “จะให้ฉันเป็นหัวหน้ากลุ่ม?”
“จะเป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ แล้วแต่คุณจะตัดสินใจ” ชายรูปร่างผอมสูงรู้จักยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ขอเพียงมีไป๋ลู่เสียเป็นแกนหลักเท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว “แต่ว่าด่านต่อไปจำเป็นต้องจับกลุ่มอย่างน้อยหกคน คุณต้องเลือกพี่น้องที่คุณเห็นว่าใช้ได้หรือไม่ขัดหูขัดตาก่อน วันหน้าร่วมกลุ่มอยู่ด้วยกันจะได้ไม่มีปัญหา”
ไป๋ลู่เสียยิ้มอย่างไม่แยแส เขาที่นั่งอยู่บนราวกั้นของชั้นบนสุดก้มหน้ามองคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในโถงใหญ่ แต่ละคนล้วนตัวเล็กจิ๋วจนมองไม่เห็นหน้า “นายเลือกมาก็แล้วกัน ยังไงฉันก็ไม่รู้จักอยู่แล้ว”
ที่ชายรูปร่างผอมสูงรอก็คือคำพูดประโยคนี้ “ไม่รู้จักก็เริ่มทำความรู้จักกันตอนนี้ได้ พี่น้องกลุ่มไป๋จู่ที่อยู่ในเขตรวมพลของเราล้วนน่าคบค้าสมาคมด้วยกันทั้งนั้น”
ไป๋ลู่เสียค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาและหันไปมองเขา “พอเข้าไปในด่านแล้ว วินาทีต่อมาก็อาจตายได้ ยังต้องคบค้าสมาคมอะไรอีก”
ชายรูปร่างผอมสูงเนื้อตัวสั่นสะท้าน
ไม่ใช่คำพูดของไป๋ลู่เสียที่ชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือก แต่เป็นแววตาของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ บรรจุอยู่ในนั้น มีเพียงความเฉยเมยว่างเปล่า
ห้องฝึกซ้อมภายในห้องหมายเลข 8066
คลื่นยักษ์ลูกแรกโถมเข้าใส่ฟั่นเพ่ยหยาง
เมื่อไม่มี ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ ของฉงเยวี่ย ความเร็วกับขอบเขตของคลื่นยักษ์ก็ยากจะมีใครหลบพ้น
ฟั่นเพ่ยหยางยกแขนขึ้นบังศีรษะ รับมันเอาไว้โดยไม่คิดหลบเลี่ยง
น้ำที่ซัดเข้ามากลืนกินร่างของเขาไปจนสิ้น
คนทั้งสี่ที่อยู่ข้างผนังถึงจะเชื่อมั่นในความสามารถของฟั่นเพ่ยหยาง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงหายใจยากลำบาก
ทว่าคลื่นนี้ยังไม่จบ ฮั่วสวี่ยกมือขึ้นช้าๆ คลื่นยักษ์ที่กลืนกินฟั่นเพ่ยหยางเองก็ยกสูงตาม ไม่ต่างอะไรกับผิวน้ำที่ถูกพายุพัดกระหน่ำเข้าใส่ เพียงชั่วพริบตาคลื่นก็ยกตัวถูกเพดานห้องฝึกซ้อม รวมถึงคนที่อยู่ในคลื่นด้วย
คลื่นยักษ์กระแทกเข้ากับเพดานดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ฮั่วสวี่ส่งเสียงประชดออกมา ก่อนจะลดมือลง คลื่นก็ลดต่ำลงตามเช่นกัน
กระแสน้ำจางหาย ฟั่นเพ่ยหยางนอนอยู่กับพื้นไม่ขยับ
“เจ้านาย…”
“ประธานฟั่น!”
เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยตะโกนออกมาพร้อมกัน ฝ่ายหลังถึงกับยั้งใจไม่อยู่พุ่งตรงออกไป แต่กลับถูกถังหลิ่นดึงตัวไว้
เขาจ้องไปยังอกที่กระเพื่อมไหวของฟั่นเพ่ยหยาง พูดชัดถ้อยชัดคำ “นี่คือสมรภูมิรบของเขา”
คนที่นอนหมอบอยู่กับพื้นในที่สุดก็ขยับ ฟั่นเพ่ยหยางยันกายขึ้นช้าๆ ก่อนจะกลับขึ้นมายืนใหม่อีกครั้ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำเชิดขึ้น สายตาสงบนิ่ง
ฮั่วสวี่มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ ไม่ได้ยิ้มหยัน ไม่ได้เยาะเย้ย ทำเพียงพูดออกมาตามตรง “ถ้าเมื่อครู่ฉันอาศัยจังหวะรุกโจมตีต่อ นายคงตายไปแล้ว…”
ปัง!
หินขนาดเล็กก้อนหนึ่งระเบิดขึ้นที่บริเวณน่องขวาของฮั่วสวี่
เพราะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แถมวิธีการโจมตีก็กลับกลอกปลิ้นปล้อนยากเกินว่าจะป้องกัน
ความเจ็บปวดจากการโจมตีและระเบิดทำให้ขาขวาของฮั่วสวี่ซวนเซ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงประคองร่างได้อยู่
ฟั่นเพ่ยหยางยกมือปาดหยดน้ำบนใบหน้าพลางพูด “ถ้าฉันโจมตีใส่จุดตายของนาย ตอนนี้นายไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส”
การประมือกันรอบแรกไม่มีใครได้เปรียบใคร
ก่อนจะประมือกันคนทั้งสองต่างคิดว่าตัวเองได้เปรียบกว่าอีกฝ่าย ดังนั้นสมรภูมิรบในเวลานี้จึงสงบนิ่ง ทว่าจิตใจของทั้งสองฝ่ายกลับไม่ใช่
ฮั่วสวี่รู้สึกประหลาดใจกับสมรรถภาพทางกายของฟั่นเพ่ยหยาง การโจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เดิมเขาตั้งใจจะใช้คลื่นเล่นงานอีกฝ่ายให้งุนงง ยุติการต่อสู้ภายในคลื่นเดียว แต่นอกจากจะไม่มึนงงแล้ว ฟั่นเพ่ยหยางกลับยังมีเรี่ยวแรงควบคุมต้นไอเทมอีก
ฟั่นเพ่ยหยางเองก็รู้สึกประหลาดใจในอานุภาพต้นไอเทมของฮั่วสวี่ คลื่นยักษ์นั่นไม่ได้หมายเอาชีวิตเขา นั่นก็แปลว่าฮั่วสวี่ออมกำลังไว้ ขนาดการโจมตีที่ไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ก็ยังสามารถสร้างความเสียหายได้แบบนี้ ถึงจะบอกไม่ได้ว่าเป็นต้นไอเทมที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ต้นไอเทมประเภทโจมตีระดับสี่ แต่ก็มากพอที่จะบดขยี้ไอเทมส่วนใหญ่ได้แล้ว
นี่ยังไม่รวมถึงสมรรถภาพทางกายของฮั่วสวี่
การระเบิดของก้อนหินเมื่อครู่ เป้าหมายการโจมตีของเขาอยู่ที่เข่าขวาของฮั่วสวี่ ทว่าก่อนที่ก้อนหินจะไปถึงเสี้ยววินาที ฮั่วสวี่ก็สังเกตเห็นได้ก่อนแล้ว แต่เพราะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้อย่างสิ้นเชิง ถึงได้โจมตีเข้าถูกน่อง
ขอเพียงเร็วกว่านี้อีกหน่อย อีกฝ่ายย่อมสามารถหลบพ้นได้แน่
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือที่เขาใช้คือ ‘วินาศกรรมระดับกลาง’ ต้นไอเทมระดับสี่ที่เพิ่งได้มาใหม่ การลอบโจมตีเมื่อครู่นับเป็นการโจมตีที่เร็วที่สุดของเขาแล้ว
สมรภูมิรบตกสู่ความเงียบงัน เป็นความสงบเงียบก่อนที่พายุลูกใหญ่จะมาถึง
* วงรีเฟล็กซ์ เป็นวิถีประสาทที่ควบคุมรีเฟล็กซ์หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายนอกเหนือการควบคุมของจิตใจซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที เป็นวิถีประสาทที่นำข้อมูลความรู้สึกจากปลายประสาทรับความรู้สึกไปยังไขสันหลังและก้านสมอง แล้วนำการตอบสนองที่ไขสันหลังและก้านสมองไปยังอวัยวะปฏิบัติงานในช่วงการเกิดรีเฟล็กซ์
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.