ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 153
สู้กับฮั่วสวี่
บรรยากาศเงียบเชียบ น้ำเจิ่งนองอยู่ที่ข้างเท้าของฮั่วสวี่อีกครั้ง
ฟั่นเพ่ยหยางตั้งสมาธิจับจ้อง ไม่ได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม
คราวนี้ไม่ใช่คลื่นน้ำ แต่เป็นน้ำที่แผ่ขยายออกช้าๆ พร้อมกับเคลื่อนเข้าใกล้เท้าของฟั่นเพ่ยหยางทีละน้อย
ห้องฝึกซ้อมเป็นพื้นที่ปิด ขอเพียงน้ำยังคงเคลื่อนที่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ คิดจะหลบย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้เสียเวลาชักเท้าหนี เขายังคงยืนอยู่กับที่รอการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปของฮั่วสวี่
น้ำที่อย่างมากก็แค่ทำให้พื้นรองเท้าเปียก ไม่มีทางกลับกลายเป็นอาวุธร้ายอะไรได้
เพียงไม่นานน้ำก็ไหลไปถึงที่ที่ฟั่นเพ่ยหยางยืนอยู่ก็เปลี่ยนพื้นบริเวณนั้นให้กลายเป็นแอ่งน้ำตื้นๆ
ทันใดนั้นสองตาของฮั่วสวี่ก็ส่องประกายวับวาวเย็นเยียบ
น้ำเอ่อท้นรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ท่วมเข่าของฟั่นเพ่ยหยางเป็นที่เรียบร้อย ในเวลาเดียวกันก็กระเพื่อมไหวรุนแรง ราวกับมีพลังอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นขยับไหวอยู่ในน้ำ
ฮั่วสวี่เคลื่อนไหวแล้ว
เขากระโดดพ้นจากน้ำ เหยียบผิวน้ำพุ่งเข้าหาฟั่นเพ่ยหยาง ผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวรุนแรงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นไม่ต่างอะไรกับพื้นราบ!
“เขาคิดจะสู้ระยะประชิด?” เจิ้งลั่วจู๋ส่งเสียงออกมาด้วยความสงสัย ใช่ว่าฮั่วสวี่จะได้เปรียบเรื่องสมรรถภาพทางกาย สู้ระยะประชิดกับประธานฟั่นไม่เท่ากับใช้สั้นปะทะยาว?
ยังไม่ทันสิ้นเสียงสัญชาตญาณในการป้องกันตัวของฟั่นเพ่ยหยางก็บอกให้เขาชักเท้าถอยหลัง หมายดึงจังหวะเวลาในการต้านทานรับมือ
แต่ทันทีที่ถอยเขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง การเคลื่อนไหวของเขากลายเป็นเชื่องช้าเพราะถูกกระแสน้ำต้านทานไว้
“เขาใช้กระแสน้ำจำกัดการเคลื่อนไหวของฟั่นเพ่ยหยาง” ถังหลิ่นพูดออกมาเสียงแผ่ว น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวิตกกังวล
ขณะพูดทางฮั่วสวี่ก็เคลื่อนไปถึงหน้าฟั่นเพ่ยหยางแล้ว เขาอาศัยความเร็วในการเคลื่อนที่ ยกมือเหวี่ยงหมัดออกไป
หลังจากที่ฟั่นเพ่ยหยางพบว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองถูกจำกัด เขาก็เลิกคิดจะหลบเลี่ยง ตั้งสมาธิแน่วแน่รอรับการมาถึงของอีกฝ่ายแทน
หมัดของฮั่วสวี่พุ่งเข้าใส่หน้าของฟั่นเพ่ยหยาง ทั้งรวดเร็วและรุนแรง
ทว่าฟั่นเพ่ยหยางกลับรวดเร็วยิ่งกว่า เขายกมือขึ้นคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของฮั่วสวี่ แล้วอาศัยทักษะการจับยึดตรึงแขนของฮั่วสวี่ไว้
การต่อสู้ระยะประชิดนี้ทั้งสองฝ่ายสามารถเห็นแม้แต่สีหน้าที่แปรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยของอีกฝ่ายได้ชัดเจน
ทันทีที่ถูกจับไว้ฮั่วสวี่ก็ส่งเสียงประชดพร้อมกับทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมาคราวหนึ่ง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหยันเย้ยชัดแจ้ง ก่อนจะออกแรงสะบัดแขน
ฉงเยวี่ยที่มองดูอยู่ไกลๆ พอเห็นแบบนั้นก็เบ้ปาก “คิดว่าประธานฟั่นของพวกเรากำลังล้อเล่นอยู่หรือไง คิดจะสะบัดหลุดก็สะบัดหลุดได้ง่ายๆ?”
พึ่บ…
ฮั่วสวี่สะบัดหลุดแล้ว
ฉงเยวี่ย “…”
หนานเกอ “…”
เจิ้งลั่วจู๋ “เวร! เจ้านาย คุณเลิกออมกำลังได้แล้ว เอาจริงเลย…”
ถังหลิ่นเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่รู้ตัว เขาสังเกตเห็นแววตาประหลาดใจที่พบได้ยากในดวงตาของฟั่นเพ่ยหยาง ไม่บ่อยนักที่จะมีเรื่องอะไรอยู่นอกเหนือความคาดหมายของฟั่นเพ่ยหยาง ทว่าถังหลิ่นรู้ ฮั่วสวี่เกินความคาดหมายไปแล้ว
เรี่ยวแรงของฟั่นเพ่ยหยางในยามที่คิดจะจับใครสักคนนั้นมากมายขนาดไหนถังหลิ่นย่อมรู้ดี ตอนถูกอีกฝ่ายกุมข้อมือไว้เขาเองก็เคยลองสะบัดดูเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เรี่ยวแรงของฟั่นเพ่ยหยางที่เกาะกุมฮั่วสวี่ไว้เมื่อครู่นั้นเกรงว่ามีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่า นี่เป็นการต่อสู้ที่พัวพันถึงหน้าตา ฟั่นเพ่ยหยางไม่มีทางออมแรงแน่
ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ฮั่วสวี่กลับสลัดหลุดได้ง่ายดาย
ถังหลิ่นดูไม่ผิด จิตใจของฟั่นเพ่ยหยางหวั่นไหวแล้วจริงๆ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ฟั่นเพ่ยหยางหวั่นไหวไม่ใช่เรื่องที่ฮั่วสวี่สลัดหลุดจากการเกาะกุม แต่เป็นพละกำลังของฮั่วสวี่ในเวลานั้น นั่นไม่ใช่พละกำลังที่ร่างกายของคนธรรมดาทั่วไปจะมีได้ ฝ่ามือของเขาในเวลานี้ยังคงรู้สึกชา
เพิ่มพูนความสามารถของร่างกาย?
ในหัวของฟั่นเพ่ยหยางมีเพียงการคาดเดาเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกหวั่นไหวในใจก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเขาแต่ประการใด ทันทีที่ฮั่วสวี่สลัดหลุด เขาก็ค้อมกายขยับขึ้นหน้า
“คิดจะอาศัยเรี่ยวแรงเล็กๆ น้อยๆ นั่นจับฉัน นายไปฝึกใหม่ก่อนดีกว่า” ฮั่วสวี่พูดกับฟั่นเพ่ยหยางอย่างเย็นชา เท้าไม่แม้แต่จะขยับ คล้ายรอการพุ่งเข้ามาของฟั่นเพ่ยหยาง
ภายใต้ท่าทีหนักแน่นของอีกฝ่าย ฟั่นเพ่ยหยางสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เขารีบหยุดเท้า
ทว่าขณะนั้นฮั่วสวี่กลับกระโจนเข้ามา พุ่งชนร่างฟั่นเพ่ยหยางจนล้ม
ทั้งคู่ต่างต้องการสู้ระยะประชิด ร่างของพวกเขาสองคนล้มลงไปในน้ำ
ผืนน้ำแตกฉานซ่านเซ็น เห็นเพียงคนสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่ด้วยกัน ทว่ากลับไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นใคร
“ทำไมถึงไม่ใช้ต้นไอเทมล่ะ” หนานเกอมองดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจ พึมพำกับตัวเอง “พวกเขาสองคนสามารถโจมตีระยะไกลได้ แล้วทำไมถึงต้องสู้กันด้วยหมัดลุ่นๆ แบบนั้นด้วย”
“ต้นไอเทมกินแรงมาก” ถังหลิ่นอธิบายอย่างใจเย็น “การต่อสู้ในวันนี้ต้องไม่จบลงง่ายๆ แน่ ฟั่นเพ่ยหยางกำลังรักษากำลังแรงกายไว้ ส่วนฮั่วสวี่…” สายตาของถังหลิ่นที่มองไปทางสมรภูมิรบนั้นกระจ่างใสและแหลมคม “เขาใช้ต้นไอเทมอยู่ตลอดเวลา”
หนานเกอตะลึง ในที่สุดก็พบว่าตัวเองเข้าสู่จุดบอดโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ฮั่วสวี่ลงมือโจมตีคู่ต่อสู้โดยใช้ ‘คลื่นน้ำ’ ไม่หยุด จนเธอเผลอคิดไปว่า ‘ไม่มีคลื่นน้ำ = ไม่ได้ใช้ต้นไอเทม’ แต่ในความจริงแล้ว ต้นไอเทมของฮั่วสวี่ไม่ใช่ ‘คลื่นน้ำ’ แต่เป็น ‘น้ำ’ ตั้งแต่เริ่มต่อสู้มาจนถึงตอนนี้พื้นห้องฝึกซ้อมก็ไม่เคยแห้งเลย การเคลื่อนไหวของฟั่นเพ่ยหยางไม่เพียงได้รับผลกระทบ ความจริงตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ถูกห้อมล้อมไว้ด้วย ‘อาวุธ’ ของฮั่วสวี่มาโดยตลอด
คล้ายตอบรับกับการพูดคุยกันของคนที่ดูอยู่รอบๆ จู่ๆ น้ำในสนามรบก็ถอยจากไป เผยให้เห็นถึงคนทั้งสองที่กำลังยืนคุมเชิงกันอยู่บนพื้นห้อง
ฟั่นเพ่ยหยางล็อกแขนกดขาของฮั่วสวี่ไว้ ดูเหมือนจะตรึงอีกฝ่ายกับพื้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ทว่าภาพที่อีกฝ่ายสลัดหลุดจากการจับกุมของฟั่นเพ่ยหยางได้ง่ายดายก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่รอบๆ หรือแม้แต่ตัวฟั่นเพ่ยหยางเองก็ไม่กล้าชะล่าใจ
สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางสมรภูมิ ไม่ว่าใครก็ไม่ทันสังเกตว่าน้ำที่ลดลงไปนั้นได้ทิ้งหยดน้ำเล็กๆ ไว้แนวหนึ่ง
ขณะที่มันหยุดนิ่ง ฮั่วสวี่เองก็หยุดต่อต้านเช่นกัน เขาปล่อยตัวตามสบาย มองดูฟั่นเพ่ยหยางที่อยู่ทางด้านบน เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นายได้เวลาตายแล้ว”
หยดน้ำที่หยุดนิ่งอยู่บนพื้นไม่ต่างอะไรกับเข็มแหลมพุ่งแหวกอากาศเร็วเสียยิ่งกว่าปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ทั้งยังรุนแรงยิ่งกว่า มันพุ่งโจมตีเข้าใส่แผ่นหลังของฟั่นเพ่ยหยาง
คนที่อยู่ข้างผนังทั้งสี่ต่างพากันหยุดหายใจ น้ำเมื่อถึงระดับหนึ่งย่อมสามารถฆ่าคนได้ คราวนี้แผ่นหลังของฟั่นเพ่ยหยางมีหวังได้ทะลุเป็นรูแน่!
สัญชาตญาณในการระแวดระวังตัวของฟั่นเพ่ยหยางทำให้เขาหันกลับไปรวดเร็ว แต่น้ำนั่นกลับเร็วยิ่งกว่า ตอนนี้มันพุ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว และกำลังจะพุ่งทะลุไหล่ของฟั่นเพ่ยหยาง ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย
กึก…
หยดน้ำที่แหลมคมไม่ต่างอะไรกับเข็มหยุดแล้ว
ขณะที่ปลายแหลมของมันกำลังจะสัมผัสถูกเสื้อของฟั่นเพ่ยหยาง มันก็คล้ายถูก ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ สะกดไว้ก่อนที่จะเคลื่อนไปถึงไหล่ของฟั่นเพ่ยหยาง
ดวงตาของฮั่วสวี่ระอุไปด้วยเพลิงแค้น เขาหันมองไปทางฉงเยวี่ยที่อยู่ข้างผนัง สายตาแทบจะเผาฉงเยวี่ยให้มอดไหม้ได้ในชั่วพริบตา
ฉงเยวี่ยเบิกตากว้าง สีหน้าท่าทางราวกับกำลังบอกว่าตนเองถูกใส่ความ “ไม่ใช่ฝีมือฉัน…”
เขาอยากช่วยก็จริง แต่สุดท้ายก็ถูกถังหลิ่นขวางไว้
ฮั่วสวี่ผลักฟั่นเพ่ยหยางออก กระโดดลุกขึ้นจากพื้น มองดูคนทั้งสี่ที่อยู่ข้างผนังด้วยสายตาหยันเย้ย “เลิกมุงดูได้แล้ว พวกนายเข้ามาให้หมดนั่นแหละ”
ไม่ว่าจะแบบไหนก็เหมือนกัน เพราะงั้นก็ทำมันให้โจ่งแจ้งไปเลย สู้กันจะได้สะดวกๆ
ฉงเยวี่ยโมโห “นายนี่ทำไมถึงได้…”
“ฉันลืมบอกไป” ฟั่นเพ่ยหยางลุกขึ้น เดินไปทางด้านข้างสองก้าว ออกจากขอบเขตการโจมตีของน้ำนั่นอย่างไม่สะทกสะท้าน “ ‘วินาศกรรมระดับกลาง’ ของฉันคือการเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศและทำให้ระเบิด”
ครั้นพูดจบฟั่นเพ่ยหยางก็ตัดการเชื่อมต่อกับต้นไอเทม
น้ำที่หยุดอยู่กลางอากาศนั้นพุ่งออกไป มันยังคงพุ่งตรงไปตามเส้นทางการโจมตีเมื่อครู่ แต่เพราะไม่มีเป้าหมายบังขวาง สุดท้ายมันจึงพุ่งใส่ผนังที่อยู่ปลายทางอีกด้านดังปั่ก ก่อนจะกระจัดกระจายกลายเป็นหยดน้ำ
ฮั่วสวี่ย่อมรู้ว่าฟั่นเพ่ยหยางสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศได้ ไม่อย่างนั้นการโจมตีก่อนหน้านั้นก็เท่ากับว่าเกิดขึ้นได้เพราะก้อนหินพวกนั้นมีชีวิตขึ้นมาเองแล้ว แต่ที่เขานึกไม่ถึงก็คือ “ที่แท้การเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศยังสามารถเคลื่อนย้ายต้นไอเทมของคนอื่นได้ด้วย”
“แต่ก่อนไม่ได้ จนกระทั่งมาถึงเขตรวมพลถึงทำได้” ฟั่นเพ่ยหยางบอกออกไปตามตรง “นายเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มลอง อย่าลืมให้ข้อเสนอแนะกลับมาด้วยล่ะ”
ฮั่วสวี่ไม่ได้ตอบแต่มองกลับไปที่ฉงเยวี่ย “ฉันเชื่อนายแล้ว”
ฉงเยวี่ย “…”
แบบนี้เรียกว่าเชื่อเขา? ถ้าไม่มีประธานฟั่นยืนยัน เขามีหวังต้องแบกรับคำกล่าวหาว่าแอบใช้ต้นไอเทมจนกว่าระบบเซียวจะล่มสลายแน่!
“เชี่ยยย เจ้านายไปฝึกมันตั้งแต่เมื่อไหร่…” เจิ้งลั่วจู๋ถอนหายใจตะลึงลาน ตอนอยู่ในนครใต้พิภพกับโลกใต้บาดาลเขาใช้แผ่นเหล็กร่วมฝึกฝนกับฟั่นเพ่ยหยางมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนั้นต้นไอเทมของฟั่นเพ่ยหยางทำอะไรกับแผ่นเหล็กของเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ตอนนั้นเขายังบอกว่าไม่มีทางที่จะใช้เคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศกับต้นไอเทมของคนอื่นได้ ถ้าทำได้จริงแบบนั้นก็เท่ากับไร้เทียมทานแล้ว
ตอนนี้ประธานฟั่นได้สาธิตให้เขาดูแล้วว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้’
“เอ๋ ไม่ถูกสิ” ฉงเยวี่ยที่เพิ่งรู้สึกตัวขยับเข้าไปใกล้หนานเกอกับเจิ้งลั่วจู๋แล้วกระซิบถาม “เคลื่อนย้ายวัตถุผ่านอากาศคือ ‘เสียงสวรรค์ของคนคร้าน’ ใช่ไหม” หลังจากเข้าร่วมกลุ่ม ภายใต้การชี้นำของหัวหน้ากลุ่มเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งในต้นไอเทมของพรรคพวกแต่ละคนเหมือนกับนิ้วบนมือตัวเอง ‘ ‘‘วินาศกรรม’ คือ ‘คนคร้าน’ ต้นไอเทมพื้นฐานที่เพิ่มเติมการระเบิดเข้าไป ทำไมประธานฟั่นถึงบอกกับเจ้าหนุ่มนั่นว่าต้นไอเทมคือ ‘วินาศกรรมระดับกลาง’ ไม่ใช่ ‘เสียงสวรรค์ของคนคร้าน’ ล่ะ”
เจิ้งลั่วจู๋ส่ายหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยคำว่า ‘สหายน้อย นายยังไม่เข้าใจประธานฟั่นดี’
หนานเกอกลับตอบออกมาตรงๆ “ก็เพราะมันไม่น่าฟังไง”
“…ภาระของการเป็นไอดอลหนักหนาสาหัสจริงๆ” ฉงเยวี่ยเงยหน้ามองไปทางสมรภูมิรบ ประธานฟั่นกำลังเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งใหม่ มีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่เหนือศีรษะ ทว่าประธานฟั่นกลับหน้าไม่มีเปลี่ยนสี ฉงเยวี่ยสองตาวับวาวเป็นประกาย “แต่ไม่ว่าภาระจะหนักหนาสักขนาดไหนก็ไม่มีทางทำลายเสน่ห์ชวนหลงใหลนั่นได้”
เจิ้งลั่วจู๋ทนฟังต่อไปไม่ไหว “นายนี่มันขี้ประจบชัดๆ!”
หนานเกอตบไหล่เจิ้งลั่วจู๋เบาๆ “เรื่องนี้นายเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาวบ้านสักเท่าไหร่หรอก”
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
ที่บรรดาสมาชิกกลุ่มสบายใจขึ้นมาได้ ทั้งนี้ก็เพราะเห็นฟั่นเพ่ยหยางสามารถใช้การเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศหยุดยั้งการโจมตีของฮั่วสวี่
ทว่าถังหลิ่นไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบนั้น
ปริมาณ ‘น้ำ’ ที่อีกฝ่ายใช้โจมตีเมื่อครู่มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าฟั่นเพ่ยหยางสามารถควบคุมคลื่นยักษ์ได้ทั้งหมด เขาก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรกับไก่ตกน้ำแกงตั้งแต่แรกแล้ว
โครม…
คลื่นยักษ์ถาโถมลงมาอีกครั้ง ฟั่นเพ่ยหยางโซเซ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงยืนนิ่งได้อยู่
ฮั่วสวี่หยุดโจมตี เพราะผลลัพธ์การทดสอบปรากฏชัดแล้ว “การเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศของนายมีผลกับกระแสน้ำจำนวนไม่มากเท่านั้น ไม่อาจรับมือได้ทั้งหมด”
ฟั่นเพ่ยหยางเสยเส้นผมที่เปียกชื้นปรกหน้าผากอยู่ไปด้านหลัง จะได้มองเห็นชัดมากยิ่งขึ้น “การโจมตีด้วยน้ำของนาย ทำได้เพียงเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นวัตถุมีคมเท่านั้นถึงจะทำคนบาดเจ็บได้ อาวุธมีคมจำเป็นต้องมีน้ำในปริมาณที่เล็กน้อย แต่มันกลับถูกฉันหยุดยั้งเอาไว้ได้ ถ้าไม่อยากถูกฉันยับยั้ง นายก็ต้องทำเหมือนเมื่อครู่ ใช้น้ำปริมาณมาก แต่ทันทีที่น้ำมีปริมาณมาก ความสามารถในการทำลายล้างก็ย่อมลดลง วิธีการทั้งสองอย่างนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก”
“เหมือนนายจะลืมอะไรไปบางอย่าง” ฮั่วสวี่เอ่ยเตือน “คลื่นยักษ์ของฉันสามารถส่งนายขึ้นไปบนฝ้าเพดาน ความสูงระดับนั้นถึงจะทำคนตายไม่ได้ แต่ตกลงมาซ้ำๆ นายย่อมไม่อาจฝืนทนได้นาน”
“นายเองก็คงลืมไปเหมือนกัน” ฟั่นเพ่ยหยางเปลี่ยนมาเตือนอีกฝ่ายบ้าง “นับแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ล้วนมีแต่นายที่เป็นฝ่ายโจมตี ฉันนอกจากเล่นงานเข่านายในตอนเริ่มแรกครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ลงมืออะไรอีก”
ฮั่วสวี่พิจารณาดูฟั่นเพ่ยหยางตั้งแต่หัวจรดเท้า “นายจะบอกฉันว่านายยังไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา?”
ฟั่นเพ่ยหยางหนีบเสื้อขึ้น สะบัดให้มันไม่แนบติดตัวจนส่งผลต่อภาพลักษณ์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ฉันอยากจะบอกว่าดีที่สุดนายควรเลิกความคิดที่จะคว้าชัยชนะให้ได้เร็วที่สุด กลยุทธ์ของฉันคือสู้กับนายไปเรื่อยๆ ซึ่งฉันทำได้แน่”
“เรื่อยๆ?” ฮั่วสวี่คล้ายได้ยินเรื่องน่าขัน “ฉันคิดว่าเป้าหมายของนายคือการเอาชนะฉันให้ได้เสียอีก”
“เป้าหมายไม่ส่งผลต่อกลยุทธ์” ฟั่นเพ่ยหยางอ่านการ PK ในครั้งนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “ต้นไอเทมของพวกเราสองคนล้วนเป็นประเภทโจมตี ไม่มีป้องกัน ฉันไม่สามารถหลบการโจมตีของนายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นายเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมีปัญหาให้คนลำบากใจอีกข้อ นั่นก็คือวันนี้พวกเราทั้งคู่ต่างไม่มีใครนึกอยากฆ่าคน…”
ฮั่วสวี่หรี่ตา ปิดปากเงียบ
ฟั่นเพ่ยหยางบอก “ถ้านายอยากฆ่าฉันจริง น้ำเมื่อครู่นี้คงไม่พุ่งเข้าใส่ไหล่ฉันแน่ และถ้าฉันอยากเอาชีวิตนาย การโจมตีครั้งแรกนั่นฉันก็คงไม่ให้ก้อนหินนั่นระเบิดใส่ขานาย แต่การบาดเจ็บเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นการ PK ที่เกิดขึ้นในวันนี้คงต้องดูแล้วว่าใครจะเสียเลือดมากกว่ากัน ใครที่จะประคองตัวไม่ไหวก่อน”
ตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมาในที่สุดฮั่วสวี่ก็เผยยิ้มที่แท้จริงออกมาเป็นครั้งแรก นี่ทำให้บรรยากาศชวนอึดอัดหายลับไปจนสิ้น
เขาบอก “งั้นมาลองดูกัน”
เจิ้งลั่วจู๋ที่อยู่ข้างผนังลูบหลังคอที่เย็นเยียบแล้วเอ่ย “ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนเขากำลังเสียสติ”
ถังหลิ่นหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น “ยิ่งเสียสติก็ยิ่งดี การ PK กันครั้งนี้ ยิ่งเขาเอาจริงมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีกับพวกเรามากเท่านั้น”
“เอ๋ หัวหน้า ผมไม่เข้าใจตรรกะที่ว่านั่นสักเท่าไหร่เลย” เจ้าอ้วนเยวี่ยเกาหัว “ยิ่งเขาเอาจริง ประธานฟั่นก็ยิ่งรับมืออีกฝ่ายลำบากไม่ใช่เหรอ แบบนั้นมันจะส่งผลดีกับพวกเราได้ยังไง”
เจิ้งลั่วจู๋มองมา เขาเองก็รู้สึกงุนงงสงสัยเช่นกัน
ถังหลิ่นถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง เขาส่งสายตาไปทางหนานเกอคราวหนึ่ง
หนานเกอเข้าใจได้ทันที เธอถามพรรคพวกทั้งสองแทนหัวหน้ากลุ่มที่กำลังรู้สึกอ่อนใจ “วันนี้พวกเรามาทำอะไร”
เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยสบตากันปราดหนึ่ง ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองยังไม่ลืม “เชิญฮั่วสวี่เข้ากลุ่ม”
หนานเกอพยักหน้า “เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการ PK กันในครั้งนี้จึงไม่ใช่การแพ้ชนะ ไม่ใช่การตบหน้า หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้ฮั่วสวี่ได้เห็นถึงศักยภาพของพวกเรา”
สิ่งที่จำเป็นสำหรับการหาสมัครพรรคพวกไม่ใช่ ‘การบดขยี้’ แต่เป็น ‘การยอมรับ’
เวลาเที่ยงตรงแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องว่างบนเพดานทรงโค้งเข้ามายังเขตรวมพล เกิดเป็นจุดด่างเต็มพื้นบริเวณโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง
นี่เป็นช่วงเที่ยงตรงที่บรรยากาศอบอุ่น เงียบสงบ สบายๆ เหมาะที่จะกินดื่มอิ่มหนำสำราญ นอนพักกลางวันอยู่บนเตียง
ปกติคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านอยู่ที่เขตรวมพลล้วนทำเช่นนี้
ทว่าวันนี้ทุกคนต่างตื่นตัวไม่ต่างอะไรกับนกเค้าแมว
เมื่อทอดตามองไป ทุกชั้นล้วนมีเงาคนแน่นขนัด แม้แต่โถงใหญ่บริเวณชั้นหนึ่งก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน
ถ้าบอกว่าช่วงเช้าตอนกลุ่ม VIP เพิ่งไปรบกวนฮั่วสวี่มีคนที่เข้ามาห้อมล้อมมุงดูแค่หนึ่งในสาม เช่นนั้นตอนนี้ผู้คนทั่วทั้งเขตรวมพลก็ต่างให้ความสนใจกับเรื่องนี้หมดสิ้น ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาบ้างก็เดินวนเวียนไปมาอยู่บนระเบียงทางเดินบนชั้นของตัวเอง บ้างก็ยึดครองพื้นที่อยู่ในโถงใหญ่ชั้นหนึ่งเพียงเพื่อรอฟังข่าวว่าตกลงการศึกษาแลกเปลี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง!
นับแต่เช้าจนถึงตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบห้าชั่วโมงแล้ว กลุ่ม VIP กับฮั่วสวี่ยังไม่มีใครออกมาจากห้องฝึกซ้อมเลยแม้แต่คนเดียว
ต้องเข้าใจว่าทุกคนต่างยอมรับว่า ‘การ PK ในห้องปิดตาย’ เป็นการ PK ที่รู้ผลแพ้ชนะเร็วที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้วิ่งหนีและไม่อาจถ่วงเวลาได้ เป็นการเผชิญหน้าต่อสู้กันอย่างแท้จริง หากเป็นการต่อสู้กันของยอดฝีมือ สู้กันไม่กี่ทีก็รู้ผลแพ้ชนะได้แล้ว จะตายหรือบาดเจ็บ จะแพ้หรือชนะ เพียงไม่มีนาทีผลลัพธ์ก็กระจ่างแจ้งแล้ว
สู้กันสี่ชั่วโมงกว่านี่มันอะไรกัน? แข่งวิ่งมาราธอนหรือไง ต่อให้สมรรถภาพทางกายทนไหว พลังจิตก็ไม่มีทางทำได้! ควบคุมต้นไอเทมนานถึงสี่ชั่วโมง แถมยังเป็นการต่อสู้ดุเดือดแบบนี้ พวกเขาสองคนยังมีชีวิตอยู่อีกงั้นเหรอ
“ถามหน่อย สถานการณ์ตอนนี้…” น้ำเสียงหงุดหงิดของใครบางคนดังลอยมา
หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาทีก็มีเสียงอ่อนล้าทั้งกายใจของใครอีกคนดังลอดออกมาจากภายในห้อง “สถานการณ์ก็คือไม่มีสถานการณ์อะไรทั้งนั้น ประตูห้องฝึกซ้อมยังปิดอยู่…”
“นายมั่นใจว่าไม่มีดูพลาด” มีคนสงสัย
คนคนนั้นโมโห “ฉันจ้องหน้าจอจนตาจะบอดอยู่แล้ว!”
เหอลวี่เป็นคนกลุ่มน้อยที่ไม่นึกอยากรู้อยากเห็น ตอนเช้าหลังจากกลุ่ม VIP เข้าไปในห้องของฮั่วสวี่ เขากับสมาชิกกลุ่มก็เข้าไปฝึกซ้อมประจำวันอยู่ในห้องฝึกซ้อม พอถึงตอนเที่ยงพวกเขาก็ออกมากินข้าว เริ่มพักกลางวัน สมาชิกกลุ่มรายนั้นก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่ ออกมาชำเลืองดูสถานการณ์ก่อนจะกลับไปรายงานให้เหอลวี่ฟัง
ที่จริงก็ไม่มีอะไรให้รายงานมากนัก แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น…ยังไม่ออกมา
“หัวหน้า คุณว่าพวกเขาเข้าไปกันจนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมา หรือว่าจะมีหวังอะไรบางอย่าง ไม่ใช่ว่าเจ้าบ้านั่นถูกกลุ่ม VIP กล่อมจนอยู่หมัดแล้วนะ?” เดิมทีสมาชิกลุ่มรายนั้นมั่นใจว่ากลุ่ม VIP ต้องถูกปฏิเสธหน้าหงายกลับมาแน่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มหวั่นไหวไม่มั่นใจแล้ว
เหอลวี่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เพราะนั่นเป็นเรื่องของชาวบ้าน แต่ในเมื่อสมาชิกกลุ่มของตัวเองถามเช่นนั้น เขาก็ได้แต่ครุ่นคิดจริงจังก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีทาง การ PK ครั้งนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ฮั่วสวี่ก็ไม่มีทางตกลงเข้าร่วมกลุ่มแน่”
“ต่อให้กลุ่ม VIP ชนะก็ไม่ตกลง?” สมาชิกกลุ่มงุนงง ทันทีที่นึกถึงท่าทีชวนถูกอัดของฮั่วสวี่ น้ำเสียงเขาก็เปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีขึ้นมา “ตกลงเจ้าบ้านั่นคิดจะหากลุ่มแบบไหนกันแน่ หรือว่าต้องให้ผู้คุมด่านรวมกลุ่มมาเล่นสนุกกับเขา”
“แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยคิดอยากเข้ากลุ่ม” เหอลวี่ไม่เคยเชื้อเชิญฮั่วสวี่ด้วยตัวเองมาก่อน แต่เคยเดินเฉียดไหล่กับอีกฝ่ายครั้งหนึ่งตอนอยู่ในโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงจดจำสายตาดื้อรั้นเหินห่างนั่นได้ดี “เขาไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น”
ห้องฝึกซ้อมภายในห้องหมายเลข 8066
เวลานี้ฟั่นเพ่ยหยางกับฮั่วสวี่ต่างอ่อนล้าหมดแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน
ห้องฝึกซ้อมเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบน้ำเขม่าควันยุ่งเหยิงเละเทะ
ทุกที่ล้วนเปียกชื้นราวกับถูกจับแช่อยู่ในน้ำทะเล ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อราวกับถูกระเบิดลง
ที่อยู่ข้างผนังคือ ‘แผ่นเหล็กม้วนหนึ่ง’ ซึ่งด้านในแผ่นเหล็กนั้นประกอบไปด้วยถังหลิ่น หนานเกอ เจิ้งลั่วจู๋ และฉงเยวี่ย ศีรษะของคนทั้งสี่ทาบทับอยู่ด้วยกันจากบนลงล่าง จับจ้องสมรภูมิรบผ่านช่องว่าง
ไม่ทำแบบนี้ไม่ได้
คนพูดน้อยสองคนสู้กันอย่างเต็มกำลังนั้นโคตรน่ากลัว ไม่มีหยุดพัก ไม่มีหอบหายใจ มีแต่ลงมือ
ทว่าตอนนี้การศึกษาแลกเปลี่ยนดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
พลังจิตของพวกเขาสองคนหมดไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว การต่อสู้ด้วยไอเทมเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แบบอิสระ
ด้านความเร็วและกำลังของฮั่วสวี่ล้วนเหนือกว่าฟั่นเพ่ยหยาง หรืออาจพูดได้ว่าเหนือกว่ามาตรฐานของคนธรรมดาทั่วไป แต่มีอยู่จุดหนึ่งคือเขาเป็นคนบุ่มบ่าม
เรื่องนี้ทำให้ทุกครั้งที่โจมตีเขาล้วนทุ่มสุดกำลัง ดังนั้นเมื่อสู้มาถึงช่วงหลังๆ กำลังกายของฟั่นเพ่ยหยางก็กลับกลายเป็นได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ขอเพียงเขาต้านทานหลบหลีกการโจมตีหนักหน่วงรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่าของฮั่วสวี่ได้ เขาย่อมเป็นฝ่ายชนะ
ทว่าเขากลับต้านทานไว้ไม่ไหว ภายใต้การโจมตีครั้งสุดท้ายของฮั่วสวี่ ฟั่นเพ่ยหยางก็หมอบอยู่กับพื้น ไม่มีเรี่ยวแรงยันกายลุกขึ้นอีก
ฮั่วสวี่เดินโซซัดโซเซมาหยุดอยู่ตรงหน้าฟั่นเพ่ยหยาง หอบหายใจพลางปาดเช็ดเลือดบนใบหน้า มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเบิกบาน “ฉันชนะแล้ว”
ฟั่นเพ่ยหยางนอนหงายอยู่กับพื้น หายใจหอบถี่มองดูอีกฝ่าย
โป๊ก…
แผ่นเหล็กที่บังขวางอยู่หน้าผู้ชมทั้งสี่ลอยออกจาก ‘แผ่นเหล็กม้วนหนึ่ง’ ฟาดเข้าใส่ศีรษะของฮั่วสวี่เต็มรัก
ฮั่วสวี่ที่มีกำลังกายเหลือเพียงเล็กน้อยล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นดังตึง
ภายในแผ่นเหล็กที่หายไปด้านหนึ่ง ใบหน้าของคนทั้งสามเต็มไปด้วยความรู้สึกงงงัน เว้นแต่ถังหลิ่นที่สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ที่ระคนอยู่ท่ามกลางเสียงถอนหายใจชื่นชมคือความเงียบ ท่ามกลางความเงียบแฝงไว้ซึ่งความเลื่อมใส
คนแรกที่รู้สึกตัวคือเขา ถังหลิ่นรีบวิ่งเข้าไปประคองคน
พรรคพวกทั้งสามวิ่งตามมา เจิ้งลั่วจู๋ช่วยถังหลิ่นประคองฟั่นเพ่ยหยาง หนานเกอกับฉงเยวี่ยแบกฮั่วสวี่ที่ถูกฟาดจนสลบ
“เจ้านาย คุณไม่มีแรงควบคุมต้นไอเทมตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนไม่ใช่เหรอ” เจิ้งลั่วจู๋ไม่เข้าใจ
ฟั่นเพ่ยหยางอาศัยแรงประคองฝืนหยัดตัวขึ้น แม้กำลังกายจะหมดสิ้นแต่น้ำเสียงกลับยังมั่นคง “ตอนหยุดควบคุมต้นไอเทม ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังใช้มันได้อีกสามถึงห้าครั้ง”
เจิ้งลั่วจู๋จำได้ว่าเจ้านายของตัวเองกับฮั่วสวี่หยุดควบคุมต้นไอเทมแทบจะในเวลาเดียวกัน นั่นก็หมายความว่า “ตอนเขาใช้พลังจิตหมด อันที่จริงเจ้านายยังควบคุมต้นไอเทมไหว?”
ฟั่นเพ่ยหยางเทน้ำหนักร่างกายส่วนใหญ่ไปบนตัวของถังหลิ่น พยักหน้าสบายๆ
เจิ้งลั่วจู๋ยิ่งถามก็ยิ่งสงสัย “งั้นทำไมเจ้านายถึงไม่ลงมือในคราวเดียวเลย ตอนนั้นถ้าลงมือรุกโจมตีต่อ การต่อสู้คงจบไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว”
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้ตอบ
ถังหลิ่นรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของอีกฝ่าย เขารู้ว่าฟั่นเพ่ยหยางในเวลานี้เหนื่อยจนไม่อยากพูดอะไรแล้ว
หลังจากขยับตัวประคองฟั่นเพ่ยหยางให้มั่นคงมากกว่าเดิมเป็นที่เรียบร้อย ถังหลิ่นก็อธิบายแทน “ประการแรก ตอนนั้นต่อให้ใช้ต้นไอเทมเล่นงานอีกฝ่ายก็ไม่แน่ว่าจะยุติการต่อสู้ได้ ประการที่สอง ถ้ายุติการต่อสู้ตั้งแต่ตอนนั้น สิ่งที่ประธานฟั่นของนายจะแสดงให้ฮั่วสวี่ได้เห็นก็มีแต่ความสามารถของต้นไอเทม ไม่ใช่กำลังกายและเนื้อแท้ ประการที่สาม…”
เจิ้งลั่วจู๋คิดว่าแค่สองข้อก็จบแล้ว “ยังมีประการที่สาม?”
“ไม่ใช่แค่มี แต่ยังสำคัญมากด้วย” ถังหลิ่นยกมุมปากแล้วบอก “ประการที่สาม เพราะเขาเป็นห่วงว่าหลังจากสู้กันจนถึงตอนท้าย ความสามารถแฝงของฮั่วสวี่อาจยังไม่หมด ดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจมีพลังที่สามารถระเบิดจักรวาลเล็กๆ ออกมาได้ ดังนั้นถึงได้เก็บพลังจิตไว้บางส่วนเผื่อไว้ใช้เหมือนอย่างเมื่อครู่ ยุติการต่อสู้”
เจิ้งลั่วจู๋กลืนน้ำลาย “แล้วถ้าผมไม่ได้ใช้แผ่นเหล็กล่ะ”
“เขาก็เลือกใช้ของอย่างอื่น อาจจะเป็นก้อนหิน แผ่นเหล็ก เข็ม ก็ต้องดูว่าอารมณ์ของเขาในตอนนั้นเป็นยังไง” ถังหลิ่นพูด ครั้นสังเกตเห็นว่าเส้นผมของฟั่นเพ่ยหยางในเวลานี้ยุ่งเหยิง เขาก็ไม่แม้แต่จะหยุดคิด ยกมือขึ้นช่วยอีกฝ่ายจัดผมอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายเคยทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน “เขาพกข้าวของติดตัวไว้มากมาย ในกระเป๋าของผมยังมีมีดที่เขาใส่ไว้อยู่ก่อนหน้านี้อีก”
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
เขาในเวลานี้น่าจะแสดงความเลื่อมใสต่อประธานฟั่น นึกเห็นอกเห็นใจฮั่วสวี่ หรือเคี้ยวอาหารหมากร้วมๆ ดี
ถังหลิ่นกับเจิ้งลั่วจู๋ประคองฟั่นเพ่ยหยางไปที่หน้าประตู เตรียมพาอีกฝ่ายกลับห้องก่อนแล้วค่อยทำการรักษา
ส่วนหนานเกอกับฉงเยวี่ยพาฮั่วสวี่เข้าไปในห้องพยาบาลแล้ว กำลังเตรียมปลดผ้าพันแขนของฮั่วสวี่ จะได้ใช้เครื่องหมายบนแขนดำเนินการรักษา
แต่ทันทีที่มือของหนานเกอแตะถูกผ้าพันแผลฮั่วสวี่ก็ได้สติ เขารีบคว้ามือของหนานเกอไว้ เรี่ยวแรงไม่เหมือนคนหมดสิ้นเรี่ยวแรงไม่ได้สติเมื่อหนึ่งวินาทีก่อนเลยแม้แต่น้อย
หนานเกอสะดุ้ง ฉงเยวี่ยตกตะลึงและพูดว่า “นายคิดจะทำอะไร ดูให้ดีๆ ที่นี่มันห้องพยาบาล พวกเรากำลังช่วยนายเริ่มต้นการรักษา”
ฮั่วสวี่ขมวดคิ้ว เพ่งมองดูพวกเขาสองคนอยู่นาน คล้ายเพิ่งเข้าใจคำพูดของฉงเยวี่ย
“ไม่ต้อง” เขาปล่อยมือหนานเกอ ขณะเดียวกันก็ชักแขนกลับ พูดอย่างเรียบง่ายหยาบคายว่า “พวกนายไสหัวไปได้แล้ว”
“อ้าว เจ้าเด็กบ้านี่ ตกลงนายซ่อนอะไรไว้ใต้ผ้าพันแผลนั่นกันแน่!” ฉงเยวี่ยนึกโมโห
ฮั่วสวี่ไม่พูดไม่จา ทำเพียงจ้องเขาเขม็ง สายตาเหี้ยมโหดคล้ายสัตว์ร้ายที่ถูกรุกล้ำเขตแดน
ฉงเยวี่ยถูกอีกฝ่ายมองจนหนังหัวชาไปหมด
หนานเกอเอ่ยปากพูดได้ถูกจังหวะ น้ำเสียงถึงไม่จัดว่าอ่อนโยนแต่ก็สุภาพ “ในเมื่อฟื้นแล้ว งั้นนายก็รีบรักษาตัวเถอะ พวกเราขอตัวก่อน คราวหน้า…”
“ไม่มีคราวหน้า” ฮั่วสวี่ตัดบท ความรู้สึกอ่อนล้าทำให้เสียงของเขาแหบพร่า แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีกลับหนักแน่นมั่นคง “ฉันไม่มีทางเข้าร่วมกลุ่มกับใครทั้งนั้น”
ห้องหมายเลข 1611 ของฟั่นเพ่ยหยาง
ฟั่นเพ่ยหยางกำลังรักษาตัวอยู่ในห้องพยาบาล ถังหลิ่นกับสมาชิกกลุ่มทั้งสามรออยู่ในห้องรับแขก
“เรื่องก็เป็นแบบนี้” หนานเกอเล่าถึงปฏิกิริยาท่าทางของฮั่วสวี่ตอนอยู่ในห้องพยาบาลให้ถังหลิ่นฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่มีต่อเติม สุดท้ายก็มองดูหัวหน้ากลุ่มของตัวเองด้วยสายตาวิตกกังวล “เขายืนกรานเสียงแข็งจริงๆ คุณจะลองพิจารณาดูอีกทีหรือเปล่า แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน* แน่”
“แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน” ถังหลิ่นบอก “พวกเราไม่ต้องการให้เขาฝืนใจ แต่ต้องการให้เขาสมัครใจเอง”
ก่อนหน้านี้หนานเกอรู้สึกแค่ว่าประธานฟั่นหัวรั้นเอาแต่ใจ ทว่ายามนี้เธอกลับพบว่าประธานถังเองก็ไม่ต่างอะไรกัน “PK กันขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอม ฉันนึกภาพเขาสมัครใจเข้าร่วมกลุ่มไม่ออกจริงๆ”
ถังหลิ่นนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะช้อนตาขึ้นเอ่ยว่า “อันที่จริงเมื่อวานตอนพวกเราวางแผนกัน ผมก็รู้แล้วว่าวันนี้ไม่ว่าจะสู้แพ้หรือชนะ ฮั่วสวี่ก็ไม่มีทางยินดีเข้าร่วมกลุ่มเป็นอันขาด”
“เอ๋?” ฉงเยวี่ยอ้าปากกว้าง “งั้นพวกเราเหนื่อยกันทั้งวันเพื่ออะไร”
“ทักทาย” ถังหลิ่นสีหน้าจริงจัง “คิดจะดึงชาวบ้านเข้ามาเป็นพวก ไม่ว่ายังไงก็ต้องทักทายกันสักหน่อย”
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
การ ‘ทักทาย’ นี้ไม่ดุเดือดเกินไปหน่อยหรือไง!
“หัวหน้า” หนานเกอพอจะฟังออกถึงสายสนกลในอะไรบางอย่าง “ถ้าวันนี้แค่เป็นการทักทาย นั่นก็แปลว่าหลังจากนี้คุณยังมีแผนอื่นอีก?”
ถังหลิ่นไม่ได้รีบตอบ ตรงกันข้ามกลับถามอีกฝ่ายกลับว่า “ทุกคนรู้สึกว่าไป๋ลู่เสียกับฮั่วสวี่คล้ายกันหรือเปล่า”
เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยไม่เข้าใจว่าคนทั้งสองมีอะไรเกี่ยวข้องกันตรงไหน
มีเพียงหนานเกอเท่านั้น หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ตอบออกมา “พวกเขาสองคนล้วน…ชักจูงได้ยาก?”
“ฉันรู้สึกว่าไป๋ลู่เสียยังพอเป็นไปได้” ฉงเยวี่ยย้อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนอยู่บนเกาะร้างฉันกับเขาอยู่กลุ่มเดียวกัน ถึงเขาจะไม่กระตือรือร้นนัก แต่ก็ไม่ได้สร้างความปั่นป่วนอะไร สุดท้ายยังพาพวกเราขึ้นเรือด้วย”
เจิ้งลั่วจู๋ “…เจ้าอ้วนเยวี่ย นายจำผิดคนหรือเปล่า ไป๋ลู่เสียที่พวกเราพูดถึงคือไป๋ลู่เสียที่หน้าตากับนิสัยตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงต่างหาก”
ฉงเยวี่ยพยักหน้า “ไป๋ลู่เสียคนนั้นแหละ”
เจิ้งลั่วจู๋ไม่นึกอยากเชื่อ “เขานิสัยเปลี่ยนเหรอ”
“เป็นผลงานของเหอลวี่” ถังหลิ่นอธิบาย “เขาเกลี้ยกล่อมไป๋ลู่เสียให้ยอมร่วมมือด้วย ระหว่างนั้นเพราะมีเหอลวี่คอยจับตา ไป๋ลู่เสียถึงได้เปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่าย”
เจิ้งลั่วจู๋สองตาเบิกโพลงปากอ้าค้าง “เขาวางยาเสน่ห์อะไรให้ไป๋ลู่เสียกิน”
“ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อวานซืนตอนเย็นๆ ค่ำๆ ฉันถึงได้ไปขอคำแนะนำจากหัวหน้าเหอ” ถังหลิ่นพูดพลางจงใจมองไปทางเจิ้งลั่วจู๋ปราดหนึ่ง
เจิ้งลั่วจู๋นึกขึ้นได้ หลังจากเพิ่งกลับมาถึงที่นี่ ตอนเขาไปหาถังหลิ่นและขอให้อีกฝ่ายใช้ ‘เงาร่างหมาป่าแกะรอย’ ช่วย ไม่น่าตอนไล่ตามเงาร่างหมาป่าไปถึงหน้าประตูด่านที่ชั้นหนึ่ง ถังหลิ่นถึงได้หยุดคุยอยู่กับเหอลวี่
ทว่าตอนนั้นเจิ้งลั่วจู๋ไม่ได้ตั้งใจฟังเลยแม้แต่น้อย
“เหอลวี่บอกอะไรเหรอ” หนานเกอถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
ถังหลิ่นคิดถึงเรื่องขอคำชี้แนะจากอีกฝ่ายในคืนนั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงรู้สึกว่ามันมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย “หัวหน้าเหอบอกว่าที่เขาสามารถเกลี้ยกล่อมไป๋ลู่เสียได้สำเร็จ ทั้งหมดล้วนอาศัยคำว่า ‘จริงใจ’ ถ้าต้องการเพิ่มคำเข้าไปอีก เช่นนั้นก็ต้องบอกว่าคือความจริงใจไม่ลดละย่อท้อ”
* แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน เป็นสำนวน หมายถึงการทำอะไรโดยฝืนใจมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี
บทที่ 154
เหงา
การ PK ในวันนั้นคนที่มุงดูทั่วทั้งอาคารต่างไม่มีใครรู้ว่าคนไหนแพ้คนไหนชนะ
สิ่งที่บรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่ง ‘เฝ้าสังเกตการณ์ผ่านหน้าจอ’ ทั้งหลายเห็นคือคนทั้งคู่ล้วนถูกหามออกจากห้องฝึกซ้อม ท่าทางเหมือนได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อย ความต่างเพียงหนึ่งเดียวคือฮั่วสวี่ถูกพาตัวเข้าไปในห้องพยาบาลทันที แต่ฟั่นเพ่ยหยางตั้งแต่ต้นจนจบล้วนแขวนร่างอยู่บนตัวของหัวหน้ากลุ่ม VIP ขนาดถูกส่งตัวเข้าไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ภายในห้องพักของตัวเองแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากอีกฝ่าย จากเรื่องนี้ทุกคนจึงพอจะเดาได้ว่าฟั่นเพ่ยหยางน่าจะมีกำลังกายเหลือมากกว่าฮั่วสวี่อยู่ประมาณหนึ่ง
แม้ผลแพ้ชนะจะไม่รู้ชัด แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับกระจ่างแจ้ง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมากลุ่ม VIP ก็ลงมือ ‘ล้อมไล่บังขวาง’ อย่างไร้มนุษยธรรมกับฮั่วสวี่ ขอเพียงฮั่วสวี่เปิดประตูออกมาเขาล้วนต้องพบกับรอยยิ้มของสมาชิกกลุ่ม VIP ที่ปรากฏตัวอยู่หน้าห้อง ปกติพวกเขาจะมีอยู่ด้วยกันสามคน หัวหน้ากลุ่ม VIP กับผู้คุมกฎซ้ายขวา ขอเพียงฮั่วสวี่ออกมาเคลื่อนไหว เขาก็จะถูกพันธนาการไว้ด้วย ‘การป้องกันใกล้ชิดระดับ VIP ตลอด 24 ชั่วโมง’ ทันที
กลุ่ม VIP ไม่ใช่กำลังหน้าด้านเล่นลูกไม้ แต่เป็นการใช้ลูกไม้เพื่อความประสงค์อันแรงกล้า แสดงให้เห็นถึงความจริงใจจากข้างใน
ทางด้านจิตใจนี้มีหัวหน้ากลุ่ม VIP เป็นคนรับผิดชอบ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาล้วนไม่พูดอะไร ทำเพียงตามติดชาวบ้านอยู่เงียบๆ ซ้ำยังเป็นการคอยติดตามอยู่ห่างๆ จนดูคล้ายคนผ่านทางที่บังเอิญพบเจอกันเท่านั้น ทว่าขอเพียงฮั่วสวี่มองเห็น ฮั่วสวี่ก็จะได้พบกับสายตาเรียบเฉยที่แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวาดหวังจริงใจ
จิตใจของฮั่วสวี่ยามเผชิญหน้ากับสายตาของอีกฝ่ายนั้นเป็นแบบไหนอย่างไร คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในเขตรวมพลล้วนไม่รู้ชัด แต่ทุกครั้งที่เผลอสบเข้ากับสายตาของหัวหน้ากลุ่ม VIP ในใจของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก เต็มไปด้วยแรงกดดันแปลกประหลาด รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสายตา ‘รักและสันติภาพ’ นั้น
ส่วนเจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยคนคุมกฎซ้ายขวาทั้งสองรับผิดชอบด้านการลงมือปฏิบัติที่มีชื่อสามัญว่าการแถลงการณ์
พวกเขาเริ่มต้นบอกเล่าตั้งแต่การก่อตั้งกลุ่ม VIP ไปจนถึงวิวัฒนาการ ประวัติการต่อสู้ ก่อนจะปิดจบอย่างสวยงามด้วยการมองไปในอนาคต อย่าถามว่าแค่ทำเควสต์ฝ่าด่านมาสามด่านจะมีวิวัฒนาการการต่อสู้อะไรได้ เพราะถ้าถามไปคำตอบที่ได้มาก็ไม่พ้น ‘ยอดเยี่ยม ฉันกำลังอยากเล่าให้นายฟังพอดีว่ามิติความต่างของกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อยไปอย่างแท้จริงกับเวลาที่เรารับรู้อยู่ภายในใจนั้น ในสายตาของฉันมันต่างกันตรงไหน’
ในที่สุดระยะเวลาสองวันก็ผันผ่านไปเช่นนี้ ฮั่วสวี่สะกดใจตัวเองไม่ให้ลงมือได้สำเร็จ ประตูด่านเปิดออกตามกำหนด กลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งหมดแทบจะไม่มีกลุ่มไหนเคลื่อนพล ยิ่งกลุ่มที่ยังรวบรวมสมาชิกได้ไม่ครบอย่างกลุ่ม VIP ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
วันเวลาผ่านไปแบบนี้อีกเกือบหนึ่งเดือน ด่านใกล้เปิดขึ้นอีกครั้ง ฮั่วสวี่ไม่เคยลงมือกับกลุ่ม VIP ที่เฝ้าติดตามตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เรื่องนี้ทำให้ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มที่พันผ้าพันแผลไว้บนแขนซึ่งไม่พูดไม่จาก็ ‘โต้คลื่น’ คนนั้นถูกผีเข้าสิงแล้วใช่หรือเปล่า
ความลับที่แฝงอยู่นั้นมีเพียงเจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยเท่านั้นที่เข้าใจ
นั่นเป็นวันที่สองของ ‘สงครามความจริงใจ’ วันแรกฮั่วสวี่เปิดประตูออกมาพบเห็นพวกเขา ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ปิดประตูดังปึง วันทั้งวันเอาแต่กักตัวอยู่ในห้อง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น วันถัดมาพอเปิดประตูแล้วพบว่าพวกเขายังคงอยู่ฮั่วสวี่ก็เดือดดาลขึ้นมา ใบหน้าล้วนปกคลุมด้วยหมอกดำ คล้ายฝนกำลังจะตกกระหน่ำ
ทว่าอาจเพราะผลของการ PK ในครั้งนั้นยังคงอยู่ ฮั่วสวี่จึงไม่ได้ลงมือทันทีเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับทำเพียงยื่นคำขาด “ฉันจะให้เวลาพวกนายหนึ่งนาทีไปให้พ้นจากที่นี่ ถ้าหนึ่งนาทีแล้วฉันเปิดประตูออกมาเห็นพวกนายอีก ถึงตอนนั้นฉันจะฆ่าคนจริงๆ”
เสียงลับมีดที่แฝงอยู่ในคำสามคำสุดท้ายนั่นดังกระจ่างชัด
ปึง!
ประตูห้องหมายเลข 8066 ปิดลงอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล แม้แต่วงกบประตูก็ยังสั่นสะเทือน
เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปทางถังหลิ่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจิ้งลั่วจู๋ “หัวหน้า แผ่นเหล็กของผมกันน้ำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณก็เข้าใจ…”
ฉงเยวี่ย “หัวหน้า ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ ของผมใช้การได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น คุณก็รู้…”
“ไม่ต้องห่วง” ถังหลิ่นบอก “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่”
ฉงเยวี่ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “คุณแน่ใจ? แต่ท่าทางเขาเมื่อกี้เหมือนใกล้จะระเบิดเต็มทน”
“ผมบอกแต่แรกแล้วว่าน่าจะให้หนานเกอมา” เจิ้งลั่วจู๋นึกเสียใจที่ตัวเองไม่ได้ยืนกรานหนักแน่น “เจ้าบ้านั่นไม่ทำร้ายผู้หญิง ให้หนานเกอมาอย่างน้อยก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างสันติ กับพวกเราเขาไม่มีทาง…”
“เขาต้องคุยด้วยแน่” ถังหลิ่นมองดูบานประตูด้วยสายตาแน่วแน่
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
หัวหน้าไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนกัน!
คล้ายได้ยินเสียงประชดของพรรคพวก จู่ๆ ถังหลิ่นก็หันหน้ามา ความรู้สึกซุกซนยากจะพบเห็นเล็กๆ ปรากฏอยู่บนหว่างคิ้ว “จู๋จื่อ แต่ไหนแต่ไรมาอาวุธนิวเคลียร์ก็ไม่ได้มีไว้ทำสงคราม แต่มีไว้เพื่อสันติ”
ยังไม่ทันได้เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ประตูห้องหมายเลข 8066 ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
ฮั่วสวี่มองดูคนทั้งสามที่ยังคงนิ่งอยู่นอกประตู เปลวไฟแทบจะปะทุออกจากสองตา เขาไม่พูดเหลวไหลอะไรอีก ทำเพียงรวบรวมสมาธิ เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยรับรู้ได้ถึงเสียงกระแสน้ำไหลแผ่วเบาแต่อันตรายนั่นได้แทบจะในทันที
“นายลงมือกับพวกเราได้ ไม่เป็นไร” ถังหลิ่นเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน จ้องมองฮั่วสวี่ด้วยสายตาจริงจังจริงใจอย่างที่สุด “พวกเราล้มยังมีหนานเกอ พรุ่งนี้เธอจะมาแทน”
ฮั่วสวี่ได้แต่นิ่ง “…”
ฉงเยวี่ย “…”
หัวหน้านี่มนุษย์หมาป่าชัดๆ
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
เขาเพี้ยนไปแล้วชัดๆ ถึงกับกล้าสงสัยผู้ชายที่สามารถจัดการประธานฟั่นได้อยู่หมัดคนนี้
นับจากนั้นเป็นต้นมากลุ่ม VIP ก็กลายเป็นขบวนรบที่มี ‘ถังหลิ่นนำทีม จู๋จื่อกับเจ้าอ้วนเยวี่ยคอยสนับสนุน พร้อมมีหนานเกอคอยคุกคามทางจิตวิญญาณ’ ดำเนินการทำร้ายจิต…อะแฮ่ม รับสมัครสมาชิกด้วยความจริงใจนานแรมเดือน
อะไรนะ ประธานฟั่นอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ
ประธานฟั่นถูกสมาชิกกลุ่มของตัวเองตัดสินว่า ‘ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมยุทธการอันอบอุ่นอ่อนโยน’ นี้ ดังนั้นเลยไปทำกิจกรรมอิสระแทน
ติ๊ง
[โน้ตย่อ : ด่าน 4/10 จะเปิดหลังจากนี้อีกสองวัน ขอให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเตรียมตัวให้พร้อม และเมื่อถึงเวลาให้ดำเนินตาม ‘แผนที่’]
ห่างจากวันเปิดด่านครั้งใหม่อีกแค่สองวันเท่านั้น
คืนค่ำดึกดื่นภาพบนหน้าจอเป็นภาพฮั่วสวี่นอนขดตัวเป็นดักแด้ หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นกว่าคืนก่อน
ในห้องของถังหลิ่นกลุ่ม VIP กำลังประชุมสรุปรายงานประจำวัน
เจิ้งลั่วจู๋ชักสายตากลับจากภาพบนหน้าจอ ความรู้สึกของเขากับฮั่วสวี่ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก “เทียบกับคนอื่นๆ ที่พวกเราเคยเจอเจ้าบ้านั่นหัวแข็งที่สุด นี่ก็เดือนหนึ่งเข้าไปแล้ว ขนาดก้อนหินก็ยังออกดอกได้แล้วเลย”
แต่ฮั่วสวี่กลับไม่มีทีท่าจะหวั่นไหวอะไรแม้แต่น้อย
ถ้ามีสาวคนไหนต้องตาต้องใจเจ้าบ้านั่นมีหวังได้จบเห่แน่ ตามจีบชาวบ้านจนถึงวันสิ้นโลกก็ไม่แน่ว่าจะหลุดพ้นจากการเป็นโสด
ขณะที่เจิ้งลั่วจู๋กำลังกลุ้มใจแทน ‘อีกครึ่งของฮั่วสวี่’ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ฉงเยวี่ยที่ครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่นานก็เอ่ยปากถามถังหลิ่นออกมาตรงๆ “หัวหน้า พวกเรายังจะดำเนินการตามแผนต่ออีกหรือเปล่า ถ้ายังเสียเวลากับเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเราคงไม่มีทางได้เข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่านแล้ว”
ถังหลิ่นนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ฮั่วสวี่ดื้อรั้นดึงดันเกินกว่าที่เขาคาดไว้จริงๆ แต่เรื่องนี้กลับทำให้เขาอยากได้อีกฝ่ายมาเป็นพวกมากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งดื้อรั้นหัวแข็งมากเท่าไหร่ ทันทีที่ทางนั้นยินดีตกลงรับปาก ความดื้อรั้นดึงดันนั่นก็จะกลายเป็นความหนักแน่นมั่นคง ทว่าก็เหมือนอย่างที่ฉงเยวี่ยบอก พวกเขาจะรออย่างไม่มีกำหนดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้
“อีกอาทิตย์หนึ่งก็แล้วกัน” ถังหลิ่นตัดสินใจ “ถ้ายังไม่ได้ พวกเราค่อยยกเลิกแผนการ”
อาทิตย์หนึ่ง?
หนานเกอมองดูข้อความเตือนบน ‘โน้ตย่อ’ ที่บอกว่าเหลือเวลาอีกสองวันก็จะถึงวันเปิดด่านนั่น “นั่นก็แปลว่าครั้งนี้พวกเราจะยังคงไม่เข้าไปทำเควสต์?”
ถังหลิ่นส่ายหน้า “ไม่เข้า”
“ถ้า ผมบอกว่าถ้า” ฉงเยวี่ยยกมือ “ถ้าพรุ่งนี้ฮั่วสวี่ตกลงรับปาก งั้นวันมะรืนตอนเที่ยงคืนพวกเราจะเข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่านเลยหรือว่าไม่เข้ากัน”
“เจ้าอ้วนเยวี่ย นายอย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย” เจิ้งลั่วจู๋ประชดเสียงออกจมูก “จากท่าทางของเขาในตอนนี้ เป็นไปได้หรือไงที่ผ่านไปแค่สองวันก็เปลี่ยนใจรับปากตกลง ถ้าเป็นจริงล่ะก็ ฉันยอมแบกนายไปที่หน้าประตูทางเข้าด่านเลยเอ้า!”
“ฉันบอกแล้วไงว่าถ้า…” ฉงเยวี่ยพึมพำ เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจ
“ต่อให้เขาตกลงรับปากยังไงพวกเราก็จะยังไม่เข้า” ถังหลิ่นตอบชัดแจ้ง “จนถึงตอนนี้ห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ล้วนไม่มีการเคลื่อนไหว หลังจากศึกษาพิจารณาดูผมก็พบว่าพวกเขาน่าจะจัดกลุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่กำลังปรับตัวเพื่อให้สามารถทำงานประสานกันได้ด้วยดี” ถังหลิ่นหยุดไปชั่วขณะ เปิดโอกาสให้สมาชิกกลุ่มของตนได้ย่อยข่าวสารข้อมูล ก่อนจะพูดต่อ “ถึงจะเปิดเผยรายละเอียดเรื่องราวภายในด่าน 4/10 ไม่ได้ แต่ระดับความอันตรายของด่าน เชื่อว่าคนที่อยู่ข้างบนของแต่ละกลุ่มจะต้องถ่ายทอดบอกต่อให้สมาชิกที่นี่รับรู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว…”
หนานเกอเข้าใจได้ทันที “ยิ่งพวกเขาเตรียมพร้อมรับมือมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าด่าน 4/10 ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”
ถังหลิ่นพยักหน้า “ต่อให้พวกเรารวบรวมสมาชิกได้สำเร็จ ยังไงก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อยหนึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเราเองก็ยังรวบรวมสมาชิกได้ไม่ครบ”
จู่ๆ ฟั่นเพ่ยหยางที่เอาแต่ ‘นิ่งฟัง’ มาตั้งแต่เปิดประชุมก็เอ่ยปากออกมาอย่างไม่มีเค้าลาง “ผมจัดการเอง”
ทุกคนตะลึง
ถังหลิ่นมองไปทางเขาอย่างงงๆ “คุณจะจัดการอะไร”
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้งานติดตามฮั่วสวี่ผมจะเป็นคนจัดการเอง” ฟั่นเพ่ยหยางพูดกระชับสั้นได้ใจความ สีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติ
หนานเกอ เจิ้งลั่วจู๋ และฉงเยวี่ยต่างตะลึงงัน ดวงตาทั้งสามคู่เต็มไปด้วยความรู้สึกฉงนสนเท่ห์
ถังหลิ่นอธิบายให้ฟั่นเพ่ยหยางฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป็นการติดตาม หาโอกาสรับเขาเข้ากลุ่มด้วยใจจริง ไม่ใช่คอยสะกดรอยตามและยิ่งไม่ใช่การกำราบชาวบ้าน คุณแน่ใจว่าต้องการทำหน้าที่นี้”
ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายไม่พอใจนักที่อีกฝ่ายนึกเคลือบแคลงสงสัย “วางใจเถอะ ผมรู้จักควบคุมอารมณ์”
ถังหลิ่น “…”
หนานเกอ เจิ้งลั่วจู๋ และฉงเยวี่ย “…”
คำตกลงรับปากนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งชวนให้คนรู้สึกไม่วางใจ
ไม่รอให้ภายในทีมเอ่ยอะไร หัวคิ้วของฟั่นเพ่ยหยางก็ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเดิม สายตาจับจ้องอยู่บนตัวถังหลิ่น “คุณตามติดเขามาหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันแล้ว”
ตามติด…หนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวัน…ถึงคำพูดนี้จะเข้าใจได้ว่าในเมื่อผ่านมาตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เช่นนั้นก็น่าจะลองเปลี่ยนคนดู แต่สมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งสามก็ยังแอบส่งสายตาให้กันและกัน พวกเขาต่างรู้สึกว่าถ้อยคำลึกล้ำที่อีกฝ่ายใช้กับการคำนวณวันเวลาแม่นยำนี้คล้ายมีข้อมูลข่าวสารจำนวนมหาศาลซ่อนแฝงอยู่
อย่างเช่นประธานฟั่นหึงแล้ว
ถังหลิ่นก่ายหน้าผาก เขาตัดสินใจเลี่ยงไม่พูดคุยเจาะลึกถึงหัวข้อสนทนาอันตราย ตอนเงยหน้าขึ้นเขาก็มองไปทางประธานฟั่นด้วยสายตาไว้วางใจ “ได้ งั้นงานนี้ผมมอบหมายให้คุณไปจัดการก็แล้วกัน”
วันรุ่งขึ้นตอนฮั่วสวี่เปิดประตูเขาก็เผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาของประธานฟั่นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฮั่วสวี่ “…”
ฟั่นเพ่ยหยาง “อรุณสวัสดิ์”
ฮั่วสวี่ “วันนี้เขาเปลี่ยนให้นายมา?”
ฟั่นเพ่ยหยาง “วันหน้าฉันจะเป็นคนมาตลอด”
ปึง!
ฮั่วสวี่ถอยกลับไปและปิดประตู ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในอึดใจเดียว
ระเบียงทางเดินฝั่งตรงกันข้ามมีคนเดินไปมาแต่เช้า คนที่มองเห็นต่างถอนหายใจ “ฉันชักนึกสงสารเจ้าเด็กนั่นขึ้นมานิดๆ แล้ว”
ที่อยู่ชั้นบนก็มีคนที่ตื่นแต่เช้าเหมือนกัน พวกเขาต่างเห็นเรื่องฮั่วสวี่ถูกชาวบ้านตามตื๊อจนกลายเป็นความบันเทิงประจำวันไปแล้ว ทว่าการเปลี่ยนคนตามตื๊อมาเป็นฟั่นเพ่ยหยางแบบนี้ทำให้พวกเขาเริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง “เฮ้ คนที่อยู่ชั้นล่างนั่น นายว่าฮั่วสวี่มันพิลึกหรือเปล่า ในเมื่อไม่พอใจที่ต้องเห็นหน้าชาวบ้าน แค่หลบอยู่ในห้องไม่ออกมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ว่าจะกินข้าว ฝึกซ้อม ล้วนทำอยู่ในห้องได้ แล้วทำไมถึงต้องโผล่ออกมาให้ชาวบ้านเห็นทุกวันด้วย”
คนที่อยู่ชั้นล่างนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะตอบออกมาช้าๆ “อยู่คนเดียวนานๆ บางทีอาจรู้สึกเหงาก็ได้”
ประธานฟั่นรอด้วยความจริงใจอยู่ที่หน้าประตูห้องของฮั่วสวี่เกือบครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเขาก็เห็นอีกฝ่ายเดินออกมาเป็นครั้งที่สอง ทว่าไม่ใช่เพราะเขาแต่เป็นเพราะคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาถึงยังเขตรวมพล
นั่นเป็นช่วงบ่ายสามโมงกว่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าน่าจะเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์กำลังงดงามพอเหมาะพอเจาะ แต่บังเอิญว่าวันนี้เมฆมาก ตั้งแต่เช้าแสงสว่างทั่วทั้งเขตรวมพลล้วนอึมครึมหม่นหมอง พอถึงช่วงบ่ายสามโมงเมฆฝนที่ลอยคล้อยต่ำก็เปลี่ยนเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง
จู่ๆ เขตรวมพลก็มืดครึ้มไม่ต่างอะไรกับตอนกลางคืน แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีแสงไฟในเขตรวมพลที่เมื่อถึงตอนกลางคืนจะเปิดก็ทำงานอัตโนมัติ ทุกอย่างสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง ซ้ำยังเจิดจ้าแสบตาเสียยิ่งกว่าตอนกลางวัน
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านหน้าใหม่ที่ผ่านด่าน 3/10 ได้สำเร็จเดินทางมาถึงเขตรวมพลในช่วงบ่ายที่มืดครึ้มราวกับตอนกลางคืน
ในเวลานี้นอกจากฟั่นเพ่ยหยางแล้วสมาชิกกลุ่ม VIP ที่เหลือล้วนกำลังหัดใช้ต้นไอเทมของตัวเองทำงานร่วมกับต้นไอเทมของคนอื่นอยู่ภายในห้องฝึกซ้อม ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนที่มีน้ำเสียงหยอกล้อก็ดังขึ้น มันลอดผ่านผนังผ่านบานประตูก้องดังอยู่ทุกหนแห่ง
“มีคนทำเควสต์ฝ่าด่านสำเร็จมาถึงเขตรวมพลเพิ่มอีกแล้ว ขอให้ทุกคนเตรียมต้อนรับด้วย~~”
ถังหลิ่นเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมตอนพวกเขาเข้ามาถึงยังเขตรวมพลถึงได้มีสายตามากมายทั้งในที่แจ้งและที่ลับจับจ้องมองดูพวกเขาคล้ายล่วงรู้ถึงการมาของพวกเขาได้ล่วงหน้าแบบนั้น
ที่แท้ก็มีการแจ้งเตือนแบบนี้
“แบบนี้เท่ากับเป็นการบอกให้พวกเราไปร่วมวงมุงดูความคึกคักชัดๆ” เจิ้งลั่วจู๋เก็บแผ่นเหล็ก มองไปทางถังหลิ่นด้วยสายตาวาดหวัง “หัวหน้า พวกเราจะออกไปดูหรือเปล่า”
ถังหลิ่นเองก็อยากรู้ว่าคนที่ผ่านด่านมาใหม่นี้เป็นคนแบบไหนอย่างไรเหมือนกัน เขาพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยปากชัดเจนว่า “งั้นพักสักหน่อยก็แล้วกัน จะได้ไปดูว่าคนที่มาใหม่เป็นใคร”
คนทั้งสี่เคลื่อนไหวรวดเร็ว ครั้นพ้นจากประตูไปพวกเขาก็พบว่าที่จริงแล้วตัวเองนับว่าช้ามาก
แต่ละชั้นต่างมีคนออกมายืนออกันแน่นขนัด โดยเฉพาะด้านตรงกันข้ามกับประตูใหญ่ของเขตรวมพลที่เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการเฝ้าสังเกตการณ์นั่นล้วนถูกจับจองหมดเกลี้ยงตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสิบเก้า ส่วนคนที่เหลือที่ไม่ได้กระตือรือร้นอะไรนักก็ไม่ต่างอะไรกับสมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งสี่ พวกเขาเลือกที่จะยืนอยู่บนระเบียงทางเดินหน้าประตูห้องของตัวเอง คอยชำเลืองมองออกไปนอกราวกั้นเป็นพักๆ
ถ้าคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านกลุ่มนี้ผ่านการเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างมาเหมือนกัน เช่นนั้นคนที่มาถึงที่นี่ในเวลานี้ก็น่าจะเป็นคนจากเกาะไหนสักเกาะ หลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาจยังมีคนมาอีก…
ขณะที่ถังหลิ่นกำลังคิดอยู่นั้น ประตูใหญ่ของเขตรวมพลก็เปิดออก
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องไปที่ประตูใหญ่เงียบๆ คล้ายม่านเวทีการแสดงถูกเปิดออก แสงสปอตไลต์ฉายส่อง
ชายสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง พวกเขาทั้งคู่ล้วนแต่รูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อผ้าสีดำกับผ้าปิดปากสีดำ ท่าทางไม่ต่างอะไรกับกลุ่มมือสังหาร
ถังหลิ่นขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน หากแต่เป็นเพราะผ้าปิดปากสีดำนั่นทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อยากนึกถึง
ครั้งที่แล้วตอนเห็นผ้าปิดปากสีดำแบบนี้เขายังอยู่ในนครใต้พิภพ ชายสวมผ้าปิดปากสีดำคนหนึ่งรับอวี้เฟยเข้ากลุ่มไป
หากนึกย้อนกลับไปอีก ที่อวี้เฟยยอมไปกับอีกฝ่ายก็เพราะต้องการล้างแค้นแทนหลี่จั่นเพื่อนที่ตายไป และคนที่ฆ่าหลี่จั่นตายก็คือ ‘จางเฉวียนตัวปลอม’ คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่รับภารกิจจากด่านเบื้องบนให้ดำเนินการคัดเลือกคนในลิฟต์
หลังจากเข้ามายังเขตรวมพลด่าน 3/10 ได้ไม่นาน ตอนอยู่ในช็อปปิ้งอาร์เคดถังหลิ่นได้เจอภารกิจ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ เป็นครั้งแรก และก็เพราะเหตุนี้เขาถึงรู้สึกว่าบางทีจางเฉวียนตัวปลอมรายนั้นอาจอยู่ที่เขตรวมพลนี้…
หากคิดต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้เขาคงได้คิดไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่ๆ ขณะที่ถังหลิ่นตัดสินใจหยุดคิด เขาก็พบว่าตอนนี้ชายสวมผ้าปิดปากสีดำทั้งสองที่อยู่ด้านล่างหยุดเดินแล้ว
พวกเขาหยุดนิ่งอยู่กลางโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ไม่ได้พูดจาอะไรกัน ทำเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ภาพดังกล่าวสำหรับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ แล้วไม่นับว่าแปลกประหลาดอะไร ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกผู้คนมากมายจับจ้อง ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดคุยอะไรกันได้ การยืนรอให้พรรคพวกมารับถือเป็นปฏิกิริยาปกติทั่วไป
ทว่าถังหลิ่นกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
รูปร่างของชายสวมผ้าปิดปากสีดำที่ยืนอยู่ทางด้านหน้า เทียบกับความทรงจำในเวลานั้นแล้ว อีกฝ่ายดูคล้ายคนที่มารับตัวอวี้เฟยไปในเวลานั้นจริงๆ ส่วนคนที่สวมผ้าปิดปากสีดำที่อยู่ทางด้านหลัง ดวงตาที่โผล่พ้นออกมานั้นดูคล้ายกับดวงตาของอวี้เฟยอย่างกับแกะ
หรือว่าอวี้เฟยกับชายสวมผ้าปิดปากสีดำนั่นผ่านด่านมาได้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปหลังพบว่าคนทั้งสองไม่มีใครเดินเข้าไปต้อนรับ คนที่อยู่บนชั้นอื่นๆ ก็หมดความอดทนเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบกัน ส่วนคนที่ตอนแรกเลือกจะอยู่ในห้องไม่คิดจะเข้าร่วมวงครึกครื้นด้วยพอพบว่าด้านนอกเงียบผิดปกติก็ต่างทยอยเปิดประตูออกมา หมายดูให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขณะที่ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นของคนในเขตรวมพลพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุด จู่ๆ ชายสวมผ้าปิดปากสีดำที่ถังหลิ่นคิดว่าเหมือนกับอวี้เฟยมากรายนั้นก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองคนที่อยู่ทางด้านบนชั้นแล้วชั้นเล่า
หากจะบอกว่าสายตาของเขากำลังสังเกตสู้บอกว่ากำลังค้นหายังจะเหมือนกว่า เขากวาดตามองจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง ผ่านใบหน้าของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านไปคนแล้วคนเล่าอย่างรวดเร็ว
ตอนกวาดตามองไปถึงฟั่นเพ่ยหยางที่อยู่บนชั้นแปดเขาก็ชะงักไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานเขาก็กวาดตามองต่อไป
ตอนมองเห็นถังหลิ่นที่อยู่บนชั้นเก้าเขาก็ชะงักอีกครั้ง
ตอนที่อีกฝ่ายหยุดชะงักหลังมองเห็นฟั่นเพ่ยหยางในครั้งแรก ถังหลิ่นก็มั่นใจได้แล้วห้าส่วน ยิ่งอีกฝ่ายหยุดชะงักเป็นครั้งที่สองหลังมองเห็นตน ถังหลิ่นก็แทบจะมั่นใจได้ว่านั่นต้องเป็นอวี้เฟยแน่ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายย่อมไม่มีเหตุผลที่จะมีท่าทีตอนมองเห็นตนเองกับฟั่นเพ่ยหยางแบบนั้น
ทว่าความรู้สึกที่ตามมากลับไม่ใช่ความรู้สึกโล่งใจ แต่เป็นความรู้สึกประหลาดใจที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
หนึ่งเป็นความรู้สึกประหลาดใจที่อวี้เฟยสามารถกวาดตาหาเขากับฟั่นเพ่ยหยางพบได้อย่างแม่นยำท่ามกลางคนที่มุงดูอยู่เต็มไปหมดทั่วทุกชั้นแบบนั้น สองเป็นความรู้สึกประหลาดใจที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย สายตาที่มองมาทางเขานั้นไม่ได้บุ่มบ่ามมุทะลุเหมือนในอดีต เหลืออยู่เพียงความสุขุมเมินเฉยเท่านั้น
สายตาของชายสวมผ้าปิดปากสีดำเคลื่อนต่อไป ยังคงกวาดตามองหาอย่างไม่ลดละ การสบตากันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นนอกจากคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว คนนอกไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับรู้
ถังหลิ่นหลุบตามองดูเงาเลือนรางของตนเองที่ฉายอยู่บนราวกั้นโลหะ
ห่างจากการคัดเลือกคนในลิฟต์มาแค่สามเดือนเท่านั้น
ทว่านับจากเข้าไปอยู่ในลิฟต์นั่น ชีวิตของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดก็เริ่มพลิกผันเปลี่ยนแปลงแล้ว
“ในที่สุดก็หานายพบ” ชายสวมผ้าปิดปากสีดำพูดขึ้นปุบปับ
เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่เพราะบรรยากาศภายในเขตรวมพลสงบเงียบเกินไป เงียบเสียจนทุกคนสามารถได้ยินคำพูดของเขาทุกถ้อยคำ เงียบเสียจนไม่อาจซ่อนเร้นความรู้สึกยินดีปรีดาแปลกประหลาดเล็กๆ ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั่น
เป็นอวี้เฟยจริงๆ ด้วย
ถังหลิ่นไม่นึกสงสัยอีกต่อไป ทว่า ‘นาย’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงนั่นหมายถึงใครกันแน่
สายตาของผู้คนทั่วเขตรวมพลจับจ้องไปที่ชั้นสิบตามสายตาของอวี้เฟย
ถังหลิ่นเองก็เช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็ชะงักค้าง
ตรงราวกั้นที่แทบจะเป็นจุดอับบนชั้นสิบนั้น ชายวัยกลางคนที่เพิ่งปรากฏขึ้นในความทรงจำของเขาเมื่อครู่ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางคนที่มาห้อมล้อมมุงดูธรรมดาๆ ทั่วไป
ยังคงเป็นใบหน้าที่มีตอหนวดหร็อมแหร็มใต้คางนั่น
จางเฉวียนตัวปลอม
นึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะอยู่ในเขตรวมพลจริงๆ แล้วทำไมตลอดหนึ่งเดือนมานี้ไม่ว่าเขาหรือฟั่นเพ่ยหยางรวมถึงเจิ้งลั่วจู๋ถึงไม่เคยพบเห็นอีกฝ่ายมาก่อน
หลังจากครุ่นคิดไปมาถังหลิ่นก็พบว่าเรื่องนี้มีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคืออีกฝ่ายจงใจหลบเลี่ยงพวกเขา
ตอนพวกเขามาถึงที่นี่ สถานการณ์ย่อมไม่ต่างอะไรจากวันนี้ที่ผู้คนทั่วทั้งเขตรวมพลต่างรู้แจ้ง จางเฉวียนตัวปลอมในเวลานั้นก็ต้องแฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนเช่นกัน หลังรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร นับแต่นั้นอีกฝ่ายก็คอยหลบเลี่ยงที่จะประจันหน้ากับพวกเขามาโดยตลอด คิดว่าคงเพราะไม่ต้องการเผชิญกับเรื่องราวยุ่งยากที่ไม่จำเป็น
อันที่จริงอีกฝ่ายคิดมากเกินไปแล้ว ถังหลิ่นคิด พวกเขาสามคนกับจางเฉวียนตัวปลอมไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรต่อกัน ที่อีกฝ่ายควรระวังมีก็แต่อวี้เฟยเท่านั้น
ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าในเวลาที่ควรระแวดระวังที่สุด จางเฉวียนตัวปลอมกลับโผล่หน้าออกมามุงดูความคึกคักร่วมกับชาวบ้าน
ทว่าอวี้เฟยกลับจงใจ ถูกแล้ว ตอนนี้ถังหลิ่นแทบจะยืนกรานได้แล้วว่าอวี้เฟยจงใจ จงใจสวมผ้าปิดปากปิดบังใบหน้า จงใจหยุดที่โถงใหญ่อยู่นาน จงใจตกอยู่ท่ามกลางสายตาของคนที่มุงดูความคึกคัก ทั้งนี้ก็เพื่อตกปลาตัวที่เขาต้องการ
จางเฉวียนตัวปลอมยังคงงุนงง เห็นได้ชัดว่าเขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองที่ตามชาวบ้านออกมาดูความคึกคักถึงได้ถูกอีกฝ่ายเพ่งเล็งจนกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนแบบนี้
อวี้เฟยไม่ได้ปล่อยให้เขางงอยู่นานนัก
หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีผู้คนทั่วทั้งเขตรวมพลก็เห็นเขาปลดผ้าปิดปากออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลายังหนุ่มยังแน่นนั่น
“ไม่ได้พบกันนาน เป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยปากทักทายชายที่มีตอหนวดคนนั้น ทุกถ้อยคำล้วนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเย็นชา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.