ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 155
ล้างแค้น
ทันทีที่ประจันหน้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยใต้ผ้าปิดปากสีดำ ชายที่มีตอหนวดที่ยืนอยู่บนชั้นสิบก็ตะลึงลาน
ในเมื่อเขาจดจำถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยางได้ทันทีที่คนทั้งสองเข้ามาถึงยังเขตรวมพล แล้วมีหรือจะจำอวี้เฟยไม่ได้ เขาได้แต่โมโหตัวเองที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกตินี้ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายยังสวมผ้าปิดปากอยู่
แต่ไม่เป็นไร ทุกคนล้วนมีต้นไอเทมระดับสี่ ดีไม่ดีหลังจากมาถึงเขตรวมพลอวี้เฟยอาจยังต้องรออีกสามสี่นาทีกว่าจะได้รับต้นไอเทมระดับสี่ หากลงมือกันจริงๆ ตัวเองย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล ยิ่งไปกว่านั้นห้องของตัวเองก็อยู่ข้างหลังนี่เอง หากสถานการณ์เลวร้ายสุดๆ เขาก็ยังมีทางให้ถอยหนีได้ทุกเมื่อ
พอคิดได้แบบนั้นชายที่มีตอหนวดก็มั่นอกมั่นใจขึ้นมา ความรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อครู่จางหายไปหมดเกลี้ยง
“คงเพราะบารมีของนายนั่นแหละ ฉันถึงได้สบายดี” ไหนๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านแล้ว ชายที่มีตอหนวดตัดสินใจขยับเดินขึ้นหน้า ค้ำยันราวกั้นมองลงไปด้านล่างด้วยท่าทีสบายๆ พลางเอ่ยปากพูดกับอวี้เฟย “ว่าแต่นายเถอะ มาถึงเขตรวมพลได้เร็วขนาดนี้นับว่ามีฝีมืออยู่ไม่น้อย”
อวี้เฟยโยนผ้าปิดปากที่ไม่ได้ใช้อีกต่อไปทิ้งไปด้านข้าง ขยับไหล่คล้ายกำลังอบอุ่นร่างกาย “ฉันไม่กล้าชักช้า กลัวนายจะหนีไปเสียก่อน”
ชายที่มีตอหนวดพูดเย้ยหยัน “เด็กน้อย อย่าปากดีเกินไปนัก”
บรรดาคนที่ยืนมุงดูอยู่โดยรอบยังคงไม่เข้าใจว่าพวกเขามีเรื่องบาดหมางอะไรกัน ทว่าคนหนึ่งตามหาศัตรู อีกคนหนึ่งรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาเพื่อล้างแค้น เรื่องนี้รับรองว่าไม่ผิดแน่
สายตาของพวกเขาเคลื่อนกลับไปบนตัวของอวี้เฟยอีกครั้ง ว่ากันตามหลักการสนทนาแล้ว ในเวลานี้ควรเป็นตาของอวี้เฟยเอ่ยปาก
ทว่าอวี้เฟยกลับคล้ายไม่มีอะไรจะพูด เขานิ่งมองดูจางเฉวียนตัวปลอม เพ่งความสนใจไปที่อีกฝ่ายจนดูเหมือนกับคนโรคจิต ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่กำลังจับจ้องดูเหยื่อ รวบรวมกำลัง หมายโจมตีอีกฝ่ายให้ตายตกภายในคราวเดียว…
เขากำลังรวบรวมสมาธิควบคุมต้นไอเทม!
ทุกคนต่างตระหนักได้ทันที สายตาของพวกเขายังไม่ทันเคลื่อนไปที่ชั้นสิบ เสียงร้องเจ็บปวดกับเสียงสาปแช่งของชายที่มีตอหนวดก็ดังลอยมา “โอ๊ยๆ…เชี่ยเอ๊ยยยย!”
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างมองตามเสียงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ชายที่มีตอหนวดมีเลือดสดๆ ไหลนองออกมาจากสองมือ กำลังเต้นเร่าด้วยความเจ็บปวด
คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างเห็นชัดถนัดตา ฝ่ามือของชายที่มีตอหนวดมีบาดแผลปรากฏเป็นทางยาวคล้ายถูกของมีคมบาด รอยเฉือนเกิดอยู่บริเวณง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ดูจากปริมาณเลือดที่ไหลออกมาแล้ว แผลนั่นต้องลึกมากแน่
บนราวกั้นตรงจุดที่ชายที่มีตอหนวดยันอยู่เมื่อครู่เองก็มีคราบเลือด
มือค้ำราวกั้น อุ้งมือย่อมแนบติดอยู่กับราวกั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นอวี้เฟยยังสามารถกรีดอุ้งมือของอีกฝ่ายได้ นี่มันต้นไอเทมอะไรกัน
คนที่คอยมุงดูอยู่พากันคิดไปต่างๆ นานา ทว่าชายที่มีตอหนวดกลับไม่อาจทำได้ หลังจากสูดหายใจอยู่สองสามทีเขาก็กัดฟันระงับความเจ็บปวด ก้มหน้าลงอีกครั้ง สายตาเหี้ยมโหดจับจ้องอยู่บนตัวของอวี้เฟย
เพียงครู่เดียวใต้เท้าของอวี้เฟยก็มีเถาวัลย์หนางอกขึ้นมา เถาวัลย์สีเขียวเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำพันรัดสองขาของอวี้เฟยเอาไว้แน่น ทั้งยังเลื้อยขึ้นไปข้างบนไม่หยุด ไม่ต่างอะไรกับงูเหลือมที่กำลังพันรัดศัตรูหมายเอาชีวิตอีกฝ่าย
นั่นคือต้นไอเทมของชายที่มีตอหนวด ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และเจิ้งลั่วจู๋ต่างจำได้
ตอนอยู่ในลิฟต์พวกเขาถูกชายที่มีตอหนวดใช้ต้นไอเทมดังกล่าวควบคุมตัวไว้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งลิฟต์มาหยุดอยู่ที่นครใต้พิภพ
เห็นได้ชัดว่าชายที่มีตอหนวดตั้งใจให้เถาวัลย์พันรัดอวี้เฟยให้ตาย ต่อให้ไม่ตายอย่างน้อยอวี้เฟยตอนนี้ก็ไม่อาจขยับเขยื้อนอย่างอิสระได้
เมื่อตรึงร่างของคู่ต่อสู้ได้เป็นที่เรียบร้อย ชายที่มีตอหนวดก็รีบหันไปเปิดประตูห้องของตัวเอง เตรียมเข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อรักษาบาดแผลบนมือ
นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ออกแรงดึงบานประตู แทนที่ประตูจะเปิดออก กลับเป็นนิ้วมือทั้งสี่ของเขาที่กุมที่จับประตูไว้ก็ขาดสะบั้น!
ราวกับที่เขาจับลงไปเต็มแรงนั้นไม่ใช่ที่จับประตูแต่เป็นใบมีดคมกริบ
“อ๊ากกกกกก!…” ชายที่มีตอหนวดกุมมือที่เหลือแต่นิ้วโป้ง เกลือกกลิ้งเจ็บปวดอยู่บนพื้น
คนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างพากันสูดปากหนาวสะท้าน ประสาทสัมผัสของนิ้วทั้งสิบต่างเชื่อมอยู่กับใจ แค่เห็นพวกเขาก็รู้สึกชาไปทั้งหนังหัวแล้ว
จากการโจมตีติดกันทั้งสองครั้งนั้นทำให้ทุกคนพอจะมองลักษณะต้นไอเทมของอวี้เฟยออก คุณสมบัติของมันคือเปลี่ยนสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามจับให้กลายเป็นวัตถุมีคม
ตอนชายที่มีตอหนวดค้ำอยู่บนราวกั้นมันก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ มือของเขาเลยถูกบาด ตอนเปิดประตูที่จับประตูก็เปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุแหลมคม ดังนั้นการที่ชายที่มีตอหนวดจับที่จับประตูเต็มแรงจึงเท่ากับตัดนิ้วตัวเองทิ้ง
บาดแผลไม่ว่าจะสาหัสขนาดไหน ขอเพียงกลับไปถึงห้องพยาบาลได้ย่อมมีทางรักษา
เพียงแต่ไม่รู้ว่า…
สายตาของทุกคนเคลื่อนไปหยุดอยู่บนตัวอวี้เฟย ไม่รู้ว่าเจ้าของความแค้นรายนี้จะยอมมอบโอกาสให้กับอีกฝ่ายหรือเปล่า
เถาวัลย์บนตัวของอวี้เฟยหายไปไม่เหลือแม้แต่เงาตั้งแต่ตอนนิ้วมือของชายที่มีตอหนวดถูกตัดขาดแล้ว
การควบคุมต้นไอเทมจำเป็นต้องใช้สมาธิ ตอนนี้ชายที่มีตอหนวดเจ็บปวดจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอะไรพวกนั้นแล้ว
‘พรรคพวกที่ผ่านด่านมาด้วยกัน’ หรือชายสวมผ้าปิดปากสีดำจากนครใต้พิภพที่ยืนอยู่ข้างๆ อวี้เฟยวางตัวคล้ายไม่มีตัวตนมาโดยตลอดรายนั้นจู่ๆ ก็ชักเท้าถอยออกไปสองก้าว จ้องมองอวี้เฟยนิ่ง
โดยไม่มีสัญญาณเตือน ไม่รู้ว่าพายุหมุนจากไหนพัดวนอยู่ที่ใต้เท้าของอวี้เฟย ยกร่างของเขาขึ้นไปอยู่กลางอากาศ คล้ายบันไดเมฆที่มองไม่เห็น เพียงพริบตาก็ส่งอวี้เฟยขึ้นไปถึงชั้นสิบ!
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ประสาทเฉื่อยชาสักขนาดไหนในเวลานี้พวกเขาล้วนเข้าใจ ชายสวมผ้าปิดปากสีดำกำลังใช้ต้นไอเทมของตัวเองช่วยพรรคพวกล้างแค้น
นับตั้งแต่ต้นจนจบสิ่งที่อวี้เฟยต้องการไม่ใช่นิ้วของชายที่มีตอหนวด แต่เป็นชีวิตของอีกฝ่าย
หลังเหยียบลงบนราวกั้นเปื้อนเลือด อวี้เฟยก็กระโดดเข้าไปยังระเบียงทางเดินชั้นสิบ
ชายที่มีตอหนวดนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเผือด หอบหายใจหนัก ทว่าเสียงร้องครวญครางหยุดลงแล้ว เขากัดฟันแน่นพลางฉีกเสื้อมาพันมือ จากนั้นยันร่างกายท่อนบนขึ้น สองตาจ้องอวี้เฟยเขม็ง
“นายก็ไม่ควรวิ่งหนีตั้งแต่แรก” อวี้เฟยขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายทีละก้าว น้ำเสียงสงบนิ่ง “ถ้าไม่หนีคงไม่ต้องรับโทษมากมายแบบนี้ อย่างน้อยก็ได้ตายสบายหน่อย”
ใบหน้าของชายที่มีตอหนวดบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดโมโห เขาคิดรวบรวมสมาธิใช้ต้นไอเทมโจมตีอวี้เฟยอีกครั้ง แต่ไม่อาจทำได้สำเร็จ เขาเหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูดกับอวี้เฟย ทว่าหลังจากริมฝีปากขยับแล้วขยับอีกก็ยังคงไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
ฟิ้ว…
ใบไม้ใบหนึ่งโผล่ขึ้นกลางอากาศ ทว่าเสียงแหวกผ่านอากาศของมันกลับไม่ต่างอะไรกับใบมีดคมกริบ
อวี้เฟยชะงักเท้า ใบไม้แฉลบผ่านใบหน้าของเขาไปกระทบเข้ากับผนังระเบียงทางเดินดังกึก ลึกหายเข้าไปเกือบหนึ่งในสาม
ขณะเดียวกันก็มีคนคนหนึ่งพลิกตัวจากชั้นสิบเอ็ดลงมาหยุดอยู่ระหว่างอวี้เฟยกับชายที่มีตอหนวดรายนั้น
เป็นชายอายุสามสิบกว่าๆ หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทว่าทั่วทั้งใบหน้าที่สะดุดตาคนที่สุดกลับเป็นจมูกเหยี่ยวนั่น สำหรับคนที่อยู่เขตรวมพลมานานต่างรู้ดีว่าคนคนนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง
ในเขตรวมพลไม่ได้มีเพียงห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่เท่านั้น หากเอากลุ่มน้อยใหญ่ทั้งหมดมารวมกัน ต่อให้ไม่ถึงร้อยก็ต้องมีสักแปดสิบแน่ นอกจากพวกดื้อรั้นไม่ยอมรวมกลุ่มชอบลุยเดี่ยวอย่างฮั่วสวี่แล้ว คนที่เหลือล้วนแต่มีกลุ่มมีสังกัด
จางเฉวียนตัวปลอมมีกลุ่มเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องรอจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก่อนพรรคพวกถึงจะยอมโผล่หน้ามา คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างรู้สึกหงุดหงิดใจ
“แค่พอหอมปากหอมคอก็ได้แล้วมั้ง” ชายจมูกเหยี่ยวพูดกับอวี้เฟย ท่าทีต้องการล้างแค้นให้พวกพ้องอะไรพวกนั้นล้วนไม่มี น้ำเสียงคล้ายกำลังปรึกษาหารือมากกว่า
อวี้เฟยไม่หวั่นไหว “ไม่มีคำว่า ‘พอหอมปากหอมคอ’ เขาติดค้างหนี้ชีวิตฉัน ตอนนี้ได้เวลาต้องชำระคืน”
ชายจมูกเหยี่ยวขมวดคิ้ว แสดงท่าทีอย่างคนอับจนหนทาง “กฎของ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ สถานที่บัดซบนี้เป็นคนกำหนด เขาก็แค่ทำไปตามกฎที่ตั้งไว้เท่านั้น เรื่องที่ฆ่าเพื่อนของนายไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขา”
อวี้เฟยบอก “แต่เขาเลือกที่จะรับทำภารกิจนั่นเอง”
พูดถึงตรงนี้คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็เพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้นี่ก็เป็นหายนะจากภารกิจ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ นี่เอง
อันที่จริงคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเขตรวมพลล้วนไม่รับทำภารกิจเฮงซวยนี้ อย่าว่าแต่ภายหลังอาจถูกตามล่าล้างแค้นเลย แค่พูดถึงเรื่องให้ฆ่าคนในลิฟต์ ก็ไม่ใช่ใครจะตัดใจลงมือทำกันได้ง่ายๆ
ดังนั้นที่อวี้เฟยพูดจึงไม่ผิด ภารกิจนี้ชายที่มีตอหนวดเป็นคนเลือกที่จะทำเอง
แต่ทำไมชายจมูกเหยี่ยวถึงรู้ว่าอวี้เฟยต้องการล้างแค้นให้กับเพื่อนของตัวเอง
คนที่มุงดูต่างพากันครุ่นคิด ทว่าแทบจะในเวลาเดียวกันพวกเขาก็สังเกตเห็นถึงท่าทีของชายจมูกเหยี่ยว ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายเป็นธรรมชาติเกินไป ธรรมชาติเสียราวกับว่าเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าชายที่มีตอหนวดนั่นต้องถูกคนตามล้างแค้นแน่ ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีความสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ได้ล่วงหน้า เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือหลังจากที่ชายที่มีตอหนวดไปทำภารกิจ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ อีกฝ่ายได้กลับมาบอกเล่าให้เขาฟัง หรือบางทีอาจบอกว่าพวกเขาทั้งกลุ่มต่างเตรียมใจอยู่ล่วงหน้าแล้วว่าชายที่มีตอหนวดต้องถูกคนตามมาล้างแค้นเอาคืนเข้าสักวันแน่
หากคิดต่อไปอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าภารกิจอย่าง ‘ลิฟต์คัดเลือก’ นี้คนกลุ่มนี้อาจไม่ได้เพิ่งทำเป็นครั้งแรกและไม่ได้มีเพียงชายที่มีตอหนวดที่รับทำภารกิจ ตกลงแล้วพวกเขาฆ่าคนมาใหม่ไปเท่าไหร่กันแน่…
แค่คิดก็รู้สึกหนาวสะท้านแล้ว
“พักอาศัยอยู่ที่นี่จำเป็นต้องใช้ค่าประสบการณ์” ชายจมูกเหยี่ยวยังคงพยายามอธิบาย “เมื่อไม่มีค่าประสบการณ์ ก็ได้แต่ต้องรับภารกิจ”
อวี้เฟยส่ายหน้า “เลิกยกเหตุผลมาอ้างกับฉันได้แล้ว ต่อให้คนที่นี่ทั้งหมดพากันรับภารกิจ ในเมื่อคนที่ฆ่าเพื่อนของฉันเป็นเขา เพราะฉะนั้นฉันย่อมต้องตามหาตัวเขา”
ชายจมูกเหยี่ยว “นายทำลายมือเขาไปแล้วข้างหนึ่ง!”
สีหน้าของอวี้เฟยเปลี่ยนเป็นหมดความอดทน
เขามองผ่านชายจมูกเหยี่ยวกลับไปหยุดอยู่ที่ชายที่มีตอหนวดอีกครั้งด้วยสายตาเย็นเยียบ
หมอกลงหนัก
เพียงไม่นานมันก็กลืนคนทั้งสามที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งไปหมดสิ้น ทั้งยังขยายวงออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวมันก็ครอบคลุมพื้นที่ชั้นสิบที่เป็นศูนย์กลางสมรภูมิรบไปจนหมด ซ้ำยังลามลงมาถึงชั้นหกและลามขึ้นไปถึงชั้นสิบหก เปลี่ยนพื้นที่ทั้งหมดให้กลับกลายเป็นขาวโพลน
‘[ป้องกัน] กลางหมอกห้าหลี่’
ตอนอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินด่าน 1/10 กลุ่ม VIP เคยใช้ไอเทมป้องกันที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคุ้นเคยกับประสิทธิภาพของมันดี
หมอกหนาปกคลุม ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ชั้นสิบกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาได้ยินแต่เสียงสับสนคล้ายเสียงฝีเท้าขณะเดียวกันก็คล้ายเสียงฉุดกระชาก ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของชายที่มีตอหนวด
หมอกจางหายไปแล้ว
ชายจมูกเหยี่ยวยืนพิงอยู่กับผนังระเบียงทางเดินคล้ายถูกคนชนเข้าใส่ ชายที่มีตอหนวดยันร่างอยู่กับราวกั้นคล้ายกำลังจะปีนหนี
แต่เขาไม่มีโอกาสแล้ว
แผ่นหลังของเขามีมีดปักอยู่ เสียบทะลุตัดขั้วหัวใจ
อวี้เฟยคลายมือออกจากด้ามมีด กางแขนผลักชายที่มีตอหนวดที่ตายไปแล้วออกนอกราวกั้น
ร่างของอีกฝ่ายพ้นจากราวกั้นชั้นสิบ หล่นกระแทกพื้นโถงใหญ่ชั้นหนึ่งดังตุ้บ เลือดสดๆ ไหลทะลักเจิ่งนองไปทั่ว
เสียงฮือฮาดังลั่น
“คนก็ตายไปแล้ว ไม่เห็นต้องลงมือโหดเหี้ยมแบบนั้น…”
ถังหลิ่นนิ่งเงียบ
ในตอนนั้นชายที่มีตอหนวดก็ผลักพวกเขาออกมาจากลิฟต์แบบนี้เหมือนกัน ในวันนี้อวี้เฟยใช้การเคลื่อนไหวแบบเดียวกันส่งอีกฝ่ายออกเดินทางครั้งสุดท้าย
“นักสำรวจอวี้เฟย พร้อมทุกเมื่อสำหรับคนที่ต้องการแก้แค้น”
นี่เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายของอวี้เฟย เขาจงใจทิ้งข้อความนี้ให้กับชายจมูกเหยี่ยวและสมาชิกของอีกฝ่าย รวมถึงคนที่เข้ามาห้อมล้อมมุงดูทั้งหมด
ตอนพูดเขาเผยรอยยิ้มแรกนับแต่เข้ามายังเขตรวมพลให้ทุกคนได้เห็น รอยยิ้มที่แฝงไว้ซึ่งความสะใจยั่วยุท้าทาย
นี่เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ถังหลิ่นจับเงาร่างที่คุ้นเคยบนตัวของอีกฝ่ายได้ทันที
การปะทะกันครั้งนี้ปิดม่านลงด้วยการถอยจากไปอย่างไม่สะทกสะท้านของอวี้เฟยกับชายสวมผ้าปิดปากสีดำ
ชายจมูกเหยี่ยวไม่ได้สร้างความยุ่งยากใดๆ ให้กับพวกเขาสองคน
คนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างไม่ประหลาดใจ
ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังคงสงสัยว่าทำไมชายจมูกเหยี่ยวถึงต้องรอจนชายที่มีตอหนวดได้รับบาดเจ็บก่อนถึงค่อยโผล่ออกมา ตอนนี้พวกเขาเข้าใจหมดแล้ว
ที่ออกมาช้าก็เพราะไม่ต้องการมีปัญหากับอวี้เฟยตรงๆ ทันทีที่ชายที่มีตอหนวดได้รับบาดเจ็บนั่นก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายได้ ‘จ่ายค่าตอบแทน’ ไปแล้ว ถึงตอนนั้นเขาค่อยออกมาเกลี้ยกล่อม ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องชักพาหายนะเข้าตัวและไม่ต้องรับคำตำหนิว่า ‘ไม่ปกป้องดูแลสมาชิกกลุ่ม’
ทว่าตอนนี้ชายที่มีตอหนวดตายไปแล้ว ต่อให้เขาไม่ยอมปล่อยอวี้เฟย ชีวิตของสมาชิกกลุ่มรายนั้นก็ไม่มีทางฟื้นกลับมาได้ เขาไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเป็นศัตรูกับอวี้เฟยหรือเหล่านักสำรวจเพียงเพื่อคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง
พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมมีคนดูแคลน มีคนนึกรังเกียจ แต่ก็ต้องมีคนเข้าใจเช่นกัน คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงโทษ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อปณิธานสูงส่งอะไร
แต่ไม่ว่าในใจจะคิดอะไร ในเวลานี้ไม่มีใครเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์อะไรทั้งนั้น
เพราะถึงอย่างไรคนก็ตายไปแล้ว
แสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มศพของชายที่มีตอหนวด ส่งร่างเขาขึ้นไปด้านบน ทะลุผ่านฝ้าเพดานช้าๆ ก่อนจะหายลับไปในที่สุด
บนพื้นเหลือก็แต่คราบเลือด
อวี้เฟยกับชายสวมผ้าปิดปากสีดำจากไปแล้ว ชายจมูกเหยี่ยวเองก็อาศัยจังหวะตอนสายตาของทุกคนถูกแสงสีม่วงนั่นดึงดูดความสนใจหายตัวไปเงียบๆ เช่นกัน
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเริ่มแยกย้าย
ถังหลิ่นจำได้แม่น ตอนท้ายอวี้เฟยพูดคำว่า ‘นักสำรวจ’ ออกมา หากพิจารณาดูจากท่าทีตอบสนองของชายจมูกเหยี่ยวกับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ แล้ว ทุกคนเหมือนจะเข้าใจความหมายของคำนี้ดี
“นักสำรวจ…” เขามองไปยังสมาชิกกลุ่มของตัวเอง “คือกลุ่มของอวี้เฟยงั้นเหรอ”
เจิ้งลั่วจู๋สีหน้างุนงง
หนานเกอบอก “น่าจะใช่”
ฉงเยวี่ยเอียงคอสับสน “ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนักสำรวจมาก่อนเหรอ”
บางครั้งฉงเยวี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของกลุ่ม VIP
และบางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็น NPC ที่คอยให้ความรู้แก่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน
“ข้อมูลข่าวสารในมือของพวกนายมีน้อยเกินไปแล้ว” ฉงเยวี่ยที่ถูกพรรคพวกร่วมแรงร่วมใจลากกลับห้องเริ่มเอ่ยบรรยาย “นักสำรวจเป็นกลุ่มคนแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร สมาชิกกลุ่มก็นิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร…”
เจิ้งลั่วจู๋ “นายไม่มีคำอื่นที่จะใช้อธิบายถึงพวกเขาแล้วหรือไง”
ฉงเยวี่ย “งั้นก็พิลึกพิลั่น เอาเป็นว่าความคิดอ่านของพวกเขาไม่เหมือนคนปกติทั่วไป”
หนานเกอ “ต่างกันตรงไหน”
ฉงเยวี่ย “พวกเขาไม่สนใจเรื่องทำเควสต์ฝ่าด่าน และไม่รีบร้อนที่จะไปจากที่นี่ พวกเขาวิ่งไล่ตามหาความจริง”
เจิ้งลั่วจู๋ “ความจริงอะไร”
ฉงเยวี่ย “ความจริงเรื่องโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่าน พวกเขาทุ่มเทกำลังเพื่อต้องการเข้าใจให้ได้ว่าตกลงสิ่งที่เรียกว่าเซียวนี้คืออะไรกันแน่ และเพื่อการนี้พวกเขายินดีใช้ทุกวิถีทางไม่ว่าจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไร ว่ากันว่าเคยมีสมาชิกนักสำรวจบุกเข้าไปถึงช่วงท้ายของด่านด่านหนึ่ง ขณะกำลังจะผ่านด่านสำเร็จ จู่ๆ ก็เกิดความคิดเพี้ยนๆ ตั้งใจจะออกจากเขตที่กำหนดไว้ ผลสุดท้ายเลยถูกด่านกำจัด”
หนานเกอนิ่งเงียบ
เจิ้งลั่วจู๋เองก็แสดงสีหน้าประทับใจออกมาเล็กๆ เขาเกาหัวพูด “ฟังดูเหมือนเป็นวีรบุรุษที่ยินดีสละตัวเองเพื่อทำการศึกษาค้นคว้าอะไรบางอย่าง…”
“ว่ากันตามตรงที่จริงฉันก็เลื่อมใสในตัวของพวกเขาอยู่เหมือนกัน” ฉงเยวี่ยพูดจากใจจริง “แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องทำไปตามกำลัง ระบบเซียวสามารถลากคนจำนวนมากเข้ามาในนี้ สร้างกฎและด่านที่ซับซ้อนแบบนี้ แถมยังให้ทุกคนมีต้นไอเทมอัศจรรย์ได้อีก เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานขนาดไหนไม่ต้องบอกก็รู้ ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะสามารถต้านทานระบบเซียวได้”
“อย่าว่าแต่ต้านทานเลย” เจิ้งลั่วจู๋ถอนหายใจ “แค่เดินไปตามกฎที่วางไว้ จะผ่านด่านได้หรือเปล่ายังต้องดูโชคชะตา”
“ใช่…” ฉงเยวี่ยถอนหายใจตาม จู่ๆ เขาก็เหลือบมองไปทางหนานเกอ ถามเธอด้วยความสงสัยว่า “ไม่สิ พี่สาวอยู่ในนครใต้พิภพมาตั้งหลายปีไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องกลุ่มนักสำรวจมาก่อนล่ะ”
“เธอไม่ได้อยู่มาหลายปี แต่ถูกกักอยู่ในนี้มาหลายปีต่างหาก” เจิ้งลั่วจู๋ปิดหูทำมือทำไม้ “ถูกปิดหูปิดตาไม่อาจรับรู้ข่าวสารอะไรได้ทั้งนั้น”
“ขอบใจที่ช่วยอธิบายแทน” หนานเกอโมโหถีบเขาไปทีหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางฉงเยวี่ย “สถานการณ์ในช่วงหลายปีให้หลังเป็นยังไงฉันเองก็ไม่รู้ แต่ที่มั่นใจได้ก็คือตอนฉันเข้ามานครใต้พิภพใหม่ๆ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องกลุ่มนักสำรวจมาก่อน”
“ก็ไม่แปลก” เจิ้งลั่วจู๋นวดขา “ถ้าตอนเธอเข้ามา พวกเขาก่อตั้งกลุ่มกันเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว ไม่แน่ตอนนี้พวกเขาอาจสำรวจพบผลลัพธ์อะไรบางอย่างแล้ว…”
คนทั้งสามผลัดกันพูดคนละประโยค บทสนทนาในช่วงท้ายเริ่มไร้สาระ
นักสำรวจงั้นเหรอ
ถังหลิ่นพูดชื่อนี้ซ้ำอยู่ภายในใจคล้ายรับรู้ได้ถึงปณิธานแรงกล้าแน่วแน่ของคนพวกนั้น
เขาเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
แผ่นดินกว้างไกลที่ไม่มีใครล่วงรู้นี้คือสมรภูมิรบที่พวกเขากำลังจะย่างกรายเข้าไปในอีกไม่ช้า
หัวข้อสนทนาที่อวี้เฟยนำมาสู่เขตรวมพลแค่วันที่สองก็จางหายไปไม่น้อยแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะมันห่างจากวันเปิดด่านใหม่แค่วันเดียวเท่านั้น
ถึงจะบอกว่าหนึ่งวัน แต่ความจริงคือเที่ยงคืนของคืนนี้ ดังนั้นแค่ตอนเที่ยงวันกลุ่มที่ตั้งกำลังพลเรียบร้อยอยู่ก่อนหน้าหลายกลุ่มก็ไปเดินวนเวียนอยู่แถวหน้าประตูทางเข้าด่านที่ชั้นหนึ่งแล้ว
ถังหลิ่นไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้พบเจอกับอวี้เฟยอีก เขาอาศัยจังหวะหลังเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมช่วงเที่ยงออกจากห้องมา วัตถุประสงค์ก็เพียงเพราะต้องการแวะไปดูสถานการณ์ของฟั่นเพ่ยหยาง
ประธานฟั่นตามฮั่วสวี่มาหนึ่งวันครึ่งแล้ว คลื่นลมสงบนิ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่ายิ่งคลื่นลมสงบมากเท่าไหร่ ใจของถังหลิ่นก็เต้นราวกับกลองรัว กังวลอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งสองจะต่อสู้กันยาวนานอีก ดังนั้นจึงรีบอาศัยจังหวะตอนทุกคนกำลังกินข้าวเที่ยงออกมาดูสถานการณ์
เขามาถึงชั้นแปดก่อน หลังพบว่าบนระเบียงทางเดินไม่มีคน เขาก็โดยสารลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง ขณะกำลังจะเดินเข้าโถงใหญ่เขาก็มองเห็นฮั่วสวี่ได้แต่ไกล อีกฝ่ายกำลังนั่งเคี้ยวขนมปังอยู่ที่โซนพักผ่อน ท่าทางตอนเคี้ยวขนมปังแต่ละครั้งล้วนดุดัน รังสีอำมหิตแผ่ซ่านเหมือนต้องการจะบอกว่า ‘ห้ามสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเข้าใกล้’
ประธานฟั่นนั่งอยู่บนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เขา กินสเต๊กของตัวเองด้วยท่าทีสบายๆ ด้านข้างยังมีไวน์แดงอีกแก้วหนึ่ง
จานชามมีดส้อมสเต๊กและไวน์แดง แม้แต่ผ้าเช็ดปากล้วนพร้อมสรรพ ทั้งหมดนี้ประธานฟั่นซื้อมาจากช็อปปิ้งอาร์เคดที่อยู่ชั้นหนึ่งแล้วค่อยยกมากินที่นี่หรือว่าเป็นของที่ซื้อมาจากห้องของตัวเองแล้วค่อยหิ้วมาที่โซนพักผ่อนกันแน่
ถังหลิ่นแอบถอนหายใจ เลิกคิดดีกว่า
ในตอนนั้นเองจู่ๆ อวี้เฟยก็ปรากฏตัว
อีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา บดบังทัศนวิสัย เผยรอยยิ้มเป็นมิตรให้เห็น “ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ถังหลิ่นรู้สึกประหลาดใจ แต่เพียงไม่นานเขาก็ยิ้มกลับให้อีกฝ่ายแบบเดียวกัน “ยังดีที่คุณไม่ได้พูด ‘ไม่ได้พบกันนาน เป็นยังไงบ้าง’ ”
อวี้เฟยนึกขันไปกับคำพูดกระเซ้าของถังหลิ่น เขาส่ายหน้า “นั่นเอาไว้ใช้พูดกับศัตรู ไม่ใช่กับพรรคพวก”
ถังหลิ่นชะงักไปเล็กๆ “พรรคพวก?”
อวี้เฟยเก็บรอยยิ้ม เอ่ยถามอย่างจริงจัง “ถังหลิ่น นายอยากเข้าร่วมเป็นนักสำรวจหรือเปล่า”
บทที่ 156
หนทางแตกต่าง
การที่ถังหลิ่นถูกเชิญเข้ากลุ่มเช่นนี้เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นบริษัทเริ่มตั้งตัวได้แล้ว ซ้ำยังมีผลประกอบการที่จัดได้ว่าไม่เลวอีกต่างหาก ผู้คนในวงสังคมต่างรู้ดีว่าที่จริงแล้วหัวหน้าแผนกการเงินอย่างเขาคือพาร์ตเนอร์ของบริษัท ผลก็คือไม่รู้ว่าเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการจากบริษัทคัดสรรบุคลากรเจ้าไหนได้เบอร์โทรของเขาไป โทรมาถามเขาว่าอยากเปลี่ยนงานหรือเปล่า
ในตอนนั้นเขาแค่นึกขำ ไม่ได้ถือเป็นเรื่องเป็นราวอะไร หลังจากนั้นเขาก็ลืมเลือนมันไปหมดสิ้น นึกไม่ถึงว่าอีกไม่กี่วันต่อมาผู้บริหารระดับสูงของบริษัทคัดสรรบุคลากรที่รู้จักกัน ทั้งยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันคนหนึ่งก็ยืนกรานว่าต้องการเชิญเขาไปกินข้าวด้วย กระตือรือร้นจนเรียกได้ว่าน่าประหลาด
หลังจากไปตามนัดเขาถึงได้รู้ว่าเด็กใหม่ที่ไม่ประสีประสารายนั้นเป็นพนักงานบริษัทของอีกฝ่าย การเชิญเขามากินข้าวในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการขอโทษแทนลูกน้องรายนั้น
ก็แค่โทรศัพท์สายหนึ่งเท่านั้น ถังหลิ่นรู้สึกว่าอีกฝ่ายคิดมากเกินไป ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าวันที่สองหลังเขาได้รับโทรศัพท์เชิญชวนนั่น ประธานฟั่นก็จงใจเชิญเพื่อนพ้องรายนี้กินข้าว ทั้งยังพูดคุยเจาะลึกถึงหัวข้อ ‘คุณคิดว่าหัวหน้าแผนกการเงินของผมจำเป็นต้องเปลี่ยนงานอย่างนั้นเหรอ’
นับแต่นั้นเป็นต้นมาถังหลิ่นก็ไม่เคยได้รับโทรศัพท์ชวนให้เปลี่ยนงานอีกเลย ถึงจะเป็นการเข้าใจผิดก็ตาม
จนกระทั่งวันนี้ที่อวี้เฟยถามว่า ‘นายอยากเข้าร่วมเป็นนักสำรวจหรือเปล่า’
ปฏิกิริยาแรกของถังหลิ่นคือมองข้ามผ่านไหล่ของอีกฝ่ายไปทางฟั่นเพ่ยหยาง ดูว่าฝ่ายนั้นได้ยินหรือเปล่า โชคดีที่เขาอยู่ห่างจากคนทั้งสองพอประมาณ นอกจากนี้พวกเขาทั้งคู่ยังใจจดใจจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้เงยหน้ามองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
อวี้เฟยรับรู้ได้ถึงสายตาของถังหลิ่น เขาหันหน้ามองตามไป ภาพฟั่นเพ่ยหยางกำลังกินสเต๊กอยู่ในโซนพักผ่อนโดยมีไวน์แดงในถังน้ำแข็งวางอยู่ข้างๆ ก็ปรากฏต่อสายตา จะให้เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็คงยาก
เขาดึงสายตากลับมา เอ่ยกระเซ้าถังหลิ่นว่า “กลัวเขาได้ยิน?”
“คนที่เข้ามาเชิญผมเข้ากลุ่มคือคุณ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องกลัวด้วย” ถังหลิ่นตอบกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะหันกลับไปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว “พวกเราเปลี่ยนที่คุยกันเถอะ”
อวี้เฟย “…”
โซนพักผ่อน
ฟั่นเพ่ยหยางวางมีดหั่นสเต๊กลง ช้อนตามองไปตามทางที่คนทั้งสองหายตัวไป ใบหน้าอึมครึม
ฮั่วสวี่ยังคงเคี้ยวขนมปังครึ่งก้อนนั่นอยู่ เขาชำเลืองมองฟั่นเพ่ยหยางพร้อมเอ่ยหยัน “หัวหน้ากลุ่มของนายให้นายบีบบังคับฉันเข้าร่วมทีม แต่ตัวเขาเองกลับหนีตามชาวบ้านไป”
“ไม่ใช่ ‘บีบบังคับ’ แต่เป็นการ ‘เชิญ’ ” ฟั่นเพ่ยหยางแก้ไขคำพูดของฮั่วสวี่
ฮั่วสวี่ยกมุมปากไม่แยแส “เฮอะ”
ฟั่นเพ่ยหยางมองดูอีกฝ่ายอยู่สองสามวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างปุบปับว่า “นิสัยเย็นชาของนายแบบนี้ แบ่งให้เขาสักครึ่งก็คงดี”
แบ่งให้ใคร ให้ถังหลิ่น?
ยังไม่ทันเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังยกย่องหรือด่าตัวเองกันแน่ ฟั่นเพ่ยหยางก็ลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปนอกโซนพักผ่อนก่อนแล้ว
ฮั่วสวี่ตะลึง เขาหลุบตามองดูขนมปังที่เหลืออยู่ครึ่งก้อน มั่นใจว่าตัวเองยังกินไม่เสร็จ
แต่จู่ๆ ชายท่าทางชวนอึดอัดที่ติดตามเขามาตลอดครึ่งค่อนวันรายนี้ก็ถอยฉากออกไปดื้อๆ
หลังจากฟั่นเพ่ยหยางเดินไปถึงทางออกของโซนพักผ่อนก็ขมวดคิ้วหันหน้ากลับมา “นายยังจะตะลึงทำอะไรอยู่ ตามฉันมาสิ”
ฮั่วสวี่งุนงง “ตามไปทำไม”
“แอบฟัง” ฟั่นเพ่ยหยางตอบออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง
ฮั่วสวี่ยิ่งประหลาดใจ “ทำไมฉันต้องตามนายไปแอบฟังชาวบ้านคุยกันด้วย”
“ตอนนี้ภารกิจของฉันคือใช้ความจริงใจทำให้นายหวั่นไหว” ฟั่นเพ่ยหยางพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “ดังนั้นนายจึงได้แต่ต้องตามฉันไปแอบฟังพวกเขาคุยกัน ไม่อย่างนั้นย่อมเท่ากับว่าความคืบหน้าในการปฏิบัติภารกิจของฉันสะดุดลงกลางคัน”
กรอบแกรบ…
เสียงถุงใส่ขนมปังถูกขยุ้มเป็นก้อน
ทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังบันได บริเวณโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง
“เลือกสถานที่สำหรับพูดคุยได้ดีจริงๆ” อวี้เฟยกวาดตามองไปรอบๆ แม้แต่เงาผีสักตนก็ยังไม่มี
เพราะขึ้นลงลิฟต์สะดวกสบายกว่า ดังนั้นคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจึงไม่ค่อยมีใครใช้บันได และด้วยเหตุนี้พื้นที่แถบนี้จึงเงียบสงบมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้นถังหลิ่นก็ยังคงไม่พอใจ เขาเดินลึกเข้าไปอีกจนพบตำแหน่งที่เงียบสงัดที่สุด
“คุณเชิญผมเข้าร่วมกลุ่ม ผมจำเป็นต้องเข้าใจให้กระจ่างชัดเสียก่อนว่านักสำรวจคืออะไร” ถังหลิ่นกวาดตามองไปรอบๆ รู้สึกพึงพอใจกับจุดที่ตนเองเลือกไว้ “เรื่องที่ผมอยากถามมีอยู่มากมาย แน่นอนว่าต้องเลือกที่ที่เงียบสงบเพื่อพูดคุยกัน”
“นายอยากถามอะไร ขอเพียงเป็นเรื่องที่ฉันรู้ รับรองว่าฉันจะเล่าให้นายฟังอย่างไม่คิดปิดบัง” อวี้เฟยแสดงความจริงใจ
ถังหลิ่นถามสิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุดก่อน “ทำไมถึงเลือกผม”
“ฉันอยากบอกว่าไม่เคยลืม ยังจำได้เสมอ” อวี้เฟยยิ้ม “แต่ฉันโกหกนายไม่ได้ อันที่จริงฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนเห็นนายที่เขตรวมพล”
“เพิ่งนึกขึ้นได้?”
“ฉันไม่เคยนึกว่าจะมาพบกับพวกนายที่นี่ ฉันคิดว่าความเร็วในการผ่านด่านของฉันเร็วแล้ว แต่สุดท้ายพวกนายกลับเร็วกว่า ความเร็วเป็นตัวแทนของความสามารถ ฉันไม่อยากพลาดพรรคพวกแบบนี้ไป”
“ดังนั้นความจริงแล้วคุณต้องการเชิญพวกเราสามคน”
“ได้สามคนก็ยิ่งดี แต่ถ้าเลือกได้เพียงคนเดียว ฉันขอเลือกนาย”
“เพราะตอนอยู่ในลิฟต์ผมหาจางเฉวียนตัวปลอมออกมาได้?”
“เพราะตอนอยู่ในลิฟต์…นายถอดเสื้อโค้ตคลุมร่างให้เขา”
‘หลี่จั่น’ ถังหลิ่นยังจำชายหนุ่มใบหน้าขาวสะอาดรายนั้นได้ แต่กลับลืมไปแล้วว่าตัวเองได้ถอดเสื้อโค้ตคลุมร่างไร้วิญญาณของอีกฝ่าย
ทว่าอวี้เฟยจำได้ สำหรับเขาแล้วเรื่องราวต่างๆ ภายในลิฟต์ล้วนชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ถังหลิ่นหยุด ให้เวลาอวี้เฟยได้สงบสติอารมณ์
ทว่าอวี้เฟยกลับส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ปัญหาข้อแรกของนาย ฉันให้คำตอบแล้ว ข้อที่สองล่ะคืออะไร”
อารมณ์ของถังหลิ่นซับซ้อนสับสน
คนที่อยู่ตรงหน้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่กว่าตอนที่อยู่ในลิฟต์มาก ทว่าความเป็นผู้ใหญ่ที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากการสั่งสมตามกาลเวลา แต่เป็นการเติบโตภายในชั่วข้ามคืน
“เรื่องกลุ่มนักสำรวจผมพอได้ยินมาบ้าง แต่คำพูดจากปากคุณ ผมเชื่อว่าต้องเชื่อถือได้กว่าคำเล่าลือพวกนั้น” ถังหลิ่นไม่นึกถึงเรื่องอื่นอีก เขาตรงเข้าประเด็นทันที
อวี้เฟยบอก “ฉันรู้ว่านายได้ยินอะไรมา กลุ่มคนประหลาด พวกคนเพี้ยนใช่ไหม บางทีอาจจะใช่ แต่อย่างน้อยพวกเราก็รู้จักต่อสู้ ไม่ใช่หนูขาวที่วิ่งไปตามวงที่มีคนขีดไว้ ซ้ำยังภาคภูมิใจที่สามารถผ่านด่านได้สำเร็จ”
วงที่มีคนขีดไว้ หนูขาว…
ใช้ถ้อยคำไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด
“บางทีนายอาจรู้สึกว่าฉันพูดจาไม่เข้าหู แต่ความจริงมันเป็นแบบนั้น” อวี้เฟยประชดน้ำเสียงเย็นชา “พวกเราถูกดึงตัวเข้ามาที่นี่ ถูกสั่งให้ทำเควสต์ฝ่าด่าน ปลดล็อกต้นไอเทมไปทีละระดับ เรื่องพวกนี้มีทางเลือกให้พวกเราหรือไง ไม่มี เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเราต่างถูกบีบบังคับให้ต้องทำ แต่ราวกับทุกคนยอมรับมันหน้าตาเฉย ไม่เคยมีใครคิดว่าทำไม ทำไมพวกเราต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วย ที่จริงแล้วระบบเซียวเป็นใคร กฎกับด่านบ้าบอคอแตกพวกนี้ใครเป็นคนกำหนด ชีวิตของพวกเราเป็นไปด้วยดีอยู่แท้ๆ กลับถูกทำให้ปั่นป่วนไปหมด คนที่มีชีวิตอยู่ไม่กี่วินาทีต่อมาอาจต้องตาย ตัวการที่ทำเรื่องเลวร้ายพวกนี้อยู่ที่ไหน ทำไมพวกเราถึงต้องฟังคำพูดของเขาด้วย บอกให้ทำเควสต์ฝ่าด่านพวกเราก็ต้องทำเควสต์ฝ่าด่านงั้นเหรอ ทำไมถึงไม่หาตัวการออกมา แล้วสับมันให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
อวี้เฟยยิ่งพูดก็ยิ่งคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตอนพูดมาถึงช่วงท้ายเสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วพื้นที่เงียบสงบ
เปลวไฟในดวงตาของเขาคุโชน ร้อนแรงราวกับสามารถแผดเผาได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
ถังหลิ่นนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน
อารมณ์ของอวี้เฟยเริ่มเย็นลงทีละน้อยคล้ายตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง เขาเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ขอโทษด้วย ฉันบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย” จากนั้นเขาก็พูดกึ่งล้อเล่นหมายผ่อนคลายบรรยากาศ “แต่ยังไงก็ดีกว่าตอนอยู่ในลิฟต์นั่นมากอยู่ใช่ไหม”
“อืม ดีกว่ากันมาก” ถังหลิ่นยิ้ม ให้ความร่วมมือกับบทสนทนา ช่วยอีกฝ่ายลดทอนความรู้สึกกระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้
อวี้เฟยกลับเข้าเรื่อง “นายอย่าคิดว่าคำพูดพวกนั้นของฉันเมื่อกี้เป็นการคุยโวโอ้อวดไม่เจียมตัวเด็ดขาด อันที่จริงพวกเราสืบรู้ ‘ความจริง’ บางอย่างแล้ว”
ถังหลิ่นสะท้านไปทั้งใจ ไม่ใช่เพราะไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน แต่พอได้ยินเองกับหูเขาก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ต่างหาก “คืออะไร”
ทันทีที่หลุดปากถามเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองคิดน้อยเกินไปแล้ว ถังหลิ่นรีบพูดเสริมออกมาอีกประโยค “ถ้าเป็นข่าวสารภายในของกลุ่มนักสำรวจไม่สะดวกที่จะบอก คุณไม่ต้องตอบคำถามนี้ก็ได้”
“ไม่มีอะไรที่เปิดเผยไม่ได้” อวี้เฟยตอบ “พวกเราอยากประกาศให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนได้รู้ใจจะขาด เมื่อรู้ ‘เรื่องพวกนี้’ ก็ยิ่งอยากรู้เรื่องที่ยังไม่รู้ ‘พวกนั้น’ ความรู้สึกกระหายใคร่รู้เป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีที่สุดของการสำรวจ”
ถังหลิ่นยิ้ม “กลุ่มนักสำรวจฝึกอบรมทักษะการพูดให้คุณเป็นพิเศษ?”
อวี้เฟยจ้องมองเขา “หากพูดให้นายคล้อยตามได้ ฝึกฝนนานแค่ไหนก็คุ้ม”
ถังหลิ่นรับรู้ได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่าย ก็คล้ายกับที่เขาขอให้สมาชิกในกลุ่ม VIP ปฏิบัติต่อฮั่วสวี่
ที่แท้ทำอะไรไว้ ก็ย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน
อวี้เฟยไม่เสียเวลาพูดเหลวไหล เขาแบ่งปันข่าวสารของกลุ่มนักสำรวจให้กับถังหลิ่น “เท่าที่พวกเรารู้ ที่นี่กับการทำเควสต์ฝ่าด่านก่อนเข้ามาถึงนครใต้พิภพนั้นไม่เหมือนกัน…”
“เรื่องนี้ผมรู้” ถังหลิ่นแม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ แต่จากที่จู๋จื่อเล่าเขาก็พอเข้าใจได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว
รายละเอียดและรูปแบบของด่านเหล่านั้นไม่เหมือนกับในนครใต้พิภพและโลกใต้บาดาล ทั้งยังไม่มีต้นไอเทม จะมีก็แต่ไอเทมที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ยังไม่มีผู้คุมด่านด้วย ด่านแต่ละด่านล้วนมอบโลกที่แตกต่างกันออกไป คนที่อยู่ในโลกดังกล่าวจะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับ NPC ต่อให้ครั้งนี้ตาย การทำเควสต์ฝ่าด่านในรอบต่อไปก็ยังคงสามารถปรากฏตัวได้ใหม่
ยังมีจุดสำคัญอีกสองจุด
หนึ่งคือคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกวันจะถูกดูดเข้ามาภายในด่านตอนเที่ยงคืน ก่อนจะถูกส่งกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งตอนตีห้า ไม่ต่างอะไรกับการถูกบังคับให้ทำงานกะดึกทุกคืนเป็นเวลาห้าชั่วโมง ต่างกับด่านหลังตั้งแต่นครใต้พิภพที่เข้ามาแล้วก็ยากจะกลับบ้านได้อีก ถึงจะผ่านด่านมาถึงยังสถานที่อย่างโรงแรมโลกใต้บาดาลหรือเขตรวมพลด่าน 3/10 สามารถใช้ค่าประสบการณ์ซื้อโอกาสกลับบ้านได้ แต่เวลากับจำนวนครั้งก็ถูกจำกัดไว้อย่างเข้มงวด
สองคือด่านก่อนหน้านี้ไม่มีคนตาย หากระหว่างทางได้รับบาดเจ็บสาหัสมีอันตรายถึงแก่ชีวิต คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านรายนั้นก็จะถูกดีดกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงทันที
เพราะอวี้เฟยไม่รู้ว่าถังหลิ่นเข้ามาที่นี่ได้ผ่านทางห้องอธิษฐานจึงเข้าใจว่าเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เคยทำเควสต์ฝ่าด่านในด่านต่างๆ ก่อนหน้านี้ ดังนั้นพอได้ยินถังหลิ่นบอกว่า ‘รู้’ เขาก็ส่ายหน้า “ที่ฉันพูดถึงไม่ใช่รายละเอียดของด่าน แต่เป็นรูปแบบของการดำรงอยู่ของโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมด”
“รูปแบบของการดำรงอยู่?” ถังหลิ่นนึกสนใจ
“ใช่” อวี้เฟยตอบ “ด่านก่อนหน้านี้ แต่ละด่านล้วนไม่มีลักษณะต่อเนื่องเกี่ยวข้องกัน ตรงกันข้ามกลับคล้ายเป็นพื้นที่เสมือนจริงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเมืองที่อยู่ด้านใน สิ่งปลูกสร้าง หรือคนก็ตาม ล้วนคล้ายข้อมูลเสมือนที่พร้อมจะคืนสภาพได้ทุกเมื่อ NPC ที่ตายไปแล้วสามารถกลับมามีชีวิตได้ใหม่ในครั้งหน้า พูดจาเหมือนเดิม แสดงปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนเดิม ไม่อาจจำได้ว่านายเคยเข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านมาก่อน…
แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน” อวี้เฟยหันหน้ามองไปที่นอกหน้าต่าง “ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงๆ ด่านทุกด่านล้วนสร้างขึ้นบนแผ่นดินนี้ ลึกไปถึงใต้ท้องทะเล สูงขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า ล้วนเชื่อมต่ออยู่ด้วยกัน”
โลกที่…มีอยู่จริง?
ถังหลิ่นนึกหวาดหวั่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงถามอย่างใจเย็น “แล้วคุณมั่นใจได้ยังไงว่าที่นี่มีอยู่จริง”
“สมาชิกกลุ่มของพวกเราที่อยู่ด่านถัดไปทดลองเอาข้าวของจากที่นี่กลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ตลอด แต่ไม่ว่าจะลองดูสักกี่ครั้งก็ล้วนแต่ล้มเหลว ทว่านึกไม่ถึงว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขาจะบังเอิญพบว่าตอนกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง พื้นรองเท้ามีดินจากที่นี่เปื้อนติดไปด้วย…” อวี้เฟยหันกลับมามองถังหลิ่น “หลังทำการทดลอง พวกเขาก็พบว่าส่วนประกอบทางเคมีภายในดินนั้นบางอย่างสามารถระบุได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ระบุไม่ได้ว่าคืออะไร ภายใต้การทดลองพบว่ามีองค์ประกอบอยู่ชนิดหนึ่งที่สามารถเปล่งแสงได้เมื่อทำปฏิกิริยากับตัวทำปฏิกิริยาบางอย่าง…”
ดินโคลนที่สามารถเอากลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง ซ้ำยังสามารถทำการทดลองทางเคมีได้ แสดงว่าเรื่องการมีอยู่ของที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสงสัยอีกต่อไป
การที่อวี้เฟยจงใจพูดถึงผลการทดลองทางเคมีนี้ หรือว่า…
“หรือว่าพวกคุณค้นพบตัวทำปฏิกิริยาอื่นที่สามารถทำให้องค์ประกอบนั่นเปล่งแสงได้แล้ว”
อวี้เฟย “ใช่”
ถังหลิ่น “ที่ไหน”
อวี้เฟย “ในเลือดของพวกเรา”
ถังหลิ่นกุมมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว ปลายนิ้วเย็นขึ้นมานิดๆ “เลือดของทุกคน?”
“อย่างน้อยในหมู่นักสำรวจที่ยินดีให้ความร่วมมือทำการทดลองหลังกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง ผลลัพธ์ที่ได้ก็ล้วนเป็นแบบนั้น” อวี้เฟยตอบ
“แล้วทำไมถึงไม่ประกาศการค้นพบนี้ออกไป ระดมคนให้มากขึ้น…”
“ไม่มีประโยชน์” อวี้เฟยเอ่ยตัดบท “ขอเพียงพวกเราคิดจะบอกเรื่องนี้กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน อยากจะเปิดเผยข้อมูลของที่นี่ออกไป น่ากลัวว่าแค่คิด หัวก็ปวดเจียนระเบิดแล้ว”
“พวกคุณไม่จำเป็นต้องพูด แค่เอาตัวอย่างดินไปก็ได้แล้ว นี่เป็นหลักฐานชัดแจ้ง”
“ดินมันจะสลายตัวไปเองระหว่างการทดลอง ตอนนั้นคนของพวกเราเพิ่งจะใช้ตัวทำปฏิกิริยาทำให้องค์ประกอบนั่นเปล่งแสงได้ไม่ทันไร ถ้าให้เวลาพวกเราอีกสักนิด ไม่แน่ว่าพวกเราอาจพบเจออะไรมากกว่านี้”
โลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่านมีอยู่จริงๆ
ดินของที่นี่กับร่างกายของพวกเรามีองค์ประกอบที่ไม่รู้จักแบบเดียวกัน
บทสรุปของเรื่องนี้เหมือนจะมีเพียงข่าวสารสองเรื่อง ทว่าหากขยายความคิดอ่านออกไป ความเป็นไปได้กับการอนุมานจำนวนนับไม่ถ้วนที่โผล่ออกมาก็แทบจะกลบกลืนถังหลิ่นจนมิด
“คนของพวกเราเดาว่าองค์ประกอบชนิดนี้คล้ายเป็นสัญลักษณ์หรือพลังงานบางอย่าง” อวี้เฟยพูดต่อ “สัญลักษณ์บ่งบอกถึงสถานะของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน ใช้มันแยกแยะพวกเราออกจากคนธรรมดาทั่วไป ขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานของมันยับยั้งไม่ให้พวกเรานำเอาข่าวสารเกี่ยวกับโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่านไปเผยแพร่ต่อคนนอก”
“แล้วการปลอมแปลงแก้ไขความทรงจำล่ะ” ถังหลิ่นจำได้ว่าจู๋จื่อเคยบอกว่าตอนฝ่าด่านก่อนหน้านี้ ถ้าบังเอิญมีคนพบเห็นพวกเขาถูกแสงสีม่วงดูดเข้ามาสู่โลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่านตอนเที่ยงคืน ความทรงจำของคนที่เห็นก็จะถูกแก้ไข เปลี่ยนให้เป็นความทรงจำที่สามารถอธิบายได้ ช่วยเก็บงำความลับของการทำเควสต์ฝ่าด่าน
“บางทีอาจเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบนั่นเหมือนกัน” อวี้เฟยบอก “น่าเสียดายที่หลังจากนั้นพวกเราก็เอาดินออกไปอีกไม่ได้ คาดว่าพวกเขาคงจับได้แล้ว”
ถังหลิ่น “พวกเขา?”
“คนที่รับผิดชอบดูแลการขนส่งของโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่าน บางทีเบื้องหลังของพวกเขายังมีคนอื่นอยู่อีก” อวี้เฟยก้มหน้ามองดูภาพนกเค้าแมวบนแขน พูดชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เอาเป็นว่าคนพวกนั้นอย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
ไอสังหารปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
ระหว่างการสนทนาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาทีถังหลิ่นพบเห็นมันแล้วถึงสองครั้ง
นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่ววูบ หากแต่ถูกปลูกฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของอีกฝ่ายนานแล้ว
“ตอนนี้คุณรู้ถึงฐานะของพวกเขาหรือยัง” ถังหลิ่นพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกอย่างเต็มกำลังพลางถาม
อวี้เฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเงยหน้า “ยัง แต่ผู้คุมด่านต้องเป็นส่วนหนึ่งของคนพวกนั้นแน่ การเฝ้าด่านของพวกเขามีกฎระเบียบกำหนดไว้แน่ชัด แถมยังมีการสลับผลัดเปลี่ยนกันอีก ตอนอยู่ที่นครใต้พิภพฉันกับดีมอสเคย…”
ครั้นพูดถึงชื่อของผู้คุมด่าน อวี้เฟยก็หยุดชะงัก เมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้มีอาการปวดหัวเหมือนอย่างที่คาดไว้ เขาก็เข้าใจได้ทันที “ตอนนายผ่านด่าน 2/10 ผู้คุมด่านคือดีมอส?”
ถังหลิ่นพยักหน้า
มีแต่คนที่ทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่งพบเจอกับผู้คุมด่านเดียวกันเท่านั้นถึงจะสามารถพูดคุยถึงรายละเอียดและชื่อของผู้คุมด่านได้
“ตอนอยู่นครใต้พิภพฉันกับเขาเคยประมือกันครั้งหนึ่ง…ที่จริงถ้าจะว่ากันให้ถูกก็ต้องบอกว่าฉันถูกเขาเล่นงานฝ่ายเดียวมากกว่า” อวี้เฟยยอมรับตามตรง “ตอนนั้นเขาบอกว่า ‘ฉันชอบนักสำรวจอย่างพวกนายจริงๆ แต่ต้องเป็นคนที่น่าสนใจหน่อยถึงจะได้ นายมันโง่เกินไป เพราะฉะนั้นจงทำตัวว่านอนสอนง่ายอยู่ในกรงเถอะ เข้าใจหรือเปล่า’…”
น้ำเสียงของอวี้เฟยราบเรียบ โชคดีที่ถังหลิ่นจำดีมอสได้แม่น สมองของถังหลิ่นเปลี่ยนคำพูดที่หลุดออกจากปากของอวี้เฟยให้กลายเป็นน้ำเสียงของผู้คุมด่านผมสีทองรายนั้นโดยอัตโนมัติ
“เขารู้จักนักสำรวจ แถมยังพูดถึง ‘กรง’ อีก” จากคำพูดของอีกฝ่ายถังหลิ่นจับข่าวสารสำคัญได้สองประการ
“ถูกแล้ว” อวี้เฟยพยักหน้า “ดังนั้นผู้คุมด่านที่อยู่ที่นี่จึงไม่ใช่ NPC ที่จะรีเซ็ตคืนสู่สภาพเดิมทุกวัน พวกเขามีเลือดมีเนื้อมีความทรงจำ พวกเขาจำกลุ่มคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านได้แม่นยำ ส่วนกรงที่เขาพูดถึงก็คือด่านที่ฉันบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าพวกเขามีการกำหนดเส้นทางและขอบเขตไว้ตั้งแต่แรก ทั้งยังต้องการให้พวกเราเข้าไปทำเควสต์อยู่ในนั้น ไปให้พวกเขาเล่นสนุกอยู่ในกรงนั่น”
เนื่องจากปริมาณข่าวสารมีจำนวนมาก ถังหลิ่นจึงจำต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ
ในข่าวสารเหล่านั้นมีบางเรื่องที่เขาเคยนึกสงสัยไปตามสัญชาตญาณ อย่างเช่นเขาเคยรู้สึกว่าต้นไอเทมเป็นพลังงาน ปีศาจราตรีเองก็เป็นพลังงานในรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นตอนที่เงาร่างหมาป่าเข้าไปในร่างกายเขามันถึงได้กลายเป็นต้นไอเทมที่สอง ทว่าเพราะเรื่องราวพวกนั้นล้วนไม่เคยชัดแจ้งเหมือนอย่างในเวลานี้มาก่อน ดังนั้นแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นตามมาจึงนำมาเทียบกันไม่ได้
“ถังหลิ่น มาเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราเถอะ” อวี้เฟยเอ่ยปากเชื้อเชิญอีกครั้ง สายตาเร่าร้อนคล้ายแบกรับภารกิจหนักหนาบางอย่างไว้ “พวกเรามาร่วมค้นหาความจริงไปด้วยกัน ร่วมกันทำลายโลกบัดซบนี่!”
ถังหลิ่นยอมรับว่ามีอยู่ชั่ววูบที่เขารู้สึกเลือดร้อนแผ่ซ่านไปทั้งร่าง
ความจริงที่เขายอมคุยกับอวี้เฟยนานขนาดนี้ก็เพราะหวังว่าบางทีกลุ่ม VIP อาจสามารถร่วมมือกับกลุ่มนักสำรวจ ฝ่าด่านไปพร้อมๆ กับค้นหาความจริง
ทว่าหลังจากมองดูชายหนุ่มผู้บุ่มบ่ามเลือดร้อนที่อยู่ตรงหน้า เขาก็ค่อยๆ ใจเย็นลง
ทำลายโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่าน?
แน่นอนว่าเขาต้องการแบบนั้น แต่ต้องทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นจริงได้
“พวกคุณคิดจะทำยังไง” ถังหลิ่นถาม
อวี้เฟยคิดว่าในที่สุดถังหลิ่นก็เปิดใจยอมรับแล้วจึงรีบอธิบาย “อย่างแรกคือลืมเรื่องด่านทิ้งไปเสีย ด่านต้องการก็แค่ให้นายเปิดแผนที่เพิ่ม แต่เชื่อเถอะว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง ที่พวกเราต้องทำคือตรวจสอบทุกสถานที่ภายในด่านอย่างสุดกำลัง โดยเฉพาะกับพื้นที่ที่อยู่นอกเส้นทาง รวมถึงจุดที่กฎไม่อนุญาตให้พวกเราไป ยิ่งห้ามมากเท่าไหร่พวกเราก็ยิ่งต้องไปให้ได้ มีแต่ทำแบบนั้นเท่านั้นถึงจะได้ผลลัพธ์อะไรบางอย่างกลับมา”
ฉงเยวี่ยเคยเล่าว่าเคยมีนักสำรวจเข้าไปในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตที่ระบบกำหนดและถูกกำจัดโดยตรง
ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง
“เจาะจงอีกหน่อยได้ไหม” ถังหลิ่นยังคงถามต่อ “แค่บุกเข้าไปสำรวจในพื้นที่ที่ไม่รู้จักเหรอ มีแผนการสำรวจที่มีระบบมีขั้นมีตอนมากกว่านี้หรือเปล่า”
“แน่นอนว่ามี พวกเราต้องเริ่มลงมือจากสามด้าน ได้แก่การมีอยู่ของโลกนี้ การมีอยู่ของผู้คุมด่าน และรายละเอียดของด่าน แต่การจะสำรวจเรื่องผู้คุมด่านกับรายละเอียดภายในด่านนั้นมีโอกาสแค่ตอนเข้าไปในด่านแล้วเท่านั้น อีกอย่างด่านก็ผ่านการตั้งค่ามาก่อนที่จะเปิดให้เข้าไป พวกเรารู้สึกว่าการสำรวจภายในนั้นไม่มีความหมายสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเน้นไปที่ด้านนอก ในบริเวณที่ไม่ได้รับอนุญาต”
อวี้เฟยพูดไม่หยุดคล้ายพอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็กระเหี้ยนกระหือรือไม่รู้จบไม่รู้สิ้น
ทว่าถังหลิ่นกลับสังเกตเห็นว่านับตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้อีกฝ่ายพูดถึงคำว่า ‘ไม่อนุญาต’ สองครั้งแล้ว เขาจึงเตือนอ้อมๆ “ไม่อนุญาตแปลว่ามีอันตราย เป็นไปได้ว่าอาจหมายถึงการถูกกำจัด”
“ทุกการสำรวจล้วนมีอันตราย” อวี้เฟยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ไม่มีความกล้า ก็อย่ามาเป็นนักสำรวจ”
นี่ไม่ใช่ ‘มีอันตราย’ แต่เป็นการพุ่งเข้าหาอันตรายโดยไม่มีแบบแผน
ถังหลิ่นถอนหายใจแผ่วเบาออกมาคราวหนึ่ง ช้อนตาขึ้นคล้ายตัดสินใจ “ผมนับถือในความกล้าของพวกคุณ แต่ผมอยากพาพรรคพวกกลับบ้านมากกว่า”
อวี้เฟยฟังออกถึงคำปฏิเสธในคำพูดของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่อาจยอมรับ “ตอนนี้นายมีโอกาสสืบรู้ความจริงแล้ว มีโอกาสช่วยเหลือคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด แต่นายกลับสนใจแค่ ‘พรรคพวก’ ไม่กี่คนนั่น!”
ถังหลิ่นส่ายหน้า “คุณให้เกียรติผมเกินไปแล้ว ผมแบกรับชีวิตผู้คนมากมายแบบนั้นไม่ไหว”
อวี้เฟยร้อนอกร้อนใจ เขาพูดออกมาโดยไม่ทันยั้งคิด “พรรคพวกของนายพวกนั้นไม่มีนายจะตายหรือไง ต่อให้เป็นแบบนั้นก็เถอะ การทำลายที่นี่ ช่วยชีวิตผู้คนทั้งหมด เทียบไม่ได้กับชีวิตพรรคพวกของนายพวกนั้นเลยหรือไง”
ถังหลิ่นนิ่งมองดูเขา “ผมเป็นหัวหน้ากลุ่ม VIP”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.