ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 157
ฮั่วสวี่เข้าร่วม
โถงใหญ่ชั้นหนึ่งใกล้ๆ กับทางเชื่อมต่อบันได หลังผนังที่เหมาะกับการแอบฟัง
ฮั่วสวี่ “พวกเขาไปแล้ว”
ฟั่นเพ่ยหยาง “อืม”
“หัวหน้ากลุ่มของพวกนายนับว่าใช้ได้ ไม่ได้บุ่มบ่ามหัวร้อน”
“อืม”
“แล้วนายยังจะให้มีดส้อมลอยค้างอยู่กลางอากาศอีกนานแค่ไหน”
ฟั่นเพ่ยหยางสงบจิตใจ ตัดการเชื่อมต่อกับต้นไอเทม
มีดส้อมที่ลอยอยู่ซ้ายขวาฝั่งละอันของฟั่นเพ่ยหยางหล่นลงกับพื้น
ฮั่วสวี่เหลือกตาขึ้นบน ถ้อยคำถากถางมากมายติดค้างอยู่ในปาก
คนบ้าอะไรกินสเต๊กพกมีดส้อมสองชุด ชุดหนึ่งใช้กินอาหาร อีกชุดพกติดตัวพร้อมใช้เล่นงานผู้อื่นตลอดเวลา
อีกอย่างทางถังหลิ่นนอกจากเรื่องลากอวี้เฟยมาคุยลับๆ ล่อๆ ชวนสงสัยอยู่ที่นี่แล้ว การแสดงออกที่เหลือล้วนเรียกได้ว่าพอถูไถ แล้วชายที่อยู่ข้างๆ เขารายนี้จะหงุดหงิดโมโหเรื่องอะไรกัน
โดยเฉพาะตอนที่อวี้เฟยบอกว่า ‘หากพูดให้นายคล้อยตามได้ ฝึกฝนนานแค่ไหนก็คุ้ม’ ฮั่วสวี่แทบจะถูกไอสังหารของคนที่อยู่ข้างๆ นี้บีบบังคับให้ลงมือตามการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข
พิลึก เผด็จการ
ฮั่วสวี่ที่ลืมไปแล้วว่าตัวเองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ประธานฟั่นอยู่ในใจก็เคยไม่พูดไม่จาใช้คลื่นน้ำเล่นงานผู้ดูแลกลุ่มสือเซ่อกระเด็นขึ้นไปถึงชั้นสิบเก้า
ฟั่นเพ่ยหยางเก็บอวี้เฟยที่กล้าคิดอ่านอะไรบางอย่างกับถังหลิ่นไว้ใน ‘แฟ้มรอจัดการ’ เป็นการชั่วคราว เขาหันมามองดูฮั่วสวี่ จู่ๆ ก็ถามอีกฝ่ายว่า “นายตามมาทำไม”
ฮั่วสวี่ไม่ทันตั้งตัว หลังจากตะลึงไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยประชด “นายเป็นคนบอกให้ฉันตามมาไม่ใช่หรือไง”
“ถ้านายว่าง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่ต้องให้ฉันเสียเวลาแสดงความจริงใจอยู่ตั้งนานแบบนี้” ฟั่นเพ่ยหยางบอก
ฮั่วสวี่ “…นายไม่ตามฉันก็ได้นี่”
“ฉันไม่ตาม คนที่ตามก็ต้องเป็นถังหลิ่น” พอนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน หัวคิ้วของฟั่นเพ่ยหยางก็ขมวดเข้าหากันแน่น “เขายิ้มให้นายมากเกินไปแล้ว”
“…” ฮั่วสวี่สับสนไม่เข้าใจ
คำพูดของฟั่นเพ่ยหยางก็เหมือนกับมีดส้อมที่ลอยออกมาจากกระเป๋าพวกนั้น ชวนให้คนรู้สึกงุนงงสงสัย
ฟั่นเพ่ยหยางไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าคำพูดของตัวเองมีอะไรไม่ถูกต้อง พอเห็นฮั่วสวี่ไม่มีทีท่าจะถามอะไรต่อ เขาก็วกกลับเข้าสู่หัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้อย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันว่าฉันพอจะรู้แล้วว่าทำไมนายถึงตามฉันมา”
ฮั่วสวี่ยกคิ้ว ไม่พูดไม่จา
ฟั่นเพ่ยหยางรู้ว่าตัวเองทายถูกแล้ว “เมื่อก่อนนายเป็นนักสำรวจ”
ทันใดนั้นสายตาของฮั่วสวี่ก็ลอยไปไกลคล้ายนึกอะไรได้บางอย่าง เขาเอ่ยประชด “เฮอะ ก็แค่พวกรนหาที่ตายกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”
“นายไม่คิดว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ?”
“ทำตัวบุ่มบ่ามอย่างกับแมลงวันไม่มีหัว ทุกการค้นพบล้วนต้องแลกมาด้วยชีวิตผู้คน ถ้าโชคดีบางทีอาจทำสำเร็จได้จริง แต่ฉันแต่ไหนแต่ไรก็โชคร้ายมาโดยตลอด”
ฟั่นเพ่ยหยางเลิกคิ้ว “ถ้างั้นทำไมเมื่อก่อนนายถึงเลือกเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขา”
ฮั่วสวี่มองดูเขา “ตอนนั้นฉันโง่ไง พอใจหรือยัง”
ฟั่นเพ่ยหยางไม่เพียงชอบคำตอบตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขายังรู้สึกยินดีที่ในที่สุดก็ค้นพบข้อดีข้อหนึ่งของอีกฝ่าย
ทว่าการจิกกัดตัวเองไม่อาจปกปิดเนื้อแท้ ที่อีกฝ่ายถูกคำพูดของนักสำรวจทำหวั่นไหวได้ ฟั่นเพ่ยหยางคิดไปคิดมาก็คิดได้ว่ามีเหตุผลเพียงประการเดียวเท่านั้น “เทียบกับการทำเควสต์ฝ่าด่านแล้ว นายอยากสืบรู้ถึงความเป็นจริงมากกว่า”
“นายจะบอกว่าการเข้าร่วมกลุ่มกับพวกนายจะช่วยให้ฉันค้นพบข้อเท็จจริงได้งั้นเหรอ” ฮั่วสวี่ย้อนถามน้ำเสียงแดกดัน
“ไม่” ฟั่นเพ่ยหยางตอบอย่างไม่นึกลังเล “เพราะฉะนั้นนายควรไตร่ตรองให้ดีๆ”
ฮั่วสวี่ “…”
เขาจ้องหน้าฟั่นเพ่ยหยางอยู่นาน
ทั้งสองต่างเย็นชาแบบเดียวกัน ร้างไร้ความรู้สึกเหมือนกัน
“กลุ่มของพวกนายชื่ออะไร”
“VIP”
“น่าเกลียดชะมัด”
“หัวหน้าเป็นคนตั้ง ไว้นายเข้ากลุ่มมาก่อนวันหน้าค่อยเปลี่ยน”
“อืม”
“แต่ฉันไม่มีทางเห็นด้วย”
“…”
หลังจากที่ถังหลิ่นกลับถึงห้องได้ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าอาจเป็นพรรคพวกคนไหนสักคนที่เกิดนึกขยันขันแข็งหลังกลับไปพักกลางวันที่ห้องครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาขอฝึกฝนตอนเที่ยงต่อ แต่พอเปิดประตูออกดูเขาก็พบว่าอีกฝ่ายคือฟั่นเพ่ยหยางกับฮั่วสวี่
“เขาตกลงแล้ว” ยังไม่ทันได้เข้าไปในห้องฟั่นเพ่ยหยางก็ประกาศผลสำเร็จของตัวเองออกมาให้ทุกคนได้รับรู้
ข่าวดีนี้มากะทันหันสุดๆ จังหวะหรือก็เหมาะเจาะเหลือเชื่อ มาตอนเขากับอวี้เฟยคุยกันเสร็จพอดี สายตาของถังหลิ่นกวาดมองกลับไปกลับมาระหว่างคนทั้งสอง ในใจไม่วายนึกสงสัย
พอเห็นฮั่วสวี่ไม่พูดไม่จา ฟั่นเพ่ยหยางก็อดทนอดกลั้นชี้นิ้วไปทางถังหลิ่น “เรียกหัวหน้าสิ”
“…” ฮั่วสวี่นิ่งเงียบอยู่สองวินาทีก่อนจะหันหลังเดินจากไป
โชคดีที่ถังหลิ่นตาไวมือไว เขาจูงคนกลับมา “ไม่ต้อง เรียกผมถังหลิ่นก็พอ” พูดจบเขาก็ขมวดคิ้วไปทางฟั่นเพ่ยหยางทันที หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ นี่เป็นพรรคพวกที่ได้มาอย่างยากลำบาก ไม่ใช่เด็กที่ผู้ปกครองจูงมาพบอาจารย์!
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้เข้าใจความหมายทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พอรับรู้ถึงเค้าโครงความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย เขายักไหล่ ตั้งอกตั้งใจทำตัวสงบนิ่ง
ถังหลิ่นไม่ยอมเสียเวลาพูดจาอ้อมค้อมอย่างการเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในห้องอะไรพวกนั้น กับคนอย่างฮั่วสวี่ โอกาสหากพลาดไปเพียงครั้งก็ยากจะเรียกคืนกลับมาได้อีก ดังนั้นหลังจากดึงมืออีกฝ่ายกลับมา เขาก็เอ่ยปากรับรองทันที “ทุกอย่างยังคงเหมือนที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่เปลี่ยน กลุ่มของพวกเราทันทีที่เข้าสู่ด่าน 4/10 ขอเพียงไม่ผิดกฎ คุณสามารถไปจากกลุ่มได้ทุกเมื่อ”
นี่เป็นการรับรองและเป็นการสั่นคลอนความดื้อรั้นดึงดันของฮั่วสวี่ครั้งสุดท้าย
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่กลุ่ม VIP” ถังหลิ่นยื่นมือให้กับอีกฝ่าย
มือที่ยื่นมาตรงหน้าทำฮั่วสวี่ตะลึงงัน หลังจากผ่านไปสองสามวินาทีในที่สุดเขาก็คล้ายเพิ่งรู้สึกตัว เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะหันกลับไปด้วยท่าทีเมินเฉย “ฉันจะกลับไปนอนพักเอาแรงแล้ว”
เพิ่งเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ เขาก็หันกลับมาเอ่ยเตือน “ห้ามไปเฝ้าที่หน้าประตูห้องฉันอีก”
ถังหลิ่นพยักหน้ายินดี “วันนี้ผมจะให้คุณได้พักครึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ามาร่วมฝึกซ้อมด้วยกัน”
ฮั่วสวี่ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทำเพียงส่งเสียงประชดออกมาคราวหนึ่งแล้วก็เดินจากไป
ที่หน้าประตูเหลือเพียงฟั่นเพ่ยหยาง
“ผมพูดได้หรือยัง”
ถังหลิ่นเบี่ยงกายเปิดทาง “ไม่เพียงแต่พูดได้ แต่ยังเข้ามาคุยกันข้างในได้ด้วย”
โอเค ฟั่นเพ่ยหยางตัดสินใจไม่ถือสาเอาความกับเรื่อง ‘ห้ามพูดชั่วคราว’ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“บทสนทนาระหว่างผมกับอวี้เฟย พวกคุณได้ยินแล้วสินะ” ทันทีที่เข้าไปถึงห้องรับแขกถังหลิ่นก็ถามออกมา นอกจากเรื่องนี้แล้วเขาก็นึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้อยู่ๆ ฮั่วสวี่ก็ใจอ่อนได้แบบนั้น
“ได้ยินแล้ว” ฟั่นเพ่ยหยางนั่งลงบนโซฟา
ถังหลิ่นรินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง น้ำเสียงกลับกลายเป็นอัศจรรย์ใจ “ผมจงใจพาเขาไปที่ลับหูลับตาคนแล้วค่อยพูดคุยกัน”
ฟั่นเพ่ยหยางรับแก้วน้ำมาถือไว้ จิบมันคำหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “เพราะอย่างนั้นผมเลยหาตำแหน่งแอบฟังได้ค่อนข้างลำบาก พลาดบทสนทนาช่วงแรกของพวกคุณไป”
…รีวิวได้ตรงไปตรงมาจริงเชียว
“โอเค” ถังหลิ่นพูดด้วยอารมณ์ไม่สู้ดี “คราวหน้าผมจะเลือกที่ที่สะดวกต่อการแอบฟังให้”
“ฮั่วสวี่ก่อนหน้านี้เป็นนักสำรวจ” ฟั่นเพ่ยหยางวกกลับเข้าเรื่อง
“นักสำรวจ?” มิน่าอีกฝ่ายถึงได้มีท่าทีตอบสนองต่อบทสนทนาของเขากับอวี้เฟย
“ก็เหมือนกับคุณที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการสำรวจที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต เขาไม่ได้บอกว่าอยู่ในกลุ่มนักสำรวจนานแค่ไหน แต่ด้วยนิสัยของเขา…” ฟั่นเพ่ยหยางไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ว่ากันตามหลักแล้วน่าจะไม่เกินช่วงทดลองงาน”
พนักงานที่ดื้อรั้นมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ยอมทำตามคำสั่งใครง่ายๆ แบบนี้เจ้านายไม่มีทางชอบ ต่อให้มีความสามารถขนาดไหน ถ้าไม่ฟังคำกันก็ย่อมเสียเปล่า
แต่ถังหลิ่นไม่ใช่เจ้านายและเขาเองก็ไม่ได้คิดจะหาพนักงาน ที่เขาต้องการคือพรรคพวกที่สามารถวางใจมอบแผ่นหลังให้กับอีกฝ่ายได้
“หวังว่าเขาจะอยู่กลุ่ม VIP ของพวกเราได้นานหน่อย” ถังหลิ่นถอนหายใจแผ่วเบา
ความไว้วางใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา หากเวลาไม่พอ ฝืนเรียกร้องเช่นไรก็ยากจะได้มา
“คุณต้องการเขาขนาดนั้นเลย?” ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าต้องการ ไม่อย่างนั้นหลายวันมานี้เขาจะจัดกลุ่มไปทำตัวเป็นทวารบาลอยู่หน้าประตูห้องชาวบ้านทำไมกัน
ทว่าคำว่า ‘ต้องการ’ คำนี้ออกจากปากของฟั่นเพ่ยหยางมันกลับคล้ายแฝงความหมายลึกล้ำแปลกประหลาด…
เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตกหลุมพรางหรือถูกลากเข้าไปสู่บทสนทนาที่ยากจะกอบกู้ ถังหลิ่นตัดสินใจข้ามผ่านเรื่องดังกล่าว วกกลับเข้าประเด็น “ดังนั้นที่ฮั่วสวี่ยินดีเข้าร่วมกลุ่มนั่นก็เพราะว่าผมปฏิเสธที่จะเป็นนักสำรวจ?”
ไม่ใช่ เป็นประโยค ‘ผมอยากพาพรรคพวกกลับบ้านมากกว่า’ ต่างหาก
ตอนได้ยินคำพูดดังกล่าว สายตาของฮั่วสวี่ก็เปลี่ยนไป
ขนาดคนที่การรับรู้ด้านอารมณ์ความรู้สึกเฉื่อยชาอย่างฟั่นเพ่ยหยางก็ยังคงตระหนักได้
ว่ากันตามความสามารถของฮั่วสวี่แล้ว ฟั่นเพ่ยหยางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องให้ใครช่วยพากลับบ้าน ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ฮั่วสวี่หวั่นไหวจึงเป็นท่าทางของถังหลิ่นที่มีต่อพรรคพวกต่างหาก
ไม่บ่อยนักที่ฟั่นเพ่ยหยางจะวิเคราะห์ถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น ทว่าวันนี้เขากลับทำ อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์กลับมาเล็กๆ น้อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะบอกกับถังหลิ่น
คำพูดอย่าง ‘ฮั่วสวี่ถูกเสน่ห์ของคุณดึงดูดให้เข้าร่วมกลุ่ม VIP’ นี้ ต่อให้ถึงวันสิ้นโลกคนอย่างประธานฟั่นก็ไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดออกจากปากได้
“ใช่ เพราะคุณปฏิเสธอวี้เฟย” ฟั่นเพ่ยหยางหน้าไม่เปลี่ยนสี น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวหนักแน่น
ถังหลิ่นไม่นึกสงสัย เขาเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องอีกเรื่อง
ถึงจะปฏิเสธกลุ่มนักสำรวจไปแล้ว ทว่าข่าวสารที่นักสำรวจให้มานั้นกลับทำให้ถังหลิ่นยิ่งคิดมาก
“เรื่องที่อวี้เฟยพูดถึงพวกนั้น คุณคิดว่ายังไง”
“เรื่องเกี่ยวกับระบบเซียวแล้วก็โลกนี้?” ฟั่นเพ่ยหยางส่ายหน้าน้อยๆ “ยังเข้าไม่ถึงแก่น ด่านมีไว้เพื่ออะไร ให้พวกเราทำเควสต์ฝ่าด่านเป้าหมายของมันคืออะไร การสำรวจของพวกเขายังเข้าไม่ถึงแกนกลางของปัญหาสองข้อนี้เลยด้วยซ้ำ คิดทำลายที่นี่ จะทำลายยังไง ตอนนี้พวกเขารู้แล้วหรือไงว่าสามารถทำอะไรได้ ยิ่งกับปัญหาข้อนี้พวกเขายิ่งว่างเปล่า”
“แต่พวกเขากล้าคิด กล้าทำ กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง คุ้มค่าให้ยกย่องนับถือ” ถังหลิ่นมองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง “ถ้าการทำเควสต์ฝ่าด่านหลังจากนี้พวกเรามีโอกาสสืบรู้ความจริง คุณจะลองดูหรือเปล่า”
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้ตอบแต่กลับย้อนถาม “คุณอยากลอง?”
“อืม” ถังหลิ่นพยักหน้า “ผมอยากลองดูสักตั้ง”
“แต่คุณปฏิเสธกลุ่มนักสำรวจไปแล้ว” ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยปากเตือน “แม้คุณไม่อยากเข้าร่วม แต่ก็สามารถให้กลุ่ม VIP กับพวกเขาเป็นพันธมิตรกันได้ ช่วยกันจัดวางกลยุทธ์ อย่างน้อยพวกเขาก็เริ่มต้นไว มีขอบเขตกว้างขวาง”
“ไม่ได้” สำหรับเรื่องลำดับความสำคัญของเป้าหมายถังหลิ่นมั่นใจ “ความปลอดภัยของพวกคุณมาเป็นอันดับหนึ่ง การทำเควสต์ฝ่าด่านอันดับสอง และสืบหาความจริงเกี่ยวกับที่นี่เป็นอันดับสาม ถ้าร่วมมือกับนักสำรวจ ผมย่อมไม่มีทางรักษาลำดับความสำคัญแบบนี้ได้”
ฟั่นเพ่ยหยางบอก “ทั้งอยากสืบหาความจริง ทั้งไม่อยากเสี่ยงอันตราย ผมไม่เคยพบเจอเรื่องที่มีแต่ได้อะไรแบบนี้”
“จู๋จื่ออยากตามหาเพื่อนของเขา หนานเกออยากกลับบ้าน ส่วนผมกว่าจะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงได้อีกครั้งก็ไม่ง่าย แถมแต่ละวันยังต้องคอยจับตาดูคนที่ชอบวิ่งเข้าใส่อันตรายอยู่ตลอด” ถังหลิ่นมือข้างหนึ่งเท้าแก้ม ชำเลืองมองดูฟั่นเพ่ยหยางปราดหนึ่ง “เพราะแบบนี้ผมถึงไม่อยากเสี่ยงอันตราย”
ฟั่นเพ่ยหยาง “…”
ถูกอีกฝ่ายตำหนิโดยไม่ต้องเรียกชื่อเข้าให้แล้ว
“แต่ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีโอกาส” ถังหลิ่นยังคงระมัดระวังและมองโลกในแง่ดี “ตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ยังมีไม่มาก บางทีการทำเควสต์ฝ่าด่านของพวกเราอาจทำให้ความลับเหล่านั้นโผล่พ้นผืนน้ำออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนพอให้พวกเราวางแผนทำศึก”
“หรือจนถึงท้ายสุดแล้วพวกเราอาจไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความลับที่เป็นแก่นแท้ของที่นี่” ฟั่นเพ่ยหยางแต่ไหนแต่ไรก็ชอบครุ่นคิดถึงเรื่องราวในแง่ที่ร้ายที่สุดอยู่ก่อนเสมอ
เดิมถังหลิ่นมั่นใจว่าฟั่นเพ่ยหยางก็เหมือนกับตนเองที่คิดจะสืบหาความจริง ทว่าการที่อีกฝ่ายเฝ้าสาดน้ำเย็นใส่เขาตลอดเช่นนี้ทำให้เขาเริ่มนึกลังเล “ปัญหาเมื่อกี้ คุณยังไม่ตอบผม”
“ถ้าพวกเรามีโอกาสสืบรู้ความจริง ผมอยากจะลองดูหรือเปล่างั้นเหรอ” ฟั่นเพ่ยหยางทวนคำถาม ไม่รอให้ถังหลิ่นได้พูดอะไรเขาก็ตอบออกมาอย่างเด็ดขาดหนักแน่นว่า “ต้องอยากลองอยู่แล้ว เบื้องหลังของเรื่องนี้ไม่ว่าเป็นคนคนเดียวหรือกลุ่มอะไรก็ตาม ผมอยากให้พวกเขาได้รู้ว่าการที่ทำให้คนอื่นเสียเวลานั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัย ถ้าเวลานี้เป็นนาทีทองของการเพียรพยายาม เช่นนั้นโทษนี้ก็ยิ่งให้อภัยไม่ได้เข้าไปใหญ่”
“แต่ถ้าคุณไม่ได้ถูกดึงเข้ามา ไม่ได้เข้าไปในห้องอธิษฐาน บางทีผมอาจมีชีวิตไม่ถึงตอนนี้” ถังหลิ่นพูดกับฟั่นเพ่ยหยางตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง
ฟั่นเพ่ยหยางตรึกตรองอย่างรอบคอบระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ งั้นก็ให้พวกเขาได้ตายแค่หนเดียวพอ”
ถังหลิ่น “…”
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะให้จอมบงการที่อยู่หลังม่านพวกนั้นตายไปกี่หนกัน
เรื่องดีไม่ค่อยเป็นข่าว เรื่องแย่ๆ กลับแพร่สะพัดพันหลี่
เพิ่งพลบค่ำได้ไม่ทันไรข่าวฮั่วสวี่เข้าร่วมกลุ่ม VIP ก็มีคนล่วงรู้เข้าจนได้ พอถึงตอนสองสามทุ่มมันก็แพร่ไปทั่วเขตรวมพล
แม้แต่กลุ่มคนที่วนเวียนอยู่หน้าประตูเตรียมเข้าสู่ด่าน 4/10 ตอนเที่ยงคืนก็ยังลืมเรื่องด่านที่กำลังจะมาถึงไปชั่วขณะ พวกเขาต่างเงยหน้าส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่กับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่อยู่บนระเบียงทางเดินชั้นบน
ชั้นล่าง “เรื่องจริงหรือเปล่า”
ชั้นสอง “จริงยิ่งกว่าผมที่ยังเหลือแค่ไม่กี่เส้นบนหัวของนายอีก”
ชั้นล่าง “คุยกันเรื่องข่าวลือก็พูดถึงแต่เรื่องข่าวลือสิ ทำไมต้องกระแหนะกระแหนเรื่องรูปลักษณ์กันด้วย”
ชั้นสี่ “เฮ้ๆ ตกลงเพราะอะไรเขาถึงยอมตกลงรับปากได้”
ชั้นสาม “ฉันรู้สึกว่าการที่เขาเพิ่งยอมตกลงนี้ อันที่จริงก็นับว่าอดทนเข้มแข็งมากแล้ว ถูกกลุ่ม VIP เดินตามล้อมหน้าล้อมหลังแบบนั้น แค่วันเดียวฉันก็บ้าแล้ว…”
เรื่องนี้แน่นอนว่าย่อมลอยเข้าหูของคนคุ้นเคย
หลังได้ยินข่าวดีดังกล่าวเหอลวี่ก็นึกยินดีแทนกลุ่ม VIP ทั้งยังรู้สึกละอายใจที่ตัดสินอะไรง่ายๆ ไปก่อนหน้านี้ บางทีฮั่วสวี่อาจขาดแคลนความเชื่อถือไว้วางใจ ทว่าความจริงใจสามารถละลายน้ำแข็งในใจคนได้จริงๆ
พอกวนหลันได้ยินเรื่องดังกล่าวเขากลับถอนหายใจยาวๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าฮั่วสวี่จะกลายเป็นสมาชิกกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนของเขาแล้ว
ปฏิกิริยาแรกของชุยจั้นคือเสียดายที่ปล่อยให้คนที่มีฝีมือหลุดมือไป ทว่าหลังจากนึกถึงนิสัยเจ้าอารมณ์ของฮั่วสวี่ เขาก็รู้สึกว่าตัวหายนะแบบนี้ หลุดมือแล้วก็แล้วไปเถอะ
โจวอวิ๋นฮุยไม่มีเวลาสนใจข่าวลือดังกล่าว เขากำลังนำทีมฝึกฝน เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดด่านในครั้งหน้า
ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยกับเจียงฮู่ชวนจากกลุ่มปู้ปู้เกาเซิง เพราะเคยทำเควสต์เอาชีวิตรอดบนเกาะร้างกับกลุ่ม VIP มาก่อนจึงรู้ถึงศักยภาพของอีกฝ่าย สำหรับเรื่องนี้พวกเขากลับมีความคิดเห็นที่ลึกล้ำยิ่งกว่า…
ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยมั่นใจว่านี่ต้องเป็นเพราะความสามารถของประธานฟั่นที่ทำให้ฮั่วสวี่ยอมสยบ
ทว่าเจียงฮู่ชวนกลับยืนกรานว่าสิ่งที่ทำให้ฮั่วสวี่ยอมศิโรราบนั้นล้วนเป็นเพราะเสน่ห์ของถังหลิ่น
กว่าที่เรื่องนี้จะซาลงก็ต้องรอจนถึงดึกดื่น เพราะด่านกำลังจะเปิดแล้ว
ไม่เหมือนกับคืนอื่นๆ ที่บรรยากาศเงียบเหงา เขตรวมพลในเวลานี้ล้วนแต่เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงคน โถงใหญ่บริเวณชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยศีรษะคนขยับไหว กลุ่มที่มีสมาชิกพร้อมจะเข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่านไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวอะไรนัก พวกเขารวมกลุ่มตั้งทัพรอกันอยู่ที่ข้างประตูด่าน ขณะเดียวกันก็มีคนที่คิดจะรอดูสถานการณ์อยู่รอบนอกก่อนเดินวนเวียนไปมาอยู่ท่ามกลางฝูงชน คอยชำเลืองมองทางเข้าด่านเป็นพักๆ
สมาชิกกลุ่ม VIP เองก็ออกจากห้องมามองดูบรรยากาศคึกคักอยู่บนระเบียงทางเดินหน้าประตูห้องของตัวเอง
แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…
เสียงระฆังบอกเวลาดังมาจากนาฬิกายาวจรดพื้นบนโถงใหญ่ชั้นหนึ่งสิบสองครั้งถ้วน
เที่ยงคืนแล้ว
ประตูด่านไม่มีความเคลื่อนไหว
แรกๆ ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ต่อมาพวกเขาก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา กระทั่งฟ้าสางประตูด่านก็ยังคงไม่เปิด เขตรวมพลจึงปั่นป่วน
ในเวลาเดียวกันโซนพักผ่อนของผู้คุมด่านก็โกลาหลขึ้นเช่นกัน
ผู้คุมด่านที่ได้รับข่าวสารแต่ละคนต่างโมโหพลางวิ่งวุ่นไปทั่วไม่ต่างอะไรกับฝูงผีเสื้อ ส่งต่อข่าวสารที่ได้มาให้กับพรรคพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรคนแล้วคนเล่า
“พวกนายได้ยินหรือยัง หยกเซียวสิบสามอันในเขตอบรมถูกขุดออกมาพร้อมกัน บีบให้เขตอบรมต้องปิดตัวลงตลอดกาล!”
บทที่ 158
เปลี่ยนแปลง
ข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วโซนพักผ่อนของผู้คุมด่าน อันที่จริงก็เร็วไม่ต่างอะไรกับที่เขตรวมพลของบรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ของผู้คุมด่านที่ไปประจำอยู่ที่ด่าน 4/10 ก่อนล่วงหน้าพวกนั้น หลังพบว่าไม่มีคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจากเขตรวมพลโผล่มาแม้แต่กลุ่มเดียว เดิมพวกเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะคนพวกนั้นระวังตัวมากเกินไป ต่อมาถึงได้พบว่าที่แท้ประตูด่านก็ไม่ได้เปิด
หลังจากรออยู่ที่ด่าน 4/10 อยู่ชั่วโมงหนึ่งพวกเขาถึงได้รับคำสั่งจากเบื้องบนว่าให้กลับไปรอรับคำสั่งที่โซนพักผ่อน
ผู้คุมด่าน 4/10 ถูกบีบให้ต้องกลับมายังโซนพักผ่อน หลังจากนั้นก็ได้ยินพรรคพวกที่ไม่ยอมหลับยอมนอนกลุ่มหนึ่งกำลังกระจายข่าวลือบอกว่าที่เขตอบรมเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น
ในตอนนั้นพวกเขายังไม่นึกสนใจ
นั่นก็เพราะเขตอบรมเคยเกิดปัญหาขึ้นมาก่อน หยกเซียวของด่านด่านหนึ่งถูกคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทำลายลงโดยบังเอิญ ทำให้วันที่สองด่านดังกล่าวไม่อาจเปิดได้ตามปกติ ส่งผลต่อการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของระบบเซียว ทำให้ด่านทั้งสิบที่อยู่ถัดมามีการยกระดับความยากขึ้น
ทว่าเพียงวันเดียวระบบเซียวก็สามารถซ่อมแซมหยกเซียวนั่นให้กลับมาเหมือนเดิมได้เป็นที่เรียบร้อย ด่านดังกล่าวกลับสู่สภาวะปกติ ถึงแม้ว่าการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจะทำให้ระดับความยากของด่านทั้งสิบที่อยู่ถัดมายากขึ้นจนไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก ทว่าด่านก็ยังมีอีกส่วนที่ถูกควบคุมโดยผู้คุมด่าน ดังนั้นปัญหาจึงไม่ใหญ่โตอะไรนัก
ระบบที่มีการดำเนินการโดยอัตโนมัติมาเป็นระยะเวลานาน หากจะมีบั๊กเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในเขตอบรมบ้างย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ผนวกกับความสามารถในการลงมือแก้ไขข้อผิดพลาดอัตโนมัติของระบบเซียวกับความสามารถในการซ่อมแซมของมัน ทุกคนจึงรู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรเช่นกัน
นึกไม่ถึงว่าครั้นถึงช่วงใกล้ฟ้าสางข่าวสารที่แน่ชัดก็ถูกส่งกลับมา หยกเซียวในเขตอบรมทั้งสิบสามถูกขุดออกมาทำลายพร้อมกันเมื่อคืนก่อน
โซนพักผ่อนในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของผู้คุมด่าน
ตอนตีห้าครึ่งดีมอสที่มีนิสัยนอนดึกตื่นสายก็ถูกทำให้สะดุ้งตกใจตื่น หลังระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดสั่งสอนพรรคพวกที่ใช้การติดต่อฉุกเฉินปลุกเขาขึ้นมาฟังข่าวลือเสร็จ เขาก็วิ่งตื๋อออกจากห้องไปเคาะประตูห้องของเทียร์เต็มแรง ท่าทางกระปรี้กระเปร่า
เทียร์ตาปรือยืนพิงวงกบประตู หลังฟังดีมอสเล่าข่าวลือใหญ่โตนั่นจบเขาก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง “นายติดต่อฉุกเฉินมาก็ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องวิ่งมาทุบประตูห้องฉันด้วย”
ดีมอสรู้สึกแค้นเคืองคล้ายไม่ได้รับความยุติธรรม “ติดต่อฉุกเฉินไม่ต่างอะไรกับนาฬิกาปลุก ฉันเกลียดนาฬิกาปลุกที่สุด แล้วจะใช้มันทำร้ายนายได้ยังไง”
เทียร์ “…”
เลยมาทุบประตูห้องชาวบ้านแทนเนี่ยนะ
“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า พวกเราไปโรงอาหารกัน” ดีมอสเอ่ยเร่ง
“กินข้าวตอนนี้?” เทียร์หาวแล้วนิ่งมองดูนาฬิกา เพิ่งจะตีห้าครึ่ง
“นายเคยเห็นฉันกินข้าวเช้าตั้งแต่เมื่อไหร่” ถึงดีมอสจะภาคภูมิใจต่อการเป็นนกเค้าแมวของตัวเองสุดๆ แต่ทันใดเขาก็ลดเสียงลง กระซิบกระซาบด้วยท่าทางลึกลับ “ไปโรงอาหาร มีเรื่องใหญ่”
โรงอาหารที่ตั้งอยู่ในโซนพักผ่อนนั้นนอกจากจะเป็นจุดที่คึกคักที่สุดแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของการรวบรวมและกระจายข่าวสารอีกด้วย
ความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนสุดท้ายของเทียร์มลายหายไปหมดสิ้น เขามองดูภาพพรรคพวกในชุดนอนสีดำสวมหมวกนอนมีพู่กลมๆ อยู่บนศีรษะตรงหน้าด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง
คำว่า ‘เรื่องใหญ่’ ที่หลุดออกมาจากปากของคนคล้ายกำลังละเมอนั้นยากเกินกว่าที่จะเชื่อถือได้
เทียร์เปลี่ยนเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารพร้อมกับดีมอสที่อยู่ในชุดนอน
ครั้นไปถึงที่นั่นพวกเขาก็พบว่าตัวเองสายแล้ว
ผู้คุมด่านหลายสิบคนที่ประจำการอยู่ในโซนพักผ่อนยามนี้รวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหารแทบจะเรียกได้ว่าครบถ้วน แม้แต่ผู้คุมด่าน 4/10 ที่ไม่ควรอยู่ในโซนพักผ่อนก็ล้วนนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงอาหาร
ทุกคนกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องอะไรบางอย่าง บ้างก็กระตือรือร้น บ้างก็วิตกกังวล เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ
แม้แต่เทียร์ที่จิตใจสงบนิ่งราวกับน้ำมาแต่ไหนแต่ไรก็ยังไม่วายอยากรู้ เขาหันหน้าไปถามดีมอส “ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ดีมอสที่อดทนอดกลั้นมาตลอดทางเพื่อรอให้เทียร์เอ่ยปากถามในที่สุดก็สมหวัง ความรู้สึกของคนประสบความสำเร็จเอ่อท้นอยู่ภายในใจ เขากระแอมออกมาคำหนึ่ง รอยยิ้มงดงามเบ่งบานอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาทว่าซีดขาว “เขต…”
“เขตอบรมถูกปิดตายแล้ว!” จู่ๆ เงาร่างของใครบางคนก็กระโดดมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาสองคน เส้นผมสีแดงราวกับเปลวไฟ ใบหน้าอ่อนเยาว์ “พวกนายคงยังไม่รู้สินะ หยกเซียวในเขตอบรมถูกทำลายหมดภายในคืนเดียว!”
“เพน!” ดีมอสเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ผู้คุมด่านเส้นผมสีทองกุมอกราวกับบาดเจ็บภายใน ความสุขสุดยอดถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปดื้อๆ
เทียร์สนใจเพียงรับฟังเรื่องราว เขาตะลึงมองไปทางเพนคล้ายต้องการขอคำยืนยันอีกครั้ง “นายพูดจริง?”
“จริงแท้แน่นอน” เพนชี้ไปยังกลุ่มผู้คุมด่าน 4/10 ที่อยู่มุมห้อง “ไม่เห็นพวกเขากลับมากันหรือไง วันนี้ประตูด่าน 4/10 ไม่ได้เปิด”
“เพน…” ในโรงอาหารมีคนมองเห็นพวกเขา อีกฝ่ายเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น
อันที่จริงเพนมองเห็นชายผมสีเงินรายนั้นอยู่นานแล้ว แต่เพราะไม่อยากสนใจเลยแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่สุดท้ายกลับไม่วายถูกอีกฝ่ายเรียกชื่อเข้าจนได้
เสียงกระแอมนั่นทำให้สายตาของคนทั้งโรงอาหารหันมาจับจ้องอยู่บนตัวพวกเขาสามคน
เพนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบีบบังคับรู้สึกว่าแครอนจงใจทำแบบนั้น
ชายหนุ่มผมแดงฝืนเดินไปหาหนุ่มใหญ่ผมสีเงิน หย่อนก้นนั่งลงข้างอีกฝ่าย แม้แต่รอยยิ้มแบบขอไปทีก็ยังคร้านเกินกว่าจะมีให้
แครอนดันแก้วใส่นมร้อนให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ “สหายน้อย นายยังโกรธอยู่อีกงั้นเหรอ”
เพนถีบเก้าอี้อีกฝ่าย “ห้ามเรียกฉันสหายน้อย”
เทียร์กับดีมอสเองก็เดินตามเข้าไป หนึ่งเพราะทางนี้มีที่นั่งว่าง สองเพราะซีฟกับวิดาร์ที่ผลัดเวรเฝ้าด่าน 1/10 กับเทียร์ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างแครอน
วงสังคมของดีมอสกว้างขวาง เรียกได้ว่าแทบจะสามารถคุยกับผู้คุมด่านทั้งหมดได้สักสองสามประโยค ทว่าเทียร์ที่มีนิสัยชอบเก็บตัว นอกจากเพื่อนอย่างดีมอส ผู้คุมด่านสองคนนี้สำหรับเขาแล้วพอนับว่าคุ้นเคยได้อยู่
“แครอน นายไปทำอะไรให้ชาวบ้านโกรธอีกล่ะ” พอเดินเข้าไปใกล้เขาก็ได้ยินวิดาร์ยิ้มเอ่ยปากกระเซ้าถึงบรรยากาศตึงเครียดของโต๊ะข้างๆ
ในหมู่ผู้คุมด่านด้วยฐานะของคอสเซอร์* มืออาชีพ วิดาร์จึงแต่งตัวเป็นอัศวินในราชสำนักยุคกลางตลอดเวลา แต่เพราะรสนิยมการแต่งตัวของเขาปนเปผสมผสานอยู่กับรูปแบบละครเวที เพราะฉะนั้นถ้าไม่แดงจัดก็เขียวสด บ้างก็เหลืองสว่างบ้างก็ฟ้ากำมะหยี่ ทั้งยังต้องสวมหมวกพิธีการ รองเท้าบูตหนัง ตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียกได้ว่าหรูหราอู้ฟู่สุดๆ
เพียงแต่ดีมอสนึกไม่ถึงว่าเช้าแบบนี้อีกฝ่ายยังมีเวลาแต่งเนื้อแต่งตัวแบบนั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการหยอกล้อของวิดาร์ แครอนก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำทีไม่รู้เรื่องรู้ราว “ฉันทำอะไรล้วนอยู่ในกรอบ ไม่ได้ทำอะไรเขาทั้งนั้น”
เพนหัวเราะหึๆ “ใช่ นายก็แค่เรื่องดีไม่นึกถึงฉัน พอเจอเรื่องยากเกินกว่าจะจัดการได้ก็มาชวนฉันให้ร่วมคุมด่าน”
“เฮอะ มันก็แค่ขั้นตอนการทำงานทั่วไปเท่านั้น” แครอนเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนแต่ไม่เสียมารยาทออกมา “อีกอย่างเรื่องนี้ก็ผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว คนหนุ่มต้องรู้จักใจกว้าง”
“ยากเกินกว่าจะจัดการได้?” วิดาร์ขยับขนนกบนหมวกเล่น “ยากขนาดนั้นเชียว? ร้ายกาจกว่าพวกที่สามารถทำลายหยกเซียวทั้งสิบสามอันพร้อมกันในคราวเดียว?”
เพนไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังแบบไหนอย่างไร “ความยากลำบากที่ว่าไม่ได้เป็นเพราะศักยภาพของพวกเขา หากแต่เป็นจุดอื่นที่ยากจะอธิบาย…”
พอเห็นหัวข้อสนทนากำลังจะเบี่ยงเบนไปทางอื่น เทียร์ที่นิ่งฟังก็รู้สึกเหนื่อยใจ
เขาก็แค่ต้องการเข้าใจระบบสักหน่อยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นก็เท่านั้น…
“ครั้งนี้ไม่แคล้วต้องพัวพันถึงเขตทดสอบแน่” ซีฟที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด มือข้างหนึ่งเท้าคางเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน
“ถ้าเขตอบรมปิดตัวลงตลอดกาลจริง มันต้องได้รับผลกระทบแน่” เทียร์รับคำ “ถึงตอนนั้นนครใต้พิภพย่อมไม่มีคนใหม่เข้ามาอีก คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในเขตทดสอบทั้งหมดก็มีแต่จะยิ่งลดลง จนสุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถผ่านด่านได้อีก”
“ไม่ใช่ถ้า แต่แน่นอนแล้วต่างหาก” วิดาร์ขยับเข้ามา “คนพวกนั้นทำลายหยกเซียวทั้งสิบสามอันไปแล้วจริงๆ ว่ากันว่าในช่วงสุดท้ายระบบเซียวได้เริ่มดำเนินการล้อมปราบผู้นำกลุ่มพวกนั้นแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ”
“แน่นอนแล้ว?” ดีมอสขมวดคิ้ว หมวกนอนที่มีพู่ประดับอยู่ทางด้านบนเอียงอยู่เล็กๆ ปิดหน้าผากของเขาไปกว่าครึ่ง
เทียร์มองดูเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “นายมาทุบประตูห้องฉันแต่เช้าก็เพื่อแบ่งปันข่าวสารไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลับนึกสงสัย”
“ถ่ายทอดข่าวก็เรื่องหนึ่ง เชื่อหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง” ดีมอสก็มีเหตุผลของตัวเอง “เมื่อกี้ระหว่างทางฉันคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ พวกเขารู้ได้ยังไงว่าหยกเซียวเป็นต้นกำเนิดพลังงาน แล้วทำไมถึงขุดหยกเซียวทั้งสิบสามออกมาในคืนเดียวกัน ความเป็นไปได้มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์”
ซีฟผินหน้ามา เอ่ยตอบน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาจัดกลุ่มสิบสามกลุ่ม บุกเข้าไปในด่านทั้งสิบสามภายในคืนเดียวกัน ส่วนพวกเขารู้ได้ยังไงว่าหยกเซียวเป็นแหล่งพลังงาน แล้วรู้ถึงตำแหน่งของหยกเซียวได้ยังไง เรื่องนี้พวกเขาเหมือนจะใช้ประโยชน์จากบั๊กของระบบ”
“ฉันเคยบอกแล้วว่าระบบปฏิบัติการอัตโนมัติของเขตอบรมทำงานมาหลายปีแล้ว อันที่จริงน่าจะส่งคนไปดูแลบำรุงรักษาระบบตั้งนานแล้ว” แครอนอาศัยว่าตัวเองอายุมากทำตัวเป็นผู้อาวุโสเอ่ยตำหนิติติงย้อนหลัง
“จะว่าไปก็แปลก” เพนขยับเก้าอี้หันมา “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวาน ทำไมวันนี้ถึงเพิ่งส่งข่าว”
“ได้ยินว่าแรกๆ พวกเขาส่งคนไปดูก่อน” วิดาร์ขัดดาบสลักลายซับซ้อนของตัวเองพลางพูด “ทั้งลงมือซ่อมแซมระบบ ทั้งจัดหาพลังงานสำรอง…วิธีการอะไรที่พอใช้ได้พวกเขาล้วนหยิบออกมาใช้จนหมด ทว่าทดลองมาจนถึงวันนี้ประตูด่านทางด้านนั้นก็ยังคงไม่เปิด เพราะปิดบังไม่อยู่ถึงได้ยอมเปิดปากบอก”
“เทียร์ นายกำลังคิดอะไรอยู่” ซีฟพบว่าพรรคพวกของเขารายนี้เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“ฉันกำลังคิดว่ากลุ่มผู้นำที่พวกนายพูดถึงเมื่อครู่” เทียร์นิ่งมองดูแก้วบนโต๊ะราวกับสามารถมองทะลุผ่านมันจนเห็นการทำสงครามแบบหลังชนฝายากจะจินตนาการนั่นได้ “ต่อให้ใช้ประโยชน์จากบั๊กของระบบ เรื่องที่พวกเขาจะสามารถหากลุ่มคนมากมายที่ยินดีให้ความร่วมมือ แถมยังสามารถปฏิบัติการได้สำเร็จนั้น…ออกจะเหลือเชื่อจริงๆ”
“ตอนนี้ล้วนแต่ ‘ได้ยินว่า’ ‘ว่ากันว่า’ เบื้องบนยังไม่ได้แจ้งข่าวสารชัดเจนอะไรลงมา เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่า” ดีมอสจัดหมวกนอนบนศีรษะ ยังคงเชื่อมั่นในระบบเซียว
ซีฟยิ้มหวาน “ประสบการณ์จำนวนนับไม่ถ้วนบอกกับพวกเรา เรื่องเรื่องหนึ่งหากลือไปลือมา ลือจนกระทั่งใจคนหวั่นไหว ยังไม่ทันที่ทางเบื้องบนจะออกมาแก้ข่าว มันมีหวังได้กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้ว”
ถึงดีมอสจะไม่ชอบถูกคนขัดคอ ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานซีฟเพิ่งถูกคนตัดผมไปส่วนหนึ่ง ทำให้ต้องตัดผมสีทองยาวจรดเอวทิ้งเหลือแค่ไหล่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่เอ่ยปากตอบโต้อะไร
เพลิงแค้นของหญิงสาวน่ากลัวสุดๆ ต่อให้เป็นแค่การระบายความโกรธแค้นไปลงที่คนอื่นก็ตาม
“อา ใช่แล้ว” ซีฟผินหน้า ถักเส้นผมจนกลายเป็นเปียสั้นๆ เอ่ยถามคล้ายไม่ใส่ใจ “ไป๋ลู่เสียไปถึงด่านไหนแล้ว”
“…” เทียร์ วิดาร์ ดีมอส แครอน และเพนต่างหนาวสะท้านไปทั้งร่าง
อย่าได้เชื่อคำว่า ‘ไม่ใส่ใจ’ ของผู้หญิงเด็ดขาด
ซีฟไม่ทันได้รับคำตอบที่ต้องการ เพราะหนึ่งวินาทีหลังจากนั้นเสียงประกาศแจ้งเตือนเคร่งขรึมจริงจังก็ดังก้องอยู่ภายในหูของผู้คุมด่านทุกคน
“ผู้คุมด่านทุกคนตั้งใจฟังให้ดี อีกหนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องประชุม ห้ามลาและต้องเข้าร่วมประชุมให้ตรงเวลาด้วย ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องรับโทษหนัก”
ไม่ใช่รอบเดียว หากแต่ประกาศซ้ำถึงสามรอบ คล้ายเกรงว่าพวกเขาจะได้ยินไม่ชัด จำได้ไม่แม่น
มีก็แต่บุคลากรชั้นสูงแวะมาเปิดประชุมเท่านั้นถึงมีการต้อนรับเช่นนี้
การประกาศเรียกประชุมนี้ก่อให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา อีกทั้งยังทำให้ผู้คุมด่านที่ยังคงรู้สึกสงสัยอย่างดีมอสเชื่อว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ
หนึ่งชั่วโมงถัดมาที่ห้องประชุม
ที่ปรากฏต่อสายตาของผู้คุมด่านทั้งหมดไม่ใช่บุคลากรชั้นสูงที่เดินทางมาด้วยตัวเอง หากแต่เป็นภาพบุคลากรชั้นสูงบนหน้าจอ
“ลำบากทุกคนแล้ว” ชายบนหน้าจอแต่งกายอย่างเป็นทางการ สีหน้าอ่อนโยน ท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้นเชื่อว่าต่อให้เจ้าตัวมาเองก็ไม่มีทางกลับกลายเป็นยโสอะไรได้ “เชื่อว่าทุกคนคงรู้แล้ว ประตูทางเข้าด่าน 4/10 ของเขตทดสอบไม่ได้เปิดตามปกติ จากการทดสอบพวกเราพบว่าระบบเซียวของเขตอบรมเกิดอุปสรรคขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงการดำเนินการของเขตทดสอบ…
ทุกคนต่างรู้ดี พวกเราที่นี่ก่อตั้งขึ้นนานแล้ว และระบบเซียวก็ได้หยุดทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนั้นก็หมายความว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้พวกเราใช้ระบบเก่ามาโดยตลอด รูปแบบการอบรมทดสอบหรือก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เรื่องที่เกิดขึ้นในเขตอบรมครั้งนี้ได้มอบโอกาสให้พวกเราได้ตัดสินใจ…
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เขตอบรมจะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ”
บรรยากาศเงียบสงัด
ความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เข้าใจกันได้โดยไม่ต้องเอ่ยลอยละล่องวนเวียนอยู่ในอากาศ
สามารถเปลี่ยนคำว่า ‘ถูกบีบให้ต้องปิด’ มาเป็น ‘การตัดสินใจเอง’ นับว่าทักษะการพูดของอีกฝ่ายสูงส่งอยู่ไม่น้อย
“การปิดเขตอบรมย่อมเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของเขตทดสอบ” แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเงียบงันชั่วขณะ ทว่าคนที่อยู่บนหน้าจอกลับยังคงสงบนิ่ง อารมณ์และจังหวะจะโคนในการพูดล้วนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ “ก่อนหน้านี้ฉันเองก็บอกไปแล้วว่าวิธีการของพวกเราที่นี่เก่าเกินไป ในเมื่อเขตอบรมปิดตัวลง เขตทดสอบอันที่จริงก็ควรถอยออกจากเวทีประวัติศาสตร์ไปด้วยเช่นกัน…”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปาก ห้องประชุมที่เงียบงันอยู่แต่เดิมก็เต็มไปด้วยเสียงฮือฮา
หรือจะบอกว่าเขตทดสอบก็ต้องปิดตัวลงด้วย?
“อย่าเข้าใจผิด” คนที่อยู่บนหน้าจอยิ้ม มองผู้คุมด่านทั้งหมดที่อยู่ในห้องประชุมคล้ายมองดูฝูงมดงานที่กำลังวิ่งวุ่น “เขตทดสอบจะไม่ปิดตัว เพียงแต่ลักษณะการทดสอบไม่เหมาะกับยุคสมัย พวกเราหวังว่าจะสามารถทำให้พวกหนอนแมลงที่เหลือพวกนั้นแสดงราคาค่าตัวสูงสุดของตัวเองออกมา ดังนั้นนับแต่วันนี้เป็นต้นไปเขตทดสอบจะเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพื่อความบันเทิงอย่างเป็นทางการ ด่านทุกด่านจะไม่มีผู้คุมด่านอีก แต่จะเปิดสู่ภายนอก ในอนาคตข้างหน้าจะมีแขกผู้มีเกียรติกลุ่มใหญ่เข้ามาที่นี่…
งานหลักของทุกคนจะเปลี่ยนจากการทดสอบหนอนแมลงพวกนั้นไปเป็นการให้บริการลูกค้า ฉันเชื่อว่าอาศัยความเข้าใจของพวกนายที่มีต่อด่าน ต้องสามารถทำงานนี้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง…
เพื่อให้ทุกคนสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น อีกสักครู่จะมีเจ้าหน้าที่กลุ่มใหม่เข้าไปประจำอยู่ตามด่านต่างๆ พวกเขามีไอเดียใหม่ๆ ส่วนพวกนายก็มีประสบการณ์ หวังว่าพวกนายจะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ช่วยกันเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นแดนสวรรค์แห่งความบันเทิงอย่างสุดกำลัง”
เจ้าหน้าที่ใหม่?
ผู้คุมด่านแต่ละคนต่างมองหน้ากันไปมา ในท้องเต็มไปด้วยถ้อยคำกระแหนะกระแหน พูดกันตรงๆ ก็คือต้องการเอาคนใหม่มาโละคนเก่าอย่างพวกเขาทิ้งมากกว่า
“ขอถาม…”
นับจนถึงตอนนี้นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนส่งเสียง
เสียงกระซิบกระซาบทั้งหลายหยุดลงทันที บรรยากาศในห้องประชุมกลับกลายเป็นเงียบสงัดอีกครั้ง
สายตาของผู้คุมด่านทั้งหมดล้วนเคลื่อนไปจับจ้องอยู่บนตัวคนคนหนึ่ง เทียร์แห่งด่าน 1/10
คนที่อยู่บนหน้าจอเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่เพียงไม่นานเขาก็ยิ้มอ่อนโยน “มีข้อสงสัยอะไรก็ว่ามา”
“ก็ไม่เชิงสงสัย แค่อยากถามให้กระจ่างก็เท่านั้น” เทียร์เงยหน้ามองอีกฝ่าย “บริการด้านความบันเทิงที่พวกเราต้องมอบให้ ‘แขกในอนาคต’ พวกนั้นคืออะไร”
“ฉันมันแก่แล้วจริงๆ พูดอะไรออกไปล้วนไม่ชัดเจน” คนที่อยู่บนหน้าจอระเบิดเสียงหัวเราะ หางตาเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น ทว่านัยน์ตากลับเย็นเยียบอำมหิต “พูดง่ายๆ ก็แล้วกัน แขกจะเข้ามาแทนที่ผู้คุมด่าน ดำเนินการเฝ้าด่าน ส่วนการเล่นก็ยังคงเป็นด่านที่ระบบเซียวกำหนดไว้ แตกต่างเพียงเรื่องขอบเขตที่จำกัดนั้น แต่ก่อนพวกนายจำเป็นต้องรักษากฎอย่างเคร่งครัด ทว่าพวกเขาไม่ต้อง ไม่ว่าระบบเซียวจะกำหนดอะไรแบบไหนไว้ พวกเขาต้องการเล่นยังไงล้วนแต่ทำตามอำเภอใจได้…”
รอยยิ้มจางหาย สายตาอ่อนโยนของคนคนนั้นเคลื่อนทะลุผ่านหน้าจอมาหยุดนิ่งอยู่บนร่างของเทียร์ “ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม”
ดีมอสเองก็จ้องดูเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน
เทียร์ไม่ใช่คนเรื่องมาก อย่าว่าแต่อีกฝ่ายก่อนหน้านี้พูดกระจ่างชัดแล้วเลย ต่อให้ไม่เข้าใจจริงๆ ด้วยนิสัยของเทียร์ อีกฝ่ายไม่มีทางเอ่ยปากถามต่อหน้าชาวบ้านแน่
“เข้าใจแล้ว” หลังนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งเทียร์ก็หลุบตาลงพร้อมตอบรับ
เขาเก็บอารมณ์ลึกเข้าไปในดวงตา ดีมอสไม่อาจเห็นชัด
หลังจากเรื่องที่ประตูด่านไม่ได้เปิดตามกำหนดผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์ ก็มีคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่กลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงรายหนึ่งนำข่าวเรื่องที่ด่านทั้งสิบสามก่อนหน้าพวกนั้นถูกปิดตายตลอดกาลกลับมายังเขตรวมพล 3/10
คนคนนั้นได้ยินข่าวมาจากคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ในด่านก่อนหน้านี้มาโดยตลอด ตอนพวกเขาสองคนพบหน้ากัน เพราะด่านทั้งสิบสามถูกปิดตายคนคนนั้นจึงถูกบีบให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ รู้ก็แต่เป็นฝีมือของคนกลุ่มหนึ่ง คืนวันนั้นเขาเองก็พบเจอกลุ่มคนประหลาดกลุ่มหนึ่ง คนพวกนั้นไม่ทำเควสต์ฝ่าด่าน แต่กลับคล้ายค้นหาอะไรบางอย่างไปทั่วทั้งด่าน ตอนนี้พอย้อนคิดดูที่คนพวกนั้นทุ่มเททำแบบนั้นคงเพื่อการนี้
ข่าวนี้ทำเอาเขตรวมพลปั่นป่วนขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
ทว่าครั้งนี้กลับทำให้คนส่วนใหญ่ถึงกับตีอกชกหัว แทบจะกระอักเลือด
ถ้าฉันยังอยู่ในสิบสามด่านแรก ถ้าฉันไม่ได้กระตือรือร้นที่จะทำเควสต์ฝ่าด่าน ป่านนี้ก็คงสบายไปแล้ว!
ทันทีที่ความคิดนี้แพร่สะพัดไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับพิษร้าย ลากเอาคนจำนวนมากเหล่านั้นลงไปยังหลุมลึกไร้ก้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทีตอบสนองต่างๆ ล้วนถูกซัดจนพังพินาศ
ดังนั้นสองสามวันหลังจากนั้นเมฆหมอกแห่งความหม่นหมองก็ปกคลุมไปทั่วเขตรวมพล ทุกหนแห่งล้วนมีแต่คนที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกชิงชัง นึกอยากเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
แต่โชคดีที่กลุ่ม VIP ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ที่บอกว่าโชคดีนั่นก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสภาพจิตใจอันเด็ดเดี่ยว ปณิธานอันแน่วแน่ รวมถึงความเชื่อต่างๆ เลยแม้แต่น้อย เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพราะโชคชะตาล้วนๆ…
ฉงเยวี่ยเพราะโชคร้ายมาทั้งชีวิต ดังนั้นการที่เรื่องนี้มาไม่ถึงมือตัวเอง เขาจึงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร อันที่จริงต้องบอกว่าเขาคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้แล้วด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามหากมันมาถึงมือเขาจริงๆ นั่นต่างหากที่จะทำให้เขากระวนกระวาย เหมือนได้ลาภลอยแต่ในใจกลับนึกหวั่น กลัวอยู่ตลอดเวลาว่าอาจต้องชดใช้ด้วยอะไรบางอย่าง
หนานเกอเข้ามาที่นครใต้พิภพตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ไม่ว่าจะประวิงเวลาสักขนาดไหนก็ไม่มีทางรอจนถึงเวลานี้ได้
เจิ้งลั่วจู๋ต้องการหาตัวซือฟางเจ๋อ แล้วมีหรือที่เขาจะยอมอยู่ที่ด่านก่อนหน้านี้พวกนั้น
ฟั่นเพ่ยหยางยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ฝ่าด่านสิบสามด่านแรกเขาย่อมไม่อาจเข้าสู่ห้องอธิษฐาน ไม่เข้าห้องอธิษฐานก็ช่วยถังหลิ่นไม่ได้ หากมีใครกล้าฉุดรั้งเขาไว้ที่สิบสามด่านแรก ประธานฟั่นย่อมต้องลงมือสั่งสอนคนคนนั้นให้ได้รู้ว่าเป็นคนต้องทำตัวแบบไหนอย่างไร
ส่วนถังหลิ่นเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะนึกเสียใจ เพราะเขาไม่เคยผ่านด่านทั้งสิบสามพวกนั้นมาก่อน
ฮั่วสวี่เป็นสมาชิกกลุ่ม VIP เพียงหนึ่งเดียวที่ความคิดอ่านแปลกประหลาดยากจะเข้าใจ
ตอนได้ยินข่าวดังกล่าวทุกคนกำลังปรับตัวเข้าหากันอยู่ในห้องฝึกซ้อม หลังฟังจบคำถามประโยคแรกที่เขาถามออกมาคือ “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”
แน่นอนว่าต้องเกี่ยว
ถึงพวกเขาจะตอบรับการช่วยเหลือที่เกิดขึ้นนั้นไม่ทัน แต่อย่างน้อยก็ควรรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้เช่นไร ไม่แน่ว่าการช่วยเหลือเช่นนี้อาจมาถึงสิบด่านหลังนี้ด้วยก็เป็นได้
“พวกเราต้องกลับไปสักครั้ง” หลังการฝึกซ้อมประจำวันสิ้นสุดถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยางก็ตัดสินใจ
ฉงเยวี่ย “กลับไปตอนนี้?”
“พวกเราอยากกลับไปพูดคุยกับคนจากด่านทั้งสิบสามพวกนั้นให้กระจ่างว่าพวกเขาทำมันได้ยังไง บางทีอาจมีประโยชน์กับพวกเรา” ถังหลิ่นบอก “ต่อให้ไม่สามารถปิดที่นี่ได้ด้วยวิธีการเดียวกัน อย่างน้อยก็คงพอเข้าใจความลับของโลกใบนี้ได้มากขึ้น”
หนานเกอบอก “แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แล้วคุณจะไปหาพวกเขาได้ยังไง”
“คุณฝาน!” เจิ้งลั่วจู๋นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง เขาบอกกับฟั่นเพ่ยหยาง “เจ้านาย ตอนคุณฝานขายข้อมูลเรื่องห้องอธิษฐานให้เรา เขาเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าถ้าทิ้งสิทธิ์อธิษฐานเข้ามาทำเควสต์ที่สิบด่านหลังแล้ว จะสามารถใช้บั๊กเรียก ‘เซียว’ อีกอันได้ และมีโอกาสปิดด่านทั้งสิบสามด่านแรกก่อนหน้านี้ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าคนพวกนั้นก็ซื้อข่าวสารนี้เหมือนกัน”
คำพูดถูกสมาชิกกลุ่มแย่งตอบไปแล้ว ถังหลิ่นได้แต่พยักหน้า เลี่ยงไม่ไปทำลายความกระตือรือร้นของพรรคพวก
อันที่จริงตอนเขากับฟั่นเพ่ยหยางปรึกษากัน พวกเขาก็ตกลงที่จะไปหาคุณฝานที่เจิ้งลั่วจู๋พูดถึงอยู่ก่อนแล้ว
* คอสเซอร์ (coser) หรือคอสเพลเยอร์ (Cosplayer) เป็นศัพท์สากลในหมู่คนที่ชอบและสนใจในคอสเพลย์ ซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีความชื่นชอบในการแต่งกายเลียนแบบตัวละครต่างๆ
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.