ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 4
ห้องอธิษฐาน
เวลา 02:15 น. ณ ห้องอธิษฐาน
ประตูสีฟ้าน้ำทะเลบานใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างสงบนิ่ง ไม่มีลม ไม่มีเสียง แม้แต่เวลาก็ดูเหมือนจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น
ฟั่นเพ่ยหยาง เจิ้งลั่วจู๋ เถิงจื่อเยี่ยน วั่นเฟิงหมาง และจางเฉียนห้าคนยืนอยู่ที่หน้าประตู ทุกคนต่างเงยหน้าพิจารณาดูประตูบานดังกล่าวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ไม่เสียทีที่เป็นห้องอธิษฐาน ขนาดประตูใหญ่ก็ยังสวย” จางเฉียนวิพากษ์วิจารณ์ออกมาตามความเป็นจริง
“สวย?” เถิงจื่อเยี่ยนเบ้ปาก “งั้นนายก็อยู่ทำเควสต่อสิ”
“ช่างเถอะ อย่าว่าแต่ห้องอธิษฐานห้องเดียวเลย ต่อให้สิบห้องพวกเราก็ไม่อยู่” จางเฉียนพูดเฉียบขาดหนักแน่นออกมาสี่คำ “ฉัน-จะ-กลับ-บ้าน”
เขาถูกเลือกเข้ามาอย่างงงๆ ทุกคืนต้องเข้ามาทำเควสอยู่ที่นี่อย่างไร้เหตุผล หากคืนนี้ผ่านไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ต้องมาใหม่ ถ้าคืนนี้ผ่านได้แล้ว พรุ่งนี้ก็ยังต้องทำเควสต่อไปอีก แถมแต่ละเลเวลยังยากขึ้นเรื่อยๆ หนำซ้ำยังต้อง
ผ่านให้ครบยี่สิบสามเควสฝันร้ายนี้ถึงจะสิ้นสุด เรียกได้ว่าชวนสิ้นหวังโคตรๆ
สิ่งเดียวที่ช่วยปลอบใจเขาได้คือการได้มาพบกับฟั่นเพ่ยหยาง
เถ้าแก่ฟั่นจ่ายเงินก้อนโตจ้างคนฟอร์มทีมทำเควสขึ้นมา ทำให้อัตราความสำเร็จในการฝ่าด่านเพิ่มสูงขึ้น ในเมื่อไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ยินดีอย่างไรพวกเขาก็ต้องทำเควสอยู่แล้ว การใช้โอกาสนี้ตักตวงเงินทองไปพร้อมๆ กันจึงนับเป็นเรื่องที่น่ายินดี
หลังจากฟอร์มทีมเสร็จพวกเขาก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ตลอด อีกทั้งยังถูกกลุ่มอื่นๆ ตั้งสมญานามให้ว่า ‘กลุ่มอู่เฮยตั่ง (ห้ามาเฟีย)’ จากชื่อก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่พวกที่ควรตอแยด้วย
แต่ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะผ่านเควสได้ไม่กี่เควส ฟั่นเพ่ยหยางก็ใช้เงินหนึ่งล้านแลกกับข่าวข่าวหนึ่ง จากข่าวที่ได้มานั้นทำให้รู้ว่าหลังผ่านเควสที่สิบสามได้สำเร็จ พวกเขาจะมาถึงยังสถานที่ที่เรียกว่าห้องอธิษฐาน พอถึงตอนนั้นไม่ต้องอธิษฐาน แค่ทำตามข้อมูลที่ได้มาก็จะสามารถไปจากที่นี่ได้ก่อนกำหนด ไม่จำเป็นต้องผ่านเควสอีกสิบเควสที่เหลือ
พวกเขาต้องไปอยู่แล้ว ใครจะอยากใช้ชีวิตสับสนวุ่นวายกับการทำเควสฝ่าด่านบ้าบอคอแตกพวกนี้กัน ความปรารถนาอะไรจะสู้การได้กลับสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง
พวกเขามั่นใจว่าทุกคนต้องคิดแบบนั้นแน่ นึกไม่ถึงว่าฟั่นเพ่ยหยางกลับเลือกที่จะอยู่ต่อ
จางเฉียนกับเถิงจื่อเยี่ยนชำเลืองมองฟั่นเพ่ยหยางพร้อมกัน จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าตกลงเถ้าแก่ของพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ในขณะที่พวกเขาสองคนพึมพำอยู่ในใจ วั่นเฟิงหมางกลับขยับเข้ามาโหวกเหวกถามออกมาเป็นครั้งสุดท้ายอย่างไม่ยอมจำนนว่า “เถ้าแก่ฟั่น คุณไม่ไปจริงๆ?”
ฟั่นเพ่ยหยางส่ายหน้า “พวกเราแยกย้ายกันที่นี่ พวกนายไปกันเถอะ”
วั่นเฟิงหมาง จางเฉียน และเถิงจื่อเยี่ยนสามคนสบตากันทีหนึ่ง สุดท้ายจางเฉียนก็ยกมือเปิดประตูห้องอธิษฐาน
พวกเขาสามคนเดินเข้าไปด้านใน เถิงจื่อเยี่ยนเดินมาเป็นคนสุดท้าย ขณะที่ขาข้างหนึ่งผ่านเข้าไป จู่ๆ เขาก็พบว่ายังมีอีกคนหนึ่งไม่ได้เข้ามาพร้อมกับพวกเขา พอหันหน้ากลับไปก็เห็นเจิ้งลั่วจู๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เขาถามอย่างประหลาดใจ “จู๋จื่อ นายไม่ไป?”
เจิ้งลั่วจู๋ยิ้ม “ไม่ล่ะ”
เถิงจื่อเยี่ยนตะลึง สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้เรียกได้ว่าน่าตกใจยิ่งกว่าที่ฟั่นเพ่ยหยางไม่ไปเสียอีก เถ้าแก่ว่าอ่านใจยากแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจิ้งลั่วจู๋…
เสียงเร่งเร้าของพรรคพวกอีกสองคนตัดบทความคิดอ่านของเถิงจื่อเยี่ยน
เนื่องจากไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดอะไรมากมาย เขาจึงได้แต่มองดูเจิ้งลั่วจู๋อย่างฉงนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังเดินผ่านเข้าประตูไป
ประตูค่อยๆ ปิดลง โลกเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งอีกครั้ง
ฟั่นเพ่ยหยางหันไปมองดูเจิ้งลั่วจู๋ เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมนายถึงไม่ไป”
เจิ้งลั่วจู๋ยิ้มหน้าทะเล้นให้กับเขา “ผมยังอยากติดตามเจ้านายอยู่”
ฟั่นเพ่ยหยางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่นึกเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรอีก
ห้านาทีผ่านไป เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังมาจากหลังบานประตู หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งทุกอย่างก็สงบนิ่ง
ไม่ผิดจากที่คาด คนทั้งสามน่าจะไปจากที่นี่ได้อย่างราบรื่นแล้ว
เจิ้งลั่วจู๋ไม่ยอมเสียเวลา เขาพูดกับฟั่นเพ่ยหยางตรงๆ “เจ้านาย ให้ผมเข้าไปอธิษฐานก่อน?”
ฟั่นเพ่ยหยางพยักหน้า
เจิ้งลั่วจู๋เปิดประตู เบี่ยงตัวเดินเข้าไปด้านใน
บานประตูปิดลงช้าๆ กั้นนอกในออกเป็นโลกสองใบ
หากไม่ไปก็ต้องทิ้งคำอธิษฐานไว้ ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าความปรารถนานี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่เหมาะกับการแบ่งปัน
สิบนาทีให้หลัง ครั้นอธิษฐานเสร็จเจิ้งลั่วจู๋ก็ถูกส่งตัวกลับมา ฟั่นเพ่ยหยางตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องอธิษฐานเพียงลำพัง
เจิ้งลั่วจู๋มองส่งเงาร่างของฟั่นเพ่ยหยางจนลับไป จากนั้นก็เดินออกไปไกลเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองประตูสีฟ้าน้ำทะเลอันสูงตระหง่าน บรรยากาศเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนที่เจ้านายซื้อข่าว แน่นอนว่าเขาย่อมคิดจากไป แต่พอรู้ว่าจะพบกับห้องอธิษฐาน เขาก็เปลี่ยนความตั้งใจ
เจิ้งลั่วจู๋รู้ดีว่าความปรารถนาของฟั่นเพ่ยหยางนั้นต้องเกี่ยวข้องกับถังหลิ่นแน่
บนโลกนี้เรื่องจำพวกมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรงนั้นอยู่มากมายเต็มไปหมด บางสิ่งก็ไม่มีค่าให้พูดถึง บางอย่างกลับทำให้คนไม่คำนึงถึงราคา แม้จะแลกด้วยการหลุดพ้นที่ง่ายดายยิ่งก็ตาม
ฟั่นเพ่ยหยางแลกเปลี่ยนแล้ว
เขาเองก็แลกแล้วเหมือนกัน
เซียว “ยินดีต้อนรับสู่ห้องอธิษฐาน”
บานประตูที่อยู่ทางด้านหลังปิดลงได้ไม่ทันไร หูของฟั่นเพ่ยหยางก็ได้ยินคำชี้แนะดังขึ้น
ในห้องงดงามเหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวแสงมีคนยืนอยู่ตรงกลาง คล้ายกำลังลอยละล่องอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่
เซียว “เพื่อเป็นรางวัลให้กับการที่นายเลือกจะลุยสิบเควสสุดท้ายต่อ ฉันสามารถตอบสนองความปรารถนาที่มีขีดจำกัดของนายได้ประการหนึ่ง
เด็กน้อย ว่ามา ความปรารถนาของนายคืออะไร”
ฟั่นเพ่ยหยางเก็บสายตาเอ่ยปากช้าๆ “ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อถังหลิ่น”
เพิ่งเอ่ยถึงปูมหลัง เขาก็ถูกอีกฝ่ายตัดบท
เซียว “เรื่องของนายทั้งหมดฉันล้วนรู้ดี พูดถึงความปรารถนาเถอะ”
ฟั่นเพ่ยหยางชะงัก หลังจากนั้นเขาก็ไม่นึกลังเลอีก “ขอให้ถังหลิ่นหายป่วย”
เซียว “ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไข”
ฟั่นเพ่ยหยาง “ขอให้ถังหลิ่นอายุยืนร้อยปี”
เซียว “ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไข”
ฟั่นเพ่ยหยางควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ในใจนึกร้อนรนกระสับกระส่าย “ให้ถังหลิ่นเข้าร่วมระบบของเซียวด้วยคงได้ใช่ไหม”
เซียว “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา แต่นายคิดดีแล้วใช่ไหม สิบเควสหลังจากนี้จะอันตรายยิ่งยวด ฉันขอแนะนำนายในฐานะเพื่อน ทางที่ดีเลือกเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้ตัวเองจะดีกว่า”
ฟั่นเพ่ยหยางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ท่าทางหนักแน่น “ผมต้องการให้เขาเข้ามา”
อยู่ดีๆ ก็เกิดเนบิวลาสีม่วงกลุ่มหนึ่งขึ้นกลางอากาศ คล้ายจักรวาลฉีกขาดเป็นรู เพียงไม่นานเงาร่างของคนคนหนึ่งก็ปรากฏในท่านอนราบอยู่บนพื้นห้องอธิษฐาน
ถังหลิ่นกำลังหลับ แต่เหมือนจะหลับได้ไม่สู้ดีนัก หัวคิ้วของเขาขมวดแน่น หน้าผากมีเม็ดเหงื่อบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
ฟั่นเพ่ยหยางเดินไปหยุดอยู่ข้างกายของอีกฝ่ายแผ่วเบา ก่อนจะยกมือแตะภาพนกเค้าแมวบนแขนแล้วเลือก ‘กล่องไอเทม’
ไอเทมหลายสิบอันที่เก็บรวบรวมมาได้ด้วยความยากลำบากถูกเก็บอยู่ใน ‘กล่องไอเทม’ อย่างเป็นระเบียบ สามารถเรียกใช้ได้ทันที
ไอเทมเป็นเครื่องมือช่วยเหลือสำคัญในการทำเควส บ้างก็ได้มาจากการทำเควส การทำลายสถิติตอนผ่านเควส การล่องเรือในแมปช่องทางทะเลไม่รู้สิ้น ไอเทมแต่ละอันล้วนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป บางอันก็สามารถใช้โจมตี บางอันก็สามารถใช้ป้องกัน และบางอันก็ใช้รักษาได้
ตอนนี้สายตาของฟั่นเพ่ยหยางจับจ้องอยู่บนไอเทมรักษาอันหนึ่ง ‘[เวท] สมบูรณ์เหมือนแรกเริ่ม’
นับแต่รู้ว่ามีห้องอธิษฐาน เขาก็เฝ้ารอวันนี้มาโดยตลอด ไอเทมต่างๆ ไม่มีคู่มือ แต่ละอันจะส่งผลแบบไหน เขาได้แต่ต้องคาดเดาจากชื่อและคุณสมบัติของไอเทมนั้นๆ จะใช้ไอเทมไหนกับถังหลิ่นถึงจะไม่มีข้อผิดพลาด ฟั่นเพ่ยหยางครุ่นคิดอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกเจ้าสิ่งนี้
ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว
ฟั่นเพ่ยหยางสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง ปลายนิ้วจ่ออยู่เหนือไอเทม ‘[เวท] สมบูรณ์เหมือนแรกเริ่ม’ แต่ก็ไม่ได้กดลงไป
เซียว “นายยังรั้งรออะไร”
เสียงที่ลอยเข้าหูนั้นทำเอาฟั่นเพ่ยหยางถึงกับเนื้อตัวสั่นสะท้าน เขาพรวดพราดเงยหน้าขึ้น “รอก่อน”
ในอากาศมีก็แต่ความว่างเปล่า
คำพูดนี้เขาคล้ายพูดให้ตัวเองฟัง
ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขามองดูถังหลิ่นอีกครั้ง สายตาจับจ้องอยู่บนร่าง บนใบหน้า และบนหว่างคิ้วของอีกฝ่าย
เขานึกถึงตอนที่พวกเขาเจอกัน ตอนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตอนตกหลุมรักกัน ตอนเพียรพยายามอยู่ด้วยกัน วันเวลามากมายพวกนั้นช่วยให้เขากับถังหลิ่นเป็นเหมือนอย่างในเวลานี้
ฟั่นเพ่ยหยางยืนนิ่งไม่ขยับ แต่หัวใจเขากลับเริ่มเต้นแรงไม่ต่างอะไรกับกลองรัว ไม่ต่างอะไรกับถูกคนเอาค้อนหวดทุบลงกลางอกครั้งแล้วครั้งเล่า สติสัมปชัญญะแหลกสลาย ความเยือกเย็นสุขุมแหลกละเอียด ความรู้สึกขี้ขลาดที่ถูกเก็บลึกอยู่ในใจแทบจะอาศัยจังหวะนี้กระโดดออกมาโจมตีเขาตามอำเภอใจ
ถึงเขาจะเคยนึกคิดสมมติมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอมาถึงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเขาก็ยังคงกลัวอยู่ดี
เขากลัวว่าไอเทมจะไม่ได้ผล กลัวร่างกายของถังหลิ่นจะทนรับไม่ไหว กลัวการกระทำบุ่มบ่ามของตัวเองจะนำมาซึ่งหายนะที่หนักหนายิ่งกว่า
แต่ภายใต้ความรู้สึกหวาดกลัวเหล่านี้กลับแฝงความรู้สึกวาดหวังที่ไม่อาจยับยั้งห้ามปราม
ในเมื่อถังหลิ่นเข้ามาในนี้ได้แล้ว อาการป่วยที่หมอบอกว่าไม่มีทางรักษา เมื่ออยู่ต่อหน้าไอเทมไร้เหตุผลพวกนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีก และไม่มีเหตุผลที่จะไม่ได้ผล ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สำเร็จ นับแต่วันที่เขาได้ไอเทมอันแรกมาหลังจากทำเควสผ่าน เขาก็คิดแล้วว่าหากสามารถใช้ไอเทมกับถังหลิ่นได้คงจะดีไม่น้อย!
เขามองดูถังหลิ่นนิ่งๆ สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก
มีเพียงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาถึงจะเห็นว่าหิมะน้ำแข็งที่อยู่ในนั้นกำลังละลาย ทุ่งหญ้าเปลี่ยวร้างกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ความดีงาม ความคล่องแคล่ว สิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาทั้งหลายทั้งปวงล้วนกำลังโผล่พ้นพื้นดินออกมา แต่ในขณะเดียวกันพวกมันก็ระมัดระวัง กระวนกระวาย และพยายามอดทนอดกลั้นสุดกำลัง สะกดกลั้นความรู้สึกลิงโลดยินดี คล้ายกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะหลุดมือไป กลัวความหวังจะกลับกลายเป็นฝันสลาย
เซียว “เด็กน้อย เวลาในห้องอธิษฐานของนายยังเหลืออีกสิบวินาที”
เซียว “สิบ เก้า แปด เจ็ด”
เสียงสังเคราะห์เริ่มนับอย่างไม่ลังเล
ฟั่นเพ่ยหยางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาตัดสินใจ
เซียว “หก ห้า สี่ สาม สอง”
หนึ่ง
ฟั่นเพ่ยหยางพึมพำอยู่ในใจพลางกดเลือกไอเทม
เซียว “มีคนใช้ไอเทม ‘[เวท] สมบูรณ์เหมือนแรกเริ่ม’ กับนาย”
ถ้อยคำนี้เอ่ยกับถังหลิ่น ส่วนฟั่นเพ่ยหยางที่กำลังคิดอ่านสับสนอยู่ในเวลานี้กลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
พวกเขาสองคนถูกส่งกลับไปที่หน้าประตูใหญ่ของห้องอธิษฐาน
เจิ้งลั่วจู๋ใช้แขนเท้าศีรษะ ขณะกำลังคิดว่าเจ้านายน่าจะออกมาได้แล้ว เพียงเสี้ยววินาทีถัดมาเขาก็เห็นฟั่นเพ่ยหยางถูกส่งกลับมา
เพียงแต่บนพื้นยังมีคนอีกคนนอนอยู่
แขนของเจิ้งลั่วจู๋ลื่นไถล ศีรษะลำตัวท่อนบนเอนวูบ ปากอ้าค้างงุนงง หลังผ่านไปนานเขาก็ยังคงนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไร
แม้จะเดาได้อยู่แต่แรกว่าคำอธิษฐานของฟั่นเพ่ยหยางต้องเกี่ยวกับถังหลิ่นแน่ แต่ถึงตายเขาก็นึกไม่ถึงว่าเจ้านายของเขาจะลากเอาคนเข้ามาในนี้ด้วย ความคิดอ่านแบบนี้ไม่มุทะลุเกินไปหน่อยหรือ
สายตาของฟั่นเพ่ยหยางหยุดอยู่บนตัวของถังหลิ่น ไม่ได้มองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีผิวของถังหลิ่นก็ขาวมากอยู่แล้ว หลังป่วยก็ยิ่งถูกแดดน้อยกว่าเดิม ตอนนี้เรียกได้ว่าขาวสุดๆ ทว่ายามนี้สีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายดีขึ้นอยู่พอสมควร ถึงจะไม่อาจพูดได้ว่าแดงระเรื่อ แต่อย่างน้อยก็อมชมพูจางๆ
ฟั่นเพ่ยหยางใจลอยมองดูอีกฝ่าย บอกไม่ถูกว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเขาคิดไปเองกันแน่
ภายใต้บรรยากาศเงียบสงัด ขนตาของถังหลิ่นขยับเบาๆ เปลือกตาเลิกขึ้นช้าๆ
ฟั่นเพ่ยหยางรีบยื่นมือไปประคองอีกฝ่ายให้ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
ถังหลิ่นยังคงสะลึมสะลือ สายตาฉงนสนเท่ห์งุนงงกวาดตามองไปรอบๆ เขามองเห็นเจิ้งลั่วจู๋ที่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อนสองสามครั้ง มองเห็นประตูบานใหญ่พิลึกพิลั่นสีฟ้าน้ำทะเล
สุดท้ายเขาก็ยังคงเลือกที่จะถามฟั่นเพ่ยหยางออกมาตรงๆ “ที่นี่ที่ไหน”
ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากบอก “โรงพยาบาล” หลังจากนั้นเขาก็ถามถังหลิ่นด้วยน้ำเสียงห่วงใย “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”
ถังหลิ่นขมวดคิ้วมองดูอีกฝ่าย เอ่ยปากด้วยเสียงแหบพร่าเล็กๆ คล้ายคนเพิ่งตื่น “ประธานฟั่น คิดจะโกหกผมก็เลือกโกหกให้แนบเนียนกว่านี้หน่อย”
ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งเงียบ
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของถังหลิ่น “พวกเรากลับบ้านกัน”
ในเวลาเดียวกันหูของทุกคนก็เหมือนได้ยินเสียงสังเคราะห์เอ่ยหยอกเย้า
เซียว “ยินดีด้วย คำอธิษฐานบรรลุ! เควสใหม่จะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เชิญพวกนายกลับไปเตรียมตัวให้พร้อม”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.