X
    Categories: everYทดลองอ่านพ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 6 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง 

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 6

ซอกมุมที่ถูกลืม

 

เสียงของถังหลิ่นจางหายไปจากห้องรับแขก บางทีอาจเพียงหนึ่งถึงสองวินาที แต่สำหรับฟั่นเพ่ยหยางที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้วมันกลับเนิ่นนานราวศตวรรษ

ปฏิกิริยาของถังหลิ่นเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

ทันทีที่ถูกเรียกให้หยุด การคาดเดานับครั้งไม่ถ้วนก็ทะลักล้นเข้าสู่สมองของฟั่นเพ่ยหยาง อาจบอกได้ว่าพวกมันซุ่มซ่อนอยู่ในนั้นตั้งแต่แรกแล้ว แค่รอโอกาสเหมาะๆ ก็เท่านั้น ผลลัพธ์เลวร้ายที่จะตามมาไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์หรือเหลวไหล เข้มงวดหรือบ้าระห่ำต่างๆ ที่ฟั่นเพ่ยหยางเคยคาดเดาอยู่ก่อนล้วนประเดประดังกันออกมาจนหมดสิ้น

เพื่อสะกดสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ฟั่นเพ่ยหยางแทบจะต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง

ในที่สุดเขาก็หันกลับมาเงียบๆ

เริ่มด้วยการขับไล่ความรู้สึกยินดี ตื่นเต้น วาดหวัง และใจจดใจจ่อที่ไม่อาจเก็บงำซ่อนเร้นพวกนั้นไปจากสายตา เหลือไว้เพียงเงาร่างของถังหลิ่นที่สะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับคู่นั้น

“คุณไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไร?” เขาย้อนถามถังหลิ่น ความปั่นป่วนที่อยู่ในจิตใจเหล่านั้นไม่เล็ดลอดผ่านน้ำเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาสบตากันอยู่ จู่ๆ ถังหลิ่นก็ลุกลี้ลุกลน มีอยู่แวบหนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองทำผิดไป

สุดท้ายเขาก็ยังคงส่ายหน้าให้กับฟั่นเพ่ยหยาง “ผมไม่เข้าใจจริงๆ”

ฟั่นเพ่ยหยางก้มหน้าลงน้อยๆ หรี่ตา ทุกครั้งที่ครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์เขาล้วนทำท่าเช่นนี้

เขาอยากจะค้นหาการเปลี่ยนแปลงของถังหลิ่น อยากเทียบถังหลิ่นคนนี้กับถังหลิ่นคนก่อน เพื่อจะได้รู้ชัดว่าปัญหาอยู่ตรงไหน

ไม่ใช่นิสัย

ตอนตื่นมานอกห้องอธิษฐาน ทั้งที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสับสนงุนงงแต่ก็ยังไม่ลืมหยอกกระเซ้าคำโกหกไร้ชั้นเชิงของเขา นั่นคือถังหลิ่น

ครั้นรู้ว่าเขาแลกเปลี่ยนสุขภาพที่ดีให้ก็โอบกอดเอ่ยปากขอบคุณอย่างจริงใจ นั่นก็คือถังหลิ่น

ยิ้มแย้มให้กับผู้คน มีเพียงอยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้นถึงจะทำตัวเฉยชาแสดงอุปนิสัยที่แท้จริงออกมา นั่นย่อมใช่ถังหลิ่น

แต่ถังหลิ่นไม่เคยผลักเขาออก

ถ้าไอเทมไม่ได้ทำให้อุปนิสัยของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ก็เหลือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือความทรงจำ

“คุณตั้งใจจะยืนอยู่ที่นั่นจนฟ้าสางเลยเหรอ” ถังหลิ่นจ้องมองเขาอยู่นานจนสองตาระบมไปหมด

ฟั่นเพ่ยหยางเดินตรงเข้ามา

ถังหลิ่นขดตัวถอยหลังตามสัญชาตญาณ เขาเพิ่งฟื้นตัวจากการป่วยหนัก ไม่อาจรับการถาโถมเข้าใส่ซ้ำๆ ได้

ที่นอกเหนือความคาดหมายคือจู่ๆ ฟั่นเพ่ยหยางก็หันเท้าหมุนกลับไปนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามตัวเดิมตัวนั้น

“ผมถาม คุณตอบ”

ถังหลิ่นขยับเสื้อผ้านั่งตัวตรง “ได้”

“คุณจำที่นี่ได้ไหม” ฟั่นเพ่ยหยางถาม

ถังหลิ่น “แน่นอน ที่นี่คือวิลล่าของคุณ เหตุผลที่คุณซื้อมันก็แค่เพราะมันตั้งอยู่ใกล้กับบริษัทของเรา”

“บริษัทของเรา?” น้ำเสียงของฟั่นเพ่ยหยางยกสูง เน้นจุดสำคัญ

“บริษัทที่ผมกับคุณร่วมกันก่อตั้ง ถ้าไม่เรียกว่าบริษัทของเราแล้วจะให้เรียกว่าอะไร” ถังหลิ่นมองพิจารณาเขา “หรือว่าตอนผมป่วย คุณถ่ายโอนทรัพย์สินไปหมดแล้ว?”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่สนใจล้อเล่น เขายังคงจับจ้องมองดูถังหลิ่นอย่างไม่วางตา “ถูกแล้ว พวกเราร่วมกันก่อตั้งบริษัท ดังนั้นคุณเองก็เป็นประธานเหมือนกัน”

“ผมไม่ยักรู้ว่าตัวเองได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว” ถังหลิ่นขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นชา “ฟั่นเพ่ยหยาง ถ้าคุณยังถามคำถามเหมือนขุดหลุมพรางอยู่แบบนี้ ผมจะไม่เล่นด้วยแล้วนะ”

“คุณจำมันได้ทั้งหมด?”

“ผมต้องจำได้อยู่แล้ว” ถังหลิ่นไม่รู้ว่าฟั่นเพ่ยหยางอยากจะพิสูจน์เรื่องอะไร “ถึงผมจะมีเนื้องอกในสมอง แต่ก็ไม่ได้โง่ ต่อให้ตอนนี้ถ้าคุณถามผมเรื่องรายงานการเงินเมื่อสองปีก่อน ผมก็ยังคงท่องย้อนหลังให้คุณฟังได้อย่างคล่องแคล่ว”

ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยชม “คุณเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินที่ดีที่สุด”

ถังหลิ่น “นั่นมันคือเรื่องจริง”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของผม”

ถังหลินนิ่ง “…”

คำพูดนี้ไม่ได้มีปัญหาด้านตรรกะอะไร แต่ทันทีที่หลุดออกจากปากของฟั่นเพ่ยหยางมันกลับเหมือนมีอะไรแปลกๆ

ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ทว่าแสงจันทร์กลับสาดส่องเข้ามาไม่ถึง นั่นเพราะแสงไฟสว่างมากเกินไป สว่างจ้าชวนตาลาย

ใบหน้าของฟั่นเพ่ยหยางสงบนิ่งไม่ปรากฏอารมณ์ความรู้สึกใดๆ และไม่มีใครรู้ว่าในสมองเขากำลังคิดวิเคราะห์อะไรอยู่ นับแต่ถูกถังหลิ่นเรียกให้หยุดจนถึงตอนนี้ มันก็ยังไม่หยุดคิดเลยสักแวบ

ถังหลิ่นจำบริษัทได้ จำตำแหน่งได้ จำอาการเจ็บป่วยได้ ถึงกับจำได้ว่าบริษัทนั้นพวกเขาสองคนร่วมกันก่อตั้งขึ้น ดังนั้นถังหลิ่นจึงไม่ได้สูญเสียความทรงจำ? แต่ถ้าจำได้ แล้วทำไมถึง…

“คุณจำที่นี่ได้หรือเปล่า” จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

ถังหลิ่นรู้สึกประหลาดใจ “คำถามนี้คุณถามแล้วนี่”

“ผมหมายถึง” ฟั่นเพ่ยหยางชะงักไปครู่หนึ่ง “การตกแต่งของที่นี่”

อารมณ์เล็กๆ ในดวงตาของถังหลิ่นวูบไหว “คุณแน่ใจนะว่าอยากคุยเรื่องนี้?”

ฟั่นเพ่ยหยางมั่นคงดังขุนเขา ท่าทางหนักแน่นอย่างเห็นได้ชัด

“ได้” ถังหลิ่นคล้อยตาม เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้องรับแขก สายตาเหมือนกับฆาตกรไร้ความรู้สึก “ไม่ว่าจะพูดสักกี่ครั้ง ผมก็ยังคงพูดเหมือนเดิม รสนิยมของคุณมันแย่มาก”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ตอนตกแต่ง ผมขอความเห็นจากคุณแล้ว”

ถังหลิ่น “ใช่ แต่หลังจากที่ผมเสนอความเห็น ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งสไตล์เรโทรยูโรเปี้ยน อเมริกันคันทรี่ นิวไชนีส เมดิเตอร์เรเนียน หรือแนวอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนไปให้ สุดท้ายคุณก็เลือกแต่งมันแบบเรียบง่ายสุดๆ”

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถูกอีกฝ่ายกระแนะกระแหน ทว่าฟั่นเพ่ยหยางกลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในน้ำเสียงก็ยังหวั่นไหวอยู่เล็กๆ ยากจะสังเกตได้ “หลังจากนั้นล่ะ หลังวิลล่าตกแต่งเสร็จ คุณเป็นคนแรกที่มาดู ตอนนั้นคุณพูดอะไรกับผม”

ถังหลิ่นย้อนคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่กลับนึกอะไรไม่ออก “ขอโทษด้วย เรื่องนี้ผมลืมแล้วจริงๆ”

ฟั่นเพ่ยหยางตะลึง จู่ๆ ความหวังที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาก็กลับกลายเป็นว่างเปล่าอย่างไม่ทันตั้งตัว

ถังหลิ่นในเวลานั้นบอกว่า ‘ฟั่นเพ่ยหยาง คุณทำลายความคิดที่จะเข้ามาอยู่ด้วยกันของผมได้สำเร็จแล้ว’

ขณะที่เขาจดจำมันได้ทุกวินาที แต่คนละเอียดถี่ถ้วนอย่างถังหลิ่นกลับลืมหมดสิ้น

“แต่ผมจำเจ้านั่นได้” พอสังเกตเห็นท่าทีหดหู่ของฟั่นเพ่ยหยาง ถังหลิ่นก็เอ่ยปากพูดเสริมขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ตอนเงยหน้าขึ้นเขาก็มองเห็นต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล “ต้นไม้นั่นผมเป็นคนให้คุณ ตอนนั้นมันยังไม่ออกดอก”

นั่นเป็นต้นปักษาสวรรค์กระถางหนึ่ง มันยืนต้นอยู่ข้างหน้าต่างที่ยาวจรดพื้น ตอนนี้สูงใหญ่เขียวชอุ่มแล้ว ใบแทงชี้ขึ้นทางด้านบนเต็มไปหมด ดอกแปลกๆ สีส้มสดใสที่แซมด้วยสีม่วงเล็กน้อยสามดอก ดูคล้ายนกตัวเล็กๆ ที่กำลังกระพือปีกเตรียมบิน

“คุณดูแลมันได้ไม่เลว” คิดไปคิดมาถังหลิ่นก็เอ่ยปากชมห้วนๆ ออกมาประโยคหนึ่ง

ฟั่นเพ่ยหยาง “ตอนให้มันกับผม คุณเคยพูดอะไรบางอย่าง”

“…” ถังหลิ่นนิ่ง

ฟั่นเพ่ยหยาง “คุณลืมแล้ว?”

ถังหลิ่นเอ่ย “ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าความจำคุณจะดีแบบนี้”

ฟั่นเพ่ยหยาง “ความทรงจำของคุณแย่ลงต่างหาก”

ตอนนั้นถังหลิ่นบอกว่า ‘ประธานฟั่น มันเปราะบางกว่าผมเยอะ คุณต้องระวังอย่าให้มันตายล่ะ’

เขาถาม ‘แล้วถ้าตายล่ะ?’

คำตอบที่ได้มาคือ ‘งั้นผมจะไม่ต้องการคุณอีก’

เขาไม่เปิดโอกาสให้ถังหลิ่นไม่ต้องการตนเอง ยิ่งนานวันต้นปักษาสวรรค์ก็ยิ่งเติบโตงอกงาม ทว่าคนที่ให้มันมากลับลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปหมดแล้ว

ไม่จำเป็นต้องเล่นเกมถามตอบตลกๆ อะไรอีก เรื่องราวกระจ่างชัดแล้ว ความทรงจำทั้งหมดที่ถังหลิ่นลืมไปล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกระหว่างพวกเขาทั้งคู่

ฟั่นเพ่ยหยางไม่เข้าใจ

ไอเทมรักษาโรคในมือเขายังมี ‘[เวท] ป่วยหนักแรกฟื้น’ ‘[เวท] หวาถัว* อยู่บนโลก’ แต่เขาไม่ต้องการแรกฟื้น สิ่งที่เขาต้องการคือหายดี และเขาก็ไม่อาจเชื่อหวาถัวได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหมอเทวดาผู้นี้เองก็มีโรคที่รักษาไม่หาย ดังนั้นสุดท้ายเขาถึงได้เลือกไอเทม ‘[เวท] สมบูรณ์เหมือนแรกเริ่ม’

แต่ไม่ว่าจะไอเทมอะไรก็อาจให้ผลลัพธ์นอกเหนือความคาดหมายได้ทั้งนั้น เรื่องนี้เขาเตรียมใจรับมืออยู่ก่อนหน้าแล้ว แม้แต่เรื่องที่ความทรงจำของถังหลิ่นทั้งหมดจะย้อนกลับไปตอนก่อนป่วยเขาก็ล้วนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สามารถอธิบายได้ ทว่าไอเทมนั้นกลับเฉือนเอาความรู้สึกระหว่างเขากับถังหลิ่นออกเป็นเศษเสี้ยวอย่างแม่นยำราวกับมีดผ่าตัด นั่นเพราะอะไรกัน

“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะถามอีก” ถังหลิ่นพูดน้ำเสียงราบเรียบ “งั้นคราวนี้จะให้ผมเป็นคนถามบ้างได้หรือเปล่า”

ฟั่นเพ่ยหยางได้สติกลับมา เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเฉยชาของถังหลิ่น “คุณอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำของคุณถูกไหม”

ถังหลิ่นบอก “ไม่งั้นคุณคงไม่เอ่ยปากถามคำถามพวกนั้นกับผมโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุแบบนี้แน่”

ฟั่นเพ่ยหยางยิ้ม แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มดังกล่าวยังไม่ทันปรากฏขึ้นในสายตามันก็จางหายไปก่อนแล้ว “ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร คุณแค่ลืมความสัมพันธ์ระหว่างเราไปก็เท่านั้น”

ถังหลิ่นถาม “ความสัมพันธ์อะไร”

ฟั่นเพ่ยหยางตอบเขา “ความสัมพันธ์ที่ทำให้การเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ทั้งหมดของผมฟังดูสมเหตุสมผล”

หัวคิ้วของถังหลิ่นขมวดแน่น ไม่บ่อยนักที่เขาจะมีท่าทางเช่นนี้ ปกติถ้าไม่พอใจหรือกลัดกลุ้มเขาก็แค่ขมวดคิ้วน้อยๆ เท่านั้น ทว่าในเวลานี้เขากลับถึงขนาดควบคุมตัวเองไม่อยู่ เรื่องที่ฟั่นเพ่ยหยางพูดออกมานั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายเกินไป ทำเอาเขาแทบสงบจิตสงบใจไม่ได้

ถ้าเกิดว่าเป็นคนอื่นที่จับตัวเขากดจมอยู่กับโซฟา หลังถูกปฏิเสธยังบอกเขาว่าพวกเขามีความสัมพันธ์แบบที่สามารถทำเรื่องอย่างว่าได้ ไม่ว่าเป็นใครขอเพียงไม่ใช่ฟั่นเพ่ยหยาง เขาต้องให้อีกฝ่ายนึกเสียใจที่ได้รู้จักเขาแน่

แต่นี่กลับเป็นฟั่นเพ่ยหยาง

เป็นเพื่อนตายของเขามาแต่ไหนแต่ไร แถมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอีกฝ่ายยังใช้โอกาสที่จะหลุดพ้นจากการทำเควสฝ่าด่านได้อย่างสมบูรณ์แบบมาแลกชีวิตใหม่ให้กับเขาอีก

“หลักฐานล่ะ?” ถังหลิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมตัวเองให้ใจเย็นๆ “คุณบอกว่าพวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบนั้น แล้วไหนล่ะหลักฐาน”

ฟั่นเพ่ยหยางลุกขึ้นรวดเร็วไม่แม้แต่จะหยุดคิด เขาเดินออกไปจากห้องรับแขก

ตอนกลับมาอีกครั้งในมือเขาเต็มไปด้วยข้าวของต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเสื้อสูท เสื้อเชิ้ต ชุดนอน รองเท้าแตะ เครื่องอาบน้ำ และอื่นๆ

เสื้อผ้าเป็นไซส์ของถังหลิ่น รองเท้าแตะก็เป็นผลงานต้นแบบของดีไซเนอร์ที่เขาชื่นชอบ เครื่องอาบน้ำดูไม่ออกว่าอันไหนเป็นของใคร แต่ทั้งหมดล้วนมีอยู่สองชุด มากพอที่จะยืนยันว่าในวิลล่าของฟั่นเพ่ยหยางนี้มีคนพักอาศัยอยู่เป็นประจำหรือว่าอาจมาเข้าพักได้ทุกเมื่ออยู่คนหนึ่ง

“เป็นของผมทั้งหมด” ถังหลิ่นไม่ถาม เขายอมรับออกมาตามตรง

“พอหรือยัง”

“อะไร”

“หลักฐาน”

ถังหลิ่นเม้มปากแน่น หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ถอนหายใจอย่างอับจน “ข้าวของพวกนี้ยืนยันได้ว่าผมมักมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ อันที่จริงก่อนที่คุณจะซื้อที่นี่ ผมก็มักไปค้างคืนอยู่ที่บ้านเก่าของคุณ ใครใช้ให้บ้านของคุณดีกว่าของผมล่ะ”

ฟั่นเพ่ยหยางจ้องเขม็ง ในสายตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเคร่งเครียด เขาแทบจะถามออกมาทีละคำๆ “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการหลักฐานอะไร”

ถังหลิ่นเผชิญหน้ากับสายตาดังกล่าวอย่างไม่ลังเล “ภาพคู่ จดหมายรัก บันทึกแชต หรือไม่ก็คลิปสั้นๆ” เขายักไหล่สบายๆ “ถ้ามีนะ”

ฟั่นเพ่ยหยางนิ่งเงียบ

“ไม่มีเลยเหรอ” ถังหลิ่นหรี่ตาสงสัย “ต่อให้พวกเรายุ่งจนไม่มีเวลาโรแมนติก แต่กระทั่งบันทึกการสนทนาที่พอจะยืนยันความสัมพันธ์ได้ก็ไม่มีเลยเหรอ”

ฟั่นเพ่ยหยาง “พวกเราไม่แชตผ่านโทรศัพท์ มีอะไรก็ล้วนโทรหากัน”

ถังหลิ่น “เห็นได้ชัดว่าคุณไม่มีนิสัยบันทึกบทสนทนาตอนคุยโทรศัพท์”

นาฬิกาตั้งพื้นส่งเสียงเหง่งหง่างเบาๆ ออกมาคราวหนึ่ง เป็นเสียงกลไกเวลาเข็มชั่วโมง เข็มนาที และเข็มวินาทีบรรจบอยู่ด้วยกัน

ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว

ถังหลิ่นนั่งเป็นเพื่อนฟั่นเพ่ยหยางอยู่ในห้องรับแขกตลอดทั้งคืน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีผลลัพธ์อะไร

“ผมไปนอนที่ห้องนอนแขกก็แล้วกัน” เขาไม่อยากโต้รุ่งตั้งแต่คืนแรกของการกลับมามีสุขภาพแข็งแรง ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศชวนอึดอัดในห้องรับแขกก็ยากที่จะแบกรับต่อไหว

ฟั่นเพ่ยหยางเองก็ลุกขึ้น

ถังหลิ่นไม่พูดไม่จา เขาตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนแขกอย่างชำนิชำนาญก่อนจะผลักประตูเปิด การจัดวางภายในห้องยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

เขาเดินเข้าไปภายในห้อง ขณะกำลังจะหันกลับมาปิดประตู ฟั่นเพ่ยหยางก็สาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามา

ถังหลิ่นเลิกคิ้ว “คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง”

“บางทีลองดูสักครั้ง ไม่แน่ว่าอะไรๆ อาจชัดเจนขึ้น” ฟั่นเพ่ยหยางพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

ถังหลิ่นมองดูเขาอยู่สองวินาที ก่อนจะยกมือผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว

ปึง!

ฟั่นเพ่ยหยางยืนอยู่หน้าประตูไม้ที่ปิดสนิท ไม่ได้มีทีท่าหน้าม่อยคอตกเพราะถูกไล่ออกมาแต่อย่างใด

นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว

การที่ความจำของถังหลิ่นขาดหายไปบางส่วนต่างหากที่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย

ตอนรู้เรื่องห้องอธิษฐานใหม่ๆ เขาคิดว่าโชคดีใหญ่หลวงในชีวิตนี้ของเขามาแล้ว

ที่แท้…โชคดีก็มีราคาค่างวดของมันเหมือนกัน

หลังบานประตู ถังหลิ่นนอนอยู่บนเตียง คืนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้จับโทรศัพท์

ทำไมไม่ดูตอนอยู่ในห้องรับแขก หรือว่าจิตใต้สำนึกของเขาเองก็นึกกลัวอยู่เล็กๆ

หลังกลับมาจากสถานที่แปลกประหลาดนั่นเขาก็รีบเดินทางกลับปักกิ่งมาตรวจร่างกายแล้วออกจากโรงพยาบาล เรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาว่างให้ได้จับโทรศัพท์ ถ้าเขาสูญเสียความทรงจำบางส่วนเหมือนที่ฟั่นเพ่ยหยางบอกจริงๆ อย่างนั้นบางทีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวในโทรศัพท์ของเขาตอนนี้ก็อาจเว้าแหว่งขาดวิ่นไปด้วยเหมือนกัน

โทรศัพท์ของฟั่นเพ่ยหยางไม่มีหลักฐานใดๆ

แล้วของเขาเองก็จะเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่า

เขาปิดไฟเพดานและเปิดไฟหัวเตียงขึ้นมาแทน บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

ถังหลิ่นปลดล็อกโทรศัพท์ เริ่มเปิดดูจากแอพพลิเคชั่นแชตเป็นลำดับแรก หลังจากนั้นก็เป็น SMS โทรศัพท์ บันทึกช่วยจำ และสมุดโน้ต

ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่พอจะมั่นใจได้มีเพียงหนึ่งเดียวคือเขาพูดคุยกับฟั่นเพ่ยหยางอยู่บ่อยๆ

ถังหลิ่นเลือกเปิดดูรูปภาพเป็นลำดับสุดท้าย

เขาแตะเปิดเบาๆ ภาพถ่ายล่าสุดส่วนใหญ่ล้วนถ่ายในโรงพยาบาล มีภาพหมอ พยาบาล พื้นหญ้าสีเขียว แปลงดอกไม้ ยังมีซ่านอวิ๋นซงกับตัวเขาเอง

ขนาดป่วยก็ยังไม่ลืมถ่ายเซลฟี่ ถังหลิ่นรู้สึกภูมิใจกับทัศนคติของตัวเอง

เลื่อนดูต่อไปเรื่อยๆ ก็เห็นแต่ภาพถ่ายในโรงพยาบาล เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะถ่ายภาพไว้มากมายขนาดนั้น ราวกับต้องการบันทึกภาพทุกวินาทีสุดท้ายของชีวิตไว้

ในที่สุดก็มาถึงช่วงก่อนป่วย ปริมาณภาพเริ่มลดน้อยลง บางครั้งแม้จะผ่านมาสองเดือนแล้วก็ยังไม่ได้ถ่ายภาพสักภาพ

จากนั้นเวลากลับกลายเป็นผันผ่านรวดเร็ว เลื่อนขึ้นเพียงไม่กี่ทีก็มาถึงเมื่อสี่ปีก่อน

จู่ๆ นิ้วของถังหลิ่นก็หยุดนิ่งอยู่ที่ภาพเซลฟี่ภาพหนึ่ง

เดือนเก้าของเมื่อสี่ปีก่อน ภาพนั้นถ่ายตอนเวลา 23.15 น.

ฟั่นเพ่ยหยางนั่งอยู่บนโซฟาที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ อันที่จริงควรเรียกว่านอนอยู่มากกว่า เจ้าของโทรศัพท์แอบหอมแก้มเขาทีหนึ่ง อีกทั้งยังแอบถ่ายภาพคู่เก็บไว้อย่างไม่นึกอาย

 

* หวาถัว หรือฮัวโต๋ คนไทยรู้จักจากเรื่องสามก๊ก มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีน เป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: