ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
บ่อน้ำใต้ดิน
อุโมงค์เย็นชื้นมืดดำ ครั้นคลานไปจนสุดทางพวกเขาก็พบว่าทางด้านหน้ามีตาข่ายโลหะแผ่นหนึ่งกั้นขวางอยู่
ชายเสื้อยืดขาดขยับขึ้นหน้าไปเคาะมันทีหนึ่ง ตาข่ายโลหะเปิดออกไม่ต่างอะไรกับประตูบานหนึ่ง ทุกคนคลานออกจากอุโมงค์ เข้าไปยังบ้านของโจรทั้งสาม
เจิ้งลั่วจู๋ยืนอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว เขารู้สึกรันทดใจขึ้นมาอย่างประหลาด “พวกนายนี่มันน่าเวทนาชะมัด อยู่นครใต้พิภพไม่พอ ยังอาศัยในบ่อน้ำใต้ดินอีก”
ที่นี่เป็นระบบระบายน้ำใต้ดิน อุโมงค์ระบายน้ำทั้งสามทิศทางล้วนมาบรรจบกันอยู่ที่นี่ เกิดเป็นพื้นที่ว่าง สูงประมาณสามเมตร กว้างเจ็ดถึงแปดเมตร พอให้ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนได้ พื้นที่รายรอบเต็มไปด้วยอิฐดำที่วางเรียงราย อุโมงค์ฝังอยู่กับผนังอิฐแต่ละด้าน ตาข่ายขึ้นสนิมสามแผ่นแยกกันบังขวางประตูอุโมงค์ทั้งสาม เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นสถานที่โกโรโกโสเรียบง่ายทว่าปลอดภัย
เตียงพับได้หลังหนึ่งกับเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์เพียงสองชิ้นของที่นี่ ของใช้ประจำวันถูกวางกองอยู่ตรงมุมผนังด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านมีฟูกนอนวางอยู่ อาจดูรกรุงรังอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่นับว่าสกปรก ไม่พบเห็นขยะอะไร ร่องรอยการปัดกวาดทำความสะอาดมีให้เห็นอยู่
“ตรงนี้พ่นอะไรไว้” เจิ้งลั่วจู๋เดินมาหยุดอยู่หน้าผนังที่มีข้าวของวางไว้ บนผนังอิฐทรงโค้งมีการพ่นภาพกราฟฟิตี้ไว้ แลดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ทว่าเต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย
“ไม่รู้เหมือนกัน มันมีอยู่ตั้งแต่พวกเรามาถึงแล้ว” ชายเสื้อยืดขาดให้ชายเสื้อโปโลกับชายร่างอ้วนม้วนฟูกบนพื้นขึ้น เปลี่ยนพื้นที่ให้กว้างขวางขึ้นอีก
ถึงจะดูไม่เข้าใจแต่เจิ้งลั่วจู๋ก็ยังคงยืนชื่นชมมันอยู่เป็นนาน สามารถมองเห็นสีสันอยู่ท่ามกลางอุโมงค์ใต้ดินทึมทึบเช่นนี้นับเป็นเรื่องชวนเบิกบานใจไม่น้อย
“หมายความว่าก่อนหน้าพวกคุณ ที่นี่ก็เคยมีคนอยู่อาศัยมาก่อนแล้ว?” ถังหลิ่นนั่งลงบนพื้นที่ได้รับการทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยพลางเปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบเอาอาหารกระป๋องออกมาสองสามใบ
“แน่นอน ข้างบนไม่มีบ้าน พวกเราเลยได้แต่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่” ที่ตอบคำถามของถังหลิ่นคือชายเสื้อโปโลซึ่งดวงตาจ้องนิ่งอยู่ที่อาหารกระป๋อง น้ำลายเจียนไหลออกปาก
“ไม่รู้จักอายบ้างหรือไง” ชายเสื้อยืดขาดตบหัวน้องชายของตัวเองทีหนึ่งก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับถังหลิ่น เฝ้ารออย่างว่าง่าย
ถังหลิ่นไม่ได้ยั่วอีกฝ่าย เขาลงมือแบ่งอาหารกระป๋องให้ทันที
คนทั้งสามตะกรุมตะกรามกินอาหาร เห็นได้ชัดว่าหิวกันน่าดู หากคนที่ไม่รู้มาเห็นเข้าคงคิดว่าพวกเขาคงกำลังแก้แค้นที่ถูกอาหารกระป๋องเล่นงานเอาเมื่อครู่
ฟั่นเพ่ยหยางไปสำรวจภายใน ‘ห้อง’ มาแล้วรอบหนึ่ง ก่อนจะถอดเสื้อโค้ตออกแล้วนั่งลงข้างถังหลิ่น
ในที่สุดถังหลิ่นก็สบโอกาสเอ่ยปากถามเขา “พวกเราจะเริ่มทำเควสกันจริงๆ เมื่อไหร่”
ฟั่นเพ่ยหยางส่ายหน้าเบาๆ “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ข่าวสารสุดท้ายใน ‘โน้ตย่อ’ ยังคงเป็นเรื่องต้นไอเทมที่ได้รับมาตอนเพิ่งเข้ามาถึงนครใต้พิภพใหม่ๆ ไม่มีข้อความแจ้งเตือนอะไรเพิ่มเติม
เควสที่ต้องทำคืออะไร ต้องทำอย่างไรถึงจะถือว่าผ่านด่านสำเร็จ ข่าวสารทั้งหมดล้วนว่างเปล่า
แน่นอนว่าเส้นทางรับข่าวสารนอกจากโน้ตย่อแล้ว ยังมีที่อื่นอีกอย่างเช่นกลุ่มโจรทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้านี้
ฟั่นเพ่ยหยางเคลื่อนสายตาไปหยุดอยู่บนตัวคนทั้งสามได้ไม่ทันไร ยังไม่ทันเอ่ยปาก ชายเสื้อยืดขาดที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับถังหลิ่นก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน
“พวกนายอย่าคิดเข้าไปทำเควสดีกว่า เวลาเปิดด่านไม่แน่ไม่นอน ครั้งล่าสุดก็เมื่อสองเดือนก่อนโน่น”
ฟั่นเพ่ยหยางตะลึง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันนิดหน่อยอย่างยากจะสังเกตเห็น “สองเดือนก่อน?”
“ใช่” ชายเสื้อยืดขาดบอก “ไม่ใช่ว่าจะทำเควสฝ่าด่านได้ทุกวัน ต้องรอให้ประตูด่านเปิดเสียก่อน ถึงจะเข้าไปได้”
“ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัดเลยเหรอ”
“ไม่มี บางทีก็สองเดือนบางทีก็สามเดือน บางทีก็แค่อาทิตย์เดียว แต่ว่า…”
“หืม?”
“ทุกครั้งก่อนด่านเปิดจะมี ‘โน้ตย่อ’ แจ้งเตือนก่อนล่วงหน้าเจ็ดวัน”
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งฟั่นเพ่ยหยางก็ถามขึ้น “ประตูด่านอยู่ที่ไหน”
ชายเสื้อยืดขาดยัดเนื้อกระป๋องไว้เต็มปากพูดเสียงอู้อี้ว่า “ปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินใจกลางเมือง”
ไม่รู้ว่าลมจากไหนพัดตามอุโมงค์เข้ามา พัดเอาประตูตาข่ายเหล็กสั่นไหวกึงกังเบาๆ
เจิ้งลั่วจู๋นั่งพิงผนัง ในใจรู้สึกหนักอึ้ง หรือว่าพวกเขาเองก็ต้องรออยู่ที่นี่สองเดือนเหมือนกัน ไม่สิ จากสภาพของคนที่อยู่ข้างถนนพวกนั้นกับโจรสามคนที่อยู่ตรงหน้านี้ บางทีอาจนานกว่านั้น
“คนที่อยู่ที่นี่จะกลับโลกแห่งความเป็นจริงสักครั้งต้องรอนานแค่ไหน” ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง
เพราะชายเสื้อยืดขาดกำลังก้มหน้ากินเนื้อกระป๋อง ชายร่างอ้วนเลยเอ่ยปากตอบแทน “กลับเหรอ คงต้องฝันเอาแล้วล่ะ”
ชายเสื้อโปโลเองก็เงยหน้าขึ้น “พวกเราอยู่ที่นี่มาปีหนึ่งแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้กลับไปแม้แต่ครั้งเดียว”
ฟั่นเพ่ยหยางจ้องพวกเขาสองคนเขม็ง “เจาะจงหน่อย”
ชายร่างอ้วนถอนหายใจ “พูดให้ชัดๆ ก็คือขอแค่เข้ามาถึงที่นี่ ก็อย่าหวังว่าจะได้กลับไปอีก ในเมื่อมาแล้วก็ทำใจเถอะ”
“มันก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสียทีเดียว” ชายเสื้อโปโลรีบพูดเสริม “ว่ากันว่าถ้าผ่านด่านขึ้นไปถึงข้างบนได้ก็จะมีโอกาสกลับไป แต่มันก็แค่คำพูดเท่านั้น พวกเราเองยังไม่เคยเห็นกับตา”
“ข้างบน?” ฟั่นเพ่ยหยางได้ยินคำนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกจางเฉวียนตัวปลอมเป็นคนพูด
“ก็คือด่านถัดไปนั่นแหละ” ชายเสื้อโปโลพูดขึ้น “พอฝ่าด่านสำเร็จก็จะสามารถขึ้นไปทำเควสที่ด่านถัดไปได้”
“พวกนายก็เลิกหวังเรื่องกลับไปจะดีกว่า เรื่องที่ต้องคิดคือจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปยังไงต่างหาก” ชายร่างอ้วนกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาลูบพุงอย่างสบายอกสบายใจ “อาหารที่ส่งมาทุกวันจะถูกคนแต่ละกลุ่มแย่งไปเกือบหมด ถ้าไม่เข้าร่วมกลุ่มก็ต้องแย่งอาหารจากปากเสือ ไม่งั้นคงได้แต่อดตาย”
ทุกวัน อาหาร กลุ่ม
เพียงไม่นานฟั่นเพ่ยหยางก็จับประเด็นสำคัญได้ ปลายนิ้วของเขาเคาะเบาๆ อยู่บนเข่า “อาหารของทุกวันใครเป็นคนเอามาให้ ปริมาณกับวิธีการแจกจ่ายล่ะ แล้วกลุ่มที่พวกนายพูดถึงนั้นมีกันอยู่เท่าไหร่ เป้าหมายคืออะไร”
ชายร่างอ้วนฟังชัดแค่คำถามข้อแรกเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาล้วนคิดตามไม่ทัน สายตาเฝ้ารอของฟั่นเพ่ยหยางทำให้เขารู้สึกละอายใจอย่างน่าประหลาด รู้สึกว่าการตอบคำถามไม่ได้นั้นคล้ายตัวเองรับเงินเดือนจากชาวบ้านเขามาเสียเปล่า…เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่งานประชุมบริษัทเสียหน่อย เขาจะร้อนตัวไปทำไม
“ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครใต้พิภพมีท่อขนาดยักษ์ที่เชื่อมต่อกับทางด้านบนอยู่เส้นหนึ่ง” ชายเสื้อยืดขาดกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พร้อมพูดคุยสนุกสนานได้แล้ว “ทุกวันจะมีอาหารไหลลงมาจากท่อนั่นหนึ่งครั้งตามกำหนดการ ไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนส่งลงมาหรือว่าอาหารพวกนั้นมาจากไหน เรื่องพวกนี้ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่ามันมาจากข้างบน แล้วก็ไม่ต้องหวังว่าจะปีนขึ้นไปทางท่อนั่น ขืนทำอย่างนั้นบอกได้เลยว่ามีแต่ตายสถานเดียว
ว่ากันตามจริง อาหารที่ส่งลงมาให้นั้นมีอยู่ไม่น้อย มีทั้งขนมปัง นม ไส้กรอก แม้แต่ผลไม้ก็ยังมี บางทีถึงกับมีผักมีเนื้อมาให้ด้วย แต่เพราะผู้คนในนครใต้พิภพมีมากเกินไป มันเลยไม่เพียงพอ และก็เพราะเหตุนี้แต่ละกลุ่มจึงส่งคนไปเฝ้าที่ท่อนั่น พออาหารตกลงมาคนพวกนั้นก็จะแบ่งกันไปก่อน”
ชายเสื้อยืดขาดพักไปชั่วขณะ “ตอนนี้คงรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงต้องมีกลุ่ม”
‘ที่พักขั้นพื้นฐาน อาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน การรักษาขั้นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นหลักประกันที่กลุ่มไป๋จู่ของพวกเราสามารถมอบให้กับพวกนายได้’
ถังหลิ่นไม่วายนึกถึงคำพูดของหลี่ว์เจวี๋ย เมื่อผนวกเข้ากับข่าวสารที่ได้รับจากชายเสื้อยืดขาด ต้นสายปลายเหตุก็สมบูรณ์ขึ้นมาทันที
เมื่อรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้ คนพวกนั้นก็ย่อมสามารถยึดครองทรัพยากรทั้งหลายได้ ถึงตอนนั้นทรัพยากรเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเครื่องมือในการขยายกองกำลังต่อ
แต่ในเมื่อมีผลไม้ก็น่าจะมีเมล็ดไม่ใช่หรือไง
“แล้วทำไมถึงไม่มีใครลองปลูกดูล่ะ” ถังหลิ่นถามเพราะความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ
“ต้องลองกันอยู่แล้ว สิ่งที่พวกนายคิดล้วนมีคนเคยทดลองแล้วทั้งนั้น” ชายเสื้อยืดขาดสีหน้าอับจน “ไม่ว่าจะปลูกอะไร ปลูกในดินหรือปลูกในน้ำ มีดินหรือไม่มีดิน ไม่ว่าวิธีไหนก็ล้วนไม่สำเร็จ”
ลึกเข้าไปในอุโมงค์มีน้ำไหลผ่าน เสียงของมันดังขาดๆ หายๆ อยู่เป็นพักๆ
ใน ‘ห้อง’ พลันเงียบสงัด ฟั่นเพ่ยหยางที่ตกอยู่ในห้วงความคิด เจิ้งลั่วจู๋ที่พิงกับผนังกราฟฟิตี้ต่างสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ตกลงแล้วข้างบนนั่นเป็นโลกอะไรแบบไหนกันแน่ แล้วใครส่งอาหารลงมา คำถามพวกนี้วิ่งวนกลับไปกลับมาอยู่ในสมองของเขา แค่กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้กับอาหารขาดแคลน ลำพังสองเรื่องนี้ก็แย่พออยู่แล้ว
ถังหลิ่นเองก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงห้ามใจไม่ให้นึกสืบค้นไม่ได้
อันตรายถึงแก่ความตายในโลกนี้ทำเขาตื่นตระหนก ความไม่รู้ใดๆ บนโลกนี้ล้วนทำให้เขานึกกระหายใคร่รู้
อาศัยจังหวะตอนไม่มีคนพูด ถังหลิ่นค้อมตัวขยับเข้าไปใกล้พวกชายเสื้อยืดขาดทั้งสามแล้วกระซิบถาม “เวลาต่อสู้พวกคุณใช้ไอเทมอะไร”
กินของของคนอื่นปากย่อมอ่อนเป็นธรรมดา พวกเขาสามคนพูดออกมาตามตรง
ชายร่างอ้วน “เถาหนามแตกกอ”
ชายเสื้อโปโล “มัดมือช่วงชิง”
“ดาบกระบี่ไม่มีตา” พอพูดจบชายเสื้อยืดขาดก็พูดเสริมออกมาอีก “แต่ทั้งหมดล้วนแต่มาจากต้นไอเทม พวกเราไม่มีไอเทมประเภทใช้ครั้งเดียว”
เถาหนาม เชือกดำ และฝนดาบกระบี่
ถังหลิ่นย้อนนึกถึงภาพการต่อสู้พลางไล่เทียบไปทีละอัน
“ต้นไอเทมของนายคืออะไร” ชายเสื้อยืดขาดนึกอยากรู้ คนคนนี้ไม่ได้แสดงฝีมือออกมา ทำตัวลึกลับสุดๆ
พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ปลดล็อกต้นไอเทม ถังหลิ่นก็นิ่งเงียบ
เขาเองก็อยากรู้
ชายเสื้อยืดขาดไม่รอให้ถังหลิ่นตอบ พอเห็นฟั่นเพ่ยหยางชำเลืองมา เขาก็รีบเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ “แล้วนายใช้ไอเทมอะไรควบคุมอาหารกระป๋อง”
ฟั่นเพ่ยหยางมองดูเขา จ้องอีกฝ่ายนิ่ง
ชายเสื้อยืดขาด “เอ่อ ไม่ถามแล้วก็ได้”
เมื่อมีคนถอย ย่อมมีคนดึงดัน
ถังหลิ่นมองฟั่นเพ่ยหยางตาไม่กะพริบ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้
หลังจากสบตากันอยู่เป็นนาน ในที่สุดฟั่นเพ่ยหยางก็สีหน้าเคร่งขรึม ถลกแขนเสื้อขึ้น แตะเปิดกล่องไอเทมพลางยื่นแขนส่งออกไป
ถังหลิ่นรีบก้มหน้าดู
บริเวณส่วนรากของต้นไอเทมของฟั่นเพ่ยหยาง ไอเทมที่สามารถใช้ซ้ำได้ไม่มีหมดคือ ‘เสียงสวรรค์ของคนคร้าน’
ถังหลิ่นช่วยเขาดึงแขนเสื้อลงก่อนจะตบๆ ลูบๆ แขนเสื้อจนเรียบ
เจิ้งลั่วจู๋ถึงจะอยากรู้อยากเห็นแทบตาย แต่เขาก็ไม่กล้าแอบมอง ในใจรู้สึกรันทดอยู่นิดๆ
ชาวบ้านถามกันแทบตายสิ่งที่ได้กลับมามีแต่ความเงียบงัน ถังหลิ่นชายตามองเพียงปราดเดียว เจ้านายก็ยื่นแขนส่งออกมาให้ดูแล้ว นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ
พอได้กินดื่มเต็มคราบ พวกชายเสื้อยืดขาดก็หาวออกมาติดๆ ตั้งท่าเตรียมตัวเข้านอน
พอพวกเขาหาวกันออกมา ถังหลิ่นก็พลอยง่วงนอนตามไปด้วย ในห้องมีเตียงอยู่แค่หลังเดียว ชายเสื้อยืดขาดยกมันให้ถังหลิ่น ถังหลิ่นรู้ว่าหากนอนลงไป เขาคงต้องเสียอาหารกระป๋องอีกหลายใบแน่ งานนี้คุ้มไม่คุ้มอย่างไรก็ต้องไตร่ตรองดูให้ดีก่อน ทว่าฟั่นเพ่ยหยางกลับตัดสินใจแทนเขา
ถังหลิ่นอยากบอกฟั่นเพ่ยหยางว่าเลิกเห็นเขาเป็นคนป่วยได้แล้ว แต่พอสบเข้ากับสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานานั่น คำพูดที่เคลื่อนมาถึงริมฝีปากก็ถูกกลืนกลับลงท้องไม่มีเหลือ
นอนอยู่บนเตียงได้ไม่นาน ถังหลิ่นก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
ขณะที่ชายเสื้อยืดขาด ชายเสื้อโปโล และชายร่างอ้วนที่บ่นว่าง่วงตั้งแต่ก่อนหน้ากำลังจัดฟูกที่นอน ถังหลิ่นก็ผล็อยหลับไปก่อนใครเพื่อน
ฟั่นเพ่ยหยางใช้เสื้อโค้ตสีดำคลุมบนร่างเขา ดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง มองดูใบหน้านั้นเงียบๆ
ก่อนถูกดูดเข้ามาในนี้เขาเคยข้ามผ่านค่ำคืนแบบนี้อยู่ในห้องพักผู้ป่วยของถังหลิ่นมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ นอกจากเฝ้าดูอีกฝ่ายแล้วเขาก็ไม่ทำอะไรอีก เพียงพริบตาช่วงเวลาหนึ่งค่ำคืนก็ผ่านพ้น
ถังหลิ่นในตอนนั้นมักยิ้มบอกกับหมอและพยาบาลว่าสภาพจิตใจตัวเองแข็งแรงปกติดี มีแต่ฟั่นเพ่ยหยางเท่านั้นที่รู้ว่าทันทีที่หลับอีกฝ่ายก็จะขมวดคิ้ว กอดผ้าห่มเอาไว้แน่น เผยให้เห็นถึงความรู้สึกหวาดผวากระวนกระวายใจ
แม้แต่ตัวถังหลิ่นเองก็ไม่รู้
ดังนั้นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ฟั่นเพ่ยหยางคิดว่าถังหลิ่นมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
อันตรายถึงแก่ชีวิตใดๆ เขาจะรับมือกับพวกมันเอง
ส่วนความทรงจำที่หลงลืมสูญหายไปพวกนั้น เขาก็จะเอามันกลับมาด้วย
ติ๊ง
เสียงสัญญาณเตือนหกครั้งดังขึ้นภายในอุโมงค์ใต้ดิน ประสิทธิภาพของมันเหนือกว่านาฬิกาปลุกเป็นไหนๆ
ทุกคนต่างสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา มีเพียงฟั่นเพ่ยหยางที่ไม่ได้หลับเท่านั้นที่ตรวจดูที่แขนอยู่
[โน้ตย่อ : 1/10 ประตูด่านจะเปิดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ขอให้คนที่ต้องการทำเควสฝ่าด่านทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม]
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.