X
    Categories: everYทดลองอ่านภาพวาดโครงกระดูก

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2 บทที่ 38 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 38 ดินแดนแห่งพันธสัญญา (11)

ทั้งคู่มองสบตา หลังจากความเงียบงันแสนเนิ่นนานล่วงเลยไป หลี่ซูก็เอ่ย “ถ้าผมบอกว่าซ่งชิงหลัวเป็นคนตบคุณจะเชื่อหรือเปล่า”

หลินปั้นซย่า “…”

“โอเค ผมเป็นคนตบเอง” หลี่ซูยอมแพ้ “แต่คุณเชื่อเถอะ ตอนนั้นผมไม่ได้เอาความแค้นส่วนตัวมาปนเลยนะ เวลาแบบนั้นความเจ็บปวดจะสามารถดึงคุณออกมาจากสภาวะอย่างนั้นได้…ผมมีประสบการณ์มาเยอะมาก ไม่มีทางทำเพราะแค้นส่วนตัวแน่นอน”

หลินปั้นซย่าจมสู่ห้วงความคิด

หากเป็นเมื่อก่อนหลี่ซูคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าการที่หลินปั้นซย่าทำหน้าแบบนี้มีนัยอะไรแฝงอยู่ แต่หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ ด้วยกันมา เขาก็ประจักษ์ชัดแล้วว่าเจ้าหลินปั้นซย่าที่ภายนอกดูขาวนวลอ่อนนุ่ม หากผ่าดูเนื้อในแล้วอาจจะดำทะมึนจริงๆ อย่างที่คิดก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงหาทางเอาตัวรอด “ไม่อย่างนั้นคุณตบผมกลับมั้ยล่ะ”

หลินปั้นซย่าบอกว่า “ผมไม่ทำร้ายร่างกายใคร”

“งั้น…” หลี่ซูกำลังจะเอ่ยว่างั้นคุณจะเอายังไงก็ว่ามาเลย ทว่ากลับฉุกใจนึกถึงจุดอ่อนของหลินปั้นซย่าขึ้นได้อย่างฉับพลัน เขาโยนไม้ในมือทิ้ง สูดหายใจเข้าลึกๆ และลุกขึ้นจากพื้น ยื่นมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสักพัก

หลินปั้นซย่ากำลังจะถามว่าเขาล้วงอะไร ก็เห็นหลี่ซูเอาสมุดเล่มเล็กออกมาซะก่อน จากนั้นก็ตวัดปากกาเขียนตัวเลขจำนวนหนึ่งลงไปบนนั้น ฉีกออกแล้วยื่นให้หลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่างุนงง “อะไรเหรอ”

เขารับมาดูก็เห็นด้านบนเขียนตัวอักษรว่า ‘เช็คเงินสด ธนาคาร XX’

“ค่าปิดปาก!” มือขวาของหลี่ซูโอบคอหลินปั้นซย่า ขยับเข้าไปเอ่ยเสียงแผ่ว “ฟ้ารู้ดินรู้ คุณรู้ผมรู้!”

หลินปั้นซย่าเพิ่งเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าเช็คเงินสดเป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกใหม่เล็กน้อยขณะรับมาไว้ในมือและอ่านมัน

“ข้อตกลงเสร็จสิ้น?” หลี่ซูถาม

หลินปั้นซย่าใช้ความคิดก่อนบอกว่า “โอเค” จากนั้นก็เอาเช็คซ่อนไว้ในกระเป๋า เขาเพิ่งเคยเห็นสิ่งนี้ครั้งแรก แล้วก็ไม่ได้คิดจะเอาไปแลกเป็นเงิน แค่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น

จัดการปิดปากหลินปั้นซย่าได้แล้วหลี่ซูก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งยองลงจิ้มมดของเขาอย่างเริงร่าต่อ ในตอนนั้นเองหลี่เย่ก็ออกมา ในมือถือผ้าปิดปากและแว่นกันแดดของหลี่ซูเอาไว้ ส่งมันให้เจ้าตัวที่นั่งอยู่บนพื้น และหลี่ซูเองก็เหมือนจะชินแล้ว เขารับมาโดยไม่หันกลับไปมอง หลี่เย่ก็ไม่แยแส แค่หันไปพยักหน้าให้หลินปั้นซย่าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับเข้าไป หลี่ซูสวมแว่นกันแดดและผ้าปิดปาก แล้วมดบนพื้นก็ต้องทนทุกข์กับหายนะอีกครั้ง

“คุณไม่ดีใจเหรอ” หลินปั้นซย่าถามเขา

“ก็พอได้” หลี่ซูกล่าว

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลินปั้นซย่าสับสนเล็กน้อย

หลี่ซูหันไปมองหลินปั้นซย่า เขากล่าว “คุณลองเดาสิว่าผมส่งคลิปการตายของสมาชิกในทีมออกมาได้ยังไง”

หลินปั้นซย่าเพิ่งฉุกคิดได้ถึงสาเหตุที่พวกเขามาถึงที่นี่ มันเป็นเพราะหลี่ซูส่งคลิปวิดีโอออกมา คนภายนอกรับไว้ได้ ถึงได้มีเรื่องราวในภายหลัง แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ซูไม่เคยอธิบายเลยว่าเขาส่งคลิปวิดีโอนั่นออกมาได้อย่างไรกันแน่

“คุณไม่สงสัยเหรอ” หลี่ซูถาม

“สงสัยสิ” หลินปั้นซย่าเอ่ย

“แต่เขาไม่สงสัย ไม่สงสัยเลยสักนิด” มดบนพื้นเริ่มปีนป่ายไปทั่วเพราะไม้แท่งหนึ่ง หลี่ซูใช้ไม้ขวางทางเหล่ามดน้อย มองพวกมันตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกและกระตุกมุมปากเอ่ยว่า “ตั้งแต่ขึ้นรถมาที่นี่ เขาไม่พูดกับผมสักประโยค”

หลินปั้นซย่า “…”

“แล้วก็ไม่ได้ถามว่าเป็นอะไร” หลี่ซูกล่าว

หลินปั้นซย่าเลียริมฝีปาก นึกอยากปลอบหลี่ซูเล็กน้อย แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าต่อให้เขาพูดอะไรออกไปก็ดูเปล่าประโยชน์ เพราะถึงจะเป็นเพื่อนทั่วๆ ไป แต่อุตส่าห์หนีตายออกมาได้แล้วยังไงก็ต้องห่วงใยอีกฝ่ายบ้าง หลินปั้นซย่าหวนนึกถึงที่นั่นอีกครั้ง ตอนนั้นหลี่ซูจินตนาการหลี่เย่ออกมาไม่น้อย ตามหลักแล้วหลี่เย่ก็คือส่วนหนึ่งของสิ่งที่หลี่ซูปรารถนามากที่สุดในหัวใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปรากฏออกมา

“ช่างเถอะ” หลี่ซูท้อใจนิดหน่อย “ที่จริงผมส่งคลิปนั่นออกไปโดยอาศัยช่องโหว่ เป็นแค่การทดลองอย่างหนึ่ง ไม่คิดว่าจะสำเร็จจริงๆ”

“คุณทดลองยังไง” หลินปั้นซย่าถาม

หลี่ซูเอ่ยแกมหัวเราะ “ผมบอกกับมันว่ารบกวนส่งคลิปนี้ออกไปให้หน่อย ล่อหลี่เย่ตัวจริงมาที”

หลินปั้นซย่า “…”

“แฮะ แล้วมันดันทำให้เป็นจริงซะด้วย” หลี่ซูเผยสีหน้าเหลี่ยมจัด “น่าเสียดายที่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ผลแล้ว คงรู้แล้วล่ะมั้งว่าไม่ว่าจะมนุษย์หน้าไหนก็เป็นพวกต้มตุ๋นกันหมด” เขาพูดประโยคนี้จบก็โบกมือให้หลินปั้นซย่าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายเข้าไปดื่มเหล้า กล่าวว่าตนตั้งใจจะไปเดินเล่นรอบๆ นี้ หาพวกมดหนุ่มสาวมาจิ้มๆ อีกสักหน่อย

หลินปั้นซย่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่มองอีกฝ่ายเดินห่างออกไป ขณะเดินกลับไปที่บาร์ก็พลันนึกถึงคำพูดเมื่อกี้ของหลี่ซูได้ หลินปั้นซย่าคิดว่าหลี่ซูคงไม่ถึงกับเป็นพวกต้มตุ๋นหรอก แต่คงเป็นเพราะคลิปวิดีโอถูกส่งออกไปจริงๆ ความคาดหวังในใจของเขาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นความกลัวและกังวล…ตั้งแต่วินาทีนั้น เขาก็ไม่หวังให้หลี่เย่มาอยู่กับตนที่นี่แล้ว

แน่นอน เรื่องนี้ล้วนเป็นเพียงความคิดส่วนตัวของหลินปั้นซย่าซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เขากลับเข้าไปในบาร์ และเห็นหลี่เย่ยังคงดื่มเหล้าอย่างแช่มช้า ทว่าเซอร์เก้กลับหัวทิ่มไปแล้ว ชายหนุ่มฟุบหมอบอยู่บนโต๊ะ ปากพึมพำคำพูดเป็นจังหวะเดิม หลินปั้นซย่าฟังภาษารัสเซียไม่ออกเลยส่งสายตาฉงนไปให้เขา

“อิริน่า” หลี่เย่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปาก “เขากำลังเรียกชื่อของอิริน่า”

หลินปั้นซย่าหลุดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสลดใจและปวดใจเล็กน้อย

พวกเขาดื่มต่ออีกครู่หนึ่ง หมดไปอีกราวๆ หนึ่งขวดกว่า หลินปั้นซย่าก็ไม่ไหวแล้ว สมองหนักอึ้งเลือนราง ตัวอ่อนเปลี้ยฟุบอยู่บนโต๊ะ

“ยังดื่มอีกมั้ย” หลี่เย่ถามเขา

หลินปั้นซย่าส่ายหน้าเป็นการบอกว่าตนไม่ไหวแล้ว เขาขมวดคิ้ว ใช้สติสุดท้ายที่มีเอ่ยไปประโยคหนึ่ง “คุณโกรธหลี่ซูอยู่เหรอ”

หลี่เย่มองหลินปั้นซย่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์โดยไม่ได้ตอบคำใด

“คุณไม่ควรโกรธนะ” หลินปั้นซย่ากล่าว “เขาเสียใจมากเลย”

ความเงียบงันอันเนิ่นนาน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของหลี่เย่คู่นั้นดุจดั่งอำพันใสแจ๋วและเย็นยะเยือก ไร้ซึ่งอารมณ์ใดปะปน เขาจ้องหลินปั้นซย่าเขม็งเงียบๆ คล้ายอยากอ่านอะไรจากสีหน้าอีกฝ่าย หลินปั้นซย่ามองสู้สายตาเขาไม่ถอย สุดท้ายก็เป็นหลี่เย่ที่ละสายตาออกไปก่อน เขายกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาพลางเอ่ย “ไปเถอะ ซ่งชิงหลัวน่าจะกลับมาแล้ว”

หลินปั้นซย่าขานรับ

เซอร์เก้ฟุบหลับไปโดยสมบูรณ์ หลี่เย่พยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็โบกแท็กซี่ข้างทางกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์ หลินปั้นซย่าเดินเข้าไปก็เห็นซ่งชิงหลัวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ซ่งชิงหลัวเปลี่ยนชุดแล้วนั่งอยู่บนโซฟาเงียบๆ ไม่ได้ทำอะไรเหมือนกำลังเหม่อลอยอยู่

“พวกเรากลับมาแล้ว” หลินปั้นซย่าตะโกน “คุณไปทำอะไรมาเหรอ”

“ไปดื่มกันมาเหรอ” ซ่งชิงหลัวเอ่ย ไม่ต้องตอบก็รู้เพราะบนตัวแต่ละคนต่างก็ส่งกลิ่นเหล้าหึ่ง เซอร์เก้ถูกหลี่เย่ประคองไว้แล้วยังโหวกเหวกโวยวายด้วย

“ใช่แล้ว แค่รอบแรกน่า รอบแรก พักแป๊บ คืนนี้พวกเราค่อยออกไปดื่มอีก” หลี่ซูยิ้มตาหยีเอ่ย “เป็นไง ปิดผนึกไอ้นั่นได้หรือเปล่า”

ซ่งชิงหลัวส่ายหน้า

บรรยากาศภายในห้องเงียบลงทันควัน ใบหน้าหลี่ซูเปลี่ยนสีเล็กน้อย “งั้นทำยังไงดีล่ะ ถ้าต้องเอามันไปปลดปล่อยความเค้น…กลัวว่า…”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “พวกเขากำลังทำการคัดเลือกสถานที่ปลดปล่อยความเค้น”

ก่อนหน้านี้ซ่งชิงหลัวเคยอธิบายความหมายโดยรวมของการปลดปล่อยความเค้นไปแล้ว ถ้าให้ใช้ภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่ายอธิบายอีกรอบก็คือคุณต้องเอาหินใส่ไว้ในกล่องไม้ แต่เพราะหินถูกไฟเผาจนร้อนมาก ดังนั้นคุณจึงต้องหาสถานที่หรือใช้วิธีอะไรมาทำให้หินเย็นลงก่อน ถึงจะบรรจุหินใส่กล่องไม้ได้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นอาจจะตามมาด้วยผลลัพธ์ร้ายแรงอย่างอื่น

หลี่ซูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “พิจารณาผลที่จะตามมาถ้าปลดปล่อยไม่สำเร็จหรือยัง”

“กำลังคำนวณ” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “หลังจากนี้ถึงจะมีข้อมูลที่แน่นอนออกมาแต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว”

“ทำไมถึงไม่เกี่ยวล่ะ” หลินปั้นซย่ายังไม่คลายความสงสัย “มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องปิดผนึกเหรอ”

“ทุกประเทศจะมีหน่วยงานของตัวเอง” หลี่ซูกล่าว “นี่เป็นแค่การร่วมงานกันครั้งหนึ่งเท่านั้น…ในเมื่อตอนนี้พวกเขามารับช่วงต่อแล้ว สถานการณ์เป็นยังไงมีแค่ในหน่วยงานของพวกเขาเท่านั้นที่รู้”

หลินปั้นซย่าพูดว่า “อย่างนี้ก็ได้ด้วย?”

หลี่ซูแบมือ “ก็เป็นอย่างนี้แหละ ช่างเถอะ เลิกคิดแล้วไปพักผ่อนรอดื่มรอบดึกกันดีกว่า” เขาฮัมเพลง สุ่มเลือกห้องแล้วเข้านอน

หลี่เย่หาที่พักให้เซอร์เก้เรียบร้อยแล้วก็ไปพักผ่อนเช่นกัน ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงหลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัว

ซ่งชิงหลัวช้อนตาขึ้นมองหลินปั้นซย่า เสียงยังคงเบาดุจขนนกเช่นเคยขณะถามว่า “ไม่ไปพักผ่อนเหรอ”

“คือว่า…ก่อนหน้านี้คนเยอะเลยไม่มีจังหวะถาม” หลินปั้นซย่าพูดขึ้นอย่างลังเล “หน้าอกคุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”

ซ่งชิงหลัวตอบ “ไม่เป็นไร”

หลินปั้นซย่าเพียงเม้มปาก ยังไม่ขยับไปไหน

ซ่งชิงหลัวเข้าใจความหมายของเขาแล้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณ…อยากเห็นเหรอ”

หลินปั้นซย่าจึงถามว่า “ได้หรือเปล่าครับ”

ซ่งชิงหลัวพยักหน้า จากนั้นจึงถอดเสื้อโค้ตออกแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตนเอง เผยให้เห็นหน้าอกและช่วงเอว บนหน้าท้องมีแผลเหวอะหวะที่เริ่มจับตัวเป็นสะเก็ดแล้ว ดูเหมือนจะเจ็บมากๆ ทีเดียว ถึงจะเย็บแผลแล้วแต่กลับไม่ได้พันแผลไว้ ปล่อยให้แผลเปิดเปลือยทั้งอย่างนั้น หลินปั้นซย่าสูดลมหายใจเย็นๆ เขาขยับเข้าไป ใช้ปลายนิ้วแตะโดยรอบบาดแผลเบาๆ ถึงแม้ซ่งชิงหลัวจะไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใด แต่หลินปั้นซย่าก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของซ่งชิงหลัวกำลังเกร็งเล็กน้อย คิดแล้วก็คงเจ็บมาก

“เจ็บมั้ยครับ” หลินปั้นซย่าปวดใจเล็กน้อย “ทำไมไม่ปิดแผลล่ะ แบบนี้สวมเสื้อผ้าแล้วจะไปโดนแผลหรือเปล่า”

“ไม่เท่าไหร่” ซ่งชิงหลัวหลุบตาลง “จักจี้นิดหน่อยน่ะ”

หลินปั้นซย่าเงยหน้าขึ้น คิ้วลู่ลงอย่างกับเด็กน้อยน่าสงสารที่ทำอะไรไม่ถูก “จะดีขึ้นหรือเปล่า อีกนานมั้ยกว่าจะหายสนิท”

ซ่งชิงหลัวมองหน้าเขา ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากขยี้เรือนผมสีน้ำตาลที่ดูนุ่มนิ่มมากๆ ของหลินปั้นซย่าอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำตามที่ใจต้องการ ปล่อยให้เส้นผมสีน้ำตาลของหลินปั้นซย่าไล้ผ่านหว่างนิ้วของตนไปอย่างอ้อยอิ่ง มันให้ความรู้สึกจักจี้เล็กน้อย และแม้แต่ก้นบึ้งหัวใจก็สั่นระรัว ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ ไม่ได้ผิดจากวิสัยปกติ “มันจะดีขึ้น ประมาณเดือนสองเดือน ไม่ต้องกังวลหรอก”

หลินปั้นซย่าไม่รู้สึกตัวเลยว่าการกระทำของซ่งชิงหลัวมีตรงไหนผิดแปลกไป ที่จริงเขาคิดว่ามีคนจัดผมให้ก็สบายดีเหมือนกัน ก็คงเหมือนกับที่หนูแฮมสเตอร์ชอบให้ลูบขน เขาเอียงศีรษะที่สติเลอะเลือนเพราะถูกแอลกอฮอล์มอมเมาพลางเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้างั้นก็เยี่ยมจริงๆ”

“ง่วงหรือยัง ไปนอนเถอะ” ซ่งชิงหลัวได้กลิ่นเหล้าฉุนจัดจากตัวเขา

เมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนดีๆ พอลงรถมาก็ถูกหลี่ซูลากไปดื่มสุราเสียเมามาย ตอนนี้หลินปั้นซย่าง่วงแล้วจริงๆ หัวสมองเขาเชื่องช้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินซ่งชิงหลัวบอกว่าจะดีขึ้น สภาพจิตใจก็แจ่มใสขึ้นมาไม่น้อย เขายิ้มตาหยีงอเข่าย่อตัวลงกับพื้น ช่วยอีกฝ่ายกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดๆ แล้วตบไหล่ซ่งชิงหลัวปุๆ “ลำบากสหายแล้ว”

ซ่งชิงหลัว “…”

“ผมไปนอนแล้ว คืนนี้เจอกันครับ” หลินปั้นซย่าลุกขึ้นยืน หาวยาวเหยียดพลางเดินเข้าห้องนอนไป จากนั้นก็จมสู่นิทราไปแทบจะทันทีที่หัวแตะหมอน

ครั้งนี้เขาหลับสนิทมาก นอนจนตื่นก็ไม่ได้ฝันเลยสักครั้ง เมื่อตื่นมาก็สดชื่นแจ่มใส ไม่นึกว่าจะไม่มีอาการปวดหัวเพราะเมาค้างเหมือนปกติ หลินปั้นซย่าลุกขึ้น ตั้งใจจะไปหาน้ำดื่มสักหน่อย แล้วก็เห็นว่าคนอื่นๆ ตื่นกันหมดแล้ว ทั้งหมดต่างก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกำลังชมละครของรัสเซีย ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฟังออกบ้างหรือเปล่า

หลี่ซูเห็นเขาตื่นแล้วจึงรีบเอ่ย “ปั้นซย่า ในที่สุดคุณก็ตื่น พวกเราออกไปหาอะไรกินกันมั้ย”

หลินปั้นซย่าตอบว่า “เอาสิ ไปตอนนี้เลยเหรอ”

“ไปๆๆ” หลี่ซูกล่าว “อุตส่าห์มาถึงรัสเซียก็ต้องลองสเต๊กเนื้อและอาหารทะเลบ้าง ผมหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว รีบมาเร็ว”

ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเขาเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจึงออกไปข้างนอก

หลังจากท้องฟ้ามืดลงบนท้องถนนก็เงียบเหงาไม่น้อย แต่ในบาร์ก็ยังครึกครื้นอยู่ดี เซอร์เก้เหมือนจะรู้จักแถวนี้ดี เขาบอกว่าสเต๊กเนื้อร้านนี้อร่อยมาก พวกเขาจึงเดินเรียงแถวตามเขาไป

หลินปั้นซย่านึกว่าพวกเขามากินอาหารอย่างเดียว แต่ทันทีที่นั่งลงหลี่ซูก็สั่งวอดก้ามาอีกรอบ หลินปั้นซย่ากำลังคิดอยู่เลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดื่มอีกได้ ตอนนั้นเองถึงพบว่าหลี่เย่ไม่ได้มาด้วย คงเพราะหลี่เย่เป็นคนพูดน้อย เขาถึงเพิ่งมารู้สึกตัวว่าตอนนี้ในหมู่พวกเขาหายไปคนหนึ่ง

“หลี่เย่ไปไหนเหรอ” หลินปั้นซย่าถาม

“จะไปสนเขาทำไมนัก” หลี่ซูไม่แยแสเลยสักนิด

หลินปั้นซย่ามองซ่งชิงหลัวแล้วเอ่ย “คุณไม่เกลี้ยกล่อมเขาหน่อยเหรอ”

สีหน้าของซ่งชิงหลัวเรียบเฉยเช่นเดียวกับน้ำเสียงที่กล่าวว่า “ให้เขาดื่มไปเถอะ”

หลินปั้นซย่าพูดไม่ออก

หลี่ซูหัวเราะคิกคัก นำแก้วที่มีวอดก้าอยู่ครึ่งค่อนแก้วเติมน้ำเย็นเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง แล้วก็กรอกเข้าปากแบบนี้ไปสามแก้วติดกัน พอดื่มไปสามแก้วใบหน้าหลี่ซูก็ขึ้นสีแดงก่ำผิดปกติ เขาบอกว่าตนหิวแล้วแต่กลับกินอาหารอย่างขอไปทีแค่ไม่กี่คำ จากนั้นก็เริ่มยกเหล้าดื่มต่ออีกครั้ง เซอร์เก้ที่ชอบดื่มและหลี่ซูถูกชะตากันด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ไม่นานทั้งสองก็สนิทกันจนนับพี่น้องแล้ว พวกเขาโอบไหล่กัน คุณหนึ่งแก้วฉันหนึ่งแก้ว ทำเอาหลินปั้นซย่าเบิกตาโตอ้าปากค้าง

เห็นได้ชัดว่าซ่งชิงหลัวชินชากับนิสัยแบบนี้ของหลี่ซูมานานแล้ว เขาเพียงแค่ยกมีดและส้อมนั่งหั่นสเต๊กด้วยท่าทางสง่างามอยู่ข้างๆ เหมือนไม่สนใจจะดื่มเหล้าเลย

“เขามันพวกขี้เมา” ซ่งชิงหลัวเห็นหลินปั้นซย่าทำหน้างงเลยอธิบายอย่างเฉยเมย “ก่อนหลี่เย่บรรลุนิติภาวะก็เป็นแบบนี้ตลอด”

“แล้วหลังจากหลี่เย่บรรลุนิติภาวะล่ะ” หลินปั้นซย่าเอ่ย “จู่ๆ เขาก็สำนึกได้เองเหรอ”

“ไม่” ซ่งชิงหลัวเอ่ยอย่างไร้ความปรานี “เขาสู้หลี่เย่ไม่ได้ ถ้าดื่มก็โดนต่อย พอโดนหลายรอบเข้าก็ยอมแพ้ไป”

หลินปั้นซย่า “…”

นี่ต่างจากพล็อตแห่งความสุขสันต์ที่เขาจินตนาการไว้มาก ทำไมถึงรู้สึกว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายความโหดร้ายของโลกแห่งความเป็นจริงกันนะ

บาร์ในตอนกลางคืนครึกครื้นขึ้นมาก ภายใต้แสงไฟสลัวผู้คนดื่มกันเต็มที่ถึงอกถึงใจ สเต๊กเนื้อที่เซอร์เก้สั่งมานั้นชิ้นใหญ่เกินไปจริงๆ หลินปั้นซย่าฝืนยัดลงท้องจนรู้สึกว่าอาหารจุกจะถึงคอแล้ว แม้แต่น้ำลายยังไม่กล้ากลืน

ส่วนซ่งชิงหลัวชำนาญการเป็นอย่างดี หลังกินสเต๊กเสร็จก็เริ่มยกดื่ม

หลินปั้นซย่าเอ่ย “แผลที่หน้าอกคุณจะไม่เป็นไรเหรอ”

“ไม่เป็นไร” ซ่งชิงหลัวส่งให้เขาหนึ่งแก้ว “ไม่เอาอีกสักแก้ว?”

หลินปั้นซย่าส่ายหน้า “ไม่ไหว อีกนิดจะอ้วกแล้ว…”

ซ่งชิงหลัวเผยรอยยิ้มอย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน

กลิ่นเหล้าอบอวลอยู่ในอากาศแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกรังเกียจ ตรงกันข้าม มันกลับทำให้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่มีอยู่จริง ขวดเหล้าเปล่าถูกวางทีละนิดๆ จนเต็มโต๊ะ ความกระจ่างใสในดวงตาของหลี่ซูค่อยๆ จางหายไป เสียงที่พูดคุยกับเซอร์เก้ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ซ่งชิงหลัวไม่ได้สนใจพวกเขา นั่งคุยนั่งกินอยู่ข้างๆ หลินปั้นซย่า ไม่นึกว่าจะดูเข้ากันอย่างยิ่ง

หลี่เย่ไม่อยู่ ในที่สุดหลินปั้นซย่าก็ประจักษ์ถึงความคอแข็งเกินจริงของหลี่ซู พวกเขาดื่มตั้งแต่สามทุ่มยันตีสาม จนกระทั่งบาร์ปิดถึงพากันเดินซวนเซกลับไป ระหว่างทางหลินปั้นซย่าเห็นพวกขี้เหล้ามากมายล้มฟุบอยู่ข้างถนน ดูเหมือนที่นี่การดื่มจนเมาหัวราน้ำจะเป็นเรื่องปกติ

หลินปั้นซย่าเดินรั้งท้ายอยู่กับซ่งชิงหลัว มองหลี่ซูและเซอร์เก้ที่เดินโซซัดโซเซอยู่ด้านหน้า ทว่าตอนที่พวกเขาเดินผ่านกลุ่มวัยรุ่นที่เหม็นหึ่งไปด้วยกลิ่นเหล้ากลุ่มหนึ่ง เซอร์เก้เหมือนจะไปชนกับหนึ่งในนั้นเข้า

ถ้าหากไม่เมา เดาว่ากรณีแย่ที่สุดคงแค่จ้องหน้ากันตาเขียว แต่กับคนที่ดื่มจนเมามายแล้วก็เหมือนเป็นการจุดชนวนระเบิดโดยแท้

หลินปั้นซย่าเดินอยู่ด้านหลัง ยังไม่ทันไหวตัวก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเริ่มชกต่อยกัน

“ต่อยกันแล้ว!!” ทันทีที่หลินปั้นซย่าร้องจบก็เห็นซ่งชิงหลัวค่อยๆ เลิกแขนเสื้อขึ้น

หลินปั้นซย่าตะลึงตาค้าง

ซ่งชิงหลัวเหลือบมองเขา “คุณจะไปมั้ย”

หลินปั้นซย่าตอบว่า “ไป…ก็ได้…”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าร่วมวงด้วย

เด็กวัยรุ่นหกเจ็ดคนไม่ใช่คู่ต่อกรของพวกเขาเลย เซอร์เก้และหลี่ซูโดนต่อยบ้างสวนกลับไปบ้าง จนเมื่อซ่งชิงหลัวและหลินปั้นซย่าเข้าร่วมสงคราม พวกเขาก็เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า หลินปั้นซย่าไม่ใช่แค่ออกนอกประเทศครั้งแรก แต่ยังต่อยกับคนต่างชาติเป็นครั้งแรกด้วย เขาจึงรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย ด้านหลี่ซูนั้นแลกหมัดหนึ่งต่อหนึ่งกับเด็กวัยรุ่น ท่าทางโหดเหี้ยมร้ายกาจนั่นขัดกับใบหน้างดงามแสนประณีตของชายหนุ่มอย่างชัดเจน ส่วนซ่งชิงหลัวยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง จริงๆ แล้วคนคนนี้ไม่ได้กำลังต่อยคน แต่กำลังป้องกันไม่ให้หลี่ซูโดนคนต่อย พอสงครามจบลง หลี่ซูและเซอร์เก้ก็ชนะใสๆ พากันทิ้งตัวลงนอนบนพื้น

เมื่อทั้งสี่หยุดมือก็หันมองตากันแล้วหัวเราะร่าออกมา หลี่ซูกำลังสนุกสนานอยู่ก็ได้ยินเสียงตวาดลั่นดังมาจากหัวมุมถนน พวกเขาหันหน้าไปมอง นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นตำรวจในชุดเครื่องแบบ ด้วยเหตุนี้จึงขยับกายวิ่งแจ้นทันที

ทั้งสี่วิ่งกลับที่พักไปตลอดทางโดยไม่กล้าหยุดพัก หลี่ซูตบบ่าหลินปั้นซย่า กล่าวว่านี่แหละค่ำคืนของรัสเซียของแท้

หลินปั้นซย่ากระซิบ “ของแท้จริงๆ อยู่ด้านหลังคุณต่างหาก”

หลี่ซู “หา?”

แล้วเสียงเย็นเยียบของหลี่เย่ก็ดังขึ้น “คุณดื่มมาเหรอ”

รอยยิ้มสดใสของหลี่ซูแข็งทื่อในชั่วพริบตา เขาหันหน้าไปอย่างแข็งกระด้างและได้เห็นหลี่เย่ที่กำลังหรี่ตามองมาสีหน้าดูไม่ดี เขาชูนิ้วโป้งและนิ้วชี้เกือบชิดกัน “แค่แก้วเล็กๆ จี๊ดเดียว”

หลี่เย่ถามว่า “เท่าไหร่”

หลี่ซูตอบกลับ “สามแก้ว”

“เท่าไหร่”

“…สามขวด”

หลี่เย่ไม่เอ่ยคำใด เอื้อมมือหิ้วหลี่ซูขึ้นเหมือนหิ้วกระสอบข้าวแล้วพาตัวไปทั้งอย่างนั้น เซอร์เก้มองรอบทิศอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขณะที่ซ่งชิงหลัวเอ่ยกับหลินปั้นซย่าสองสามประโยคด้วยความใจเย็นสุดๆ “ไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเราไปนอนกันเถอะ”

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงพากันเข้านอนอย่างสบายใจ…ส่วนหลี่ซูจะเป็นอย่างไรนั้น หลี่เย่ก็คงไม่ทำเขาถึงตายหรอกมั้ง หลินปั้นซย่าคิดเช่นนี้ จะอยู่จะตายหรือจะร่ำรวยก็อยู่ที่ฟ้าลิขิต หวังว่าตอนที่เขาจะเอาเช็คไปขึ้นเงิน หลี่ซูจะยังมีชีวิตอยู่นะ

หลินปั้นซย่าหลับปุ๋ยไปอย่างสุขใจ ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าหลี่ซูกลับมาแล้ว กำลังนั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าเหมือนวิญญาณหลุด หลี่เย่นั่งอยู่ข้างๆ คุยโทรศัพท์ด้วยภาษารัสเซีย ฟังดูแล้วเหมือนกำลังถกเถียงกับใครอยู่

“อรุณสวัสดิ์” หลินปั้นซย่าทักทาย

“อรุณสวัสดิ์” หลี่ซูเปิดเปลือกตาขึ้น

“เดินทางกลับเช้าวันมะรืน” ซ่งชิงหลัวออกมาพอดี เมื่อเห็นหลินปั้นซย่าจึงเอ่ย “มีอะไรที่อยากซื้อวันนี้ก็ไปซื้อได้”

หลินปั้นซย่าเอ่ยด้วยความจริงใจ “ไม่มีเงิน ซื้อไม่ไหวหรอกครับ”

ซ่งชิงหลัวเลยบอกเขาว่า “ค่าตอบแทนน่าจะเข้าบัญชีในอีกสองวัน ผมให้ยืมก่อนเอามั้ย”

“คุณมีเงินให้ผมยืมเหรอ” หลินปั้นซย่าแปลกใจ

ซ่งชิงหลัวบอกกล่าวอย่างใจเย็น “ตอนนี้มี อีกสองวันก็ไม่แน่”

“เงินคุณไปไหนล่ะ” หลินปั้นซย่าคิดว่าเรื่องนี้หาคำตอบไม่ได้ยิ่งกว่าวัตถุนอกรีตพวกนั้นเสียอีก กล่าวตามหลักซ่งชิงหลัวทำงานอันตรายขนาดนี้มาหลายปี ให้ตายยังไงค่าตัวก็ควรจะหลักสิบล้าน แต่ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตอัตคัดขัดสนขนาดนั้น เรื่องนี้ทำให้หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจเอาเสียเลย

ใครจะรู้ว่าเมื่อหลินปั้นซย่าถามออกไป หลี่ซูก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ จนกระทั่งถูกสายตาเรียบเฉยจ้องเขม็งเขาถึงสงบปากอย่างฝืนใจ ทำท่ารูดซิปปากไปทีหนึ่ง

“ซื้อของแล้ว” ซ่งชิงหลัวให้คำตอบที่ไม่นับว่าเป็นคำตอบไป

“ซื้อของ? ซื้ออะไรเหรอ” หลินปั้นซย่าฉงนยิ่งกว่าเดิม “ซื้ออะไรถึงได้แพงขนาดนั้น ก็ไม่เห็นว่าคุณจะมีบ้านเลย”

หลี่ซูกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ทำสีหน้าอดรนทนไม่ไหวอยากจะฝอยเรื่องราวเดี๋ยวนี้เลย

ซ่งชิงหลัวมองเขาด้วยสายตาอึมครึม ไม่ได้ตอบคำถามหลินปั้นซย่าแต่กลับเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ไม่ใช่สามขวด แต่เป็นสิบสามขวด”

หลี่เย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ปรายตามองหลี่ซู เลือดฝาดบนใบหน้าหลี่ซูจางหายกลายเป็นสีขาวซีดในทันใดอย่างกับอุปรากรเปลี่ยนหน้ากากเสฉวน* อย่างไรอย่างนั้น เขาหัวเราะแห้ง ชี้แจงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “เมื่อวานฉันไม่ได้ดื่มไปสิบสามขวดจริงๆ นะ ซ่งชิงหลัวล้อเล่นน่ะ ใครๆ ก็รู้ว่าเขาชอบพูดล้อเล่นที่สุดเลย”

ซ่งชิงหลัวส่งเสียง “เหอะ”

หลี่ซูกัดฟันกรอดกลืนความรู้สึกบางอย่างลงท้องไป คิดในใจว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน อยู่ร่วมกันไม่ได* หลินปั้นซย่าก็ดี ซ่งชิงหลัวก็ช่าง พวกนี้ล้วนเป็นไอ้สารเลวเจ้าคิดเจ้าแค้น

สุดท้ายแล้วหลินปั้นซย่าก็ไม่รู้ว่าซ่งชิงหลัวใช้เงินซื้ออะไรไปบ้างอยู่ดี

 

สามวันถัดมา ในที่สุดเวลาที่ต้องแยกจากก็มาถึง เซอร์เก้มาส่งพวกเขาด้วยตัวเองถึงหน้าทางเข้าด่านตรวจความปลอดภัยในสนามบิน ผู้ชายสูงร้อยแปดสิบกว่าร่างกายล่ำบึ้กยิ่งกว่าหมีกอดหลินปั้นซย่าร้องไห้เหมือนสาวเจ้าน้ำตา หลินปั้นซย่าเกร็งไปทั้งร่าง แบกรับสายตาแปลกๆ จากคนโดยรอบ คำว่าอ่อนแอไร้ที่พึ่งเขียนไว้ทั่วทั้งตัวเขาประหนึ่งต้นไม้น้อยที่โดนหมีควายโอบกอดคลอเคลียโดยแท้ ที่แย่ที่สุดคือเขาดิ้นไม่หลุดเลย หลี่ซูและหลี่เย่ต่างก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาช่วยเขาแต่อย่างใด เพียงยืนมองด้วยความสนุกสนานอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็เป็นซ่งชิงหลัวที่ทนไม่ไหว ยื่นมือไปจับคอเสื้อเซอร์เก้ หิ้วชายหนุ่มที่หนักกว่าหนึ่งร้อยชั่งขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งความนุ่มนวล จากนั้นก็บอกอีกฝ่ายให้หลีกไปอย่างไม่ปรานีด้วยภาษาอังกฤษถึงจะช่วยหลินปั้นซย่าที่ถูกรัดจนเกือบจะขาดอากาศหายใจได้

เซอร์เก้ที่ถูกขับไสไล่ส่งอย่างน่าสงสารร้องห่มร้องไห้ต่อ กระเง้ากระงอดเหมือนกับเด็กน้อยสองร้อยจิน* หลินปั้นซย่ามองเสื้อชื้นแฉะที่เปียกน้ำตาของเขาก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่ให้หลี่ซูบอกเขาว่ายินดีต้อนรับเซอร์เก้มาเที่ยวที่จีนเสมอ แต่กรุณาหยุดร้องไห้ได้แล้ว…หลี่ซูพูดกับเขาไปชุดหนึ่ง ใครจะรู้ว่าเซอร์เก้กลับร้องไห้เศร้าสลดกว่าเดิม แล้วยังหันมองหลินปั้นซย่าแทบจะทุกเวลา ทำเอาหลินปั้นซย่าหนังศีรษะชาหนึบ สองขาสั่นไหวอยากสาวเท้าหนีไปโดยเร็ว

เมื่อเห็นเซอร์เก้ตั้งท่าจะเข้ามากอดแน่นเป็นหมีรอบที่สอง หลินปั้นซย่าที่ปรารถนาจะหาทางเอาตัวรอดอย่างแรงกล้าจึงรีบสาวเท้าพุ่งเข้าด่านตรวจไป ยืนโบกมือให้เขาอยู่ไกลๆ ในที่ปลอดภัย หลี่ซูหัวเราะหน้าทิ่มพื้นมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นอยู่ข้างๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ขึ้นเครื่องบิน จังหวะนี้เองที่หลี่ซูสบโอกาสตอนที่ซ่งชิงหลัวไปเข้าห้องน้ำกระซิบกระซาบบอกสาเหตุว่าทำไมซ่งชิงหลัวถึงเงินขาดมืออย่างนี้

หลี่ซูกล่าวว่าซ่งชิงหลัวคลั่งไคล้โบราณวัตถุ ชอบไปช็อปปิ้งที่ตลาดโบราณวัตถุบ่อยๆ แล้วสถานที่อย่างตลาดโบราณวัตถุนี้ต้องอาศัยความตาแหลมมากๆ แต่ซ่งชิงหลัวกลับไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เคสหนึ่งที่เอามาเล่าได้ออกรสที่สุดคือซ่งชิงหลัวใช้ทุนก้อนหนาซื้อหยกห้อยแสนงดงามมาหนึ่งอัน หยกก้อนนั้นใสแวววาวเป็นประกาย เป็นรูปแอปเปิ้ลที่แหว่งไปเสี้ยวหนึ่ง ผู้ขายกล่าวว่านั่นเป็นของดีจากยุคราชวงศ์หมิง ราคาคุยกันได้แต่ก็ให้ราคาต่ำได้ไม่เท่าไหร่หรอก ซ่งชิงหลัวลงมือจ่ายอย่างฉับไว แล้วก็คว้าสิ่งที่จิตใจตนเลื่อมใสมาอยู่ในกำมือได้สำเร็จ

เดิมเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีอะไร จนกระทั่งเดือนที่สอง เขาเอาเงินเดือนตัวเองไปแลกไอโฟนรุ่นใหม่ หลังจากมองดูโลโก้หลังโทรศัพท์ของตัวเองแล้วมองหยกก้อนนั้นอีกครั้งก็พลันตระหนักอะไรบางอย่างได้ แต่รู้ตัวตอนนี้ก็สายเกินไปเพราะคนขายหอบของหนีไปตั้งนานแล้ว

“จากนั้นล่ะ?” หลินปั้นซย่ารู้สึกเหมือนตนกำลังฟังเรื่องใส่สีตีไข่อยู่ แต่เพราะมันดูเหลวไหลเกินไปเลยกลายเป็นว่าดูค่อนข้างสมจริงอยู่หลายส่วน

“จากนั้น? จากนั้นเขาก็แจ้งตำรวจ มูลค่าเงินที่เกี่ยวข้องกับคดีสูงมากจึงตามกลับมาได้สำเร็จ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องดีๆ ที่ถูกเล่าต่อกันในแวดวงคนรู้จักของเขาพักหนึ่งเลย ใครๆ ก็รู้กันทั่วว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งซื้อแอปเปิ้ลยุคราชวงศ์หมิงลูกหนึ่งด้วยเงินหลายแสน ทุกคนต่างก็บอกว่าอยากรู้จักเศรษฐีท่านนี้ ยังมีโบราณวัตถุอีกมากมายที่อยากให้ท่านได้เชยชม…” หลี่ซูเล่าถึงตรงนี้ก็หัวเราะร่าขึ้นมาอีกครั้งจนน้ำตาไหล “ตอนแรกเรื่องนี้จะถูกเอาไปลงข่าวสังคมด้วย แต่สุดท้ายเบื้องบนก็ขวางไว้ได้เพราะกลัวว่าจะไปกระทบจิตใจเขา ตำรวจเขตนั้นก็นับว่ารู้จักเขาหมด…นี่เป็นเรื่องที่มีผลกระทบกว้างมาก แล้วก็ยังมีเรื่องอื่นอีกมากเอามาเล่าได้ไม่หวาดไม่ไหวทีเดียว พวกโบราณวัตถุน่ะนะ มันก็มีกฎของมัน ตอนซื้อของถ้าคุณตาถั่วก็ต้องยอมรับว่าตัวเองดวงซวย นอกเสียจากว่าโดนต้มตุ๋นชัดเจนเกินไปถึงจะทำให้คนซื้ออับอายจนโกรธเกรี้ยวตรงปรี่ไปแจ้งความได้”

หลินปั้นซย่าอยากหัวเราะ แต่ก็รู้สึกว่าถ้าหัวเราะออกมาจะดูโหดร้ายกับซ่งชิงหลัวเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงกลั้นเอาไว้แล้วกล่าวว่า “งั้นทำไมเขาถึงต้องซื้อโบราณวัตถุมากมายขนาดนั้นด้วยล่ะ”

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นงานอดิเรกส่วนตัวล่ะมั้ง” หลี่ซูส่ายหัว “เรื่องงานอดิเรกส่วนตัวแบบนี้ใครก็ห้ามไม่ได้ แต่ก็เพราะเจ้าสิ่งนี้ สภาพการเงินของเขาเลยไม่ค่อยดีนัก…”

หลินปั้นซย่าเข้าใจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าปริศนาที่กวนใจเขามาเนิ่นนานในที่สุดก็ถูกไขแล้ว แต่เวลาเดียวกับที่ปริศนาถูกแก้ก็เกิดความฉงนสงสัยใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง…ซ่งชิงหลัวซื้อโบราณวัตถุไปทำไมมากมาย หรือว่าเป็นแค่งานอดิเรก? แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเห็นแก่งานอดิเรกจนถึงขั้นไม่มีอันจะกินเลยนี่

แน่นอน เรื่องนี้ก็อยู่แค่ในสมองของหลินปั้นซย่าเช่นกัน เขาไม่กล้าถามออกไปเพราะอย่างไรเสีย เมื่อเห็นการตอบสนองของซ่งชิงหลัวตอนนั้นแล้ว หากถามไปก็เกรงว่าเจ้าตัวจะโกรธเกรี้ยวด้วยความอับอายเอาได้

ผ่านไปครู่หนึ่งซ่งชิงหลัวก็กลับมา หลี่ซูกลับมาทำสีหน้าปกติ พูดคุยกับหลินปั้นซย่าเรื่องค่าตอบแทนของภารกิจด้วยหน้าตาจริงจัง หลินปั้นซย่านึกว่าจะได้แสนกว่าหยวนเหมือนครั้งที่แล้ว ใครจะรู้ว่าหลี่ซูกลับส่ายนิ้วชี้ ยิ้มตาหยีแล้วเอ่ย “แสนกว่าจริงๆ แต่ไม่ใช่เงินหยวน…เป็นเงินดอลลาร์”

หลินปั้นซย่าผงะ รีบคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนทันที

อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้ราวๆ 6.9 หยวน แสนกว่าดอลลาร์ก็…เกือบล้านหยวน?

“จริงเหรอครับ” หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างเซอร์ไพรส์ “งั้นผมก็ย้ายออกจากที่นั่นได้แล้วงั้นเหรอ”

เขาเอ่ยคำนี้จบก็หัวเราะกับตัวเอง “ล้อเล่นน่า บ้านแพงขนาดนี้จะทำใจทิ้งลงได้ยังไง แล้วมันก็ไม่น่าขายออกด้วย…”

หลี่ซูถาม “มีเงินแล้วอยากเอาไปทำอะไรเหรอ”

หลินปั้นซย่าขบคิดครู่หนึ่ง “อาจจะหาเวลากลับบ้านสักรอบล่ะมั้งครับ”

“ใช่แล้ว ต้องกลับบ้าน” หลี่ซูกล่าว “นี่สิถึงเรียกว่าแต่งชุดผ้าไหมกลับบ้านเกิด*

หลินปั้นซย่าได้ยินก็หัวเราะ ไม่ได้ต่อบทสนทนาใดอีก ผ่านไปหลายชั่วโมงหลินปั้นซย่าก็แลนดิ้งที่ประเทศจีนสำเร็จ ครั้งนี้เขาเอาของฝากกลับมาให้จี้เล่อสุ่ยไม่น้อยเลย เดิมเขาอยากเอาไส้กรอกเนื้อกลับมาด้วย น่าเสียดายที่หลี่ซูบอกว่ามันผ่านด่านตรวจไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ช่างมันไปแล้วเอาของหวานพวกช็อกโกแลตสอดไส้สุรากลับบ้านแทน เช่นนี้ก็นับว่าทำหน้าที่เพื่อนอย่างเต็มที่แล้ว

พวกเขาแยกย้ายกันที่สนามบิน หลี่เย่และหลี่ซูเรียกรถที่สนามบินกลับไปแล้ว ส่วนหลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวขึ้นรถเมล์…เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอะไรขนาดนี้

หลินปั้นซย่าโทรหาจี้เล่อสุ่ยด้วยความร่าเริงเพื่อบอกเขาว่าตนกลับมาแล้ว จี้เล่อสุ่ยยังทำงานอยู่จึงนัดหลินปั้นซย่าไปกินอะไรดีๆ ด้วยกันตอนเย็น จะได้ถือโอกาสพูดคุยเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวให้ฟังด้วย

หลินปั้นซย่าหัวเราะและเอ่ยตอบรับ

บนรถระหว่างเดินทางกลับ หลินปั้นซย่ารับสายหนึ่ง เขาขานรับอืมๆ อาๆ ไปสองสามคำแล้วกดวางสาย ซ่งชิงหลัวทำสีหน้าประหลาดใจพลางถามเขาว่าใครโทรมา

“ลืมแล้ว” หลินปั้นซย่างงงวยเล็กน้อย “จำ…ไม่ค่อยได้”

ซ่งชิงหลัวไม่ถามก็ไม่เท่าไหร่ ครั้นพอถามออกมา หลินปั้นซย่าก็ตระหนักได้ว่าตนคล้ายจะผิดปกติไปเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เพิ่งวางสายแท้ๆ แต่ทำอย่างไรเขาก็คิดไม่ออกว่าใครโทรมา ค้นประวัติการโทรแล้วก็เป็นเบอร์แปลกซึ่งไม่ได้บันทึกรายชื่อไว้

“อาจจะเป็นเบอร์สแปมก็ได้” หลินปั้นซย่าครุ่นคิด รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร “เรื่องแบบนี้ปกติมาก”

ซ่งชิงหลัวลังเลเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่ว “ตอนเด็กๆ คุณโตที่ไหน”

“เมือง A” หลินปั้นซย่าตอบ “เมืองเล็กๆ ในชนบท มีทุ่งนาอยู่ทั่วทุกที่ ผมลงไปจับปลาอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นจน อดอยากบ่อยครั้ง ก็หวังว่าจะจับปลาตัวเล็กๆ ได้หลายๆ ตัวไปย่างกินรองท้องอยู่หลังภูเขา จะว่าไปพอนึกถึงรสชาตินั้นแล้วก็คิดถึงนิดหน่อย…” เขาหาวหวอด แสดงความอ่อนล้าออกมาหลายส่วน “ตั้งแต่เข้ามาเรียนมหา’ลัยก็ไม่เคยกลับไปเลย”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าส่ายหน้า “ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอกครับ แค่ไม่อยากกลับไปเฉยๆ” เขารู้สึกจักจี้จมูกเล็กน้อยจึงคลึงๆ ไปสองหน “อาจจะเพราะงานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับไปล่ะมั้ง ค่อยคุยทีหลังเถอะครับ”

ซ่งชิงหลัวมองเขาด้วยสายตาลุ่มลึกและเอ่ยว่า “นอนเถอะ”

เขาไม่ได้ยืดหัวข้อสนทนานี้ให้ยาวออกไป แววตาที่มองหลินปั้นซย่าลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ฤดูร้อนใกล้มาถึงแล้ว ฤดูที่เหมาะแก่การลงไปจับปลาในแม่น้ำเวียนมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าแม่น้ำที่บ้านเกิดสายนั้นจะยังใสแจ๋วเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า หลินปั้นซย่าคิดเช่นนี้ก่อนจะผล็อยหลับไป

 

 

* ภาษาจีนเรียกว่า ‘เปี้ยนเหลี่ยน’ เป็นศิลปะการแสดงท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงของเสฉวน นักแสดงจะเปลี่ยนหน้ากากสีสันฉูดฉาดแต่ละหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ชม

* ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน อยู่ร่วมกันไม่ได้ หมายถึงคนที่อยู่ด้วยกันได้มักจะมีนิสัยและความสนใจคล้ายคลึงกัน ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะอยู่ร่วมกัน

* เด็กน้อยสองร้อยจิน เป็นคำที่ใช้แสดงถึงระดับความชัดเจน หรือเน้นถึงกริยา ความรู้สึก ตัวอย่างเช่นมีความสุขเหมือนเด็กอ้วนสองร้อยจินหมายถึงมีความสุขมากๆ

* แต่งชุดผ้าไหมกลับบ้านเกิด ในอดีตหมายถึงการได้เป็นขุนนางและได้สวมชุดเครื่องแบบขุนนางเต็มยศกลับบ้านเกิดไปเพื่อโอ้อวดญาติพี่น้อง ปัจจุบันหมายถึงการประสบความสำเร็จกลับบ้าน

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

  

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: