ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 62 ฝัน (8)
เดิมทีหลินปั้นซย่าคิดว่าตนไม่ควรจะรู้สึกเขินอายเพราะยังไงก็เป็นผู้ชายเหมือนกันอยู่แล้ว ทว่าไม่รู้ทำไมสายตาของซ่งชิงหลัวอย่างกับมีรังสีความร้อนแผ่ออกมาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทอดตกไปที่จุดไหน จุดนั้นก็รู้สึกร้อนกรุ่นขึ้นมา เขาถูกกดไหล่เอาไว้ แล้วซ่งชิงหลัวยังบอกให้เขาหันหลัง จากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลัง เขารู้สึกว่าบริเวณกระดูกก้นกบของตนเองถูกนิ้วอ่อนนุ่มกดอย่างเบามือ
“ว่าแล้วเชียว” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ทำไมถึงได้เซ่อซ่าขนาดนี้นะ”
“อะไรเหรอ”
“มีแผลนี่ไม่รู้สึกเลยเหรอ” ซ่งชิงหลัวเอื้อมไปหยิบกระจกที่วางอยู่ข้างๆ มา ก่อนหามุมที่จะสามารถเข้าไปในครรลองสายตาของเจ้าตัวได้ หลินปั้นซย่ามองผ่านกระจกก็พบว่าบนเอวตนมีรอยสีแดงดูน่ากลัวไม่น้อยอยู่เส้นหนึ่งจริงๆ แต่เขาไม่รู้สึกถึงมันเลยสักนิด
“ไม่รู้ตัวเลย” หลินปั้นซย่าเอ่ยหน้าตาเหลอหลา
“ในห้องมียาหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ต้องไปห้องพยาบาล”
หลินปั้นซย่าบอกว่า “มีแอลกอฮอล์อยู่” เขาเดินไปที่ตู้ตรงหน้า ค้นอยู่ครู่หนึ่งก็เจอแอลกอฮอล์ล้างแผลและสำลีเลยหยิบมายื่นให้ซ่งชิงหลัว
ซ่งชิงหลัวรับมาจัดการบาดแผลให้หลินปั้นซย่าอย่างละเอียดลออ แอลกอฮอล์เย็นนิดหน่อย แตะโดนแผลแล้วแสบเล็กน้อย แต่ที่หลินปั้นซย่าประหม่ายิ่งกว่าคือเขารู้สึกถึงเรียวนิ้วของซ่งชิงหลัวที่กดลงมาบนผิวเบาๆ ชวนให้รู้สึกจักจี้ชอบกล
ในที่สุดบาดแผลก็ถูกจัดการเรียบร้อย หลินปั้นซย่าคว้าเสื้อผ้าของตัวเองกลับมาโดยที่ซ่งชิงหลัวช่วยเขาถอดออกมายังไงก็ช่วยเขาสวมกลับไปอย่างนั้น ซ่งชิงหลัวหลุบตาต่ำ สีหน้าอ่อนโยน ช่วยหลินปั้นซย่ากลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จก็ยกมือขึ้นลูบหัวเขาเล็กน้อย “ระวังตัวหน่อยสิ”
หลินปั้นซย่าถามขึ้นว่า “เจียงซิ่นเสียสติไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย”
“ใครๆ ก็เสียสติได้ทั้งนั้น”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ”
ซ่งชิงหลัวเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “บางทีอาจจะรู้อะไรที่ไม่ควรรู้เข้า”
“หา?”
“ไม่มีอะไร” ซ่งชิงหลัวไม่ยอมพูดคำใดออกมาอีก
“…”
“นายพักผ่อนเถอะ” ซ่งชิงหลัวยกมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “ฉันต้องไปเรียนแล้ว”
หลินปั้นซย่าขานรับ เขามองซ่งชิงหลัวเดินจากไปแล้วก็เอนลงนอนบนเตียงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพลิกตัวไปมายังไงก็ไม่ง่วงเลย จนบัดนี้เขาก็ยังรู้สึกกลัวนิดๆ ซ่งชิงหลัวในความฝันช่างดูแปลกหน้าเหลือเกิน แปลกหน้าจนเหมือนเป็นคนที่ไม่เคยเจอมาก่อน
แล้วเขาก็พักอยู่ในหออย่างนี้หนึ่งวันเต็มๆ วันถัดมาหลินปั้นซย่าปรากฏตัวที่ห้องเรียนตามปกติ
หลี่ซูเป็นคนแรกที่เข้ามาหา ถามหลินปั้นซย่าว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินปั้นซย่าเล่าให้เขาฟังอย่างละเหี่ยใจ บอกว่าเจียงซิ่นเสียสติ อยากฆ่าเขา
หลี่ซูจิ๊ปากด้วยความแปลกใจ “หรือว่านายจะคบชู้กับฉินสวี่จริงๆ?”
หลินปั้นซย่า “…” เขาชักสงสัยแล้วว่าเวอร์ชั่นนี้จะเป็นไอ้เจ้าหลี่ซูนี่แหละที่เป็นคนเริ่มเผยแพร่ออกไป
“แค่ล้อเล่นน่า” หลี่ซูหัวเราะร่า “แต่เขาก็ตายไปแล้ว นายไม่ต้องกลัวแล้วล่ะ”
หลินปั้นซย่ากล่าว “…นั่นสินะ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่หลังจากประสบเหตุการณ์น่ากลัวเมื่อวานนี้มา ในใจหลินปั้นซย่าก็มีความคิดเพิ่มขึ้นมามากมาย เขาถึงกับสำรวจทุกคนในห้องเรียนโดยละเอียด พลันก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จนสีหน้าเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรก่อนกดความรู้สึกประหลาดนั้นกลับลงไป
มีนักเรียนเสียชีวิตแทบจะวันต่อวัน เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นที่โรงเรียนอื่นก็คงจะหยุดการเรียนการสอนไปแล้ว แต่โรงเรียนของพวกเขาเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย คาบเรียนทุกคาบยังคงดำเนินตามปกติ หลินปั้นซย่ากลายเป็นประเด็นร้อนของคนทั้งชั้น เพื่อนร่วมชั้นไม่น้อยเข้าหาเขา หมายจะสืบถามเรื่องของเจียงซิ่น เรื่องที่พูดได้หลินปั้นซย่าก็พูดไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็กล่าวเพียงว่าตนก็ไม่รู้เช่นกัน
“เจียงซิ่นเป็นคนที่สามแล้ว ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่สี่” มีคนพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “หรือโรงเรียนของเราจะต้องสาป? คนที่เรียนที่นี่จะต้องตายไปทีละคนๆ…” เขากล่าวจบก็หัวเราะกับตัวเอง ทำให้หลินปั้นซย่ามองไปที่เขาบ่อยขึ้น
คนคนนี้ชื่อว่าชุยฉีซือ เขาไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครนัก ปกติพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นน้อยมาก เป็นคนที่ค่อนข้างอยู่ชายขอบของสังคมในห้อง หลินปั้นซย่าย่อมไม่สนิทกับเขา แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดไม่สนใจไยดีขนาดนี้ออกมาจากปากของเขา
วันนี้ไม่มีเรื่องพิเศษอะไรเกิดขึ้น หลินปั้นซย่ายังคงถูกซ่งชิงหลัวหิ้วไปกินมื้อเที่ยงและมื้อเย็นด้วยกันอย่างเคย เขาคิดว่าตอนกลางคืนก็คงไม่มีเรื่องอะไรเช่นกัน จนชั่วโมงทบทวนด้วยตัวเองภาคค่ำใกล้จบ ฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นฝนนี้ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นมาในใจหลินปั้นซย่า จากประสบการณ์เขาเริ่มแน่ใจแล้วว่าเมื่อมีฝนตกจะมีคนตาย บัดนี้หยาดฝนโปรยปรายลงมาแล้ว นั่นแปลว่ากำลังจะมีคนได้รับอันตรายใช่หรือไม่
คนในห้องเรียนเหลือแค่ไม่กี่คน มันทำให้หลินปั้นซย่านึกถึงโรงเรียนในความมืดมิดที่เขาได้เจอในวันนั้น ภายในใจเขากระสับกระส่ายจึงเริ่มเก็บกระเป๋า สะพายเอาไว้แล้วตั้งใจจะตรงกลับหอเลย
ทว่าเมื่อเดินมาถึงทางลงบันได เขาพลันได้ยินเสียงของเหลวที่ฟังดูแปลกๆ เสียงนั้นอยู่ใกล้เขามากจนเหมือนกับอยู่แค่ข้างหลังเขาด้วยซ้ำ หลินปั้นซย่าหันไปก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกไม่สบายใจรุนแรงยิ่งขึ้นแต่ก็พยายามไม่คิดมาก เขาหันหลังวิ่งลงบันไดไปทันที ทว่าบันไดที่ปกติมีอยู่ห้าชั้นบัดนี้กลับดูยาวไกลสุดประมาณ หลินปั้นซย่าวิ่ง วิ่ง และวิ่งจนขาทั้งสองข้างเริ่มอ่อนเปลี้ยแต่ก็ไม่ถึงชั้นแรกสักที ครั้นเขาตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลก็หยุดฝีเท้าพลางหอบหายใจ ครู่หนึ่งก็หันหลังไปเพื่อที่จะดูว่าตอนนี้ตนมาถึงชั้นไหนแล้วกันแน่
ทว่าเมื่อเขามองเห็นเลขบอกชั้น ทั้งร่างก็นิ่งงันอยู่กับที่ บนผนังเลขห้าโรมันนั้นช่างสะดุดตายิ่งนัก…เขายังคงอยู่ที่ชั้นเดิม
ในขณะเดียวกันเสียงของเหลวเหนียวหนืดก็ดังขึ้นทุกที หลินปั้นซย่าวิ่งลงไปอีกสองก้าวก็พลันชะงัก…เขารู้แล้วว่าเสียงของเหลวนี้ดังมาจากด้านหลังเขาจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่จากระเบียงทางเดินด้านหลัง แต่เป็นกระเป๋าหนังสือที่สะพายอยู่บนหลังเขาเอง
หลินปั้นซย่าเอื้อมไปจับกระเป๋าของตน ก่อนคลำโดนคราบน้ำเย็นเฉียบที่เฉอะแฉะเป็นวงใหญ่ เขาก้มลงช้าๆ วางกระเป๋าหนังสือของตัวเองไว้บนพื้น และค่อยๆ ถอยหลังห่างออกไป
ครืดดด
ซิปบนกระเป๋าถูกเปิดออก กลุ่มผมที่หนาและเปียกชื้นราวกับพืชน้ำโผล่ออกมาจากส่วนลึกในกระเป๋าอย่างแช่มช้า ภายใต้เรือนผมเป็นใบหน้าที่บวมน้ำจนผิดรูป ทว่าเจ้าของใบหน้ากลับเหมือนยังมีชีวิตอยู่ ดึงมุมปากขาวซีดฉีกยิ้มให้หลินปั้นซย่า
หลินปั้นซย่าเห็นภาพนี้แล้วก็หันหลังวิ่งทันที แต่เขาวิ่งไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว เสียงสวบสาบๆ ก็ดังขึ้นด้านหลัง พอหันหน้าไปอีกครากลับพบว่าคนคนนั้นปีนออกมาจากกระเป๋าแล้ว ใช้ทั้งมือทั้งเท้าไต่คลานตามหลินปั้นซย่าด้วยความเร็วจี๋ประดุจแมงมุม
หลินปั้นซย่ายังไม่ทันไหวตัวก็ถูกเธอกระโจนเข้าใส่จนล้มลงไปบนพื้น คราวนี้เขามองเห็นหน้าตาของคนคนนี้ได้เต็มสองตา อีกฝ่ายคล้ายจะเป็นเด็กผู้หญิง ตายหรือเป็นล้วนไม่อาจอธิบายสภาพของเธอในตอนนี้ได้ เธออ้าปากกว้าง เอียงหน้าตะโกนออกมาหนึ่งเสียง “พี่จ๋า…” น้ำที่มีกลิ่นคาวไหลลงมาตามแก้มของเธอ หยดลงบนตัวและใบหน้าหลินปั้นซย่า เขาเบิกตากว้าง มองใบหน้าเธอที่ประชิดเข้ามาทุกที และแล้วใบหน้าที่บวมน้ำและอ่อนนุ่มเกินจริงก็เคลื่อนลงแนบกับพวงแก้มของหลินปั้นซย่าอย่างเชื่องช้า
หลินปั้นซย่าเบิกตา ไม่อาจแยกแยะได้ชั่วขณะว่าเธอจะทำอะไรกันแน่ แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร เสียงของมีคมเคาะผนังที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลัง ใบหน้าของซ่งชิงหลัวปรากฏในครรลองสายตาของหลินปั้นซย่า เขาก้มต่ำลงมองหลินปั้นซย่าที่ถูกกระโจนใส่จนล้ม และถอนหายใจด้วยความเสียดายพลางเอ่ยว่า “ทำไมถึงมาอีกแล้ว”
“นายเป็นใครกันแน่…”
ซ่งชิงหลัวไม่ตอบคำถามของหลินปั้นซย่า มีดเลาะกระดูกในมือเขาแทงลงมาอีกครั้งด้วยสายตาอ่อนโยน ความมืดมิดกลืนกินสตินึกคิดของหลินปั้นซย่า
ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์ หลินปั้นซย่าถูกคนตบหลังอย่างแรงพลางเรียกชื่อ เขาลืมตาขึ้น แล้วก็ได้เห็นใบหน้าของหลี่ซู
“หลินปั้นซย่า เป็นอะไรหรือเปล่า” หลี่ซูพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร” หลินปั้นซย่าเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกับฉันเหรอ”
“นายหลับไป” หลี่ซูตอบ “จะหมดคาบทบทวนแล้ว แต่ฉันเห็นนายไม่ขยับก็เลยมาเรียกน่ะ”
หลินปั้นซย่ามองไปรอบห้องเรียนก่อนพบว่าทั้งห้องว่างเปล่า เหลือเพียงแค่เขากับหลี่ซู ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดสนิท ฝนในความฝันเขาไม่ได้ตกลงมาจริงๆ ท้องฟ้ายังใสกระจ่าง แสงจันทร์ลอยสูงเด่น
หลี่ซูนั่งลงบนโต๊ะอย่างเอ้อระเหย เอ่ยแกมหัวเราะ “นายนอนจนสมองฝ่อไปแล้วหรือไง”
หลินปั้นซย่าถามว่า “…ฉันหลับไปนานแค่ไหน”
หลี่ซูมองนาฬิกา “หนึ่งชั่วโมงกว่ามั้ง ตอนแรกฉันนึกว่านายไม่สบายเลยไม่ได้เรียก แต่ตอนหลังเหมือนนายจะฝันร้ายก็เลยปลุก”
หลินปั้นซย่าร้องอ๋ออย่างเหม่อลอย เขาเริ่มรู้สึกว่าตนแยกความจริงกับความฝันไม่ค่อยออกแล้ว เขาเห็นหลี่ซูหมุนตัวหมายจะออกไปก็ยื่นมือไปดึงเขาไว้ เขาไม่ได้ออกแรงมากเลย ทว่าหลี่ซูกลับโดนเขากระชากจนล้มลงกับพื้น ปากร้องซี้ดราวกับบาดเจ็บตรงไหนเข้า
“ไม่เป็นไรนะ?” หลินปั้นซย่าตกใจ ก้มลงหมายจะประคองหลี่ซูขึ้น ตอนที่เขายื่นมือไปประคองหลี่ซูก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นอะไรบางอย่างที่ข้อมือของอีกฝ่าย เขาชะงักก่อนเลิกแขนเสื้อของหลี่ซูขึ้น
หลินปั้นซย่าลงมือเร็วมาก หลี่ซูยังไม่ทันตั้งตัว แขนเสื้อก็ถูกเลิกขึ้นถึงข้อศอก หลังจากหลินปั้นซย่าเห็นแขนของเขา ก็ต้องสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง “หลี่ซู!”
บนแขนหลี่ซูปกคลุมไปด้วยรูเข็มเล็กใหญ่พรุนและรอยเขียวช้ำเป็นดวงใหญ่ แทบไม่มีเนื้อดีเลย ดูน่าสยดสยองอย่างยิ่งยวด หลินปั้นซย่าเห็นภาพนี้ ความคิดแรกคือคิดว่าหลี่ซูกำลังทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่หรือเปล่า จากนั้นก็พลันตระหนักได้ว่าถ้าหากเป็นการเสพยา รูเข็มคงไม่เต็มแขนขนาดนี้…
หลี่ซูเองก็ตกใจเช่นกันเพราะไม่คิดว่าหลินปั้นซย่าจะเลิกแขนเสื้อเขาขึ้นอย่างกะทันหันอย่างนี้ ทว่าแม้อยากจะห้ามก็สายเกินไปแล้ว เขาดึงแขนเสื้อตัวเองกลับไปที่เดิมอย่างทุลักทุเล กอดแขนตัวเองหมับพลางเอ่ย “ทำอะไรของนายน่ะ!!”
“มีใครแกล้งนายหรือเปล่า” หลินปั้นซย่ากล่าว “ป่วยเหรอ รอยเข็มเจาะเยอะขนาดนั้นมาได้ยังไง”
ความง่ายๆ สบายๆ เรื่อยเปื่อยเมื่อครู่ของหลี่ซูหายวับ บนหน้าเหลือเพียงความจนตรอก เขากล่าว “ฉันไม่ได้สนิทกับนายสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องมายุ่ง!”
หลินปั้นซย่าพูดไม่ออก จริงอยู่ที่ว่าเขากับหลี่ซูไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น แต่เขาก็คิดเอาเองว่าพวกเขาก็นับเป็นเพื่อนทั่วๆ ไปแล้ว เขาคว้าข้อมือหลี่ซูไว้ไม่ให้ไป “ถ้านายไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไปบอกอาจารย์ ให้อาจารย์แจ้งผู้ปกครองนาย!”
คำพูดนี้ถึงจะดูต่ำทรามไปนิด แต่มันก็เป็นคำขู่นักเรียนที่ดีที่สุดจริงๆ หลี่ซูอับอายจนโมโห “หลินปั้นซย่า ทำไมนายถึงได้ทำตัวน่าเกลียดขนาดนี้ เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้ปกครองฉันด้วย?!”
หลินปั้นซย่าไม่ใส่ใจแม้แต่เสี้ยว ทำหน้าเหมือนพวกอันธพาลไร้สัจจะ “ฉันไม่สน”
หลี่ซู “…”
หลินปั้นซย่าย้ำ “จะไปฟ้องจริงๆ นะ”
“โอเคๆ ฉันกลัวแล้ว โอเคมั้ย” หลี่ซูเห็นหลินปั้นซย่าทำท่าจะเอาจริงก็ยอมแพ้ เอ่ยน้ำเสียงหดหู่ “ฉันไม่ได้ป่วย แล้วก็ไม่ได้ถูกใครแกล้ง ฉันเป็นคนทำมันเองแหละ…”
“ใช้อะไรทำ”
“วงเวียน…”
หลินปั้นซย่า “…”
หลี่ซูยีหัว ทำให้ผมสีดำที่เป็นระเบียบในตอนแรกยุ่งเหยิง เขากล่าว “รู้น่าว่านายจะถามอะไร แต่ฉันตอบนายไม่ได้ นายอย่าพูดไปทั่วล่ะ…ฉันไม่อยากให้คนอื่นทำกับฉันเหมือนเป็นคนบ้า…”
หลินปั้นซย่าสีหน้าสับสน “บนตัวนายไม่ได้มีแค่นี้ใช่มั้ย”
หลี่ซูเม้มปาก ไม่เอ่ยคำ นับว่าเป็นการยืนยันคำพูดของหลินปั้นซย่าไปโดยปริยาย
หลินปั้นซย่าไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เขาขยี้ผมตัวเองอย่างแรงเลียนแบบหลี่ซูด้วยความกลัดกลุ้ม “เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ นายไม่คิดจะไปโรงพยาบาลเหรอ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ป่วย” หลี่ซูเอ่ยอย่างหน่ายใจ “ฉันรู้ตัวเองดีว่าทำอะไรอยู่” เขาชักหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย ลุกขึ้นยืนหันหลังเดินจากไป หลินปั้นซย่าเรียกเขาหลายรอบเขาก็ไม่หันกลับมา
มองแผ่นหลังของเขาแล้วหลินปั้นซย่ากลับนึกถึงตอนที่ซ่งชิงหลัวมาหาเขาวันนี้ ที่จู่ๆ ก็ออกปากขอดูแผลของเขา ตอนนั้นเขาคิดว่าซ่งชิงหลัวดูแปลกๆ นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าหลังจากเห็นรอยแผลนับไม่ถ้วนของหลี่ซูแล้ว ความคิดน่ากลัวก็ผุดขึ้นมาในสมองเขา…บนตัวซ่งชิงหลัวจะมีแผลอยู่ทั่วตัวอย่างนี้เหมือนกันหรือเปล่า ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ หลี่ซูเคยบอกเขาว่าก่อนที่เจียงซิ่นจะวิกลจริตแบบนี้ก็เคยสร้างบาดแผลบนร่างกายตัวเองไม่หยุดหย่อนเช่นกัน ถึงขั้นใช้มีดเล็กๆ แทงต้นขาตัวเองด้วย
หลินปั้นซย่ารู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา เขามองเวลา ตอนนี้เลยสี่ทุ่มแล้ว คนในห้องเรียนก็กลับกันไปหมด ซ่งชิงหลัวที่ไม่ได้อยู่หอของโรงเรียนก็น่าจะออกจากโรงเรียนไปแล้วเช่นกัน ดูท่าพรุ่งนี้คงต้องไปเจอซ่งชิงหลัวสักรอบ ให้ดีก็ต้องหาโอกาสมองหาแผลบนตัวให้ได้ แต่ว่าจะใช้ข้ออ้างแบบไหนดีล่ะ หลินปั้นซย่าขบคิดอย่างกลัดกลุ้ม ซ่งชิงหลัวไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนสักหน่อย คงไม่อาจทำหน้าหนาไปขอตรวจร่างกายอีกฝ่ายตรงๆ ได้
ในสมองสามารถจินตนาการสายตาของซ่งชิงหลัวที่จดจ้องมาที่ตนได้ทันที เขาปลดกระดุมของตนออกทีละเม็ดๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์…หลินปั้นซย่าหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
คืนนั้นไม่มีฝนตก หลินปั้นซย่าผ่อนลมหายใจโล่งอกไปรอบหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าวันถัดมาทันทีที่มาถึงห้องเรียน เขาก็ได้ยินเสียงท้องฟ้าร้องครืนๆ รัวๆ ตามด้วยฝนห่าใหญ่ที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนโลกทั้งใบมืดหม่นลง กล่าวตามตรง ตอนที่เห็นฝนห่านี้การตอบสนองแรกของหลินปั้นซย่าคือสงสัยว่าตนกำลังฝันอยู่หรือเปล่า แต่มองไปรอบๆ แล้วเพื่อนร่วมชั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเคย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีภาพพิลึกอย่างในฝันเลย
หลินปั้นซย่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาหยิบหนังสือเรียนออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้วก็บังเอิญได้ยินเพื่อนร่วมชั้นที่เพิ่งเข้าห้องมาพูดคุยเรื่องอื่นเอะอะเสียงดัง
“นี่? เมื่อกี้พวกนายเห็นหรือเปล่า รถชนหน้าโรงเรียนนั่นน่าสลดมากจริงๆ”
“ใช่ๆ สองคนที่ตายน่าสงสารมากเลย”
“ฉันไม่ได้เห็นศพ เห็นแต่เลือดเต็มพื้นไปหมดเลย”
“ศพคนตายน่ากลัวขนาดนั้นไม่เห็นซะยังจะดีกว่า”
“นายรู้จักสองคนนั้นหรือเปล่า”
“ไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็เหมือนว่าจะแซ่ซ่งหรือเปล่านะ…”
หลินปั้นซย่าที่ตอนแรกไม่ได้สนใจบทสนทนาของทั้งสองนัก ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่มีคำว่า ‘ซ่ง’ โผล่ขึ้นมา เขาก็สะดุ้งโหยงทันควัน รีบหันไปถามว่า “ซ่งอะไร”
“ไม่รู้สิ” เพื่อนร่วมชั้นคนนั้นถูกหลินปั้นซย่าถามจนมึนงง “ฉันจำได้แค่ว่าเขาแซ่ซ่ง”
หลินปั้นซย่าไม่ได้ถามต่ออีก เขาผุดลุกขึ้นยืนและขอยืมร่มของเพื่อนโต๊ะข้างเคียง ก่อนคว้าร่มแล้ววิ่งออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจสายตาสงสัยของใคร ด้านนอกฝนตกหนักลมพัดกระหน่ำ เขากระชับร่มในมือให้มั่น แต่ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย กว่าหลินปั้นซย่าจะมาถึงหน้าโรงเรียนก็เปียกปอนไปทั้งร่างแล้ว
หน้าโรงเรียนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นจริงๆ อย่างที่เล่ากัน เหล่านักเรียนที่ชอบมุงดูเหตุการณ์มากองรวมกันอยู่หน้าโรงเรียน บัดนี้รถตำรวจมาถึงและเริ่มเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุแล้ว หลินปั้นซย่าไม่เห็นศพ เห็นแค่รถเก๋งคันหนึ่งที่หน้ารถบุบบี้และรอยเลือดที่นองทั่วพื้น เขากางร่มยืนอยู่ท่ามกลางม่านฝน ลังเลอยู่ชั่วขณะไม่รู้ว่าตนควรเข้าไปสอบถามถึงตัวตนของผู้ตายหรือไม่ ในตอนที่เขากำลังสองจิตสองใจอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงโต้เถียงกันอย่างรุนแรงจากด้านในรถตู้สีขาวซึ่งอยู่ข้างๆ ตำรวจ คล้ายว่าผู้ชายคนหนึ่งกำลังมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงกับผู้หญิง ฝ่ายชายด่าประจานฝ่ายหญิงด้วยความเดียดฉันท์ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ตอบโต้กลับร้องไห้ครวญครางอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ฟังแล้วน่าสงสารมาก จากนั้นการทะเลาะกันของทั้งคู่ก็ยกระดับขึ้น เหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะผลักผู้หญิงลงพื้นอย่างแรง ผู้หญิงอยากจะลงจากรถ ร้องไห้ตะโกนใช้มือทุบประตูรถตู้ขอความช่วยเหลือ
หลินปั้นซย่ากลัวว่าจะเกิดเรื่องเลยรีบเข้าไปพูดกับตำรวจที่กำลังจัดการสถานที่เกิดเหตุ “คุณลุงตำรวจครับ ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะใช้กำลังกับผู้หญิง”
ตำรวจนายนั้นทำหน้าพิลึกพิลั่น “หา?”
หลินปั้นซย่าชี้ไปที่รถตู้ “ในรถนั่นครับ พวกเขาทะเลาะกันแล้ว” เขาเดาว่าในรถตู้คันนั้นน่าจะขังผู้กระทำความผิดที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุไว้อยู่
ตำรวจนายนั้นสีหน้าประหลาดยิ่งกว่าเดิม “ทะเลาะกัน?”
“คุณไม่ได้ยินเสียงเหรอ” หลินปั้นซย่าผงะ “เธอทุบประตูรถด้วยนะ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยด้วยความลังเล “เจ้าหนู เธอหูฝาดหรือเปล่า” แววตาของเขาคลางแคลงใจอย่างถึงที่สุด “ในรถนั่น…ใช้เก็บศพผู้ตายสองคนอยู่นะ”
หลินปั้นซย่า “…”
ตำรวจกล่าวต่อ “คนตายเคาะประตูรถหรือไง”
“…แต่ผมได้ยินจริงๆ นะครับ”
คงเป็นเพราะสีหน้าของหลินปั้นซย่าดูจริงจังและดูเป็นเด็กดีเกินไป ไม่เหมือนเด็กที่เจตนาสร้างเรื่องโป้ปดมดเท็จเพื่อกลั่นแกล้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจลังเลครู่หนึ่งก็เดินไปหน้าประตูรถตู้ ยื่นมือเปิดประตูออกเสียงดังครืด เผยให้เห็นถุงห่อศพสีดำสองถุงที่วางอยู่ด้านใน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างที่หลินปั้นซย่าได้ยินเมื่อครู่
เจ้าหน้าที่ตำรวจหัวเราะระคนถอนหายใจ “หนูน้อย ดูหนังผีเยอะไปหรือเปล่า คนตายจะพูดได้ที่ไหนกันล่ะ” เขามองเข้าไปในรถ ทันใดนั้นสีหน้าที่ยิ้มบางๆ ในตอนแรกก็แข็งกระด้างในพริบตา บนประตูรถที่เดิมทีสะอาดหมดจดกลับมีรอยนิ้วมือนับไม่ถ้วนประทับอยู่ รอยนิ้วมือพวกนี้ถี่มาก เหมือนคนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังตบลงบนประตูด้วยความร้อนรน ทว่าสภาพศพพวกนั้นเมื่อครู่เขาก็เห็นแล้ว มันถูกชนจนเละเทะไม่เป็นชิ้นดี แม้แต่ฝ่ามือข้างที่ยังอยู่ครบสมบูรณ์ก็อาจจะยังหาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมีรอยนิ้วมือแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เขาจมสู่ห้วงความคิด เมื่อหันไปมองหลินปั้นซย่าอีกครา ในแววตาก็ฉายประกายหวาดผวาเล็กน้อย
หลินปั้นซย่าไม่คิดว่าจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น เขายืนอยู่ในสายฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำน่าสงสาร ปากเขาขมุบขมิบเบาๆ อยากจะถามชื่อผู้เสียชีวิตกับตำรวจ แต่ยังไม่ทันพูดออกมา ข้อมือก็ถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ นักเรียนแซ่ซ่งที่เขาเป็นห่วงคนนั้นมาปรากฏอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และกำลังขมวดคิ้วจ้องมาที่ตนอย่างไม่พอใจ
“นายอยู่หอไม่ใช่หรือไง” ซ่งชิงหลัวถาม “ฝนตกหนักขนาดนี้ถ่อมาหน้าโรงเรียนทำไม”
หลินปั้นซย่าเห็นเขาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งทันที คิดในใจว่าเป็นแค่ความบังเอิญจริงๆ ด้วย เขาพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ฉันแค่เป็นห่วง…”
ซ่งชิงหลัวถามต่อ “เป็นห่วงอะไร”
“เพื่อนในห้องบอกว่าคนที่เกิดอุบัติเหตุมีคนหนึ่งแซ่ซ่ง…”
ซ่งชิงหลัวส่งแรงที่กุมข้อมือเขาเบาๆ ต่อจากนั้นก็ไม่พูดไม่จา คว้าตัวหลินปั้นซย่าให้หันหลังแล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้น
หลินปั้นซย่าถูกดึงตัวไปก็ได้แต่เดินซวนเซตามหลังต้อยๆ แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าไปในอาคารเรียนทั้งอย่างนี้โดยไม่สนสายตาแปลกๆ ของนักเรียนคนอื่น หลังมาที่ห้องสโมสร ซ่งชิงหลัวก็หาชุดนักเรียนสะอาดสะอ้านมาจากไหนไม่รู้ โยนลงตรงหน้าหลินปั้นซย่าแล้วบอกให้เขาเปลี่ยนชุด หลินปั้นซย่าก้มหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเชื่อฟัง หลังเปลี่ยนเสร็จก็พบว่าชุดนักเรียนชุดนี้โคร่งเกินไป แค่เสื้อก็ยาวจนปิดเข่า ยิ่งสวมกางเกงอีก ทั้งตัวเขาก็อย่างกับสวมกระสอบอันมหึมาอยู่อย่างไรอย่างนั้น หลินปั้นซย่าเอ่ยหน้าเหลอหลา “ทำไมถึงใหญ่ขนาดนี้เนี่ย”
ซ่งชิงหลัวเห็นสภาพน่าสงสารแบบนี้ของเขา ริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้ม “เพราะนายตัวเล็กเกินไปต่างหาก” พูดจบก็ยื่นมือออกไปพับแขนเสื้อให้หลินปั้นซย่าอย่างพิถีพิถัน
หลินปั้นซย่านั่งตรงหน้าซ่งชิงหลัว ปล่อยให้เขาแต่งตัวให้อย่างว่านอนสอนง่าย พอรู้ว่าผู้เสียชีวิตไม่ใช่ซ่งชิงหลัวเขาก็โล่งใจไปได้เปลาะใหญ่ จริงๆ ตอนนี้แค่เห็นฝนเขาก็รู้สึกกลัวแล้ว เขารู้สึกอยู่เสมอว่าสายฝนมักจะนำพาเรื่องไม่ดีมาให้
ซ่งชิงหลัวก็เปียกฝนไม่น้อย หลินปั้นซย่าจึงเอ่ยถาม “นายไม่เปลี่ยนชุดเหรอ นายไม่ชอบฝนใช่มั้ย”
ซ่งชิงหลัวถามกลับ “รู้ได้ยังไง”
“ฉัน…” หลินปั้นซย่าเองก็ชะงักค้าง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ตอนที่เขาพูดออกมาก็ไม่ได้คิดว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง ราวกับว่าความคิดนี้ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณแล้วอย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่ซ่งชิงหลัวไม่สืบสาวเบื้องลึกเบื้องหลัง “ไม่ต้อง นายกลับไปก่อนฉันค่อยเปลี่ยนแล้วกัน”
นี่เป็นโอกาสดีเยี่ยมที่จะได้ตรวจสอบว่าบนตัวซ่งชิงหลัวมีแผลหรือเปล่า หลินปั้นซย่าหมายจะคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้จึงเอ่ยว่า “นายรีบเปลี่ยนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ”
ซ่งชิงหลัวยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ทำไมวันนี้ถึงใจกล้านักล่ะ”
หลินปั้นซย่า “…”
“หรือว่าอยากเห็นเรือนร่างฉัน?”
ความคิดของหลินปั้นซย่าถูกมองทะลุปรุโปร่ง แม้จะแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านแต่กลับรู้สึกว่าหน้าตนร้อนผ่าวตั้งแต่แก้มไปถึงปลายหู
“จะดูก็ได้” ซ่งชิงหลัวเอ่ยยิ้มๆ “แต่จำไว้ว่าต้องดูตั้งแต่หัวจรดเท้า ห้ามเบือนหน้าหนี” เขากล่าวจบก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของชุดนักเรียนออกจริงๆ จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองทีละเม็ดๆ ต่างจากหลินปั้นซย่าอย่างมาก เพราะขณะที่เขากระทำสิ่งเหล่านี้ ดวงเนตรดำขลับประดุจท้องฟ้ายามราตรีที่พายุฝนกำลังก่อตัวคู่นั้นไม่ได้ย้ายออกจากหลินปั้นซย่าเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ราวกับจะกลืนกินหลินปั้นซย่าเข้าไปทั้งตัว
หลินปั้นซย่าถูกสายตาอันตรายของเขาจ้องมองจนใจกระตุก หดคอตัวสั่นเทิ้มอย่างลืมตัว สายตาก็ย้ายหนีไปทางอื่น วินาทีถัดมาซ่งชิงหลัวก็บีบคางเขาบังคับให้หันกลับมา
“เมื่อกี้ยังใจกล้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ” เสียงของซ่งชิงหลัวแฝงความนิ่งเฉย “กลัวแล้วหรือไง”
“เปล่า”
“ไม่กลัวก็มองสิ” ซ่งชิงหลัวกล่าว “สิ่งที่นายต้องการฉันให้ได้ทั้งนั้น แต่ตราบใดที่ให้นายไปแล้ว นายก็ต้องน้อมรับไว้เป็นอย่างดีด้วย”
หลินปั้นซย่าถูกบีบคั้นให้ขานรับ “ได้…”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 23 พ.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.