ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 86 ตลาดผี (11)
หลี่ซูคิดในใจว่าซ่งชิงหลัวเป็นมนุษย์พิสดารคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่ที่พิสดารที่สุดคือเขาดันหามนุษย์พิสดารที่คุยภาษาเดียวกับตัวเองเจออีกด้วย…ความจนไม่น่ากลัว ผีก็ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการรวมกันของสองคำนี้ ซ่งชิงหลัวกับหลินปั้นซย่ามีฉายาร่วมกันคือ…ผียาจก
แค่ขอกินข้าวด้วยเท่านั้น หลี่ซูก็โดนหลินปั้นซย่าไล่กวดมาที่ห้องใต้ดิน กระทั่งมองไปเห็นคนอื่นๆ คนไม่ได้เรื่องสองคนถึงได้หยุดวิ่งไล่กันเพื่อรักษาหน้า และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเทียบกับข้างบน ห้องใต้ดินก็ไม่ได้สงบเงียบขนาดนั้น ทุกสิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตาล้วนเป็นฝูงชนซึ่งเรียงรายอัดแน่น บนพื้นมีคนที่นอนอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ในมือของเจ้าหน้าที่ยังถืออุปกรณ์ที่หลินปั้นซย่าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนด้วย เป็นอุปกรณ์ซึ่งทำให้พวกผู้อยู่อาศัยที่จะพุ่งเข้ามาทำร้ายสลบเหมือดนอนหมอบไปกับพื้นทันที จากนั้นถึงค่อยพากันบุกเข้าไปในส่วนลึกของห้องใต้ดิน
หลี่ซูเดินนำหลินปั้นซย่ามุ่งหน้าไป ไม่นานก็มาถึงส่วนลึกของชั้นใต้ดินนี้ ต่อมาหลินปั้นซย่าก็เห็นซ่งชิงหลัวที่กำลังสู้รบอยู่ท่ามกลางฝูงชน
ท่วงท่าของเขางดงามดุจนก ย่างกรายอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน จัดการพวกเขาให้ล้มลงอย่างง่ายดายประหนึ่งตัดกุยช่าย
หลี่ซูยืนประเมินสถานการณ์ กล่าวว่าสมแล้วที่เป็นซ่งชิงหลัว พอเขามาสถานการณ์ก็คงที่ทันที
ขณะนั้นหลินปั้นซย่านึกอะไรขึ้นมาได้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “หลังจากพวกคุณเข้ามาแล้ว เจออะไรที่หน้าตาเหมือนแมลงหรือเปล่า”
“แมลง?” หลี่ซูถาม “คุณหมายถึงมดเหรอ”
“มด?” หลินปั้นซย่าคิดว่าแมลงตัวนั้นไม่ค่อยเหมือนมดสักเท่าไหร่
“ถ้าคุณหมายถึงมดก็มีแหละ” หลี่ซูกล่าวแล้วยกแขนขึ้นชี้ไปยังที่ที่ไกลออกไป “แต่พวกมันดูเหมือนจะกลัวซ่งชิงหลัวมาก พอเขาเข้ามาก็ถอยหนีออกไปเลย”
หลินปั้นซย่ามองไปยังทิศทางนั้น ก่อนจะเห็นเงาสีดำกลุ่มใหญ่อัดแน่นอยู่ตรงที่ที่หลี่ซูชี้ไป ถึงเขาจะไม่ได้เป็นโรคกลัวรูหรืออะไรทำนองนั้น แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่รวมกันเป็นกระจุกนี้แล้วก็ยังขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้อยู่ดี เขาลูบแขนอย่างแรง อุทานว่า “พวกมัน…ออกมาจากร่างกายมนุษย์หมดเลยเหรอ”
“ใช่” หลี่ซูตอบ
“จริงสิ เสื้อผ้าที่วางกองอยู่เต็มพื้นที่ผมเห็นด้านนอกนั่น…”
หลี่ซูเอ่ย “เรื่องนั้นพวกเราก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน จู่ๆ คนก็หายตัวไปคนแล้วคนเล่า สถานการณ์เป็นยังไงกันแน่ยังต้องตรวจสอบก่อนถึงจะรู้”
“…” พวกเขาไม่มีใครเห็นกลุ่มเงาดำพวกนั้นเลยเหรอ
ในตอนที่หลินปั้นซย่ากำลังใช้สมอง เสียงหึ่งๆ ก็ดังขึ้นข้างหูเขาอีกครั้ง ซ้ำยังเสียงดังอย่างยิ่งยวด ราวกับว่าอยู่แค่ใกล้ๆ แถวนี้เอง หลินปั้นซย่าแปลกใจเล็กน้อย เขาหันไปตามเสียงก็พบว่าที่มาของเสียงนั้นคล้ายจะอยู่ตรงลานกว้างที่พวกเขาหนีออกมาก่อนหน้านี้
“ผม…จะไปดูตรงนั้นหน่อย” หลินปั้นซย่ารู้สึกไม่ชอบมาพากลเล็กน้อยจึงเอ่ยปากขึ้น
“คุณจะไปทางนั้นเหรอ” หลี่ซูแคลงใจเล็กๆ “แต่ทางนั้นยังจัดการไม่เสร็จเลยนะ”
“ไม่เป็นไร” หลินปั้นซย่าเอ่ย “ผมแค่ไปดูเฉยๆ”
หลี่ซูเห็นเขายืนกรานเช่นนี้ก็ได้แต่ยินยอม และส่งอาวุธให้เขากระบอกหนึ่ง บอกว่ามันคือปืนช็อตไฟฟ้า เอาไว้ป้องกันตัวจากคนที่จะเข้ามาทำร้ายได้ และกำชับให้หลินปั้นซย่ากลับมาทันทีเมื่อเห็นท่าไม่ดี…แม้ว่าผู้ปนเปื้อนที่อยู่รอบๆ จะไม่มีอาวุธ แต่ถึงอย่างไรจำนวนของคนเหล่านั้นก็มีมาก ถ้ามีใครเข้ามากัดเขาคนละคำ หลินปั้นซย่าก็คงยากจะรับมือไหว
หลินปั้นซย่ารับอาวุธมาพร้อมเอ่ยขอบคุณหลี่ซู ก่อนมุ่งไปยังต้นเสียง
เดิมทีหลี่ซูยังกังวล แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฝูงชนรอบๆ จะไม่มีท่าทีจะโจมตีหลินปั้นซย่าเลย ซ้ำยังดูเหมือนจะกลัวหลินปั้นซย่าเสียมากกว่า พอหลินปั้นซย่าเข้าไปหา พวกเขาก็รีบแหวกทางหนีทันที หลี่ซูยังไม่ทันตั้งตัวก็พบว่าหลินปั้นซย่าหายไปท่ามกลางฝูงชนแล้ว
หลี่ซูเห็นดังนั้นก็ใจกระตุกด้วยความกลัว รีบหันมองรอบๆ โชคดีที่ไม่มีผู้สังเกตการณ์อยู่แถวนั้นเลย และไม่มีใครเห็นภาพเมื่อกี้นี้ด้วย ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ หลี่ซูคิดไม่ตก หรือว่าเขากลายพันธุ์เป็นแบบเดียวกับซ่งชิงหลัวไปแล้ว? แต่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นสิ…ไม่เห็นจะได้กลิ่นอายแบบเดียวกันจากตัวหลินปั้นซย่าเลยนี่นา
หลินปั้นซย่าถือปืนช็อตไฟฟ้าไว้แต่ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร คนโดยรอบไม่เพียงแต่ไม่เข้ามาโจมตีเขา แต่ถึงขั้นกระโจนออกไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัวด้วยซ้ำ ความหวาดเกรงนี้ไม่ใช่ผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการคิด แต่เป็นเพียงสัญชาตญาณของพวกเขาเท่านั้น ราวกับว่าหลินปั้นซย่ากลายเป็นตัวอันตรายสำหรับพวกเขาไปแล้ว คล้ายว่าตราบใดที่เขาเข้ามาใกล้ก็จะเกิดเรื่องน่ากลัวบางอย่างขึ้น
หลินปั้นซย่าไม่รู้เรื่องรู้ราวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ นี้เลย เพราะความสนใจของเขาถูกเสียงกระพือปีกดังแสบหูช่วงชิงไปจนหมด และเสียงนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดทรมานก่อนหน้านี้เริ่มแผ่ขยายอยู่ในสมองของหลินปั้นซย่าอีกครั้ง มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจใช้คำใดมาบรรยาย ราวกับมีใครใช้มีดทื่อๆ เล่มหนึ่งแทงเข้ามาในก้านสมองของเขาทีละนิดๆ
หลินปั้นซย่าเป็นคนอดทนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร เขาพยายามอดกลั้นความเจ็บปวด และในที่สุดก็เดินมาถึงต้นเสียง แต่ที่นั่นกลับไม่มีอะไรอยู่เลย มีเพียงความมืดมิดและผนังมันปลาบ
ผนัง? เสียงมาจากผนังงั้นเหรอ หลินปั้นซย่านึกเฉลียวใจ เขามองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปจิ้มที่ผนังเบาๆ เป็นการหยั่งเชิง
แค่แตะครั้งเดียว ปลายนิ้วของหลินปั้นซย่าก็สัมผัสโดนสิ่งที่ประหลาดยิ่ง มันเหมือนกับผ้าโปร่งเบาบางกำลังล่องลอยและเหมือนเม็ดทรายที่ไหลริน หลินปั้นซย่าเห็นสีดำเหมือนหมอกครึ้มบนผนังลอยพุ่งขึ้นไปเหนือศีรษะ เมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นก็เห็นเพดานที่ไม่ได้สูงนัก
พอมองดูหลินปั้นซย่าก็ต้องเหวอทันที เหนือศีรษะเขาขึ้นไปมีเงาดำปานเมฆสีนิลกำลังไหลทะลักล้นเวียนวนเป็นเกลียวประหนึ่งว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมทุกคนได้ตลอดเวลา…และหลินปั้นซย่าเคยเห็นบทสรุปของการที่มันปกคลุมลงมาแล้ว คนเหล่านั้นก็คงจะสลายหายไปเช่นเดียวกับเงาพวกนั้น
การหายไปนั้นหมายความว่าอย่างไร จะไปยังอีกมิติหนึ่งหรือเป็นเพียงความตายที่ง่ายดาย?
เสียงกระพือปีกดังขึ้นอีกครั้ง หลินปั้นซย่าก้มหน้าลงก็เห็นว่าตรงผนังที่ตลบไปด้วยหมอกดำมีแมลงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งปรากฏอยู่
เป็นเพราะมันขนาดเล็กเกินไปจึงถูกมองข้ามไปได้ง่ายมาก โชคดีที่หลินปั้นซย่าสายตาดี ไม่นานก็เห็นตัวตนของมันอยู่ที่มุมหนึ่งของผนัง มันตัวใหญ่เท่านิ้วโป้งเท่านั้น ลักษณะเหมือนกับมดมีปีกขนาดใหญ่ มันไต่อยู่บนผนัง ปีกขนาดเล็กขยับเสียดสีไปมาอย่างต่อเนื่อง และนี่ก็คือที่มาของเสียงที่หลินปั้นซย่าได้ยิน
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าปีกเล็กๆ แค่นี้จะส่งเสียงดังเสียดหูแบบนั้นออกมาได้ยังไง หลินปั้นซย่ามองเห็นมัน มันเองก็เหมือนจะสังเกตเห็นหลินปั้นซย่าแล้วเช่นกัน ปีกของมันชะงักเบาๆ จากนั้นก็หยุดกระพือ
เมื่อมันหยุดเคลื่อนไหว หมอกสีดำโดยรอบบริเวณนั้นก็ค่อยๆ จางลงไปช้าๆ หลินปั้นซย่าจ้องมันครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไปหา
มันบิดตัวกระโดดไปที่ปลายนิ้วของหลินปั้นซย่าอย่างชำนาญเหมือนว่าเคยทำมาแล้วนับร้อยครั้ง หลินปั้นซย่าสังเกตเห็นว่าทั้งลำตัวของมันดำสนิท ผิวสัมผัสเรียบและแข็งราวกับก้อนหินที่ถูกขัดเงา หลินปั้นซย่าเห็นแสงสีเขียวที่หลังของมัน ตอนแรกเขาคิดว่าแสงนั่นเปล่งออกมาจากร่างกายของมัน แต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่แสงของแมลงนั่นแต่มาจากดวงตาของเขา
ลำตัวเกลี้ยงเกลาของมันเป็นเหมือนกระจกซึ่งสะท้อนแสงที่ทอดกระทบลงไป
ในตาฉันมีแสงสีเขียวออกมาอีกแล้วเหรอ หลินปั้นซย่ายกมือขึ้นคลึงดวงตาของตัวเอง แต่ไม่นานนักแสงนั้นก็จางหายไป แมลงนั่นม้วนตัวขดเข้ามาในอุ้งมือของหลินปั้นซย่าอย่างว่าง่าย ซ้ำยังคลอเคลียนิ้วของเขาอย่างรักใคร่…
หลินปั้นซย่าหุบนิ้วกลับมาช้าๆ กักขังมันไว้ในฝ่ามือของตน
หลี่ซูนึกว่าหลินปั้นซย่าแค่ไปดูจากนั้นจะกลับมาทันที ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับแทรกเข้าไปในฝูงชนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหายไปไม่เห็นเงาทั้งอย่างนี้ เขายืนรออยู่ที่เดิมครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นทีท่าว่าหลินปั้นซย่าจะกลับมาสักที หลี่ซูร้อนใจ พร่ำบ่นในใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหลินปั้นซย่าหรือเปล่า ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรกับเจ้าตัวจริงๆ แล้วซ่งชิงหลัวรู้ว่าเขาเป็นคนพาหลินปั้นซย่าเข้ามาที่นี่ น่ากลัวว่าซ่งชิงหลัวจะมาถลกหนังหัวตนทั้งเป็นแน่ๆ
ขณะกำลังคิดด้วยความกลัดกลุ้ม หลี่ซูก็พบว่าในกลุ่มคนมีใครคนหนึ่งกำลังมุ่งมาทางเขา และนั่นก็คือหลินปั้นซย่าที่เขากำลังรำพันถึงนั่นเอง
“กลับมาได้สักที” หลี่ซูร้อง “เป็นยังไงบ้าง เจออะไรบ้างมั้ย”
หลินปั้นซย่าครุ่นคิด “คุณเอาหีบพวกนั้นติดตัวมาหรือเปล่า”
“หีบอะไร”
“หีบที่ผนึกวัตถุนอกรีตน่ะ”
หลี่ซูเอ่ย “เอาน่ะเอามา…แต่คุณจะเอาไปทำอะไร”
หลินปั้นซย่ากล่าว “เอาออกมาทีสิ”
หลี่ซูหมอกคลุมเต็มหัว แต่สุดท้ายก็ล้วงหีบออกมาจากกระเป๋าอยู่ดี ของพวกนี้พวกเขาทุกคนล้วนพกติดตัวไว้เสมอ มีแต่หลินปั้นซย่าซึ่งเป็นคู่หูกับเอเลี่ยนซ่งชิงหลัวคนเดียวที่สถาบันไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้ นั่นสินะ ก็วัตถุนอกรีตที่ซ่งชิงหลัวเป็นคนจัดการปกติแล้วล้วนเป็นประเภทที่ยุ่งยากมากที่สุด เมื่อเผชิญหน้ากับอะไรพวกนั้น ถึงมีหีบไปก็แทบไม่ได้เอาออกมาใช้งานเลย
หลินปั้นซย่าบอกให้หลี่ซูเปิดหีบ จากนั้นยื่นมือขวาเข้าไปในหีบแล้วเขย่าเบาๆ แมลงที่ถูกเขากักอยู่ในอุ้งมือก็เข้าไปอยู่ในกล่อง จากนั้นเขาจึงลงสลักล็อกหีบอย่างเบามือ วินาทีที่หีบถูกล็อก ผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ก็หยุดการกระทำในชั่วพริบตา ก่อนทยอยล้มลงกับพื้นราวกับหุ่นยนต์ที่แบตฯ หมด
หลี่ซูตกใจ “คุณหาไอ้นั่นเจอแล้วงั้นเหรอ”
“อืม” หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างคลุมเครือ “มันอยู่ตรงมุมแถวๆ นี้น่ะ”
หลี่ซูเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณอย่าบอกใคร ให้บอกว่าผมเป็นคนเจอ”
หลินปั้นซย่ารู้ว่าเขาหวังดีจึงพยักหน้ารับ
“ชิ…เจ้าซ่งชิงหลัวนี่ขุดเจอสมบัติจริงๆ” แม้ว่าเรื่องราวจะถูกคลี่คลายแล้ว แต่หลี่ซูกลับยังรู้สึกหนักใจอยู่เล็กน้อย เขาก้มหน้าตั้งรหัสให้หีบ “เมื่อกี้คุณเห็นอะไรบางอย่างใช่มั้ย”
หลินปั้นซย่าลังเลอยู่ชั่วครู่ “อย่างเช่น?”
“อย่างเช่นอะไรที่พวกเรามองไม่เห็น” หลี่ซูมองตาหลินปั้นซย่า
หลินปั้นซย่าไม่ได้ร้อนตัวแต่อย่างใด เขาจ้องตากับหลี่ซูอย่างไม่รู้สึกรู้สา แม้รู้ว่าหลี่ซูเป็นห่วงแต่เขาคิดว่าเรื่องนี้จะให้คนรู้เยอะเกินไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงส่ายหน้า เอ่ยออกไปด้วยเสียงราบเรียบว่าเปล่า
หลี่ซูไม่เห็นร่องรอยอะไรจากแววตาหลินปั้นซย่าเลย หลังจากขบคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำเพียงพยักหน้าให้หลินปั้นซย่าเบาๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วก็ถูกแก้ไขได้อย่างกะทันหันเช่นกัน ซ่งชิงหลัวยังต้องจัดการกับปัญหาที่เหลืออยู่อีก หลินปั้นซย่าจึงไม่ไปรบกวนเขา แต่ขึ้นไปข้างบนพื้นดินกับหลี่ซูก่อน เขามีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าเขามักจะใจลอย หลี่ซูพูดอะไรเขาก็ไม่ได้ยิน กระทั่งถูกตบไหล่ถึงตั้งสติได้
“คิดอะไรอยู่” หลี่ซูถาม “ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า”
“ฮะ? เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
“ผมบอกว่าหลี่เย่มาแล้ว” หลี่ซูเอ่ย “ผมต้องไปส่งไม้ต่อให้เขา คุณรอซ่งชิงหลัวอยู่ตรงนี้ได้มั้ย”
“อืม” หลินปั้นซย่าบอก “ไปเถอะ ผมไม่เป็นไร”
“เรื่องคราวนี้ไม่ค่อยปกติ ระวังตัวไว้จะดีที่สุด”
“ทำไมล่ะ” หลินปั้นซย่าถาม “ทำไมถึงไม่ปกติ”
“ปกติแล้ววัตถุนอกรีตจะไม่ดำรงอยู่ด้วยกัน” หลี่ซูกล่าว “อธิบายง่ายๆ ก็คือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่สองเหตุการณ์จะปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน…อย่างเช่นว่ารังสีนั่นมีอยู่แค่น้อยนิด พอรังสีถูกดูดซับจนหมดถึงจะกลายเป็นวัตถุนอกรีตได้…”
“แต่ครั้งนี้มีวัตถุนอกรีตสองอย่าง?”
“ใช่ ครั้งนี้มีสองอย่าง” หลี่ซูดูลังเลเล็กน้อย
หลินปั้นซย่าเห็นสีหน้าเขาแปลกไปจึงถามต่อ “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก”
หลินปั้นซย่าพอเดาอะไรได้ “ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายกัน?”
หลี่ซูพยักหน้า
หลินปั้นซย่ากล่าว “คงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อของซ่งชิงหลัวตอนนั้นใช่มั้ย”
ช่างถามได้ตรงจุดเสียจริงๆ หลี่ซูยิ้มแกน คิดในใจว่าครั้งแรกที่ได้เจอหลินปั้นซย่าทำไมเขาถึงได้คิดว่าคนคนนี้นิสัยอ่อนโยนและหัวช้า เหมือนว่าไม่มีเหลี่ยมคมอะไรเลย ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไม่มี เพียงแค่ไม่มีโอกาสได้เผยคมออกมาเท่านั้น เขาไม่ใช่แค่ฉลาดแต่ยังไหวพริบเฉียบแหลมอีกด้วย เป็นอะไรที่ทำให้หลี่ซูรู้สึกว่าตนช่างต่ำต้อยเหลือเกิน
ถึงหลี่ซูจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่รอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าของเขาก็ตอบคำถามทั้งหมดให้หลินปั้นซย่าแล้วเรียบร้อย หลินปั้นซย่าสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที เขาเอ่ยว่า “เพราะงั้น…เรื่องนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับซ่งชิงหลัว?”
หลี่ซูถูจมูก “อาจจะเกี่ยว แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจ”
ถูจมูกเป็นพฤติกรรมคลาสสิกยามเมื่อมนุษย์โกหก หลินปั้นซย่ามองออกแต่ก็ไม่ได้บีบบังคับให้หลี่ซูพูดออกมา เขารู้ งานที่พวกเขาทำเรื่องบางเรื่องก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดชัดเจนไม่ได้ หลี่ซูเองก็ไม่มีทางอื่น
“ไม่เป็นไร” หลินปั้นซย่าเอ่ย “ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมาก”
“…ขอโทษนะ” หลี่ซูรู้สึกผิดในใจ เขาเลียริมฝีปาก กระซิบว่า “ถ้าคุณอยากรู้มากกว่านี้ก็ไปถามซ่งชิงหลัวเลยดีกว่า ผมเองก็เป็นแค่คนนอก บางเรื่องพวกเราพูดอะไรมากไม่ได้จริงๆ”
หลินปั้นซย่าเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง
หลี่ซูเห็นหลินปั้นซย่าไม่ได้ข้องใจอะไรแล้วถึงวางใจลงได้ก่อนเดินจากไป เหลือเพียงหลินปั้นซย่าที่ยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว ท่าทางดูเงียบเหงาว้าเหว่เล็กน้อย
เขาแหงนมองท้องฟ้าอีกครั้ง ดวงดาวไม่ได้กลายเป็นสีเขียวและยังคงเป็นอย่างที่เห็นเสมอมา เขารู้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงแปลกๆ เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง แต่กลับไม่รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด และมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เขาต้องหาเวลาปรึกษาซ่งชิงหลัวให้เรียบร้อย หลินปั้นซย่าปลอบตัวเองอย่างผ่อนคลาย เขาเชื่อว่าตราบใดที่พยายามมากพอไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถแก้ไขได้ทั้งนั้น
ทุกคนทำงานยุ่งกันกว่าครึ่งคืน ถึงจัดการเก็บกวาดจนเสร็จสิ้นได้อย่างยากลำบาก
เหตุการณ์ครั้งนี้ขอบเขตกว้างเกินไป และมีผลกระทบกับผู้คนมากมายเหลือเกิน ทำให้การจัดการปัญหาที่ตามมาภายหลังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ต้องลบความทรงจำทุกคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยังต้องพาพวกเขาทั้งหมดไปส่งโรงพยาบาลด้วย แล้วยังต้องหาวิธีอุดห้องใต้ดินที่ใหญ่จนน่ากลัวนั่นให้เต็มอีก
กล่าวโดยสรุปคือทุกๆ คนต่างก็ยุ่งมือเป็นระวิง เหมือนมดงานที่ทำงานอย่างมุมานะ พยายามรับผิดชอบงาน เขียนจุดจบประโยค* ให้เรื่องราวในครั้งนี้อย่างเต็มที่
หลินปั้นซย่ารอแล้วรอเล่า ซ่งชิงหลัวก็ยังคงไม่มา ครึ่งคืนหลังเขาจึงหลับตานอนบนรถเสียเลย เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้าก็สว่างแล้ว มีใครบางคนกำลังตบกระจกรถเรียกเขาอยู่ด้านนอก
หลินปั้นซย่าขยี้ตาแล้วขยับตัวขึ้น เลื่อนกระจกรถลงก่อนถามว่ามีเรื่องอะไร
“คุณหลินครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ย “คุณซ่งสั่งมื้อเที่ยงไว้ ให้คุณกินให้หมดแล้วกลับไปรอเขาที่บ้านครับ”
หลินปั้นซย่าหันหน้ามองก็พบว่าในมือของเจ้าหน้าที่มีกล่องข้าวอยู่กล่องหนึ่ง “แล้วเขาล่ะครับ?”
“เขาไปที่สถาบันแล้วครับ” เจ้าหน้าที่ตอบคำถาม
หลินปั้นซย่าถามต่อ “เขาได้บอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ไม่ครับ”
“โอเค ลำบากคุณแล้ว ขอบคุณนะครับ” เขารับกล่องข้าวมา กินไปไม่กี่คำก็รู้สึกแน่นท้องจนน่ากลัว กลืนอะไรไม่ลงอีก คิดไปคิดมาก็ล้วงโทรศัพท์มือถือต่อสายหาซ่งชิงหลัว
เสียงสัญญาณดังขึ้นสิบกว่าครั้ง ในตอนที่หลินปั้นซย่าคิดว่าซ่งชิงหลัวคงไม่รับ เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นอย่างนุ่มนวล [ฮัลโหล]
“ชิงหลัว” หลินปั้นซย่าไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเสียงของตัวเองนั้นติดความออดอ้อนอยู่เล็กน้อย “คุณจะกลับเมื่อไหร่เหรอ”
ซ่งชิงหลัวกล่าว [อีกแป๊บเดียว ผมจัดการตรงนี้เสร็จก็กลับแล้ว]
“โอเค รีบกลับมานะ”
ทั้งคู่ไม่เอ่ยอะไรแต่ก็ไม่ได้ตัดสาย ทำเพียงเงียบกันอยู่แบบนี้ต่อไป หลินปั้นซย่าได้ยินเสียงลมหายใจจากอีกฝั่ง ไม่รู้เพราะอะไรในแววตาของเขาจึงปรากฏความสุขและความผ่อนคลายออกมา “ผมรอที่บ้านนะ”
[อื้อ] ซ่งชิงหลัวพูด [รอผมกลับไป]
หลินปั้นซย่าหักใจกดตัดสายโทรศัพท์
ระหว่างทางกลับบ้านหลินปั้นซย่าผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตจึงถือโอกาสแวะซื้อโคล่ากลับไปหนึ่งลัง พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้พักผ่อนอย่างจริงจังเป็นเวลานานแล้ว จบเรื่องนี้ต้องหาเวลาพักผ่อนสักระยะหนึ่งให้ได้
หลินปั้นซย่าคิดกับตัวเองว่าตอนนี้เขาไม่ได้ขัดสน และยังพาเสี่ยวฮวากลับมาบ้านได้แล้ว ซ้ำยังมีคนรักที่ทั้งชีวิตไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน ทุกอย่างล้วนงดงามจนทำให้เขาหวงแหนทุกนาทีที่ใช้ไปในตอนนี้
เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นการรอคอยอันทรมานที่แสนเนิ่นนาน หลินปั้นซย่าไม่เคยรู้สึกอยากเจอซ่งชิงหลัวเร็วๆ ขนาดนี้มาก่อน อีกทั้งความปรารถนานี้ก็รุนแรงเหลือเกิน จนทำให้ตอนที่หลินปั้นซย่าเจอซ่งชิงหลัวจริงๆ ก็ถึงกับจมอยู่ในภวังค์เงียบงันอย่างทำอะไรไม่ถูก เพียงมองอีกฝ่ายเดินเข้าห้อง มองเขาเดินมาข้างกาย มองเขาโน้มตัวลง ก่อนประทับจูบปลอบประโลมลงมาที่ริมฝีปาก
“ยังรู้สึกไม่สบายอยู่หรือเปล่า” น้ำเสียงของซ่งชิงหลัวแฝงความห่วงใย “อยากไปโรงพยาบาลมั้ย”
หลินปั้นซย่าเพิ่งตั้งสติได้ “ผม…ไม่เป็นไร”
“ทำไมหน้าซีดขนาดนี้ล่ะ”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ”
ซ่งชิงหลัวยกมือขึ้นวัดอุณหภูมิบนหน้าผากหลินปั้นซย่า เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่มีไข้ก็เบาใจลง หลินปั้นซย่าลังเล ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่ตนจับวัตถุนอกรีตกับมือให้ซ่งชิงหลัวฟัง ตอนแรกสีหน้าซ่งชิงหลัวยังผ่อนคลายดี แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อได้ฟังหลินปั้นซย่าเล่า สีหน้าของชายหนุ่มก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคิ้วก็ขมวดเป็นปม “มีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือเปล่า”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “หลี่ซูเหมือนจะรู้แล้ว เขาบอกให้ผมบอกคนอื่นไปว่าเขาเป็นคนจับวัตถุนอกรีตได้…”
ซ่งชิงหลัวเงียบและตริตรองครู่หนึ่ง “ดี ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด”
หลินปั้นซย่าพยักหน้า “ผมได้ยินมาจากหลี่ซูว่าเรื่องคราวนี้ผิดปกตินิดหน่อย”
“อืม” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ไม่ค่อยปกตินัก”
“เกี่ยวอะไรกับ…เรื่องในตอนนั้นหรือเปล่า” เพราะไม่รู้ว่าซ่งชิงหลัวเต็มใจจะพูดถึงมันหรือไม่ หลินปั้นซย่าจึงระวังคำพูดอย่างยิ่ง
ดังคาด ทันทีที่พูดถึงเรื่องในตอนนั้น สีหน้าของซ่งชิงหลัวก็แปลกไปทันที เขาคล้ายจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง และลังเลว่าควรดึงหลินปั้นซย่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
หลินปั้นซย่าไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ ทำเพียงจ้องมองซ่งชิงหลัวเงียบๆ อยู่ข้างๆ หลังจากเงียบงันอยู่นานสองนาน ในที่สุดซ่งชิงหลัวก็เอ่ยปาก “หลี่ซูบอกคุณไปแค่ไหนแล้ว”
“ไม่เยอะมาก เขาบอกให้ผมมาถามคุณเอง”
ซ่งชิงหลัวเอ่ยแกมหัวเราะ “ก็นับว่ายังอยากมีชีวิตรอดอยู่บ้าง” เขาเหลือบมองนาฬิกา “ผมจะไปทำอะไรกินก่อน เราค่อยมาคุยไปกินไปดีมั้ย”
หลินปั้นซย่ารีบพยักหน้ารับ “โอเคครับ”
ด้วยเหตุนี้ หลังจากซ่งชิงหลัวผัดอาหารสองสามอย่าง ก็พูดเรื่องในตอนนั้นขึ้นมาราวกับคุยเรื่องทั่วๆ ไป ทว่าคำแรกที่เขาเอ่ยทำเอาหลินปั้นซย่าต้องตะลึงค้างทันที
“ตอนนั้นผมเจอวัตถุนอกรีตในห้องหนังสือของพ่อมากกว่าหนึ่งอย่าง” เขากล่าว
“…”
ซ่งชิงหลัวกินหนึ่งคำก่อนเอ่ยต่อ “หลี่ซูได้บอกเรื่องที่วัตถุนอกรีตอยู่ร่วมกันไม่ได้ให้คุณฟังหรือยัง”
หลินปั้นซย่าตอบ “บอกแล้ว แต่ตอนที่เสี่ยวฮวากับเสี่ยวคูอยู่ด้วยกันก็ปกติดีไม่ใช่เหรอ”
“เพราะอย่างนี้หลักการนี้ถึงไม่ถูกต้องนัก” ซ่งชิงหลัวคีบอาหารใส่ปากช้าๆ เคี้ยวอย่างเอื่อยเฉื่อยก่อนกลืนลงไป “พูดให้ถูกคือพวกมันไม่สามารถถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกันได้”
“หมายความว่ายังไง?!”
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ปกติแล้วต้นตอของวัตถุนอกรีตคือรังสีบางอย่างที่ทำให้เกิดการระบาด รังสีประเภทนี้มีจำกัด ในระยะแรกเริ่มหลังจากถูกแผ่รังสีซึ่งยังไม่ค่อยเสถียร มันจะสามารถเคลื่อนย้ายผลัดเปลี่ยนได้ กล่าวคือสิ่งที่มีรังสีค่อนข้างแรงจะดูดซับรังสีรอบๆ ไปด้วย จากนั้นจึงแปรสภาพเป็นวัตถุนอกรีตเพียงหนึ่งเดียว”
หลินปั้นซย่าเข้าใจแล้ว “งั้นก็แปลว่าถ้าหากวัตถุนอกรีตเกิดขึ้นพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่ฝีมือของคนก็เป็นเพราะเกิดสถานการณ์ผิดปกติขึ้น?”
“ถูกต้อง ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่พบร่องรอยการแทรกแซงจากมนุษย์”
หลินปั้นซย่าตริตรอง “คุณหมายถึง…สิ่งที่สร้างวัตถุนอกรีตนั่นเคยปรากฏอยู่ในห้องหนังสือของพ่อคุณเหรอ” เพราะอย่างนี้ถึงได้เกิดเหตุการณ์ที่วัตถุนอกรีตหลายชิ้นปรากฏขึ้นพร้อมกัน
“ก็ประมาณนั้น” ซ่งชิงหลัวหลุบตาลงต่ำราวกับจมสู่ห้วงอดีต “เรื่องนี้มีความพิเศษมาก แทบจะเป็นเพียงครั้งเดียวที่สามารถตรวจจับร่องรอยตัวตนของมันได้ เพียงแต่ไม่คิดว่าเวลาผ่านไปสิบกว่าปีจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”
หลินปั้นซย่าเอ่ย “มันปรากฏขึ้นอีกครั้งเหรอ”
“อืม” ซ่งชิงหลัวกล่าว “มันออกมาอีกครั้งแล้ว”
ชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาทั้งคู่ต่างเงียบงัน จมสู่ภวังค์ความคิด หลินปั้นซย่าพิจารณา สุดท้ายก็เล่าเรื่องท้องฟ้าแปลกๆ ที่เขาเห็นเมื่อคืนให้ซ่งชิงหลัวฟัง ใครจะรู้ว่าซ่งชิงหลัวเองก็ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และถามเป็นการยืนยันกับหลินปั้นซย่าซ้ำไปซ้ำมา
“ผมถูกปนเปื้อนหรือเปล่า” หลินปั้นซย่าคิดว่ามันเป็นคำอธิบายเรื่องที่สีตาเขาเปลี่ยนได้ดีที่สุด “เพราะอย่างนั้นตาก็เลยกลายเป็นสีเขียว?”
“ไม่” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ตอนแรกที่คุณคิดจะลงมือกับผมอาจจะถูกปนเปื้อนแล้ว แต่หลังจากนั้นร่างกายคุณก็ไม่มีกลิ่นอายของคู่ดำรงเลย ไม่เหมือนกับคู่ดำรงที่ถูกปนเปื้อน”
หลินปั้นซย่ากุมหัว “งั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ซ่งชิงหลัวอับจนปัญญาเล็กน้อย “ผมก็ไม่รู้”
“ฮะ?”
“ผมเพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบคุณครั้งแรกจริงๆ” ซ่งชิงหลัวยื่นแขนออกมา ใช้นิ้วโป้งคลึงดวงตาหลินปั้นซย่า “บนร่างกายคุณมีร่องรอยว่าเคยถูกปนเปื้อน แต่คุณไม่ใช่คู่ดำรงของมัน…”
หลินปั้นซย่ามองซ่งชิงหลัวอย่างมึนงง
ซ่งชิงหลัวพูดต่อ “หรือจะกลายพันธุ์?”
หลินปั้นซย่าเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “เป็นเรื่องดีหรือแย่เหรอ ผมจะบินได้เหมือนกันหรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ต่อให้กลายพันธุ์แล้วก็บินไม่ได้”
“แบบนี้ไม่วิทยาศาสตร์* เลยตัวที่เราจับมาได้มีปีกด้วยนะ” หลินปั้นซย่าคิดถึงประโยคคลาสสิกจากหนังซูเปอร์ฮีโร่ คนรวยอาศัยเทคโนโลยี คนจนอาศัยการกลายพันธุ์ จากนั้นก็นึกคึกขึ้นมาทันที “ผมจะกลายเป็นเหมือนสไปเดอร์แมนหรือเปล่า จากนี้ผมจะเป็นคนกอบกู้โลกเอง”
ซ่งชิงหลัวมองหน้าตาจริงจังของหลินปั้นซย่าแล้วกุมหน้าถอนหายใจยาว “จ่ายหนี้บ้านให้หมดก่อนเถอะ ค่อยไปเป็นซูเปอร์ฮีโร่”
หลินปั้นซย่า “…” นี่ไม่ใช่แค่สาดน้ำเย็น แต่ที่สาดมาน่ะ…น้ำแข็งชัดๆ
* 。(jù hào) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนอย่างหนึ่งในภาษาจีน ใช้วางไว้ท้ายประโยคเพื่อบอกว่าจบประโยคแล้ว
* ไม่วิทยาศาสตร์ เป็นสแลงบนอินเตอร์เน็ต หมายถึงสิ่งที่ขัดต่อสามัญสำนึก ไม่สมเหตุสมผล
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 ม.ค. 66
Comments
comments
No tags for this post.