X
    Categories: everYทดลองอ่านภาพวาดโครงกระดูก

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4 บทที่ 87 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

  

บทที่ 87 พยัคฆ์ดอมดมกุหลาบ** (1)

หลินปั้นซย่าเป็นคนที่เลี้ยงง่ายมากๆ คนหนึ่ง เขาชินกับพื้นที่อยู่อาศัยเล็กแคบ ไม่จำเป็นจะต้องมีแดดมากหรืออากาศดีก็ใช้ชีวิตได้อย่างดีมากแล้ว แต่ใครเล่าจะไม่อยากได้ใคร่ดี พอได้ลิ้มรสหวานล้ำ ถึงได้รู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของตนขมขื่นเพียงไหน

วัตถุนอกรีตครั้งนี้ได้รับหมายเลขประจำตัวอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะว่ามันเกี่ยวพันเป็นวงกว้างเกินไป ทำให้มันมีชื่อที่พิเศษทั้งยังจำง่ายมากๆ ซึ่งก็คือ 53331 และ 54442 กลุ่มคนที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวพันด้วยเข้าต้องโรงพยาบาลแทบจะทั้งหมด แน่นอน…พวกเขาจำไม่ได้เลยว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง ทางการได้แถลงกับสาธารณชนว่าเป็นปรากฏการณ์อาหารเป็นพิษเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังเตือนให้ประชาชนระมัดระวังความปลอดภัยของอาหาร…

หลินปั้นซย่าตั้งใจไปดูการผนึกทุกขั้นตอนด้วยตาตัวเอง วัตถุนอกรีตขนาดยักษ์ถูกผนึกอยู่ในโกดังขนาดใหญ่ ทั้งยังใช้วัสดุพิเศษห่อหุ้มด้านนอกโกดัง และมีคนคอยเฝ้ายามรอบๆ อีกด้วย ส่วนมดตัวน้อยที่หลี่ซูนำกลับมาถูกผนึกไว้ในหีบ ระหว่างการผนึกทางสถาบันได้ตรวจสอบจนรู้คุณสมบัติพิเศษของวัตถุนอกรีตทั้งสองแล้ว

เจ้าตัวใหญ่สามารถเปลี่ยนองค์ประกอบของร่างกายมนุษย์ให้เป็นมวลน้ำหวาน และน้ำหวานก็สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นหุ่นเชิดที่มันสามารถควบคุมได้ แต่อาณาเขตที่มันสามารถควบคุมได้นั้นมีจำกัด ค่าตัวเลขที่แน่ชัดคือภายในรัศมี 23.75 กิโลเมตร และไม่ได้มีความดุร้ายมากนัก ผู้ที่ถูกควบคุมจะไม่ไปล่าเหยื่อด้วยตัวเอง เพียงรอให้เหยื่อเข้ามาใกล้เสียก่อนถึงจะพยายามเปลี่ยนเหยื่อให้กลายเป็นพวกเดียวกัน คนที่ถูกเปลี่ยนเป็นพวกเดียวกับพวกเขาแล้วกระดูกและกล้ามเนื้อจะหายไปทั้งหมด เหลือเพียงแค่ผิวหนังกับเส้นผม เหมือนกลายเป็นโถใส่น้ำหวานอย่างหนึ่ง ด้านในร่างกายบรรจุด้วยมวลน้ำตาลอยู่เต็ม เพียงใช้ของมีคมจิ้มก็จะระเบิดออก

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ถูกมันควบคุมจะกลายเป็นน้ำหวานทั้งหมด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าผู้อยู่อาศัยจำนวนมากนี้คงจะไม่เหลือชีวิตรอดกันแล้ว มันจะเลือกคนที่มันอยากกินมาส่วนหนึ่ง ส่วนวิธีการตัดสินนั้น ความหน้าตาดีหรือแย่ของคนคนนั้นก็มีส่วนด้วย…

เมื่อหลินปั้นซย่าดูถึงตรงนี้ก็จมสู่ห้วงความคิดอย่างยาวนาน ก่อนถามซ่งชิงหลัวว่าพวกเขาประเมินคุณภาพหน้าตาของเจ้าหน้าที่ที่ถูกเปลี่ยนเป็นพวกมันยังไงบ้าง

ซ่งชิงหลัวอยู่บนโซฟาข้างๆ กำลังหยอกเล่นอยู่กับเสี่ยวฮวา เขาพูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ทำการทดลองโดยตอนแรกพาทั้งเด็กและคนแก่ ผู้หญิงผู้ชายก็เข้าไปหมด แต่ที่กลายเป็นน้ำหวานทั้งหมดเป็นเด็กวัยรุ่น จากนั้นก็ให้เด็กวัยรุ่นเข้าไปกลุ่มหนึ่ง คนที่ถูกทำให้กลายเป็นพวกเดียวกับมันส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาวสวยๆ กับเด็กหนุ่มหน้าตาดี…”

หลินปั้นซย่าคิดในใจว่าสมัยนี้แม้แต่วัตถุนอกรีตก็ยังให้ค่ากับหน้าตามากกว่า ถ้าหน้าตาแย่แม้แต่คุณสมบัติจะกลายเป็นน้ำตาลก็ยังไม่มี “ถ้าอย่างนั้นคนที่ไปร่วมการทดลองจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”

“ไม่เป็นอะไรแน่นอน” ซ่งชิงหลัวกล่าว “พวกเราไม่ใช่องค์กรที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมสักหน่อย ย่อมต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้เข้ารับการทดลองอยู่แล้ว”

หลินปั้นซย่าได้ฟังคำพูดนี้ก็บ่นอุบอิบอยู่ในใจ ตอนที่คุณถูกลากไปทำการทดลองทางนั้นไม่เห็นจะคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของคุณเลย แย่มากจริงๆ แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดออกไป ทำเพียงแค่คิดอยู่ในใจเท่านั้น

ความดุร้ายของ 54442 นั้นรุนแรงกว่า 53331 มาก ร่างเดิมของมันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดพอๆ กับมดตัวหนึ่ง มีลำตัวยาว 5.42 เซนติเมตร มองแวบแรกก็ไม่ต่างอะไรจากมด แต่ความดุร้ายของมันไม่ใช่เล่นๆ เลย มันจะโจมตีสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เข้าใกล้ และแบ่งตัวออกกระจายเป็นฝูงแมลงตัวเล็กที่รูปร่างเหมือนกับมันจำนวนนับไม่ถ้วน แทรกเข้าไปในร่างกายมนุษย์ผ่านรูจมูกกับปากและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว

ระหว่างนั้นผู้ที่เป็นภาชนะสำหรับการขยายพันธุ์ของมันจะเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง จนต้องพยายามใช้ทุกวิถีทางที่มีเพื่อจบชีวิตตัวเอง และเมื่อร่างโฮสต์เสียชีวิต แมลงเหล่านั้นจะไม่ไต่ออกมาจากร่างแต่จะหายไปทันที หากในระหว่างนี้มีสิ่งที่เป็นภัยคุกคามกับตัวมัน พวกแมลงก็จะทำการโจมตีต่อเนื่อง แมลงที่ 54442 สร้างออกมาหลงใหลน้ำหวานที่ 53331 สร้างมากๆ หลังจากพวกมันกินน้ำตาลพวกนั้น แมลงก็จะตกอยู่ในภาวะมึนเมาราวกับมนุษย์ที่เมาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อเป็นอย่างนี้ ความผูกพันอันน่าหลงใหลที่ 54442 มีต่อ 53331 ก็สามารถอธิบายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว มันทำหน้าที่นำคนมาไว้ในรัง แล้วให้ 53331 เปลี่ยนผู้คนเหล่านั้น ส่วนหนึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด และส่วนหนึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นอาหาร ช่างเป็นวงจรที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

นอกจากนี้เหล่าคู่ดำรงที่ถูกปนเปื้อนปกติแล้วเวลาส่วนใหญ่ก็จะไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป ปฏิกิริยาเดียวที่แสดงออกมาคือจะทำเรื่องคล้ายๆ กัน อย่างเช่นการจัดวางองค์ประกอบของห้องทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบที่ 53331 ชอบ อะไรทำนองนี้…

คู่ดำรงแบบนี้แฝงตัวปะปนอยู่ในฝูงชนโดยที่ไม่มีอันตรายต่อคนรอบข้าง จึงแทบจะมองไม่ออกเลยว่าเป็นคู่ดำรง หากไม่ใช่เพราะซ่งชิงหลัวได้เจอกับหลูอินอินที่ถูกปนเปื้อนโดยบังเอิญ ก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะมีใครค้นพบ เมื่อถึงตอนนั้นพื้นที่ที่ถูกยึดเป็นรังของมันก็คงไม่ได้มีเพียงแค่เขตเมืองเก่า

ในที่สุดเรื่องราวครั้งนี้ก็สามารถเขียนจุดจบประโยคได้เสียที ซ่งชิงหลัวและหลินปั้นซย่าจัดการกับภารกิจสองอย่างติดกัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้รับเงินโบนัสอย่างล้นหลาม หลินปั้นซย่ามีเงินมากมายเหมือนเศรษฐีที่จู่ๆ ก็รวยขึ้นมา ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง แม้ว่าในธนาคารจะมีจำนวนเลขถึงแปดหลัก แต่ไม่รู้ทำไมชีวิตของเขาถึงเปลี่ยนไปแค่อยู่ในระดับที่สามารถนั่งตากแอร์ดื่มโคล่าเย็นๆ อยู่ที่บ้านอย่างสบายใจเฉิบเท่านั้น ส่วนชีวิตหรูหราสุขสบายที่มีได้เฉพาะคนรวยพวกนั้นหลินปั้นซย่าไม่เคยแม้แต่จะนึกถึงมาก่อน

สิ่งที่มาพร้อมกับเงินโบนัสก้อนใหญ่ก็คือวันหยุดยาว หลินปั้นซย่าครุ่นคิดอยู่นาน แม้เขาจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็เลือกลาออกจากงานเก็บศพ

จี้เล่อสุ่ยไม่เข้าใจความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ของเขาเลยสักนิด ถามเขาไปว่าตกลงมีตรงไหนให้อาลัยอาวรณ์กันแน่ เพื่อนร่วมงานพวกนั้นมาทำงานแป๊บๆ เดี๋ยวก็ลาออก ก็ไม่ได้สนิทกับนายเท่าไหร่นี่นา หรือว่าจะอาลัยอาวรณ์ศพพิลึกพิลั่นพวกนั้น?

หลินปั้นซย่าเอ่ย “นายไม่เข้าใจหรอก มันเป็นงานแรกที่ฉันทำ ยังไงก็ต้องรู้สึกผูกพันบ้างสิ”

จี้เล่อสุ่ยขนลุกขนพอง “จริงจังหรือเปล่าเนี่ย”

“ฉันก็ต้องจริงจังอยู่แล้ว จนตอนนี้ฉันยังจำศพแรกที่เห็นได้อยู่เลย คนนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่กระโดดตึกฆ่าตัวตาย แหลกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จนแทบจะเก็บไม่ได้…”

จี้เล่อสุ่ยทำมือบอกให้หยุด “หยุดพูดทีเถอะ ถือว่าขอร้อง”

หลินปั้นซย่าแบมือ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

หลังจากลาออก หลินปั้นซย่าก็ขลุกอยู่ที่บ้านหลายวัน แต่ละวันก็เอาแต่ใช้ชีวิตเมามายตายในฝัน* กับซ่งชิงหลัว ไม่ถึงเที่ยงวันไม่ยอมลุกออกจากเตียง…ทั้งสองต่างก็ไม่ได้ชอบดื่มเหล้า วันๆ จึงเอาแต่เคลิบเคลิ้มกับการดื่มโคล่าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ท่าทางประดุจอยู่ในสระสุราป่าเนื้อ**

หลี่ซูมาบ้านหลินปั้นซย่า ทันทีที่เข้าห้องมาก็เห็นทั้งคู่นอนเปื่อยเป็นเก่อโยว*** อยู่ที่โซฟา ขนาดได้ยินเสียงเขาเปิดประตูเข้ามาก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง

โต๊ะด้านข้างเต็มไปด้วยขวดโคล่านับไม่ถ้วน ผีในห้องรู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้ออกจากบ้านนานแค่ไหนแล้ว

“ช่วงนี้พวกนายทำอะไรกันบ้างเนี่ย โทรหาก็ไม่รับ” หลี่ซูเอ่ย “ทางนั้นถึงกับนึกว่าเกิดเรื่องอะไรกับพวกนายแล้ว เลยสั่งให้ฉันมาดูพวกนายโดยเฉพาะเลยเนี่ย”

หลินปั้นซย่านอนตักซ่งชิงหลัว ไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับแขก “พวกเราไม่ได้เป็นอะไรเลย”

หลี่ซูถามต่อ “ไม่ได้เป็นอะไรเลยแล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์เล่า”

หลินปั้นซย่าตอบไปตามตรง “โทรศัพท์อยู่ในห้องนอน ขี้เกียจเดินเข้าไปเอา”

หลี่ซูหมดคำจะพูด เขาเดินไปข้างๆ คนทั้งสองก็พบบางอย่างที่คาดไม่ถึง…พวกเขากำลังดูเป๊ปป้าพิกอยู่ “พวกนายเป็นบ้าอะไรกันแน่เนี่ย ดูไอ้นี่เนี่ยนะ? ถ้าดูไอ้นี่อยู่แล้วมีเรื่องสำคัญขึ้นมาแต่ติดต่อพวกนายไม่ได้จะทำยังไง”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “นายก็มาแล้วนี่ไง”

ความจริงคนที่ดูเป๊ปป้าพิกไม่ใช่พวกเขาแน่นอน แต่เป็นเสี่ยวฮวากับเสี่ยวคู น่าเสียดายที่พอเด็กทั้งสองได้ยินเสียงเคาะประตูของหลี่ซูก็เข้าไปหลบในห้องนอนทันที ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นว่าคนที่ดูเป๊ปป้าพิกเป็นหลินปั้นซย่ากับซ่งชิงหลัวแทน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นน่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย หลินปั้นซย่าจึงกัดฟันเอ่ย “ก็สนุกดีนะครับ”

หลี่ซู “…”

ซ่งชิงหลัวพูดคล้อยตามอย่างใจเย็น “ไม่แย่”

หลี่ซู “…”

ทั้งสามเงียบฉี่ไปกว่าหนึ่งนาที แล้วหลินปั้นซย่าก็เริ่มทนไม่ไหว “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

หลี่ซูกล่าว “ไม่มีอะไร แค่จะมาดูเป๊ปป้าพิกกับพวกนาย”

หลินปั้นซย่า “…”

“ล้อเล่น” หลี่ซูถอนหายใจ “ฉันไม่ได้รู้สึกเบื่อเท่าพวกนายสองคนหรอกนะ…”

หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวต่างกระสับกระส่ายและไม่เอ่ยปากพูด แต่ใบหน้าก็ยังฉายชัดว่านายไม่รู้จักเพลิดเพลินกับของแบบนี้เลย

“หลี่เย่ซื้อบ้านใหม่แล้ว ยังไงช่วงนี้ก็เป็นวันหยุด คงไม่มีอะไรทำ จะไปเที่ยวเล่นที่นั่นสักสองสามวันมั้ย” หลี่ซูพูดเข้าเรื่อง

ซ่งชิงหลัวตริตรองก่อนเอ่ย “ที่ไหน”

หลี่ซูบอกว่า “ฝั่งเมือง H น่ะ อยู่ติดภูเขา สภาพแวดล้อมดีมาก…”

ซ่งชิงหลัวไม่กล่าวอะไรต่อ หันไปส่งสายตาให้หลินปั้นซย่าประมาณว่ากำลังสอบถามอีกฝ่ายว่าอยากไปหรือไม่ หลินปั้นซย่าชอบออกไปเที่ยวไม่น้อย แต่เรื่องเที่ยวต้องจ่ายทั้งเงินทั้งเวลา ก่อนหน้านี้อย่างแรกเลยเขาไม่มีเงิน อย่างที่สองคือเขาไม่มีเวลา เรื่องพวกนี้จึงไม่สัมพันธ์กับชีวิตเขานัก ทว่าตอนนี้ในที่สุดก็มีเงินสำรอง ซ้ำยังลาออกจากงานแล้ว ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ ก็คล้ายจะดีไม่น้อย

“ได้สิ” หลินปั้นซย่าเห็นชอบด้วยความยินดี

หลี่ซูเอ่ย “งั้นไปพรุ่งนี้บ่ายเลย พวกนายอย่าลืมเก็บกระเป๋ากันให้พร้อมล่ะ”

หลินปั้นซย่าถามว่า “เที่ยวบินตอนกี่โมงเหรอ”

“หลี่เย่เหมาลำไว้” หลี่ซูลุกขึ้นยืน โบกมือเตรียมตัวกลับ

หลินปั้นซย่าคิดในใจว่าหลี่ซูกับหลี่เย่ก็รวยไม่ใช่เล่น ไม่รู้ว่าเพราะสีหน้าเขาชัดไปหรือเปล่า หลี่ซูถึงหัวเราะ “ถ้าซ่งชิงหลัวไม่เอาเงินไปซื้อโบราณวัตถุพวกนั้นก็เหมาเครื่องบินไหวอยู่แล้ว…เขาเป็นผู้สังเกตการณ์มาตั้งสิบกว่าปี…ค่าตอบแทนควรจะหลายร้อยล้านแล้ว” เขาพูดจบก็โบกมือขอตัวลา ทิ้งห้องให้เหลือเพียงความเงียบสงัด

คงเป็นเพราะตระหนักได้ว่าสีหน้าหลินปั้นซย่าแปลกไป ซ่งชิงหลัวจึงชิงกดปิดเป๊ปป้าพิกเสีย ลุกขึ้นเลิกแขนเสื้อพลางเดินเข้าห้องครัวไปด้วยความใจเย็น ทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าที่หนักอึ้งขึ้นทุกทีของหลินปั้นซย่า

“ชิงหลัว” หลินปั้นซย่าเรียกเขาจากด้านหลัง

แผ่นหลังของซ่งชิงหลัวชะงักค้าง เอ่ยเสียงสุขุม “หืม?”

“กองของพวกนั้นของคุณน่ะใช้เงินกับมันไปเท่าไหร่กันแน่”

“ก็ไม่เท่าไหร่…”

หลินปั้นซย่าถาม “ไม่เท่าไหร่คือเท่าไหร่”

ซ่งชิงหลัวเอ่ยเสียงคลุมเครือ “…หมื่นมั้ง”

“กี่หมื่น”

ซ่งชิงหลัว “…ไม่กี่พันหมื่น*

หลินปั้นซย่ายกมือขึ้นจิกจุดเหรินจง** ของตัวเอง รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น

ซ่งชิงหลัวเบือนหน้าหนีอย่างกระสับกระส่าย เอ่ยเสียงแผ่วว่า “จากนี้จะซื้อให้น้อยลง”

หลินปั้นซย่าถามเขาว่า “ก็คือยังจะซื้ออีกใช่มั้ย”

ซ่งชิงหลัวกะพริบตาปริบๆ “ถ้าของจริงซื้อได้หรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าคิดว่าตนมีแต่ต้องอดกลั้นให้ได้ถึงจะไม่ถูกเรื่องนี้ทิ่มแทงใจจนน้ำตาหลั่งรินออกมา เขาเอ่ยเสียงสั่น “ก่อนหน้านี้ได้ยินคุณพูดว่าคุณเข้าใจโบราณวัตถุแค่ผิวเผิน ตอนแรกนึกว่าคุณแค่ถ่อมตัว ใครจะรู้ว่าคุณเข้าใจแค่ผิวเผินจริงๆ ด้วย” ได้ยินหลินปั้นซย่าพูดแบบนี้ ต่อให้รู้ว่าบรรยากาศไม่เหมาะ แต่ซ่งชิงหลัวก็อดไม่อยู่ต้องกระตุกมุมปากยิ้ม

หลินปั้นซย่าร้องไห้ แล้วเอ่ยว่า “จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเรายังต้องเลี้ยงเด็กอีกนะ…”

ซ่งชิงหลัวยกยิ้ม เอ่ยรับคำเสียงแผ่ว

สุดท้ายทั้งคู่ก็ตกลงกันได้ในตอนที่กินมื้อค่ำ หลังจากนี้ซ่งชิงหลัวยังสามารถซื้อโบราณวัตถุต่อได้ แต่เงื่อนไขข้อแรกคือต้องพาหลินปั้นซย่าไปด้วย จากที่หลินปั้นซย่ากล่าวมา ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจเรื่องโบราณวัตถุนัก แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักมือถือแอปเปิ้ลและเป๊ปป้าพิก

 

บ่ายวันต่อมา หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวที่เก็บของเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถของหลี่ซูและหลี่เย่ตรงตามเวลานัด

หลี่ซูยังคงอยู่ในชุดจัดเต็มครบทุกอุปกรณ์ เป็นเพราะสาเหตุเรื่องของร่างกาย ฤดูร้อนสำหรับเขาจึงทรมานเป็นพิเศษ เขาแทบจะห่อตัวเองเป็นบ๊ะจ่าง ไม่กล้าเผยผิวออกมาข้างนอกเลย

แสงอาทิตย์เป็นสิ่งที่งดงามสำหรับคนอื่นๆ แต่กับหลี่ซูกลับเป็นความระทมทุกข์อย่างหนึ่ง ผิวหนังอันบอบบางของเขาไม่สามารถรับแสงแดดได้เลย เพียงแค่อาบแดดเป็นเวลาสั้นๆ ก็อาจจะเกิดผลลัพธ์ร้ายแรงตามมาได้

กระจกรถติดฟิล์มหนา เมื่อเข้ามาและปิดประตูก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย หลี่ซูนั่งเบาะด้านหลัง ตบไหล่หลี่เย่พลางเอ่ย “ไปกันเถอะ”

หลี่เย่รับคำเสียงเรียบแล้วตรงไปยังสนามบิน

ที่ที่จะไปหลินปั้นซย่าเคยเห็นแค่ในโทรทัศน์เท่านั้น จึงถามสถานการณ์ของที่นั่นกับหลี่เย่ไปเรื่อยเปื่อย

“เฮ้ วิวห้องนั้นน่ะสุดๆ ไปเลยล่ะ” หลี่ซูกล่าว “ออกจากห้องมาก็เจอน้ำตกยักษ์ ร่มไม้ล้อมรอบ เหมาะกับการหลบแดดหน้าร้อนที่สุด คุณก็รู้ว่าคนอย่างผมโดนแดดไม่ได้ ช่วงนี้ของทุกปีผมจะต้องหนีไปหลบแดดที่อื่นตั้งหลายวัน ไม่อย่างนั้นก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน…”

หลินปั้นซย่าได้ยินคำพรรณนาของหลี่ซูก็แสดงออกว่าตั้งตารออย่างยิ่ง

หลี่ซูเอ่ยต่อ “บ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลปืนเที่ยง แถวๆ นั้นยังมีหมู่บ้านทำเครื่องกระเบื้องเคลือบด้วย อยากซื้ออะไรก็มีให้ซื้อ…พวกเราสี่คนไปถึงแล้วก็ตั้งโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกได้ ครบมือพอดี”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “ซ่งชิงหลัวเล่นไพ่นกกระจอกเป็นด้วยเหรอ”

หลี่ซูบอกว่า “โธ่ ถึงเขาจะหน้าตาเหมือนไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์ แต่อย่าคิดว่าเขาจะเล่นไพ่ไม่เป็นน่า เขาน่ะฝีมือชั้นยอด คุณนั่นแหละ…ถึงตอนนั้นก็อย่าแพ้หมดตัวจนไม่เหลือแม้แต่กางเกงในล่ะ”

หลินปั้นซย่าหัวเราะไม่รับมุกต่อ เล่นไพ่เขาก็เล่นเป็นอยู่หรอก แต่แค่เล่นกับกลุ่มเพื่อนมหา’ลัยเป็นครั้งคราวเท่านั้น ตอนนั้นทุกคนต่างก็ขัดสนจึงไม่ลงเงินกัน คนที่แพ้ต้องรับหน้าที่ทำความสะอาดห้อง ผลสรุปคือตลอดทั้งเทอมหลินปั้นซย่าไม่เคยได้แตะไม้กวาดเลยสักครั้ง กลับกันเจ้าจี้เล่อสุ่ยที่ติดการพนันซ้ำยังฝีมือย่ำแย่ แทบจะกลายเป็นแม่บ้านรับเหมาของห้องไปแล้ว

พูดถึงจี้เล่อสุ่ย ครั้งนี้เขากับซ่งชิงหลัวไปเที่ยวหลายวันเลยฝากฝังเสี่ยวฮวาและเสี่ยวคูให้จี้เล่อสุ่ยดูแล เจ้าตัวจึงรับช่วงต่อเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนอนุบาลได้สำเร็จ ตอนเช้าทำงาน เลิกงานมาก็ให้นมเด็กๆ หลินปั้นซย่ารู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุดซึ้ง รับปากว่าก่อนกลับจะซื้อของขวัญให้แน่นอน

ลงจากรถมาก็เปลี่ยนไปขึ้นเครื่องบินต่อจนไปถึงจุดหมาย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาราวครึ่งวัน ไม่นานหลินปั้นซย่าก็ได้พบกับอสังหาริมทรัพย์ของหลี่เย่ที่หลี่ซูกล่าวถึง

ถึงเขาจะเตรียมใจมาพร้อมแล้ว แต่เมื่อได้เห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาจริงๆ ก็ต้องตะลึงตาค้าง ภายนอกตัวคฤหาสน์ประณีตงดงาม ติดแม่น้ำชิดภูเขา มีรั้วล้อมรอบ ภายในเขตรั้วเป็นสวนที่จัดการดูแลเป็นอย่างดี ตอนนี้เป็นช่วงเดือนกรกฎาคมพอดี พุ่มดอกไม้งอกงามขับให้ที่นี่ประดุจธารดอกท้อ เหมือนไม่ใช่แดนมนุษย์

โดยรอบเป็นต้นไม้อุดมสมบูรณ์ มีทางเดินเล็กๆ ที่มีร่มเงาจากต้นไม้ทอดยาวไปยังสถานที่อันสงบเงียบ หลี่ซูบอกว่าสามารถไปดูน้ำตกทางนั้นได้ จัดกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนแล้วพวกเขาค่อยไปที่นั่นกัน

ภายในตัวคฤหาสน์มีคนเปิดประตูให้พวกเขา หลี่ซูถือโอกาสเอ่ยแนะนำให้รู้จัก กล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อบ้านที่คอยดูแลคฤหาสน์นี้ ปกติตอนที่พวกเขาไม่อยู่ที่นี่ พ่อบ้านก็จะรับหน้าที่คอยบำรุงรักษาและดูแลบ้าน หลินปั้นซย่าหิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง รู้สึกว่าตัวเองคล้ายคุณยายหลิวเดินชมอุทยานต้ากวน* ส่วนซ่งชิงหลัวหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่นัก…ถ้าไม่ใช่เพราะหลินปั้นซย่าชอบ เขาก็คงขี้เกียจมาด้วยซ้ำ

คฤหาสน์ใหญ่มาก เขาจัดเตรียมห้องให้หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวอยู่ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าหลี่ซูกับหลี่เย่ต่างก็รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ไอ้เจ้าหลี่ซูยังหันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่หลินปั้นซย่าด้วยหนึ่งทีพร้อมบอกว่าของที่จำเป็นทุกอย่างอยู่ในตู้หัวเตียงหมดแล้ว…

หลี่เย่มีสีหน้ามืดครึ้ม ก่อนยื่นมือมาหิ้วเขาออกไป

ส่วนสูงของหลี่ซูไม่ต่ำกว่าร้อยเจ็ดสิบกว่าเซนติเมตร ส่วนหลี่เย่ก็ปาไปสองร้อยเซนติเมตรแล้ว เขาหิ้วหลี่ซูออกไปเหมือนกับหิ้วตุ๊กตาอย่างไรอย่างนั้น หลินปั้นซย่าได้แต่ทอดสายตาเห็นใจให้อีกฝ่าย

จัดของในห้องกว้างนี้ได้พักหนึ่ง หลินปั้นซย่าก็กระโจนเข้าหาเตียงนุ่มขนาดใหญ่ ผ้าปูที่นอนนี้ดูแล้วน่าจะเพิ่งเปลี่ยนใหม่ ทั้งยังตากแดดจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นของแสงแดด

“ดีจังเลย” หลินปั้นซย่ามุดหน้ากับที่นอน เอ่ยอย่างทอดถอนใจ

ซ่งชิงหลัวกล่าว “คุณชอบที่นี่เหรอ”

หลินปั้นซย่ากล่าว “ชอบสิ” คฤหาสน์แบบนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ แต่เมื่อเขาพูดคำว่าชอบจบก็เห็นซ่งชิงหลัวจมอยู่ในภวังค์ความคิด เขาจึงถามด้วยความแปลกใจ “คุณคิดอะไรอยู่เหรอ”

ซ่งชิงหลัวบอกว่า “ถ้าคุณชอบ งั้นเราก็ซื้อแบบนี้ด้วย”

หลินปั้นซย่าหัวเราะ “คุณมีเงิน?”

“ตอนนี้ไม่มี เดี๋ยวปีหน้าก็มี”

หลินปั้นซย่า “…จริงหรือหลอก?” เขาออกไปทำภารกิจหนึ่งครั้งก็ได้แค่ล้านกว่า แต่คฤหาสน์นี้ต่อให้ราคาถูกยังไงก็ต้องราคาหลักสิบล้านขึ้น ปากบอกจะซื้อก็ซื้อได้ที่ไหนกัน

ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ฐานเงินเดือนของพวกเราไม่เท่ากัน”

“…” ดังนั้นหลินปั้นซย่าถึงได้สงสัยว่าหลายปีมานี้ซ่งชิงหลัวจ่ายเงินออกไปเท่าไหร่กันแน่

ทั้งคู่นั่งเล่นอยู่ในห้องได้ครู่หนึ่งก็มีแม่บ้านมาเรียกให้พวกเขาลงไปกินข้าว หลินปั้นซย่าลงมาถึงห้องอาหารก็เห็นหลี่ซูกับหลี่เย่นั่งที่ตัวเองกันแล้ว ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่

ห้องอาหารของที่นี่ก็ใหญ่มาก ตกแต่งประดับประดาในสไตล์ยุโรป ทว่าหลินปั้นซย่ากลับสังเกตเห็นว่ามีภาพจำนวนหนึ่งแขวนที่มุมห้อง ทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นผลงานศิลปะ แต่เมื่อมองอย่างละเอียดถึงพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นภาพรวมครอบครัว วาดคนทั้งหมดสามรุ่นด้วยกัน ผู้อาวุโสทั้งหมดสามคน ผู้ใหญ่สองคน และเด็กอีกสองคน เด็กคนหนึ่งในนั้นยังเป็นทารกอยู่ เด็กอีกคนเป็นเยาวชน ผมสีขาวทั้งศีรษะ ใบหน้างดงามประณีตดุจตุ๊กตา เด็กน้อยยิ้มตาหยีมองไปข้างหน้า หลินปั้นซย่ามองแล้วก็รู้สึกคุ้นตา เขาเหลือบมองหลี่ซูที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยออกไปด้วยความลังเล “หลี่ซู ในภาพวาดนั่นคือคุณเหรอ”

หลี่ซูกำลังถกเรื่องอาหารที่กำลังจะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะกับหลี่เย่ เมื่อได้ยินคำถามของหลินปั้นซย่าก็ไม่แม้แต่จะหันมอง “ใช่แล้ว นั่นรูปครอบครัวผมเอง”

“ฮะ?” หลินปั้นซย่าเอ่ย “อ๋อ…เพิ่งเอามาแขวนไว้เหรอ”

ก่อนหน้านี้หลี่ซูพูดตลอดว่าหลี่เย่เพิ่งซื้อคฤหาสน์นี้มา หลินปั้นซย่าย่อมคิดว่าเจ้าของคฤหาสน์คือหลี่เย่ แต่เวลานี้กลับเห็นรูปครอบครัวของหลี่ซู สมองเขาจึงคิดอะไรไม่ทันเล็กน้อย

“เปล่า แขวนไว้หลายปีแล้ว” หลี่ซูหยิบทิชชูเปียกมาเช็ดมือ “เมื่อก่อนที่นี่เป็นบ้านผมเอง”

หลินปั้นซย่าตะลึงงัน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นทรัพย์สินตกทอดของครอบครัวหลี่ซู ดูท่าไม่ว่าจะซ่งชิงหลัวหรือว่าหลี่ซู ก่อนจะมาทำอาชีพนี้ฐานะทางบ้านพวกเขาต่างก็ไม่เลวแน่ๆ แต่ครอบครัวของหลี่ซูมาอาศัยในที่แบบนี้ได้ ชัดเจนว่าไม่สามารถใช้แค่คำว่า ‘ไม่เลว’ มาพูดสรุปฐานะทางบ้านได้

“ผมร่างกายไม่แข็งแรง ครอบครัวเลยตามใจผมตลอด” หลี่ซูกล่าว “ก็…ก่อนจะอายุสิบสี่ ผมก็ไม่เคยลำบากมาก่อน”

หลินปั้นซย่า “…” คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย

จากนั้นหลี่ซูก็เอ่ยต่อ “จากนั้นก็เกิดเรื่องกับครอบครัว ฐานะตกต่ำ คฤหาสน์ก็ต้องขายทิ้ง” มันควรจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์นัก แต่เขากลับเล่าได้อย่างเรียบเฉย หลังพิงเก้าอี้ โคลงศีรษะพลางพูด “แล้วหลี่เย่ก็แอบซื้อคฤหาสน์หลังนี้กลับมา ผมเซอร์ไพรส์สุดๆ” ปากพูดว่าเซอร์ไพรส์ แต่ในน้ำเสียงไม่ได้มีความเซอร์ไพรส์เลยแม้แต่นิด ซึ่งหลินปั้นซย่าก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน

อันที่จริงตั้งแต่เริ่มรู้จักหลี่ซู เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองนัก ดูจากข้อมูลที่เคยรู้มา หลี่เย่เป็นเด็กกำพร้าที่หลี่ซูเก็บกลับมาจากรัสเซีย แต่แทนที่เขาจะเคารพหลี่ซูที่ช่วยตัวเองออกมา หลี่ซูกลับดูเหมือนกลัวหลี่เย่เสียมากกว่า ทุกอย่างในชีวิตถูกควบคุมอย่างแน่นหนา ขนาดจะสูบบุหรี่สักมวนยังทำเหมือนเป็นขโมยก็มิปาน

ส่วนหลี่เย่นั้นเป็นคนเงียบขรึม พูดน้อย แต่ก็อยู่ข้างกายหลี่ซูแทบจะทุกที่ทุกเวลา จนแม้แต่หมื่นลี้ก็ยังไม่นับว่าไกลสำหรับเขา จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาหลี่ซูที่รัสเซียให้ได้ โซ่ตรวนระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เรียบง่ายเหมือนคำว่าเพื่อน กอปรกับภาพเหล่านั้นที่หลินปั้นซย่าได้เห็นในความฝัน จึงมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้เหมือนตนเองกับซ่งชิงหลัว แต่ถ้าเหมือนกันกับพวกเขา แล้วทำไมถึงได้รู้สึกห่างเหินอย่างบอกไม่ถูกล่ะ หลินปั้นซย่าคิดไม่ออกจริงๆ

ซ่งชิงหลัวไม่ได้กลัดกลุ้มใจกับเรื่องพวกนี้เหมือนหลินปั้นซย่า เขาเมินรูปครอบครัวไปทันทีแล้วเดินมานั่งตรงข้ามหลี่ซู ก่อนเอ่ยว่า “ฉันจะเอาโคล่า”

หลี่ซูเอ่ย “อายุเท่าไหร่แล้ว ยังกินโคล่าอยู่อีก?”

ซ่งชิงหลัวเลิกคิ้ว “คิดว่าหลี่เย่อยู่ตรงนี้แล้วฉันจะไม่กล้าต่อยนายหรือไง”

หลี่ซูรีบเอี้ยวตัวหันไปฟ้องทันที “หลี่เย่ ซ่งชิงหลัวจะต่อยฉัน!”

หลี่เย่หน้าไร้อารมณ์ “ต่อยสิ ผมพกยามา”

หลี่ซู “…”

ซ่งชิงหลัวแสยะยิ้มเย็น

สุดท้ายซ่งชิงหลัวก็ได้ดื่มโคล่าสมใจอยาก หลินปั้นซย่าได้ลิ้มรสไวน์ที่พวกเขาเปิดขวดใหม่ๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจของพวกนี้นัก แต่ก็รู้สึกได้ว่าไวน์นี่ลื่นคอมาก และยังมีกลิ่นหอมหวานติดลิ้นด้วย

“คืนนี้ออกไปกินปิ้งย่างด้วยกันเถอะ” หลี่ซูถูมืออย่างพร้อมรบ “ให้พ่อบ้านซื้อวัตถุดิบมาแล้ว พวกเราไปนั่งกินแถวๆ น้ำตกกัน!”

“เอาสิ” หลินปั้นซย่าค่อนข้างชอบกิจกรรมเหล่านี้ไม่น้อย “แถวนี้มีหมู่บ้านด้วยใช่หรือเปล่า ตอนบ่ายเราไปดูได้มั้ย”

หลี่ซูเอ่ย “คุณไปกับซ่งชิงหลัวเถอะ ผมตากแดดไม่ได้ ให้ห่อตัวไว้ก็ร้อนอีก”

“โอเค” หลินปั้นซย่าพยักหน้า

หลังกินข้าวเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกัน ซ่งชิงหลัวกลับไปนอนกลางวันที่ห้อง หลินปั้นซย่านอนไม่ค่อยหลับจึงมาเดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์

คฤหาสน์นี้ใหญ่มากจริงๆ มีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นบนสุดเป็นชั้นลอยที่ถูกล็อกไว้ ไล่ลงมาตามลำดับก็เป็นห้องสำหรับการใช้งานต่างๆ พื้นสวยงามปูด้วยพรมลายดอกไม้ มองไปตรงไหนก็ล้วนแต่มีความหรูหราประณีตงดงามอยู่ทุกซอกมุม

ทั้งยังมีกลิ่นไม้หอมจางๆ ในอากาศ หลินปั้นซย่าคิดว่ากลิ่นน่าจะออกมาจากพื้นไม้ เขาเดินจากชั้นแรกจนมาถึงชั้นสาม ก่อนจะเห็นภาพถ่ายเก่าๆ ถูกแขวนไว้เรียงรายจนสุดโถงทางเดิน คล้ายเป็นการบันทึกเจ้าของทุกรุ่นของคฤหาสน์หลังนี้

ไม่นานหลินปั้นซย่าก็หาครอบครัวของหลี่ซูที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางภาพเหล่านี้เจอ ทั้งภาพมีคนยืนอยู่เจ็ดคน ใบหน้าต่างก็ประดับรอยยิ้มสดใส ดูเหมือนจะมีความสุขอย่างยิ่ง นี่น่าจะเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง หลินปั้นซย่ายื่นมือไปลูบกรอบรูปก็รู้สึกว่ามันสะอาดมาก คงเป็นเพราะมีคนคอยทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ

เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรกับครอบครัวของหลี่ซูบ้างถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขนาดนี้ ในขณะที่หลินปั้นซย่ากำลังคิด เขาพลันพบว่าคนในภาพถ่ายตรงหน้ากะพริบตาหนึ่งครั้งด้วยความรวดเร็ว เร็วจนหลินปั้นซย่าถึงกับสงสัยว่าตนตาฝาดไปเองหรือเปล่า

หรือว่าจะตาฝาดจริงๆ? ความคลางแคลงผุดขึ้นมาในใจหลินปั้นซย่า

 

** มาจากบทกวี ‘In me the tiger sniffs the rose’ ซึ่งมีความหมายสะท้อนให้เห็นความงามระหว่างความดุดันกับความอ่อนโยน

* เมามายตายในฝัน เป็นสำนวน หมายถึงใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ เหมือนคนเมาหรือคนที่เอาแต่อยู่ในความฝัน

** สระสุราป่าเนื้อ เดิมใช้บรรยายถึงการกินอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย มั่วโลกีย์ และมีพฤติกรรมย่ำแย่ ปัจจุบันนำมาใช้สื่อว่ามีสุราและเนื้อเยอะมากได้เช่นกัน

*** นอนเปื่อยเป็นเก่อโยว มีที่มาจากนักแสดงชาวจีนท่านหนึ่งที่ชื่อว่าเก่อโยว ซึ่งมีมีมประจำตัวเป็นท่านอนเผละตัวเหลว ท่าทางไร้เรี่ยวแรงอยู่บนโซฟา

* ในภาษาจีนจะไม่มีคำเฉพาะในการเรียกหลักแสน หลักล้าน และหลักสิบล้าน หากจะเอ่ยถึงจำนวนดังกล่าวต้องอาศัยคำว่า万 (วั่น) ที่หมายถึงหลักหมื่น มาประสมเป็นคำใหม่ เช่น 十万 (สือวั่น) สิบหมื่นหรือเท่ากับแสน 百万 (ไป่วั่น) ร้อยหมื่นหรือเท่ากับล้าน และ 千万 (เชียนวั่น) พันหมื่นหรือเท่ากับสิบล้าน

** จุดเหรินจง คือจุดชีพจรที่อยู่ตรงร่องใต้จมูกเหนือริมฝีปาก ใช้ปลายนิ้วกดคลึงแก้อาการเมารถ เมาเรือ หรือเป็นลม

* อุทยานต้ากวน คือชื่อสถานที่สำคัญในวรรณกรรมเรื่องความฝันในหอแดง เป็นอุทยานที่ยิ่งใหญ่งดงามตระการตา คุณยายหลิวเดินชมอุทยานต้ากวนถูกนำมาเปรียบเปรยถึงผู้ที่ไม่เคยพบโลกมาก่อนได้ออกมาเจอโลกใบใหม่ที่เต็มใบด้วยความสวยงาม

  

  

  

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 21 .. 66

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: