ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 90 พยัคฆ์ดอมดมกุหลาบ (4)
ซ่งชิงหลัวนึกถึงครั้งแรกที่ตนสารภาพรักออกไป สำหรับหลินปั้นซย่าแล้ว บางทีมันอาจจะอ้อมค้อมเกินไปก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นพวกเขาเข้ามาในโลกของ 47777 และเผชิญกับทุกสิ่งในนั้น ซ่งชิงหลัวก็ไม่รู้เลยว่าตนต้องเดินทางอ้อม* กับหลินปั้นซย่าไปอีกนานแค่ไหน หลังจากเขาพิจารณาตัวเองอย่างละเอียดก็ตัดสินใจว่าหลังจากนี้มีอะไรจะพูดกับหลินปั้นซย่าตรงๆ ทุกเรื่อง จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่เด็กน้อยหัวช้าของเขาไม่เข้าใจที่เขาพูด
หน้าร้อนอันแสนระอุ ดื่มเบียร์เย็นๆ แกล้มกับปิ้งย่างอร่อยๆ ช่างเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตจริงๆ ไม่ทันได้รู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนแล้ว ถึงเวลาที่สมควรแยกย้าย หลินปั้นซย่ากินจนอิ่มแปล้ กำลังกรึ่มๆ แต่ก็นับว่ายังแจ่มใสกระปรี้กระเปร่า ถือโอกาสตอนที่หลี่เย่กับซ่งชิงหลัวเก็บกวาดความพินาศหลังจบสงคราม หลินปั้นซย่ากับหลี่ซูเดินไปอีกทางหนึ่ง
หลี่ซูยื่นบุหรี่ให้หลินปั้นซย่า จุดให้ตัวเองหนึ่งมวน สูบหนึ่งทีก่อนเอ่ยเสียงอู้อี้ “แจกันนั่นมันยังไงกันแน่”
หลินปั้นซย่ากล่าว “ผมเจอที่ร้านร้านหนึ่งในหมู่บ้าน รู้สึกคุ้นๆ ดูยังไงก็เหมือนคฤหาสน์ของคุณก็เลยซื้อติดมือกลับมาด้วย”
“งั้นเถ้าแก่ร้านเป็นยังไง”
หลินปั้นซย่าบรรยายลักษณะ แต่ดูจากสีหน้าหลี่ซูแล้วก็ดูเหมือนเขาจะไม่รู้จักเลย
“แปลกจริงๆ” หลี่ซูทึ้งหัว “ทำไมถึงถูกพิมพ์ลงไปบนแจกันได้ หรือจะมีคนแกล้งกัน? ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย…”
หลินปั้นซย่าเห็นด้วย “มีใครแค้นอะไรกับบ้านคุณหรือเปล่า เจตนาประจานคุณ?”
หลี่ซูนิ่งเงียบ “ไม่น่าเป็นไปได้” เขาพ่นควันบุหรี่ ในน้ำเสียงมีความละเหี่ยใจเพิ่มขึ้นมา “เห็นว่าคฤหาสน์นี้ดูใหม่แล้วอย่าคิดว่ามันเพิ่งสร้างเชียว อันที่จริงมันรีโนเวตมาแล้ว อายุของมันเก่าแก่มาก…และหมู่บ้านนี้ก็ผลิตเครื่องกระเบื้องเคลือบมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อก่อนโด่งดังมากแถมเคยส่งเป็นเครื่องบรรณาการด้วย หลังจากนั้นชื่อเสียงก็ค่อยๆ ซาลง แต่เดี๋ยวนี้การพัฒนาด้านการตลาดก็ทำได้ไม่เลวเลย…”
หลินปั้นซย่ากล่าว “บรรพบุรุษของคุณคงจะเก่งมากเลยใช่มั้ย”
อันที่จริงเมื่อดูจากคำพูด การกระทำ และบุคลิกก็พอจะมองออกว่าหลี่ซูกับซ่งชิงหลัวต่างก็เป็นคนประเภทที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวมาเป็นอย่างดี กระทั่งตอนกินข้าวก็ยังมีท่าทางสง่าอยู่เสมอ
หลี่ซูตอบว่า “ใช่แล้ว บรรพบุรุษของผมเคยเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แต่หลังจากนั้นก็ตกต่ำ ตอนยังเด็กครอบครัวของผมก็ยังนับว่าฐานะไม่เลว อย่างน้อยก็สามารถรีโนเวตบ้านหลังใหญ่นี่ได้” เขากะพริบตา โรคผิวเผือกส่งผลให้แม้แต่ขนตาของเขาก็ยังเป็นสีขาว ตอนที่ถูกแสงสาดส่องก็ราวกับกำลังส่องประกายระยิบระยับ “ตอนเด็กผมร่างกายอ่อนแอ แถมยังป่วยอีก ครอบครัวก็เลยตามใจผมตลอด ผมก็มีความสุขกับการถูกตามใจเป็นธรรมดา…น่าเสียดายที่หลังจากนั้น…” เขาเล่าถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ดับบุหรี่ในมือ เผยสีหน้าอ้างว้างออกมา
หลี่ซูพูดไม่จบ แต่หลินปั้นซย่าก็มองออกว่าตอนนั้นต้องเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่มากแน่ๆ ไม่อย่างนั้นหลี่ซูคงไม่กลายเป็นแบบตอนนี้
หลี่ซูเงียบได้พักหนึ่งถึงเอ่ยว่า “ยังไงผมก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลอยู่ดี พรุ่งนี้ผมจะไปถามที่ร้านนั่น”
“เอาสิ ไว้ถึงตอนนั้นผมจะไปกับคุณด้วย จริงสิ…”
“หือ?”
“รูปถ่ายบนชั้นสามพวกนั้นใช่เจ้าของคฤหาสน์แต่ละยุคหรือเปล่า” หลินปั้นซย่านึกถึงความผิดปกติที่ตนเห็นบนรูปถ่ายพวกนั้นขึ้นมา เขายังคงสงสัยเล็กน้อยว่าอาจจะตาฝาดไปเองจึงอยากยืนยันสักหน่อย
“ใช่แล้ว” หลี่ซูกล่าว “ทำไมเหรอ”
“คฤหาสน์นี้เคยเกิดเรื่องอะไรแปลกๆ บ้างมั้ย” หลินปั้นซย่าถามขึ้น
“หมายความว่ายังไง คุณเห็นอะไรเหรอ” หลี่ซูงุนงง “ถึงตอนนั้นผมจะเคยอยู่ที่คฤหาสน์นี้ แต่นับดูดีๆ ผมเองก็ไม่ได้กลับมาสิบกว่าปีแล้ว ระหว่างนั้นก็ถูกปรับปรุงตกแต่งเพิ่มเติมไปหลายครั้งด้วย จะมีเรื่องที่ผมไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…คุณเห็นอะไรแปลกๆ จากรูปภาพพวกนั้นเหรอ”
“ใช่ ผมเห็นว่าคนในรูปเหมือนจะขยับนิดหนึ่ง”
“จิ๊ ถ้าเป็นคนทั่วไปต้องคิดว่าตัวเองตาฝาดแน่ๆ แต่พวกเราทำงานแบบนี้ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน พาซ่งชิงหลัวไปดูเถอะ เขามีสัมผัสที่ค่อนข้างไวกับเรื่องพวกนี้”
หลินปั้นซย่าคิดแล้วก็เห็นด้วย เดิมทีเขาก็เป็นคนประสาทสัมผัสช้าจนน่าโมโหอยู่แล้ว บางทีของพวกนี้มาลอยอยู่ตรงหน้าเขาก็อาจจะยังไม่รู้สึกตัวเลยก็ได้ เรื่องแบบนี้ย่อมต้องพึ่งซ่งชิงหลัว
“งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ละกัน” หลี่ซูกล่าว “ดึกมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ การมาเที่ยวเป็นโอกาสดีที่จะได้พอกพูนความรัก” พูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้หลินปั้นซย่า
หลินปั้นซย่าเผยสีหน้าระอา ขอร้องไม่ให้หลี่ซูเอาหน้าตาดีๆ มาทำสีหน้าอกุศลแบบนี้
ทางฝั่งซ่งชิงหลัวและหลี่เย่เก็บกวาดเกือบเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะแยกกันเดินนำคู่ตัวเองกลับห้องไป
หลินปั้นซย่ากลับถึงห้องก็ไปอาบน้ำ ทิ้งตัวนอนบนเตียงเล่นโทรศัพท์มือถือ ไม่นานซ่งชิงหลัวก็ออกมาจากห้องน้ำเช่นกัน เขายังไม่ได้สวมเสื้อผ้าท่อนบน หยาดน้ำตามร่างกายหยดลงพื้น
หลินปั้นซย่ารีบเข้าไปดูทันที
ซ่งชิงหลัวถามว่า “ดูอะไร”
หลินปั้นซย่าตอบด้วยเหตุผลตรงไปตรงมา “ดูว่าแผลคุณดีขึ้นหรือยัง…” กล่าวพลางสำรวจละเอียดยิ่งกว่าเดิม
ซ่งชิงหลัวรูปร่างดีมาก ไหล่กว้างเอวคอด เป็นหุ่นทรงสามเหลี่ยมคว่ำได้มาตรฐาน กล้ามหน้าท้องแปดก้อนเห็นชัดกำลังดีและหน้าอกที่ไม่ได้ดูโอเวอร์เกินไปทำให้เขาเข้ากับรสนิยมความงามของคนเอเชียได้อย่างลงตัว หลินปั้นซย่าเห็นเส้นสีแดงจางๆ ตรงกลางอกเขาที่ลากยาวไปเกือบครึ่งตัว ซึ่งก็คือแผลที่สมานดีแล้ว
หลินปั้นซย่าแลบลิ้นเลียปาก เขารู้สึกขมปร่าที่ริมฝีปาก…บาดแผลนี้เขาเป็นคนสร้างมันเองกับมือ
ซ่งชิงหลัวนึกว่าหลินปั้นซย่าจะแต๊ะอั๋งเขา กำลังคิดจะพูดหยอกเย้าสักสองสามประโยค แต่กลับพบว่าหางตาหลินปั้นซย่าขึ้นสีแดงเล็กน้อย สีหน้าก็พลันแข็งทื่อ ยื่นมือไปจับคางเขาให้เงยขึ้นทันที “เป็นอะไรไป”
หลินปั้นซย่าแค่นยิ้ม “เปล่า แค่สงสารคุณ”
“…”
“ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้มากี่ปีแล้ว” หลินปั้นซย่าพึมพำขณะลากปลายนิ้วไปตามเส้นนั้นช้าๆ “ไม่รู้เลยว่า…เคยถูกทำแบบนั้นไปแล้วกี่ครั้ง”
ซ่งชิงหลัวกล่าว “ถ้าคุณเป็นคนทำ มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเลย”
หลินปั้นซย่ายิ้มขมขื่น ถ้าเขาเชื่อคำพูดนี้จริงๆ ก็โง่งมเต็มที
“มาเถอะ ผมจะช่วยคุณเป่าผม” หลินปั้นซย่าเอ่ย
ซ่งชิงหลัวเดินไปนั่งข้างหน้าหลินปั้นซย่าอย่างเคยชิน ก่อนที่หลินปั้นซย่าจะเปิดไดร์เป่าผม ช่วยเขาเป่ากลุ่มผมเปียกชื้นช้าๆ และเอ่ยว่า “จริงสิ ก่อนหน้านี้ตอนขึ้นไปเดินเล่นที่ทางเดินชั้นสาม ผมเจอภาพถ่ายด้วย”
ซ่งชิงหลัวทวนคำ “ภาพถ่าย?”
หลินปั้นซย่ากล่าว “ผมเห็นคนในรูปกะพริบตา ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวขมวดคิ้ว
หลินปั้นซย่าเอ่ยต่อ “คุณก็รู้ว่าความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ของผมมันช้ามาก คุณจะลองไปดูมั้ย”
“เอาสิ” ซ่งชิงหลัวพยักหน้า
ท้องฟ้ามืดสนิท ไอร้อนถูกสายลมกลางคืนค่อยๆ พัดพาให้จางหายไป เป็นค่ำคืนที่ปลอดโปร่งแจ่มใสไม่เหมือนกับค่ำคืนในเมือง ที่นี่สามารถมองเห็นทางช้างเผือกทั่วท้องฟ้า จันทร์เสี้ยวข้างขึ้นสุกสกาวแขวนสูงเด่นอยู่บนผืนฟ้า แสงโทนเย็นอาบโลกนี้ให้ปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีจาง
หลี่ซูนั่งตากลมอยู่บนระเบียง คฤหาสน์นี้อยู่บนภูเขา อากาศจึงเย็นสบายอย่างยิ่ง ในช่วงที่อากาศร้อนที่สุดแอร์ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปิด ด้วยสาเหตุด้านร่างกายของเขา ปกติจึงได้แต่ห่อตัวเองอย่างมิดชิด อย่าว่าแต่พระอาทิตย์ แม้แต่ลมสักสายก็ไม่โดนตัวเขาเลย กอปรกับการตรากตรำทำงานมาอย่างหนัก ช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนหย่อนใจแบบนี้จึงเป็นอะไรที่หาได้ยากเสียเหลือเกิน
หลี่ซูนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง เพลิดเพลินกับช่วงเวลาวันหยุดอันแสนสบายใจ
ก๊อกๆๆ
ประตูห้องนอนที่ปิดอยู่ถูกเคาะ แม้ไม่รู้ว่าคนเคาะเป็นใคร หลี่ซูก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เข้ามาได้เลย ไม่ได้ล็อก”
เสียงประตูดังเอี๊ยดอ๊าด คนด้านนอกผลักประตูเข้ามา…เป็นหลี่เย่นี่เอง
หลี่ซูชำเลืองเห็นเป็นเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นต้อนรับ เพียงถามเขาว่ามีอะไร
หลี่เย่ไม่ตอบ โยนซองเอกสารในมือลงตรงหน้าเขา เริ่มแรกหลี่ซูนึกว่าเป็นเอกสารเกี่ยวกับภารกิจ แต่เมื่อเปิดอ่านผ่านๆ แล้ว สันหลังเขาก็ตั้งตรงทันที หัวคิ้วก็ขมวดเป็นปมขึ้นมาด้วยเช่นกัน “หมายความว่ายังไง”
ในซองเอกสารนี้คือโฉนดที่ดินและยังมีเอกสารรายการภาษีอื่นๆ อีก หลี่ซูมั่นใจขึ้นมาทันใด เมื่อพลิกอ่านเอกสารก็พบว่ามันคือโฉนดที่ดินของคฤหาสน์หลังนี้จริงๆ และบนโฉนดที่ดินก็เป็นชื่อของเขาเพียงผู้เดียว
“ให้คุณ” หลี่เย่เอ่ยเสียงเรียบอย่างง่ายดาย
“เฮ้ สมองนายมีปัญหาเหรอ” หลี่ซูไม่ยิ้มรับแต่กลับโมโห “ฉันทำงานนี้มานานกว่านาย คิดว่าจะไม่มีเงินหรือไง ถ้าอยากได้คิดว่าฉันจะซื้อเองไม่ได้? จำเป็นต้องให้นายคิดเองเออเองตัดสินใจเองคนเดียวด้วยเหรอ”
หลี่เย่มองหลี่ซู ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “คุณโกหก”
“…”
“คุณอยากกลับมา”
หลี่ซูหยิบเอกสารเหล่านั้นฟาดใส่หน้าอกหลี่เย่ ความโกรธพลุ่งพล่าน เขาลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป แต่กลับถูกหลี่เย่คว้าข้อมือไว้ เขากัดฟันกรอด “ปล่อย”
“ไม่ปล่อย” ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขาสะท้อนร่างกายที่โกรธจนสั่นระริกของหลี่ซู แต่เขาก็ไม่ได้สั่นคลอนต่อสิ่งนี้แม้แต่เสี้ยววินาที “ถึงคุณจะไม่กล้ากลับมา แต่ผมรู้ว่าคุณอยากกลับ”
หลี่ซูเอ่ย “อย่ามาพูดเหลวไหล!”
“ขนาดในฝันคุณยังอยากกลับมาที่นี่ ไม่เป็นไร คุณไม่กล้า ผมก็จะช่วยคุณเอง”
หลี่เย่จับมือหลี่ซูแน่นเกินไป มันจึงทิ้งรอยแดงไว้ที่ข้อมือขาวราวหิมะของอีกฝ่าย หลี่ซูดิ้นรนอีกครั้ง เขานึกว่าหลี่เย่คงไม่มีทางปล่อย ทว่าหลี่เย่กลับคลายมือออก เขาซวนเซไปสองสามก้าว ท่าทางดูทุลักทุเลอยู่หลายส่วน
“ราตรีสวัสดิ์” หลี่เย่เอ่ย เสียงของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดเจือปนอยู่เสมอ คงเป็นเพราะสิ่งที่เผชิญในวัยเด็กทำให้เขาถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงแก่คนรอบข้างได้ยาก ดังนั้นจึงทำให้เขาดูห่างเหินทั้งยังเย็นชาเสมอ บางทีตัวเขาเองก็อาจจะยังไม่รู้ตัวว่าทุกครั้งที่เขาพูดกับหลี่ซู ในแววตาเย็นชาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้นมักจะอ่อนโยนลงมาก
หลังกล่าวราตรีสวัสดิ์จบ หลี่เย่ก็หันหลังจากไป
เหลือทิ้งไว้เพียงพื้นที่มีของกระจายเกลื่อนกลาด และหลี่ซูที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้น หลี่ซูก็กุมหน้าแค่นยิ้มฝืดเฝื่อน โน้มตัวลงเก็บสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาช้าๆ เขาเปิดอ่านโฉนดที่ดินอีกครั้ง และได้เห็นอักษรคำว่าหลี่ซูสองตัวบนโฉนดที่ดินนั่น พลันก็เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอจนเขาพูดไม่ออก
คฤหาสน์นี้เคยเป็นบ้านตั้งแต่บรรพบุรุษของครอบครัวหลี่ซูจริงๆ แต่ความทรงจำที่บันทึกไว้ที่นี่ไม่ใช่ความทรงจำที่สวยงามเลย อย่างน้อยในตอนที่เขาออกไปจากที่แห่งนี้ สิ่งที่เปี่ยมล้นอยู่ในก้นบึ้งจิตใจของหลี่ซูกลับเป็นความหวาดกลัวและปั่นป่วน ถึงขึ้นที่สามารถพูดได้ว่าเขาหนีออกไปจากที่นี่อย่างจนตรอก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้กลับมาอีก
เรื่องในตอนนั้น เจ็ดสมาชิกสกุลหลี่มีแค่เขาในอายุสิบขวบกว่าๆ เพียงคนเดียวที่รอดมาได้ แทบจะเท่ากับเป็นการตายยกครอบครัว ขณะนั้นหลี่ซูก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มองไปยังแจกันปากแคบที่หลินปั้นซย่านำกลับมาด้วย
ฝีมือการประดิษฐ์แจกันใบนี้ธรรมดามาก ทว่าลวดลายบนนั้นกลับประณีตวิจิตร สีหน้าท่าทางของทุกคนล้วนสมจริงมีชีวิตชีวา ราวกับว่าวินาทีถัดมาพวกเขาจะขยับได้ก็มิปาน ยิ่งมองหลี่ซูก็ยิ่งประหวั่นใจ ภาพนี้ให้คนอื่นดูก็คงไม่รู้ แต่ในใจเขารู้ดี ในตอนนั้นครอบครัวเขาประสบทุกสิ่งและได้พบกับวัตถุนอกรีตที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของเขาในคฤหาสน์หลังนี้
ถึงสิ่งนั้นจะถูกผนึกไปแล้ว แต่หลี่ซูก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง ฝันร้ายที่เขาไม่มีทางลืมดุจหนอนแมลงชอนไชที่หลังเท้า แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปีแล้วแต่มันก็ยังคงรบกวนใจเขาอยู่ตลอด
วัตถุนอกรีตหมายเลข 34556 ที่ร่างต้นของมันยังคงเป็นปริศนา วินาทีที่ปรากฏตัวออกมานั้นมันปรากฏด้วยรูปร่างของมนุษย์ จากการทดลองมันจะตั้งใจเลือกครอบครัวหนึ่ง จากนั้นก็กลายร่างเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวนั้นๆ และปะปนอยู่ในครอบครัว เริ่มแรกมันไม่มีอันตรายใดๆ ต่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตโดยรอบ ทว่าเมื่อถูกปนเปื้อนหนักขึ้นเรื่อยๆ คนที่อยู่รอบตัวก็จะเริ่มเกิดปัญหาทางจิตใจอย่างรุนแรง ทั้งเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแปลกๆ อารมณ์ฉุนเฉียว จนสุดท้ายก็อารมณ์ร้อนจนเข่นฆ่ากันเองในครอบครัว…มนุษย์จะค่อยๆ กลายเป็นคู่ดำรงของมันทีละนิดๆ และทำการแสดงละครให้มันได้ชมครั้งแล้วครั้งเล่า ตราบจนจบชีวิตทั้งครอบครัว มันถึงจะพึงพอใจ
และเมื่อครอบครัวที่มันเลือกเสียชีวิตยกครอบครัวแล้ว 34556 ถึงจะจากไป และปะปนเข้าสู่ครอบครัวถัดไปเรื่อยๆ หมุนเวียนเป็นวัฏฏะ เติบโตขึ้นอย่างไม่รู้จบ หลังจากนั้นสถิติได้เผยออกมาว่ายิ่งครอบครัวนั้นมีความสุขเท่าไหร่ ยิ่งมีสมาชิกในครอบครัวมากและกลมเกลียวกันแค่ไหน ก็จะยิ่งดึงดูดมันได้มากเท่านั้น มันเป็นเหมือนอีแร้งกินซากตัวหนึ่งที่บินไปทั่วทุกสารทิศเพื่อตามล่าหาอาหารที่มันชื่นชอบ ถ้าไม่มีคนตาย…มันก็จะสร้างความตายด้วยตัวเอง
หลี่ซูไม่มีทางลืมเลยว่ามันถูกคนในสถาบันจับตัวไปในร่างของแม่เขา ในตอนนั้นเขาไม่เคยรู้จักไม่เคยได้ยินว่าอะไรคือวัตถุนอกรีต เขาถึงกับนึกว่าคนที่ก่อให้เกิดเรื่องทุกอย่างนี้คือแม่ของเขาจริงๆ
จากนั้นหลี่ซูที่กลายเป็นคู่ดำรงก็ถูกสถาบันคอยสังเกตการณ์เป็นระยะเวลานานมาก เมื่อมั่นใจแล้วว่าค่าความเสียหายของสภาพจิตใจของเขาแค่สูงขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอื่นใด ถึงได้ปล่อยเขาออกมา น่าเสียดายที่หลี่ซูในตอนนั้นแตกสลายไปหมดแล้ว จากนายน้อยที่ทุกคนคอยเอาอกเอาใจกลายมาเป็นเด็กกำพร้าที่เห็นคนในครอบครัวเข่นฆ่ากันด้วยสองตาตัวเองในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
ต่อให้เวลาล่วงเลยไปสิบกว่าปี ตราบใดที่หลี่ซูหลับตาลง ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นก็จะปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ดังนั้นตอนที่หลี่เย่บอกเขาว่าซื้อคฤหาสน์หลังนี้กลับมา สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจหลี่ซูไม่ใช่ความยินดี แต่เป็นความกลัว เขากลัวการกลับมาที่นี่แต่ไม่กล้าบอกกับหลี่เย่ ได้แต่ไปหาพวกหลินปั้นซย่า ทำเป็นถามลอยๆ ว่าพวกเขาอยากมาพักร้อนด้วยกันหรือไม่ เขาอยากให้มีคนมาด้วยกันเยอะๆ จะได้ขจัดความกลัวในก้นบึ้งจิตใจของตนออกไป
ดูจากตอนนี้ วิธีที่เขาทำประสบผลสำเร็จเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะตอนที่เขาอยู่คนเดียวก็ยังรู้สึกกลัวอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะตอนที่เห็นภาพบนแจกันที่หลินปั้นซย่าให้มา
ทุกคนที่เข้ามาในองค์กร ทุกคนที่กลายเป็นผู้บันทึก ล้วนมีเรื่องราวของตัวเอง บางคนเดินออกมาจากเรื่องราวเหล่านั้นได้แล้ว แต่กับบางคน…ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่มีทางเดินออกมาได้
หลี่ซูและซ่งชิงหลัวต่างก็เป็นอย่างหลัง
หลี่ซูกำซองเอกสารที่หลี่เย่ให้เขาไว้แน่น ขนาดเม็ดเหงื่อซึมลงไปบนเอกสารนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัว เขานั่งอยู่ริมเตียง ตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งมีเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในห้อง เขาถึงดึงสติกลับมาจากภวังค์นั้นได้ เสียงนั้นคล้ายจะดังมาจากข้างเตียงของเขา สิ่งแรกที่หลี่ซูคิดคือเสียงที่ว่านั่นจะเป็นหนูหรือเปล่า เพราะบ้านก็เก่ามากแล้ว จะมีอะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขามองไปทางเสียงนั้นแต่ก็ไม่เห็นหนูเลยสักตัว แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นแจกันที่เมื่อกี้เขาวางไว้ข้างเตียง…และพบว่าคนตัวเล็กๆ บนนั้นขยับตัวได้
หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวมาที่ชั้นสามเพื่อมาหาภาพถ่ายที่หลินปั้นซย่าเห็นความผิดปกติไปก่อนหน้านี้
ซ่งชิงหลัวไม่รีรอ ปลดรูปนั้นลงจากผนังมาตรวจสอบ หลินปั้นซย่าที่ยืนชำเลืองมองอยู่ข้างๆ ถามขึ้นว่า “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวขมวดคิ้วเบาๆ “มีกลิ่นอายคู่ดำรงที่จางมาก ยังยืนยันไม่ได้”
หลินปั้นซย่าแปลกใจ “ทำไมถึงยืนยันไม่ได้ล่ะ”
“เพราะหลี่ซูก็เป็นคู่ดำรง หลังจากเขากลับมาก็ต้องเคยมาเดินเล่นที่นี่แน่ๆ จะทิ้งกลิ่นอายไว้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
หลินปั้นซย่าจึงถามว่า “งั้นทำยังไงดีล่ะ”
“เอารูปนี้มาไว้กับตัวชั่วคราวก่อนแล้วกัน ลองสังเกตสักระยะหนึ่ง”
ดูเหมือนจะมีแค่วิธีนี้ หลินปั้นซย่าคิดว่าบางทีเขาอาจจะตาฝาดไปจริงๆ ก็ได้ เพราะยังไงวัตถุนอกรีตพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยาก จู่ๆ จะเกิดขึ้นมาถี่ๆ ขนาดนี้ได้ยังไง อย่างกับว่าไปที่ไหนก็เจอได้ทุกที่อย่างไรอย่างนั้น ซ่งชิงหลัวถือภาพใบเดิมและยังคงจมอยู่ในความคิด พลันเขาก็เงยหน้าขึ้นมองหลินปั้นซย่า “วันนี้ตอนที่คุณเจอแม่ของผม เธอได้พูดอะไรอย่างอื่นกับคุณหรือเปล่า”
“ไม่มีเลย” หลินปั้นซย่าชัดเจนมาก “เธอแค่ขายแจกันให้ผม และลายวาดบนแจกันนั่นก็เหมือนจะเป็นครอบครัวของหลี่ซู…ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องขายของแบบนี้ให้ผมด้วย”
ซ่งชิงหลัวขมวดคิ้ว ยังคงหาคำตอบไม่ได้
ในตอนที่ทั้งคู่กำลังครุ่นคิด พลันก็มีเสียงดังมาจากชั้นล่าง เป็นเสียงร้องด้วยความตกใจของหลี่ซูก่อน แล้วตามด้วยเสียงตึงตังดังลั่นเหมือนกับมีใครวิ่งอยู่บนโถงทางเดิน
ต้องเกิดเรื่องขึ้นที่ชั้นล่างแน่ๆ หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวรีบตามไปดูทันที แล้วก็เป็นดังคาด พวกเขาเห็นหลี่ซูในชุดนอนวิ่งถลาออกมาจากห้องด้วยใบหน้าหวาดผวา ใบหน้าของเขาขาวซีดกว่าเดิมหลายส่วน เมื่ออยู่กับสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงนั่นแล้วก็อย่างกับเป็นผีโดยแท้
“เกิดอะไรขึ้น” หลินปั้นซย่ารีบเข้าไปพยุงเขา
หลี่ซูพูดอะไรไม่ออก หลินปั้นซย่าเพิ่งเคยเห็นเขามีท่าทางหวาดผวาอย่างนี้เป็นครั้งแรก แววตาตื่นกลัวดุจกระต่ายที่ตื่นตกใจ ทั้งร่างสั่นระริกไม่หยุด
ซ่งชิงหลัวเหลือบมองเขาแล้วพุ่งเข้าไปในห้องทันที แต่ภายในห้องกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย เขามองสำรวจโดยละเอียดก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมอะไร จึงหันหลังเดินกลับมา
หลี่เย่ก็ได้ยินและรีบตามมาเช่นกัน เขาเข้ามากอดหลี่ซูแทนหลินปั้นซย่า หลี่ซูไม่ต่อต้าน ขดตัวอยู่ในวงแขนของเขาและตัวสั่นเทิ้มไม่ขาดสาย
หลินปั้นซย่าคิดมาตลอดว่าหลี่ซูเป็นคนใจกล้า เขาคิดไม่ออกเลยว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายตกใจกลัวได้ขนาดนี้
“ไม่เป็นไร” หลี่เย่ตบหลังเขาเบาๆ คอยปลอบประโลมอารมณ์ของหลี่ซูเหมือนปลอบเด็กน้อย “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ร่างกายของหลี่ซูถึงค่อยๆ หยุดสั่นได้ เขาหายจากอาการหวาดกลัวนั้น แต่ลมหายใจยังถี่กระชั้น “เธอ…เธออยู่ในห้อง…”
หลี่เย่ถาม “อะไรนะ”
“สิ่งนั้น! สิ่งนั้นอยู่ในห้อง!” หลี่ซูกรีดร้องเสียงหลง
หลี่เย่ส่งสายตาถาม ซ่งชิงหลัวขมวดคิ้วเบาๆ เล็กน้อยก่อนส่ายหน้า
หลี่เย่เห็นดังนั้นก็เอ่ยว่า “โอเค เราจะไม่เข้าไป ลงไปพักข้างล่างก่อนสักหน่อยเถอะ” กล่าวพลางประคองหลี่ซูเดินลงบันไดออกไปจากตรงนี้
“เกิดอะไรขึ้น” หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจ “ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเลยเหรอ”
“ผมจะลองตรวจดูอีกรอบ” ซ่งชิงหลัวกล่าว
ทั้งคู่กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ทว่าก็เป็นอย่างที่ซ่งชิงหลัวบอกไว้จริงๆ ในห้องนี้ไม่มีอะไรแปลกๆ อยู่เลย แต่แล้วหลินปั้นซย่าก็เห็นแจกันที่เขาให้หลี่ซูไปถูกโยนลงพื้นอย่างไม่ถนอม โชคดีที่เป็นพื้นพรม มันจึงยังไม่แตกเสียหาย
หลินปั้นซย่าหยิบแจกันขึ้นมา มองพิจารณาครู่หนึ่งแล้วยื่นให้ซ่งชิงหลัว “ปัญหาจะมาจากแจกันนี่หรือเปล่า”
ซ่งชิงหลัวมองดูแจกันปากแคบใบนี้อย่างละเอียด พลันนึกถึงตอนที่หลินปั้นซย่าเจอแม่ของตนเมื่อกลางวัน เขาขมวดคิ้วทันใด “คุณเจอแม่ของผมจริงๆ ใช่มั้ย”
“ใช่ ผมเจอเธอจริงๆ”
“งั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่าว่าหลี่ซูก็เจอคนในแจกันใบนี้เหมือนกัน”
หลินปั้นซย่าเผยสีหน้าประหลาดใจ “นี่…” ต้องเป็นไปได้แน่นอน
“ลงไปดูกันเถอะ” ซ่งชิงหลัวหยิบแจกันออกจากห้องไป
หลี่ซูอยู่ชั้นล่างของบ้าน กุมแก้วน้ำร้อนที่หลี่เย่รินให้ขณะนั่งขดตัวกลม ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง เขายังคงเหม่อลอย ยังไม่อาจหลุดพ้นจากภาพที่ได้เห็นไปเมื่อครู่ เสียงเรียก ‘ซูซู’ ที่ดังขึ้นข้างหูเขาเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาข้างใบหู สั่นสะเทือนจนจิตวิญญาณเขาเจียนจะระเบิดออก
ต่อให้ผ่านไปร้อยปี หลี่ซูก็ไม่มีทางลืมเสียงนั้นลง ความทรงจำเลวร้ายช่างเจ็บปวดเหลือแสน เขาเหมือนกลับไปเป็นเด็กชายผู้ไร้ที่พึ่งพิงคนนั้นอีกครั้ง ทำได้แค่กอดตัวเองแน่น ขดอยู่ในมุมหนึ่ง มองโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น
มืออบอุ่นลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ เสียงของหลี่เย่ดึงเขาให้หลุดออกจากห้วงความคิดกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง หลี่เย่ถามเขาว่า “คุณโอเคมั้ย”
หลี่ซูเงยหน้า มองดวงตาสีเขียวของหลี่เย่ก่อนเอ่ย “ไม่เป็นไร”
หลี่เย่จ้องมองเขา
“จะมีอะไร…” หลี่ซูกล่าว “จะมีอะไรอยู่แถวนี้หรือเปล่า ฉันไม่ควรเห็นคนคนนั้น แล้วก็ไม่ควรได้ยินเสียงนั้นด้วย”
หลี่เย่ไม่เปล่งเสียง แต่ล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าช้าๆ นั่นเป็นสิ่งที่หลี่ซูคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีจนไม่อาจคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้แล้ว หนึ่งดำหนึ่งขาว มันคือลูกเต๋าสองลูก หลี่เย่ไม่พูดอะไรทว่าเจตนานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง หลี่ซูเห็นก็แค่นยิ้มฝืดเฝื่อน “นายกลัวฉันเป็นบ้าใช่มั้ย”
“ไม่” หลี่เย่เอ่ย “ผมแค่อยากรู้ว่าผมควรจะปกป้องคุณให้ดีกว่านี้ยังไง” เขาต้องแน่ใจว่าหลี่ซูไม่ได้เห็นภาพหลอนเพราะความตึงเครียดของจิตใจมากเกินไป
หลี่ซูพรูลมหายใจเบาๆ ก่อนรับลูกเต๋ามา ทิ้งมันลงไป ลูกเต๋ากลิ้งขลุกๆ อยู่บนโต๊ะ มันหมุนวนชนกับสิ่งอื่นและสุดท้ายก็หยุดลงช้าๆ ค่าตัวเลขบนลูกเต๋าปรากฏแก่สายตาคนทั้งสอง
ลูกเต๋าสีดำคือแปด สีขาวคือห้า รวมกันเป็นแปดสิบห้า ถึงคะแนนจะไม่ได้อยู่ในระดับของคนที่เสียสติ แต่มันก็สูงเกินไปมากสำหรับคนที่ร่างกายไม่เหมือนคนทั่วไปอย่างหลี่ซู
ตั้งแต่เผชิญเรื่องเหล่านั้นมา สภาพจิตใจของหลี่ซูก็คงที่อยู่เสมอ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เขากล้ารับภารกิจอันตรายเหล่านั้น แต่เมื่อเห็นตัวเลขบนลูกเต๋าครั้งนี้เขาก็ได้แต่แค่นยิ้มขมขื่นออกมา มองไปที่หลี่เย่อย่างต้องการความช่วยเหลือ “ฉัน…เป็นบ้าจริงๆ ใช่มั้ย”
“ยังอยู่ห่างจากจุดวิกฤติ แล้วคุณก็ไม่มีทางเป็นบ้าอยู่แล้ว”
“จริงเหรอ”
หลี่เย่เอ่ยว่า “แน่นอน” เขายื่นแขนรวบหลี่ซูที่มีสีหน้าไร้ที่พึ่งเข้าสู่อ้อมกอดอย่างเบามือ รู้สึกถึงร่างกายของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ผ่อนคลายลงช้าๆ ในอ้อมกอดปลอบประโลมของตน เผยส่วนที่อ่อนโยนที่สุดของตัวเองออกมา
ต้องควบคุมตัวเอง หลี่เย่คิดอย่างเย็นชา ไม่อย่างนั้นเขาคงทนไม่ไหวจริงๆ เขาย้ายสายตาตัวเองออกจากตัวหลี่ซูช้าๆ ทอดมองไปทางอื่นเรื่อยๆ ซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย
“ไม่ต้องกลัว มีผมอยู่” หลี่เย่กล่าว
หลี่ซูรับคำเบาๆ รู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าคนที่โอบกอดตัวเองอยู่ในตอนนี้แววตาเปิดเผยมากถึงเพียงใด
สุดท้ายก็ทำไม่ลง หลี่เย่มีความคิดว่าต้อง…อดทนมากกว่านี้อีก
* เดินทางอ้อม หมายถึงทำอะไรด้วยวิธีที่เสียเวลา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 24 ม.ค. 66
Comments
comments
No tags for this post.