X
    Categories: everYทดลองอ่านภาพวาดโครงกระดูก

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1 บทที่ 4 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 4

ห้อง 1303 (4)

หลังจากเคี่ยวกรำทรมานมาทั้งคืน สภาพจิตใจของจี้เล่อสุ่ยย่ำแย่ถึงขีดสุด เดิมทีหลินปั้นซย่ายังไม่วางใจ อยากจะไปหานายหน้าด้วยกันกับเขา ทว่าจี้เล่อสุ่ยกลับปฏิเสธ

“ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันหรอก ฉันไปคนเดียวก็พอ นายเองก็ไม่ได้นอนทั้งคืน ไปหาที่พักผ่อนเถอะ” จี้เล่อสุ่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หยิบกุญแจแล้วเอ่ยกับหลินปั้นซย่า “แต่อย่านอนที่นี่นะ ฉันกลัวจะเกิดเรื่องตอนนายอยู่บ้านคนเดียว”

“ฉันไม่เป็นไร” หลินปั้นซย่าเอ่ย “ไม่อยากให้ฉันไปด้วยจริงๆ เหรอ”

“ไม่ต้องหรอก” จี้เล่อสุ่ยยกยิ้มขื่น เพียงแต่รอยยิ้มนี้ไม่น่ามองเป็นพิเศษ ไม่ยิ้มเลยยังจะดีเสียกว่า “ยังไงฉันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ถึงตอนกลางคืนจะกลัว แต่เช้าแล้วยังต้องกลัวอะไรอีก” เขาเก็บกุญแจห้องใส่กระเป๋าเสื้อ พยักหน้าให้หลินปั้นซย่า หันตัวแล้วเดินจากไป

หลินปั้นซย่ามองแผ่นหลังของเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน เดิมทีตอนนั้นที่ตนชวนจี้เล่อสุ่ยมาอยู่ด้วยก็มาจากเจตนาดี อยากช่วยเพื่อนประหยัดค่าเช่าห้องขึ้นเดือนละสองพันหยวน ใครจะรู้ว่าเข้ามาอยู่ได้ไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

วันนี้เป็นวันฟ้าครึ้ม ลมหนาวพัดเบาๆ ไม่มีความอบอุ่นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเลยแม้แต่น้อย

ต้นไม้ในย่านคอนโดฯ เป็นต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี อุดมสมบูรณ์ดี แต่ไม่รู้ทำไมร่มเงาของต้นไม้กลับดูเย็นชายิ่ง ทำให้ทั้งย่านคอนโดฯ นี้ดูเผินๆ เหมือนภาพเก่าเก็บที่สีซีดจาง ดูน่าอึดอัดอย่างมาก

หลังจี้เล่อสุ่ยไปแล้วหลินปั้นซย่าก็ตรวจสอบหน้าต่างใหม่อีกรอบ กระจกหน้าต่างสะอาดสะอ้าน ไม่เห็นรอยเลือดเลยแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านไปเมื่อคืนนี้เป็นเพียงจินตนาการของหลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่าจ้องกระจกหน้าต่างครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นตรงไหนที่ผิดแปลกน่าสงสัย ตอนนั้นท้องก็ร้องเพราะความหิวขึ้นมาพอดี จึงหมุนกายเดินเข้าห้องครัวไปต้มบะหมี่มารองท้องสักหน่อย

เขากินบะหมี่เสร็จก็นั่งพักบนโซฟาครู่สั้นๆ ในขณะที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น กลับได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้น

เมื่อหยิบมาดูก็พบว่าเป็นสายของจี้เล่อสุ่ย

“ฮัลโหล เล่อสุ่ย?” หลินปั้นซย่าเอ่ย “มีอะไรเหรอ”

เสียงของจี้เล่อสุ่ยแหบพร่า เต็มไปด้วยความสิ้นหวังอย่างสุดซึ้ง เขากล่าว [ปั้นซย่า นายรีบออกมาจากห้องเถอะ อย่าอยู่ที่นั่นเลย ใครจะไปอยู่ที่นั่นได้]

หลินปั้นซย่าเอ่ย “ทำไมล่ะ”

[ฉันออกมาเจอนายหน้าแล้ว เลยถือโอกาสถามเรื่องของย่านคอนโดฯ นั่น] จี้เล่อสุ่ยเอ่ย [เขาบอกว่าย่านคอนโดฯ นั้นไม่มีคนอยู่!!]

“ไม่มีคนอยู่? หมายความว่าไง” หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจ

[นายหน้าคนนั้นบอกว่าที่ดินสุสานแถวๆ นี้แพงเกินไป คนรวยบางกลุ่มก็เลยเลือกย่านคอนโดฯ ใหม่ สร้างตึกไว้สองสามตึกเพื่อเอาไว้เก็บโถอัฐิโดยเฉพาะ ย่านคอนโดฯ ที่นายซื้อก็ไม่ได้กว้างมากอยู่แล้ว พื้นลาดเอียงแถมยังติดแม่น้ำติดภูเขาอีก มันถูกสร้างไว้ตั้งหลายอาคาร…] จี้เล่อสุ่ยเอ่ยไป เสียงก็สั่นเครือขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ [มิน่าล่ะชั้นบนชั้นล่างของพวกเราถึงไม่มีคนเลย ที่แท้ในห้องก็วางโถเก็บอัฐิไว้เต็มไปหมด มีแค่พวกเราคนเป็นๆ สองคนที่อยู่ที่นั่น]

หลินปั้นซย่าชะงักงัน เขาเคยคิดอยู่แล้วว่าที่ห้องราคาถูกขนาดนี้เป็นเพราะเคยมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แม้ในสัญญาจะเขียนข้อกำหนดไว้ชัดเจนอย่างมากว่าหากเป็นบ้านผีสิงก็สามารถเรียกร้องค่าชดเชยได้ แต่อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าห้องนี้ไม่ใช่บ้านผีสิง ทว่าข้างบ้านซ้ายขวาล้วนเป็นสุสานที่เอาไว้เก็บอัฐิคนตาย

[ฉันกำลังดูห้องอยู่] จี้เล่อสุ่ยเอ่ยเสียงเบา [เดี๋ยวดูเสร็จแล้ว นายก็ย้ายออกมาจากที่นั่นเลยเถอะ…] เขาเอ่ยจบก็ตัดสาย

หลินปั้นซย่ามองหน้าจอที่มืดลง ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาครู่ใหญ่ ลองมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นรอบหนึ่งแต่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร นอกจากหนาวนิดหน่อยแล้วก็เป็นแค่ห้องนั่งเล่นธรรมดาเท่านั้น ถึงห้องนี้จะเป็นอย่างที่จี้เล่อสุ่ยพูดจริงๆ แต่มันจะเลวร้ายถึงขั้นอยู่ไม่ได้เชียวเหรอ หลินปั้นซย่าครุ่นคิดอยู่นาน พลันนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นจึงคว้ากุญแจหมุนตัวเดินออกประตูไป

หลินปั้นซย่าก้าวตามโถงทางเดินไปข้างหน้าสองก้าว ฝีเท้าหยุดลงที่หน้าประตูห้องข้างๆ เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตู

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูอันไพเราะดังก้องอยู่ในโถงทางเดิน แต่ประตูกลับไม่เปิดออก

หลินปั้นซย่าค่อนข้างผิดหวัง ไม่กี่วันก่อนเขาเห็นว่าห้องข้างๆ พวกเขามีคนย้ายเข้ามา แม้จะไม่ได้เจอเจ้าบ้าน แต่ประตูบานนี้เคยถูกเปิดออกจริงๆ แน่นอน หรือเจ้าบ้านจะไม่อยู่ ไม่ก็อาจไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ เพียงแค่มาดูห้องเป็นบางครั้งเท่านั้น?

ขณะหลินปั้นซย่าคิดในใจก็เคาะประตูอีกสองสามครั้ง ใครจะรู้ว่ามือเขาเพิ่งวางไปบนนั้น ก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ดังขึ้น ประตูตรงหน้าถูกเปิดออกแล้ว

ตอนแรกหลินปั้นซย่านึกว่าเจ้าบ้านเป็นคนเปิดประตูให้เขา แต่พอมองลอดช่องประตูไปจนทั่วแล้ว กลับไม่เห็นใครเลย

“มีคนอยู่มั้ยครับ” เขาเรียกด้วยความลังเล หลินปั้นซย่าดึงลูกบิดเปิดประตูตรงหน้า และเขาก็ได้เห็นห้องนั่งเล่นที่อยู่นอกสุด

ภายในห้องนั่งเล่นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ แค่จัดวางโต๊ะเก้าอี้ง่ายๆ และโซฟาหนึ่งตัว ดูเรียบง่ายยิ่งกว่าห้องของหลินปั้นซย่าเสียอีก และเพราะว่าสิ่งของน้อยเกินไป หลินปั้นซย่าจึงมองเห็นสิ่งประหลาดที่วางอยู่มุมห้องนั่งเล่นได้โดยมองแค่ปราดเดียว นั่นคือหีบสีดำขนาดต่างๆ มากมายวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่นราวกับก่ออิฐ มีทั้งตั้งตรงและวางนอนลงเรียงรายอย่างประณีต และทางซ้ายสุดของหีบก็มีผู้หญิงในชุดสีแดงยืนหันหลังให้หลินปั้นซย่า หญิงคนนั้นสวมชุดแต่งงานโบราณสีแดงเข้ม สวมมงกุฎหงส์โอ่อ่า ดูประหลาดตาอย่างยิ่ง

“สวัสดีครับ คือว่าคุณไม่ได้ปิดประตูบ้านน่ะครับ” หลินปั้นซย่าตะโกนเข้าไปในห้องนั่งเล่น พยายามให้เจ้าของห้องสังเกตเห็น

อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านต่อเสียงของหลินปั้นซย่า และยังคงหันหลังให้เขาอยู่อย่างนั้น

“สวัสดีครับ?” หลินปั้นซย่ารู้สึกประหลาดใจ “ได้ยินเสียงผมพูดหรือเปล่าครับ”

ไม่มีการตอบรับ

ขณะนั้นเขาคิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า หลินปั้นซย่าลังเลใจครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้องอยู่ดี เขาเดินไปพลางตะโกนเรียกไปพลาง แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรไป ผู้หญิงที่หันหลังให้เขาตรงหน้านี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรเลย

ในใจหลินปั้นซย่ารู้สึกไม่ดีอยู่รางๆ เมื่อเดินไปถึงด้านหลังหญิงสาวแล้วก็ยกมือขึ้นสะกิดไหล่เธอเบาๆ เอ่ยว่า “คุณครับ คุณ…โอเคมั้ยครับ”

หญิงสาวไม่พูด

หลินปั้นซย่าขยับเข้าใกล้ อยากดูหน้าของหญิงสาวสักหน่อย แต่ขณะที่เพิ่งจะยื่นหน้าเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงหักดังกร๊อบ ศีรษะของผู้หญิงตรงหน้าร่วงหลุดลงมาจากคอทั้งอย่างนั้น หล่นตุ้บมายังปลายเท้าของหลินปั้นซย่า ใบหน้าหญิงสาวถูกผัดแป้งแต่งแต้มงามหยาดเยิ้ม มุมปากยกโค้งอย่างแข็งทื่อ ดวงตาไร้ชีวิตประสานกับครรลองสายตาของหลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่าชะงักไปสามวินาทีถึงรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าสามวินาทีนี้ก็เพียงพอให้เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าศีรษะที่ปลายเท้าไม่ใช่ศีรษะของคน แต่เป็นหุ่นผู้หญิง หุ่นพลาสติกนี้สมจริงอย่างมาก มองเผินๆ เหมือนมนุษย์จริงๆ ไม่มีผิด พอหัวหล่นลงมา มงกุฎหงส์แสนสวยก็หล่นลงกับพื้นด้วย ผมยาวสีดำทั้งเยอะทั้งหนา ราวกับใยแมงมุมแผ่คลุมเต็มพื้น

หลินปั้นซย่าสบตากับศีรษะที่ปลายเท้าครู่หนึ่ง ก้มลงจะหยิบเธอขึ้นมา แต่ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสผิวของเธอ ก็มีเสียงที่ทั้งนุ่มนวลทั้งเย็นเยียบดังขึ้นจากหน้าประตู “คุณกำลังทำอะไร”

หลินปั้นซย่าเงยหน้าขึ้นและเห็นชายที่ก่อนหน้านี้เคยเจอกันครั้งหนึ่งในลิฟต์

วันนี้ในมือของเขาไม่ได้ถือหีบสีดำ และไม่ได้สวมเสื้อโค้ตสีดำทั้งตัวตัวนั้นแล้ว เพียงแต่สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก ซีดขาวไม่เห็นเส้นเลือดสักเส้น เขาเอียงคอจ้องหลินปั้นซย่า เสียงแผ่วเบาราวสายลมอ่อน “คุณกำลังจะทำอะไร” ขณะที่เอ่ยเขาก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หลินปั้นซย่าสังเกตเห็นว่านั่นคล้ายจะเป็นลูกเต๋าสองลูก

“ขอโทษครับ!” หลินปั้นซย่าหยัดกายขึ้นทันทีแล้วอธิบาย “ผมเห็นว่าคุณไม่ได้ปิดประตูบ้าน…นึกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยเข้ามาดู”

ชายคนนั้นมองหลินปั้นซย่า แววตาของเขาประหลาดมาก เหมือนกำลังมองสำรวจทั้งยังเหมือนกำลังประเมินเขาอยู่ หลินปั้นซย่าเป็นฝ่ายผิดจึงไม่กล้าปริปากพูด ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงเงียบสงัดไปนับนาที

หนึ่งนาทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอีกประโยค แต่หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจคำพูดของเขาสักเท่าไหร่ ชายคนนั้นเอ่ย “เข้าห้องนี้มาแล้ว คุณไม่มีอะไรที่อยากทำเลยเหรอ”

หลินปั้นซย่าข้องใจ “อะไรที่อยากทำ?”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วสวย จู่ๆ ก็เดินก้าวยาวๆ มาเบื้องหน้าหลินปั้นซย่า ใกล้เสียจนปลายจมูกของทั้งคู่แทบจะสัมผัสกัน หลินปั้นซย่าตกใจจนผงะ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทำเพียงสบสายตากับชายคนนั้น ระยะใกล้ขนาดนี้เขามองเห็นขนตาของชายคนนั้นอย่างชัดเจนแทบทุกเส้น และดวงตาคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะต่างจากคนอื่นๆ ไม่น้อย มันดำสนิทจนมองแทบไม่เห็นเส้นใยในม่านตา ราวกับทะเลดำมืด

ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ชายหนุ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าว สองมือกอดอก “คุณเห็นหุ่นนี่แล้วใช่มั้ยล่ะ”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “หา…? หะ…เห็นแล้ว”

“คุณไม่อยากทำอะไรเลยเหรอ”

หลินปั้นซย่าฉงนงุนงง “ทำ? ทำอะไร”

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า “คุณอยู่ห้องข้างๆ ใช่มั้ย”

หลินปั้นซย่ากล่าว “ใช่ครับ…”

“ย้ายเข้ามากี่วันแล้ว”

“หนึ่งอาทิตย์”

ชายหนุ่มถามต่อ “เตรียมจะย้ายออกไปเมื่อไหร่”

คำถามนี้ถามได้แปลกจริงๆ “ผมไม่ได้คิดจะย้ายออกไปนะครับ…” หลินปั้นซย่าตอบ

ชายหนุ่มเอ่ยอีก “ทำไมถึงไม่ย้ายออก”

หลินปั้นซย่าครุ่นคิด “เพราะมีสาเหตุที่น่าเศร้านิดหน่อย”

ชายหนุ่มได้ยินก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อาจเพราะคิดว่าหลินปั้นซย่าจะมีเรื่องราวน่าสะเทือนใจอะไร น้ำเสียงของชายหนุ่มดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “สาเหตุน่าเศร้าอะไร”

หลินปั้นซย่าพ่นคำหนึ่งออกมาเบาๆ “จน”

ชายหนุ่ม “…”

หลินปั้นซย่า “…”

ความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนแผ่กระจายระหว่างคนทั้งสอง

ในตอนที่หลินปั้นซย่ากำลังคิดว่าตนควรบอกลาได้หรือยัง ในที่สุดชายคนนั้นก็กล่าวคำ เขาเอ่ย “เหตุผลนี้ก็น่าเศร้าพอตัว”

เบ้าตาหลินปั้นซย่าชื้นน้ำเล็กน้อย ในใจคิด โลกใบนี้ยังมีเรื่องที่น่ากลัวกว่าความจนอีกเหรอ ดูจากตอนนี้แล้ว ไม่มีเลย

อาจเพราะไม่ต้องการให้ความเศร้าโศกแผ่ขยายออกไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อ “คุณมาหาผมมีธุระอะไร”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “อ้อ บ้านผมเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกตินิดหน่อย บ้านคุณเป็นเหมือนกันหรือเปล่าครับ”

ชายหนุ่มกล่าว “ตรงไหนที่ผิดปกติ”

“รูมเมตผมบอกว่าโดนผีหลอก”

“ผมไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา”

หลินปั้นซย่ายิ้มขื่น “เหมือนกัน”

“แต่” ชายหนุ่มกล่าวต่อ “คุณก็น่าสนใจดีนะ บางทีผมอาจจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ ฟังคุณเล่าเรื่องอย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขาเอ่ยพลางยื่นมือให้หลินปั้นซย่า “ผม…ซ่งชิงหลัว”

นี่คือชื่อของชายหนุ่ม ชิงหลัว ชิงหลัว ก็ดูมีวาสนากับปั้นซย่าดี

หลินปั้นซย่ายกยิ้ม จับมือของเขาที่ยื่นมา “หลินปั้นซย่า”

ซ่งชิงหลัวเป็นคนประหลาดคนหนึ่ง สามารถสัมผัสได้ตั้งแต่ห้องที่เขาอยู่ไปจนถึงวิธีการพูดของเขาเลย เขาบอกว่าจะเลี้ยงข้าวหลินปั้นซย่า วินาทีถัดมาก็เดินเข้าห้องครัวโดยไม่สนใคร บอกให้หลินปั้นซย่านั่งทำตัวตามสบายอยู่ในห้องนั่งเล่น

หลินปั้นซย่ามาบ้านเขาเป็นครั้งแรก ทำตัวตามสบายเกินไปก็ไม่เหมาะนัก ได้แต่นั่งสงวนท่าทีอยู่บนโซฟา แล้วมองสำรวจโดยรอบอีกครั้ง หุ่นพลาสติกที่จู่ๆ หัวก็ร่วงลงมาเมื่อครู่ ตอนนี้ก็ยังคงนอนแอ้งแม้งสบตากับหลินปั้นซย่าอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่ามองผิดไปหรืออย่างไร เมื่อครู่หุ่นผู้หญิงนั่นยังทำหน้ายิ้มอยู่ มาตอนนี้มุมปากกลับคว่ำลงมา กลายเป็นใบหน้าเศร้าหมองห่อเหี่ยว

หลินปั้นซย่าสบตากับเธอครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจก้มลงเก็บหัวหุ่นนั้นขึ้นมา วางไว้มุมโซฟาอย่างระมัดระวัง ส่วนตนก็นั่งลงบนโซฟาอีกฝั่งหนึ่ง เขานั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีอะไรทำ สายตาเริ่มพินิจพิเคราะห์ห้องนั่งเล่นโดยละเอียด

ในห้องนั่งเล่นมีหีบเล็กใหญ่วางอยู่ กินพื้นที่ห้องนั่งเล่นไปเกือบหมด มีหีบหนึ่งอยู่ใกล้หลินปั้นซย่ามาก เขาจึงยื่นมือออกไปด้วยความอยากรู้ แตะสัมผัสนอกหีบเบาๆ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว เผยสีหน้าแคลงใจออกมา ผิวด้านนอกของหีบนี้มองเผินๆ เหมือนทำจากไม้ แต่เมื่อลูบแล้วมันกลับอ่อนนุ่มอย่างยิ่ง แล้วยังค่อนข้างคล้าย…ผิวหนังมนุษย์

ด้านในหีบนี้ใส่อะไรไว้กันแน่ ขณะที่หลินปั้นซย่ากำลังคิด ก็พลันได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา เขาเงยหน้าก็พบว่าเสียงนั้นดังออกมาจากตู้ใบหนึ่งที่เชื่อมระหว่างห้องนั่งเล่นกับระเบียง แม้เสียงจะแผ่วเบาทว่าเสียดหูเล็กน้อย หากให้บรรยายก็คงเหมือนกับมีคนอยู่ในตู้ ใช้ปลายเล็บที่แหลมคมครูดข่วนประตูตู้

เสียงนี้ดังต่อเนื่องไม่หยุด แม้หลินปั้นซย่าจะอยากเมินเสียงนี้เท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้ เขานั่งฟังอยู่บนโซฟาหลายนาที สุดท้ายก็นั่งไม่ติด ลุกเดินไปที่ห้องครัว

ประตูห้องครัวเป็นกระจกเนื้อขุ่นและยังล็อกจากด้านใน หลินปั้นซย่าได้ยินแต่เสียงผัดอาหารดังมาจากในนั้น เขายกมือเคาะประตูกระจกแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ หลินปั้นซย่าจึงเรียกอีกครั้ง “คุณซ่งครับ?”

“ว่าไง” เสียงของซ่งชิงหลัวเบามาก

“ในตู้เสื้อผ้าบ้านคุณเหมือนจะมีอะไรอยู่ข้างในเลย” หลินปั้นซย่าตะโกนกล่าว “คุณออกมาดูหน่อยมั้ยครับ”

ซ่งชิงหลัวพูดอะไรบางอย่างแต่มันงึมงำไม่ชัดเจนเกินไป หลินปั้นซย่าได้ยินไม่ชัดจนต้องถามขึ้นอีกรอบ ทว่าด้านในกลับไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ อีกเลย

ขณะนั้นเองตู้เสื้อผ้าในห้องนั่งเล่นก็ยิ่งเกินจินตนาการขึ้นเรื่อยๆ เสียงครืดๆ ดังขึ้นราวกับจะข่วนประตูตู้ให้แหลกละเอียดอย่างไรอย่างนั้น

หลินปั้นซย่าจนปัญญา ได้แต่หันกายเดินไปยังเบื้องหน้าตู้นั้น แต่เขายังไม่ทันได้ตอบโต้ใดๆ ประตูตู้ตรงหน้ากลับส่งเสียงดังแอ๊ดแล้วเปิดออกมาเอง

ทันทีที่ประตูตู้เปิดออก สิ่งที่อยู่ด้านในก็เข้าสู่ครรลองสายตาของหลินปั้นซย่า นั่นคือแท่นบูชาแท่นหนึ่ง

บนแท่นบูชาจุดธูปเทียนสีแดงอยู่ไม่น้อย ด้านหลังธูปเทียนมีโถเซรามิกสองใบตั้งอยู่ หลินปั้นซย่าเคยเห็นโถแบบนี้บ่อยๆ เป็นโถแบบที่มักจะพบในฌาปนสถาน…มันคือโถเก็บอัฐิ และนอกจากแท่นบูชาแล้ว หลินปั้นซย่าก็ไม่เจอสิ่งใดในตู้นี้ที่สามารถส่งเสียงออกมาได้เลย เขากวาดสายตาไปรอบๆ ไม่ช้าก็พบว่าบนประตูตู้มีรอยเลือดที่เกิดจากการขีดข่วนเละเทะยุ่งเหยิงไปหมด รอยเลือดนั้นทั้งหนาทั้งยาว ทำเอาคนมองหนังศีรษะชาวาบ

หลินปั้นซย่าจ้องแท่นบูชาอยู่ครึ่งนาที สุดท้ายก็ยกมือขึ้นปิดประตูตู้ลงเงียบๆ จากนั้นก็กลับไปที่โซฟาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งเหม่อลอยต่อไป

ในที่สุดซ่งชิงหลัวก็ออกมาจากห้องครัว มือถือกับข้าวจานร้อนหลายจาน เขาวางอาหารไว้บนโต๊ะ เงยหน้ามองมาทางหลินปั้นซย่าแล้วบอกให้มาทานข้าว

หลินปั้นซย่าเดินไปข้างโต๊ะ เอ่ยว่า “ผมเหมือนจะได้ยินเสียงออกมาจากตู้เสื้อผ้าบ้านคุณ…”

ซ่งชิงหลัวจัดวางถ้วยและตะเกียบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า “อ้อ”

หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างระแวง “จะเป็นพวกหนูอะไรทำนองนี้หรือเปล่านะ”

ซ่งชิงหลัวบอกว่า “บ้านผมไม่มีหนู”

หลินปั้นซย่ากล่าว “งั้น…”

“มีแต่โถเก็บอัฐิ”

หลินปั้นซย่า “…”

ซ่งชิงหลัวเอ่ยต่อ “ตามหลักแล้วโถเก็บอัฐิคงส่งเสียงไม่ได้หรอก ใช่มั้ย”

หลินปั้นซย่าไร้คำจะพูด

คงเป็นเพราะสีหน้าของหลินปั้นซย่าดูงงงันเกินไป จนทำให้ซ่งชิงหลัวรู้ตัวแล้วว่าคำพูดของตนมีจุดที่ทะแม่งๆ เขาคิดไตร่ตรองก่อนจะกล่าวขึ้น “แต่ก็ไม่แน่ โถใส่อัฐินี่เจ้าของห้องทิ้งไว้น่ะ ผมไม่ได้ไปขยับมันเลย มันส่งเสียงได้หรือเปล่าผมเองก็บอกไม่ได้”

หลินปั้นซย่ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย “เจ้าของห้องทิ้งไว้?”

ซ่งชิงหลัวเอ่ย “ใช่ ชั้นบนชั้นล่าง ห้องซ้ายห้องขวามีโถเก็บอัฐิหมดเลย ผมค่อนข้างถูกชะตากับโถบ้านนี้ ก็เลยเช่าที่นี่”

หลินปั้นซย่าคิดในใจ เขาเลือกใช้คำว่าถูกชะตาได้พิสดารเกินไปจริงๆ พิสดารจนพูดไม่ออกเลย

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ซ่งชิงหลัวก็ส่งตะเกียบให้ถึงมือหลินปั้นซย่า เขาจึงจับตะเกียบยกถ้วยแล้วเริ่มทานข้าวเงียบๆ

ฝีมือของซ่งชิงหลัวไม่เลวเลย อาหารทุกจานที่ทำล้วนมีรูปรสกลิ่นสีอร่อยครบด้าน หลินปั้นซย่ากินด้วยความเบิกบานใจยิ่ง หลังจากความเบิกบานใจนั้นเขาก็ยกเจตนาที่ตนมาที่นี่ขึ้นมาพูด เล่าว่าห้องนี้เหมือนจะผิดปกติ รูมเมตของเขาตั้งใจจะย้ายออกไปแล้ว

ขณะหลินปั้นซย่าเอ่ย ซ่งชิงหลัวก็นั่งฟัง ทว่าความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวหลินปั้นซย่า แต่กำลังตั้งอกตั้งใจครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

หลินปั้นซย่าเห็นเขาไม่ได้มีกะใจจะคุยเลยได้แต่ปิดปาก ภายใต้บรรยากาศเงียบงัน ทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จไปหนึ่งมื้อ เคราะห์ดีที่รสอาหารไม่เลวเลยจึงไม่ถึงกับทรมานเกินไป

กินเสร็จหลินปั้นซย่าก็ไม่กล้าอยู่รบกวนต่อ ลุกขึ้นยืนแล้วบอกลา

ตอนที่เขาเดินมาถึงหน้าห้องก็ได้ยินซ่งชิงหลัวที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเบา “อย่าย้ายเลย”

หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างแปลกใจ “หา?”

“ย้ายไปก็หนีไม่พ้น” ประโยคนี้ประหลาดเกินไป หลินปั้นซย่าอยากถามต่อ แต่ประตูด้านหลังกลับปิดดังปัง

หลินปั้นซย่ายืนตะลึงงันอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งถึงค่อยหันหลังกลับเข้าห้อง

ฝั่งหลินปั้นซย่ากำลังไถ่ถามเพื่อนบ้าน ทางด้านจี้เล่อสุ่ยก็เช่าห้องเหมาะๆ ได้แล้ว เขาอยากย้ายออกไปอย่างอดรนทนไม่ไหว ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขกับห้องเช่ามากนักจึงหาที่อยู่ได้เร็ว เขาโทรหาหลินปั้นซย่าเพื่อบอกว่าวันนี้ตนไม่กลับไปแล้วจะอยู่ที่บ้านใหม่เลย

หลินปั้นซย่ารู้ว่าสภาพเขาไม่ดีนักจึงไม่ได้ว่าอะไร ทั้งยังช่วยเขาเก็บเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนและซักส่งไปบ้านใหม่ของเขา

“ปั้นซย่า ตอนกลางคืนนายก็มาอยู่ที่นี่เถอะ” จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “ฉันไม่ค่อยวางใจให้นายอยู่ที่นั่นคนเดียว”

“ไม่เป็นไร” หลินปั้นซย่าเอ่ย “นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ตอนนี้ฉันยังไม่เจออะไรแปลกๆ เลย”

จี้เล่อสุ่ยยังอยากโน้มน้าวเขา แต่เห็นหลินปั้นซย่ายืนหยัดจึงได้แต่ยอมแพ้

เมื่อถึงเวลาที่ฟ้าใกล้มืด หลินปั้นซย่ากลับบ้านเพียงลำพัง บ้านนั้นยังคงเหมือนกับเมื่อวาน หลังจากเขาล้างหน้าแปรงฟันง่ายๆ เสร็จแล้วก็ผล็อยหลับไป

จี้เล่อสุ่ยนอนอยู่บนโซฟาในบ้านหลังใหม่ แม้จะดูจนตรอกอยู่หน่อยแต่อย่างไรใจเขาก็ยังได้สงบลงบ้าง เมื่อคืนเขาทรมานมาทั้งคืนแล้ว เช้ามาก็ไม่ได้พักผ่อนอีก ตอนนี้จี้เล่อสุ่ยจึงง่วงจนทนไม่ไหว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหวาดผวาจากเรื่องที่เจออยู่เลยไม่กล้าปิดไฟในห้องนั่งเล่น

พอนอนลงบนโซฟาแล้วจี้เล่อสุ่ยก็หลับตาลงอย่างสะลึมสะลือ สติสัมปชัญญะของเขาเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว และทุกสิ่งรอบตัวก็เงียบสงัดลง

ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก

เสียงเบาๆ ของนาฬิกาปลุกจี้เล่อสุ่ยให้ตื่นจากความฝัน เขาลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย แล้วก็ได้เห็นหน้าต่างสีดำบานหนึ่ง เบื้องหน้าหน้าต่างมีผู้หญิงกระโปรงแดงยืนอยู่

ทั้งร่างเขาสะดุ้งโหยง จี้เล่อสุ่ยได้สติทันใด ในตอนแรกเขานึกว่ากำลังฝันอยู่ ทว่าเมื่อขยี้ตาหนักๆ สลัดความง่วงงุนออกไปเขาถึงพบว่าตนไม่ได้ฝัน

ห้องนั่งเล่นเดียวกัน รายการโทรทัศน์เดียวกัน เขากลับไปอยู่ในบ้านที่หนีออกมาก่อนหน้านี้ นอนอยู่บนโซฟาตัวเมื่อคืน โทรทัศน์ยังคงฉายรายการเดิมซ้ำๆ ภาพเริ่มกะพริบติดๆ ดับๆ เสียงคลื่นแทรกแหลมดังราวกับเสียงร้องโหยหวนออกมาจากโทรทัศน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จี้เล่อสุ่ยสะท้านไปทั้งร่าง คอเขาแข็งทื่อ ใช้หางตามองไปยังตำแหน่งที่เดิมควรเป็นหน้าต่าง แต่เขากลับเห็นเป็นภาพวาด

ผู้หญิงที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ตรงหน้าต่างบัดนี้เธอเปิดหน้าต่างออกและนั่งอยู่บนขอบโดยที่หันหลังให้เขา ผมของเธอยาวเหยียด สยายปรกพื้นราวกับหยากไย่หนา

จี้เล่อสุ่ยรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งกาย เขาขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียวประหนึ่งถูกแช่แข็ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลุกขึ้นมาแล้วหนีออกไปเลย

“คุณ…คุณเป็นใคร” เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเค้นคำพูดไม่กี่คำออกมาจากปากได้ในที่สุด จี้เล่อสุ่ยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เอ่ยอย่างสิ้นหวัง “คุณเป็นใคร”

หญิงสาวหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นแผดแหลมดั่งเสียงร่ำไห้ของผีร้าย “ฉันก็คือคุณไง” เธอเอ่ยจบก็กระโดดลงจากหน้าต่างไป

วินาทีถัดมา ร่างของเธอกระแทกพื้นต่อหน้าจี้เล่อสุ่ยอย่างแรง ราวกับแตงโมที่แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ศีรษะของเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังไม่บุบสลาย จ้องมองจี้เล่อสุ่ยที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างเคียดแค้น ปากสีแดงขยับเปิดเล็กน้อย “หนีไม่พ้นหรอก”

จี้เล่อสุ่ยส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง เขาอยากลุกขึ้นหนีออกไปจากที่นี่ แต่อย่างไรร่างกายก็ไม่ยอมขยับ หน้าจอโทรทัศน์กลายเป็นภาพสีขาวซ่าๆ ผู้หญิงร่างแตกหักตรงหน้าเริ่มบิดแขนขาพยายามจะลุกขึ้นจากพื้น ทว่ากระดูกทั้งร่างของเธอแหลกละเอียดไปแล้ว ทำได้เพียงลากตัวเองไปกับพื้นช้าๆ ด้วยร่างกายบิดงอ เป็นอย่างนี้ทีละก้าวๆ จนมาถึงเบื้องหน้าจี้เล่อสุ่ย

ปลายจมูกของจี้เล่อสุ่ยถึงขั้นได้กลิ่นเหม็นคาวน่าคลื่นเหียน เขาร้องไม่ออกแล้ว ความกลัวเป็นดั่งหินก้อนหนึ่งที่ติดแหง็กอยู่ในกล่องเสียงของเขาจนหายใจไม่ออก รูม่านตาเขาค่อยๆ ขยายใหญ่

หญิงสาวฉีกยิ้ม เธอขยับเข้ามาทิ้งรอยจูบสีแดงสดไว้ที่แก้มของจี้เล่อสุ่ย แล้วย้ำคำพูดนั้นอีกครั้ง “กลับไปเถอะ”

ด้วยเสียงแผ่วเบาที่คล้ายจะเป็นคำสาปแช่ง ปราการป้องกันทางจิตใจของจี้เล่อสุ่ยถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ ลูกกระเดือกเขาขยับไปมา ดวงตาทั้งสองข้างเหลือกขึ้นแล้วสลบไปทั้งอย่างนั้น

เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งก็เป็นช่วงฟ้าสว่างของอีกวันแล้ว

ในตอนที่จี้เล่อสุ่ยเพิ่งตื่นขึ้น เขาถึงกับไม่กล้าลืมตา หรี่ตามองสำรวจอยู่ครู่ใหญ่จนแน่ใจแล้วว่าตนไม่ได้กลับไปที่ห้องเดิม ถึงลุกจากโซฟาด้วยอาการสั่นเทาไปทั้งร่าง

ไม่มีผู้หญิง ไม่มีหน้าต่าง และไม่มีห้องก่อนหน้านี้ ราวกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนล้วนเป็นเพียงความฝัน

จี้เล่อสุ่ยเข้าห้องน้ำและเปิดน้ำล้างหน้าตัวเองอย่างทุลักทุเล ทว่าเมื่อเขาเงยหน้ามองกระจก กลับพบว่าบนแก้มขวาของเขามีรอยรูปปากสีแดงสดประทับอยู่

ราวกับตราต้องสาปที่ลบไม่ออก

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 01 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: