ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 1
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม
มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 8
ห้อง 1303 (8)
เมื่อจับจุดอ่อนของเถ้าแก่ได้ เจ้าของร้านจ่ายเงินเพียงน้อยนิดก็ได้ชุดแต่งงานนั้นกลับร้านไป ในคืนวันนั้น เขานำชุดแต่งงานมาสวมให้หุ่นพลาสติกทันทีอย่างไม่อยากรีรอ แล้วผลลัพธ์ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ในตอนที่เขากำลังจะปิดร้านเลิกงาน ก็มีสาววัยรุ่นคนหนึ่งเข้าร้านมา
เหมือนเช่นทุกครั้ง ทันทีที่สาวน้อยเดินเข้าร้าน ชุดแต่งงานที่อยู่บนหุ่นก็ดึงดูดสายตา เธอรีบขอซื้อชุดแต่งงานนี้ทันทีโดยไม่ถามแม้แต่ราคา
เจ้าของร้านฉลองอยู่ในใจ เอ่ยบอกราคาสูงลิ่วอย่างไม่สมเหตุสมผลไปโดยไม่ลังเล ถึงอย่างไรในมุมมองของเขา ความประณีตของชุดแต่งงานนี้ก็สมกับราคานี้แล้ว เรียกสูงสักหน่อยก็ไม่นับว่าเกินไป
สาวน้อยได้ยินเจ้าของร้านบอกราคาก็โทรหาเพื่อนทันที พยายามรวบรวมเงินที่เจ้าของร้านต้องการมาจนครบ จากนั้นก็ชำระเงินแล้วจากไป สีหน้าตอนที่นำชุดแต่งงานนั้นไปก็เบิกบานเป็นพิเศษ
เมื่อเงินก้อนจากการค้าขายเข้าบัญชี เจ้าของร้านก็ฮัมเพลงอย่างมีความสุข ปิดไฟร้านอย่างสุขใจแล้วเลิกงานกลับบ้าน
วันถัดมา เจ้าของร้านเปิดร้านตามปกติ แต่เมื่อเขาเข้าร้าน ทำความสะอาดตามกิจวัตร จู่ๆ ก็พบจุดที่แปลกไป…หุ่นผู้หญิงนั่นเหมือนจะขยับตำแหน่ง เจ้าของร้านเห็นดังนั้นก็ร้อนใจทันที คิดว่ามีขโมยเข้าร้าน เขาตรงเข้าไปด้วยอยากตรวจสอบดูสภาพของหุ่นผู้หญิง เพราะอย่างไรเสียของสิ่งนี้ก็เป็นสมบัติสำคัญประจำร้านเขา
ทว่าเมื่อเจ้าของร้านมาอยู่ตรงหน้าหุ่น แล้วมองชุดแต่งงานบนหุ่นตัวนั้น เขาก็ฉุกคิดถึงสิ่งที่น่ากลัวขึ้นได้อย่างฉับพลัน ชุดแต่งงานชุดนี้เพิ่งขายออกไปเมื่อวานไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ถึงกลับมาที่นี่อีกล่ะ
เจ้าของร้านหวนนึกถึงคำที่เถ้าแก่ผู้ขายชุดแต่งงานเคยพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้ได้ เม็ดเหงื่อเย็นก็ผุดขึ้นที่หน้าผาก เขาตัวสั่นงันงก แต่ทันทีที่มือไปสัมผัสโดนมือของหุ่น ร่างกายเขาก็แข็งทื่อทันที
เขาไม่คาดคิดเลยว่ามือของหุ่นจะมีอุณหภูมิ ซ้ำสัมผัสที่ได้รับนั้นไม่ใช่พลาสติกอีกต่อไป แต่เป็นผิวหนังมนุษย์…
เจ้าของร้านสะกดกลั้นความกลัว ค่อยๆ หมุนหุ่นในตู้โชว์ตรงหน้าตนให้หันมา ในพริบตาที่เขาได้เห็นใบหน้าของหุ่นก็ต้องส่งเสียงร้องอย่างตกใจกลัวออกมา ‘เป็นไปได้ยังไง!!!’
หุ่นพลาสติกในร้านของเขาหายไป และสิ่งที่มาแทนที่คือสาวน้อยผู้ซื้อชุดแต่งงานไปคนนั้น เธอสวมชุดแต่งงาน ใบหน้าประดับรอยยิ้มแบบเดียวกับหุ่นพลาสติก ลืมดวงตาที่ไร้แวว เป็นดั่งรูปปั้นไร้วิญญาณ
ได้ยินว่าวันนั้น คนมากมายต่างเห็นเจ้าของร้านวิ่งหัวซุกหัวซุนออกมาจากร้าน
หลังจากนั้นประตูร้านของเจ้าของร้านก็ปิดลง และไม่รู้ความเป็นไปของหุ่นนั้นอีกเลย เรื่องราวนี้ก็กลายเป็นตำนานผีในเมืองไป
ซ่งชิงหลัวเล่าจบก็เงียบเสียง หลินปั้นซย่ากับจี้เล่อสุ่ยสองเกลอที่ฟังอย่างเพลิดเพลินต่างก็เผยสีหน้าเหมือนอารมณ์ค้างออกมา
“ไม่สิ ในเมื่อคนที่เห็นหุ่นนี้ทุกคนต่างก็อยากสวมชุดที่เธอสวม งั้นทำไมหลินปั้นซย่าถึงไม่ใส่ล่ะ นายไม่ใส่ เจ้าของร้านนั่นก็ไม่ใส่นี่” จี้เล่อสุ่ยคิดว่าตนพบช่องโหว่ของเรื่องแล้ว
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอ่อนแข็งของจิตสัมผัสวิญญาณของแต่ละคน” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “คนที่จิตสัมผัสวิญญาณแข็งแกร่งสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ คนประเภทนี้จะได้รับผลกระทบง่าย บางคนจิตสัมผัสวิญญาณอ่อนแอ ผลกระทบจึงไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น”
“อ๋อ” จี้เล่อสุ่ยเกาหัว กลับนึกขึ้นได้ว่าบนศีรษะตัวเองยังมีมงกุฎหงส์อยู่ สีหน้าจึงเก้อกระดากเล็กน้อย กล่าวว่า “งั้นฉันขอไปเปลี่ยนชุดก่อน”
จนจี้เล่อสุ่ยเข้าห้องไปแล้ว หลินปั้นซย่าจึงหันไปหาซ่งชิงหลัว เอ่ยถามว่า “โลกนี้มีของแบบนี้เยอะเลยเหรอ”
“ไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อย”
“งั้นห้องของพวกเราก็นับเป็นหนึ่งในนั้น?”
ซ่งชิงหลัวตอบว่า “อืม”
หลินปั้นซย่ากล่าว “หรือว่าหีบในห้องนั่งเล่นของคุณก็…”
ซ่งชิงหลัวชูนิ้วทำมือเป็นเชิงให้หยุดพูด หลินปั้นซย่าเม้มริมฝีปาก กลืนความสงสัยในใจกลับลงไป
เมื่อจี้เล่อสุ่ยเปลี่ยนชุดเสร็จออกมาก็ไม่กล้าสบตามองหุ่นผู้หญิงนั่นตรงๆ ดีที่ซ่งชิงหลัวอธิบายว่าหุ่นผู้หญิงนี้มอมเมาคนได้เพียงสามครั้งเท่านั้น นอกจากชุดแต่งงานบนตัวของเธอแล้ว เสื้อผ้าอื่นๆ ล้วนส่งผลเพียงสามวัน พ้นสามวันไปแล้วก็จะไม่มีผลอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายใดๆ อย่างมากก็แค่น่าตกใจ
หลินปั้นซย่าเอ่ย “งั้นผลของชุดแต่งงานนี้อยู่ได้นานขนาดไหน”
ซ่งชิงหลัวกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าไม่มีคนขัดขวางก็จนกว่าจะตาย”
หลินปั้นซย่า “…”
จี้เล่อสุ่ยได้ยินคำพูดนี้ ก็นึกถึงเจ้าของร้านและสาวน้อยในเรื่องเล่าของซ่งชิงหลัว แค่คิดอยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ซ่งชิงหลัวรู้ได้ยังไงว่าผลของชุดชุดนี้จะอยู่ยาวจนกว่าจะตาย…
วุ่นวายมาครู่หนึ่ง แสงของท้องฟ้าก็มืดลงโดยสมบูรณ์แล้ว ซ่งชิงหลัวนำหุ่นผู้หญิงไปวางไว้ในห้องนอนของเขา
แม้จี้เล่อสุ่ยจะยังหวั่นใจอยู่บ้างที่ต้องอยู่ที่นี่คนเดียว แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าตอนบ่ายวันนี้เขาไม่ได้เห็นภาพหลอนน่ากลัวพวกนั้นอีก ดังนั้นด้วยการโน้มน้าวปลอบโยนของหลินปั้นซย่า เขาจึงทนกล้ำกลืนยอมอยู่ที่ห้องของซ่งชิงหลัวคนเดียว
กระนั้นซ่งชิงหลัวก็ไม่ได้สนใจนัก ถ้าจี้เล่อสุ่ยยืนกรานที่จะไม่ยอม ก็พูดได้เพียงว่าชีวิตเขาสมควรเจอกับเรื่องพวกนี้แล้ว คนที่เขาช่วยไม่ได้ เขาไม่คิดบีบบังคับมาแต่ไหนแต่ไร
ซ่งชิงหลัวและหลินปั้นซย่าปลอบใจจี้เล่อสุ่ยเสร็จก็ไปพักผ่อนห้องข้างๆ
คืนนี้ก็ยังคงเป็นค่ำคืนที่ไม่มีพระจันทร์เฉกเช่นเคย ชั้นเมฆมืดทึบ เบื้องบนท้องฟ้าราวกับมีม่านหนาปกคลุม ลมพัดหวีดหวิวอยู่นอกหน้าต่าง หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ ไม่มีบทสนทนาใดๆ นิ่งเงียบไม่พูดจาอย่างรู้กันอยู่ในที
ในโทรทัศน์กำลังฉายวาไรตี้รายการหนึ่ง ไม่ถึงกับน่าเบื่อแต่ก็ไม่ถึงกับน่าสนใจ จู่ๆ หลินปั้นซย่าก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย จึงเอื้อมมือไปหยิบหมอนอิงบนโซฟามากอดไว้ในอ้อมแขน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมแรงเกินไปหรือเปล่า หน้าต่างที่ปิดอยู่ตลอดถึงถูกลมพัดจนส่งเสียงดังกุกกัก เดิมหลินปั้นซย่าคิดอยากลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ผลคือเมื่อลุกขึ้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่าหน้าต่างบานนี้คือภาพวาดที่หลอกหลอนจี้เล่อสุ่ยไปไม่กี่วันก่อน ตอนนั้นเขายังใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดลายนิ้วมือสีเลือดตรงกระจกด้านในด้วย…เดี๋ยวก่อน กระจกด้านใน?
หลินปั้นซย่ารู้สึกตัวขึ้นมาทันที ลายนิ้วมือเลือดพวกนี้ปรากฏขึ้นด้านใน นั่นก็แปลว่าสิ่งนั้นประทับรอยนิ้วมือจากด้านในหรือเปล่า ตอนนี้จี้เล่อสุ่ยไม่อยู่แล้ว แต่เขายังนั่งอยู่ในห้องนะ…แผ่นหลังเขาขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ลูกกระเดือกขยับอย่างไม่สบายใจ
ซ่งชิงหลัวเห็นว่าเขายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมจึงเอ่ยเสียงเบา “เป็นอะไร”
หลินปั้นซย่าเล่าเรื่องที่เจอไม่กี่วันก่อนให้เขาฟังเสียงเบา
ซ่งชิงหลัวเอ่ย “แล้วยังไง”
“แล้วผมก็เลยกลัวนิดหน่อย ขอรบกวนคุณช่วยปิดหน้าต่างให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ”
ซ่งชิงหลัว “…”
หลินปั้นซย่า “0.0”
ซ่งชิงหลัวมองดวงตากลมโตคู่นั้นของหลินปั้นซย่า เอ่ยอย่างจนใจ “ตอนนั้นทำไมคุณถึงไม่กลัวล่ะ”
หลินปั้นซย่าบอกว่า “0.0 ไม่รู้สึกตัวน่ะ”
ซ่งชิงหลัว “…”
“0.0 ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว น่ากลัวสุดๆ เลยครับ”
“…” สุดท้ายซ่งชิงหลัวก็ยอมแพ้ที่จะคุยเรื่องนี้กับหลินปั้นซย่า เดินเงียบๆ ไปยังหน้าต่าง ปิดหน้าต่างนั้นให้สนิท
หลินปั้นซย่าเอ่ยขอบคุณกับซ่งชิงหลัวอย่างซาบซึ้ง บอกว่าตนอยากไปอาบน้ำ เมื่อกี้กลัวจนเหงื่อออกทั้งตัวเลย
ซ่งชิงหลัวอดไม่ไหวจริงๆ “นี่มันผ่านมาสองสามวันแล้ว คุณเพิ่งมารู้สึกตัวตอนนี้เนี่ยนะ?”
หลินปั้นซย่าก้มหน้าหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนแล้วเอ่ย “นับว่าเร็วแล้วๆ ปกติตั้งหนึ่งเดือนแน่ะ”
ซ่งชิงหลัว “…”
หลินปั้นซย่าไปอาบน้ำ ในที่สุดก็ล้างเอาความกลัวซึ่งเกิดจากการที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมาออก จากนั้นกินถั่วที่แคลอรีสูงมากๆ หนึ่งจานอย่างอิ่มอกอิ่มใจแล้วค่อยเข้านอน แน่นอน เขาก็มีคุณธรรมอยู่ไม่น้อย ก่อนนอนก็ไม่ลืมที่จะโทรหาจี้เล่อสุ่ย ถามไถ่ว่าสถานการณ์ทางเขาเป็นอย่างไรบ้าง
จี้เล่อสุ่ยรับโทรศัพท์ด้วยความปกติอย่างยิ่ง กล่าวว่าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร แค่มักจะได้ยินเสียงทักทายมาจากข้างบ้าน และถามว่าใช่ซ่งชิงหลัวหรือเปล่า
หลินปั้นซย่ายื่นหัวออกมามองซ่งชิงหลัวที่ยังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ตอบว่าใช่ไปโดยซ่อนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไว้ในใจ
“โธ่เอ๊ย เป็นเขาจริงๆ ด้วย ทำเอาฉันตกใจเลย” จี้เล่อสุ่ยเอ่ย “เห็นเขาดูเป็นคนมีความสามารถ แล้วยังผอมขนาดนี้อีก ไม่นึกว่าจะกรนดังขนาดนี้ ตัดสินคนที่หน้าตาไม่ได้เลยนะเนี่ย”
หลินปั้นซย่าอืมๆ อาๆ ตามจี้เล่อสุ่ยไป ถามเขาว่ามีตรงไหนที่ไม่สบายหรือเปล่า จี้เล่อสุ่ยจามหนึ่งทีและเอ่ยว่าไม่มีเลย ก่อนหน้านี้เขารู้สึกหนาวตลอด พอมาอยู่บ้านซ่งชิงหลัวก็ดีขึ้นมากแล้ว ถึงเสียงกรนจะดังไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้กระทบอะไรมาก ออกจะดูมีกลิ่นอายของชีวิตเสียด้วยซ้ำไป
หลินปั้นซย่าคิดในใจ กลิ่นอายของชีวิตก็ยังพอโอเค
“งั้นฉันนอนแล้ว” จี้เล่อสุ่ยบอก “นายก็รีบนอนล่ะ”
“ฝันดี” หลินปั้นซย่าเอ่ย
ตัดสายแล้ว หลินปั้นซย่าก็แวะปิดไฟในห้องนอน ห้องที่เขานอนเป็นห้องของจี้เล่อสุ่ย เพราะซ่งชิงหลัวไม่ชอบใจที่ห้องของจี้เล่อสุ่ยไม่มีหน้าต่าง หลินปั้นซย่าจึงแลกห้องชั่วคราว เมื่อไฟห้องนอนดับลงก็มีเพียงแสงอ่อนๆ ลอดมาจากห้องนั่งเล่น หลินปั้นซย่าจดจ้องเพดาน พยายามกล่อมตัวเองให้ง่วง
ทว่าในตอนที่เขากำลังจะหลับนั่นเอง กลับคล้ายได้ยินเสียงเคี้ยวแปลกๆ ดังขึ้นรางเลือน มันเหนียว เชื่องช้า ราวกับกำลังเคี้ยวเนื้อที่ยากจะฉีกขาด เสียงนั้นออกมาจากตู้เสื้อผ้าข้างๆ ดังวนเวียนอยู่ที่ข้างหูเขานี่เอง
หลินปั้นซย่าแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเตียง
เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ประตูตู้เสื้อผ้าค่อยๆ แง้มเปิด เผยให้เห็นช่องว่างสีดำสนิท ด้านในช่องว่างนั้นปรากฏดวงตาสีแดงเลือดดวงหนึ่งที่มีความเคียดแค้น แอบมองสอดส่องคนบนเตียง
หลินปั้นซย่ายังคงไม่ขยับ
ดวงตาในตู้เสื้อผ้าจากดวงหนึ่งกลายเป็นสองดวง แล้วกลายเป็นสามดวง ท้ายที่สุดก็เติมเต็มทุกช่องว่างของตู้เสื้อผ้าอย่างอัดแน่น พวกมันล้วนเป็นสีแดงสด ลูกตาดำใหญ่เท่าปลายเข็มเท่านั้น
“ครอก…ครอก…” เสียงกรนแผ่วเบาดังออกมาจากปากคนที่นอนอยู่บนเตียง
ช่องว่างของตู้ที่เดิมทีแง้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ ก็หยุดนิ่ง ราวกับช็อกเพราะเสียงกรนเบาๆ นี้อย่างไรอย่างนั้น ถ้าพวกมันพูดได้คงต้องก่นด่าเขาแรงๆ สักประโยคแน่นอน แม่แกสิ เจอแบบนี้แล้วยังหลับลงอีกเหรอ
ส่วนคนที่ยังนั่งดูโทรทัศน์อย่างเบื่อหน่ายอยู่ในห้องนั่งเล่นผู้นั้น ในดวงตาปรากฏแววยิ้มเยาะขึ้นมา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 05 ก.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.