X
    Categories: Additional Heritage มรดกลวงรักeverYทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2 บทที่ 43 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Additional Heritage มรดกลวงรัก เล่ม 2

ผู้เขียน : 水千丞 (Shui Qian Cheng)

แปลโดย : : เฉินซุ่นเจิน

ผลงานเรื่อง : 附加遗产 (Fu Jia Yi Chan)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การบูลลี่ การมีอคติต่อคนรักร่วมเพศ การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย และการกระทำชำเรา

การล่อลวง การลักพาตัว การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน และการพยายามฆ่า

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 43

 

หลังจากกลับมาที่ประเทศจีนเวินเสี่ยวฮุยก็มีช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ

หลังจากออกไปชุบทองมาชั้นหนึ่งค่าตัวของเขาก็เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากงานในสตูดิโอและชีวิตส่วนตัวแล้วก็มีคนเริ่มเชิญเขาให้ไปร่วมงานสังคม ออกแบบการแต่งหน้า และบรรยาย ทั้งยังต้องการร่วมงานกับเขาเพื่อทำคอร์สวิดีโอและออกหนังสืออีกด้วย ตอนนี้แฟนคลับในเวยป๋อของเขาเกือบแตะสองแสนคนแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งได้รับงานโปรโมตสินค้าจากแบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีน้องใหม่ อนาคตสดใสเป็นอย่างมาก

เนื่องจากงานยุ่งจนเกินไปเวินเสี่ยวฮุยจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเวลาให้กับความรักเลย หลังจากกลับมาเขาก็กินข้าวกับหลีซั่วสองครั้ง จากกันครึ่งปีทั้งสองคนเหมือนกลับสู่สภาพที่ไม่ใกล้ไม่ไกลแบบนั้นอีกครั้งซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ คืนนั้นเป็นการนัดหลับนอนที่ไม่เลวทั้งในแง่ของเวลา บรรยากาศ และคน แต่มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย พวกเขายังห่างไกลจากคำว่าความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการมาก ส่วนจะเดินต่อไปหรือไม่นั้นคงเป็นเรื่องของวาสนาแล้ว

วันหนึ่งแม่ของเขาพาเขาไปเจอกับแฟนหนุ่ม และเพื่อไม่ให้เป็นภาระของแม่ เขาจึงจงใจไม่แต่งหน้า ไม่ทำผม และไม่ได้ใส่กางเกงที่เน้นโชว์สัดส่วนตรงก้น หากแต่ดูสะอาดและเรียบง่ายเหมือนบัณฑิตจบใหม่

แฟนหนุ่มของแม่ชื่อเอียน เป็นชาวอเมริกันอายุสี่สิบเก้าปี เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของกลุ่มโรงแรมในเครือนานาชาติในประเทศจีน ตัวสูงใหญ่ดูสุขุม พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ดูเป็นสุภาพบุรุษมากและเหมาะกับแม่ของเขา

เวินเสี่ยวฮุยมีความสุขแทนแม่เป็นอย่างมาก ตอนที่พ่อจากไป แม่เพิ่งจะอายุสามสิบหกสามสิบเจ็ดปีเท่านั้น หนทางชีวิตยังอีกยาวไกลเหลือเกิน เขาหวังมาโดยตลอดว่าจะมีใครสักคนที่ดูแลแม่และอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า แม้การที่อีกฝ่ายเป็นคนต่างชาติทำให้เขามักจะเป็นกังวลอยู่เสมอ แต่พวกเขาก็เข้ากันได้ดี เขาหวังจริงๆ ว่าคราวนี้แม่จะเจอคนที่ใช่สักที

หลังจากกินข้าวเสร็จเอียนก็ส่งแม่กลับห้อง ส่วนตัวเขาก็แวะซื้อผลไม้บางอย่างก่อนจะเรียกรถไปที่คฤหาสน์ของลั่วอี้

รถแท็กซี่จอดอยู่หน้าประตูใหญ่ เวินเสี่ยวฮุยลงจากรถ ทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้วเดินเข้าไปข้างใน

เมื่อมองดูทิวทัศน์ที่คุ้นเคยของเขตที่พักอาศัยนี้เขาก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย สองปีผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของชุมชนจำหน้าของเขาได้นานแล้ว เขาสามารถหลับตาเดินจากหน้าประตูใหญ่ไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ของลั่วอี้ได้ด้วยซ้ำ เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ทำให้ยากที่จะปรับตัว เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากที่เขาเจอกับลั่วอี้เป็นครั้งแรก ในตอนนั้นเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะมีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเด็กหนุ่มคนนี้

หลังจากนี้อีกสองเดือนก็จะเป็นวันเกิดอายุครบสิบแปดปีของลั่วอี้แล้ว เมื่อวันเกิดผ่านไปสัญญาของพวกเขาก็จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เขากำลังจะได้รับเงินสามล้านกับห้องชุดหนึ่งห้องที่หย่าหย่าทิ้งไว้ให้เขา และลั่วอี้ก็จะได้รับมรดกจำนวนมหาศาลที่หย่าหย่าทิ้งไว้ให้เช่นกัน เมื่อนึกถึงมรดกเหล่านั้น เวินเสี่ยวฮุยก็เปี่ยมไปด้วยการรอคอย เขาอยากจะเปลี่ยนห้องที่ดีกว่านี้ให้แม่ของเขาอยู่เสมอ และถ้าหากยังมีเงินมากพอเขาก็จะซื้อสกู๊ตเตอร์สักคัน

เพียงแต่หลังจากสัญญามีผลบังคับใช้เขากับลั่วอี้ก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางกฎหมายอีกต่อไป เขาไม่รู้ว่านี่จะส่งผลกระทบระหว่างเขากับลั่วอี้หรือเปล่า อย่างไรก็ตามทันทีที่สัญญานั้นมีผลบังคับใช้เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับลั่วอี้ได้อย่างสบายใจขึ้น เพราะเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะไม่มีข้อผูกมัดทางศีลธรรมอีกแล้วไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม

จู่ๆ เวินเสี่ยวฮุยก็ตกตะลึงกับความคิดนี้ หรือว่าเขากำลังรอให้ถึงวันนั้น เขาหัวเราะเยาะตัวเอง เขานึกมาโดยตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่กล้าทำกล้ารับ แต่มีเพียงการเผชิญหน้ากับลั่วอี้เท่านั้นที่เขาพูดไม่ถูกจริงๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร

เมื่อมาถึงคฤหาสน์ของลั่วอี้ ทันทีที่เวินเสี่ยวฮุยเข้าไปข้างในก็ถึงกับต้องผงะ เพราะมีคนที่ไม่คาดฝันนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น…เฉาไห่

ลั่วอี้ตกใจเล็กน้อย “พี่เสี่ยวฮุย พี่มาได้ยังไงเนี่ย”

“วันนี้ฉันไปกินข้าวกับแม่แล้วก็แฟนแม่ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากก็เลยแวะมา” เวินเสี่ยวฮุยมองดูเฉาไห่ รู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษเพราะลั่วอี้เคยบอกเขาว่าให้ระวังเฉาไห่ ฉะนั้นการที่เฉาไห่มาปรากฏตัวที่นี่ เขารู้สึกว่าจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

ลั่วอี้กับเฉาไห่นั่งอยู่ที่โซฟาโดยมีเอกสารกองอยู่เต็มโต๊ะกลาง เห็นได้ชัดว่ากำลังปรึกษาเรื่องอะไรบางอย่าง ทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งเครียด

เฉาไห่พูด “ดึกป่านนี้แล้ว ฉันกลับก่อนดีกว่า ลั่วอี้ นายก็เอาเรื่องนี้ไปคิดให้ดีเถอะ มันเป็นวิธีเดียวในตอนนี้แล้ว”

ลั่วอี้พยักหน้า “คุณอาเฉากลับดีๆ ครับ”

เฉาไห่กล่าวทักทายเวินเสี่ยวฮุยตามมารยาทสองสามประโยคแล้วก็จากไป

ทันทีที่เขาไปเวินเสี่ยวฮุยก็จี้ถาม “เกิดอะไรขึ้น เขามาได้ยังไง”

ลั่วอี้สอดทั้งสิบนิ้วเข้าไปในผม ดูกังวลและเป็นทุกข์ “เขามาช่วยผมแก้ปัญหาเรื่องเงินทุน”

“เขา? เขาไว้ใจได้เหรอ เขาไม่ได้อยากได้มรดกที่พี่สาวฉันทิ้งไว้ให้นายหรอกเหรอ”

ลั่วอี้พยักหน้า “แต่มีแค่เขาที่ช่วยผมได้ เขาขอส่วนหนึ่งของค่าตอบแทน ค่าตอบแทนนี้สูงกว่าดอกเบี้ยธนาคารนิดหน่อยซึ่งก็ยังถือว่าคุ้มมาก”

เวินเสี่ยวฮุยนั่งลงตรงหน้าลั่วอี้แล้วนวดๆ ไหล่ของเขา “ลั่วอี้ นายอย่าเพิ่งหาหมอไปมั่วๆ เพราะป่วยหนัก* เลยนะ ลองคิดดูดีๆ ว่าเขาเชื่อใจได้จริงๆ หรือเปล่า เขาจะช่วยนายได้ยังไง เขาก็ดูไม่เหมือนคนที่รวยมากไม่ใช่เหรอ”

ลั่วอี้ลูบหน้า “ผมไปยกของหวานมาให้พี่ดีกว่า เมื่อวานผมทำ…”

“ลั่วอี้” เวินเสี่ยวฮุยสีหน้าขึงขัง “ตอนนี้ฉันจะไปมีอารมณ์กินของหวานได้ยังไง อีกอย่างฉันกำลังลดน้ำหนัก…นายเล่าให้ฉันฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้น”

ลั่วอี้ส่ายหน้า “ถึงเขาจะช่วยผมได้ แต่วิธีที่เขาเสนอมันเสี่ยงเกินไป ผมยังไม่ได้ตอบตกลง”

“เสี่ยงยังไงล่ะ ผิดกฎหมายเหรอ”

ลั่วอี้เงียบ

เวินเสี่ยวฮุยขึ้นเสียงสูง “งั้นก็ตกลงไม่ได้เด็ดขาด”

“ถ้าเรื่องนี้สำเร็จล่ะก็ คนที่ทำผิดกฎหมายจะมีแค่เขา ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา แต่ว่าผม…ผมลองคิดหาวิธีอื่นดีกว่า”

“…พวกเรา?” เวินเสี่ยวฮุยพูดอย่างลังเล “พวกเราที่นายพูดถึง รวมถึงฉันด้วยไหม”

ความตื่นตระหนกวูบผ่านดวงตาของลั่วอี้ “เปล่า ผมก็พูดไปงั้นๆ ผมหมายถึงตัวผมเอง”

น้ำเสียงของเวินเสี่ยวฮุยแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “นายเลิกปิดบังฉันสักทีได้ไหม เรื่องใหญ่ขนาดนี้นายจะปิดบังฉันได้ยังไง ตกลงว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”

ลั่วอี้ถอนหายใจ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา

เวินเสี่ยวฮุยชกเขาเบาๆ ทีหนึ่ง “พูดมาเถอะ ฉันไม่อยากเห็นนายเป็นแบบนี้ ตั้งแต่ฉันกลับมาจากอเมริกานายก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้นายยิ้มเก่ง ไม่เหมือนตอนนี้ที่เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ ยุ่งโน่นยุ่งนี่ทั้งวัน นายยังเด็กขนาดนี้จำเป็นด้วยเหรอ พูดมาเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรมาก แต่ผมก็ยังไม่อยากลากพี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอยู่ดี”

“อะไรคือลากฉันเข้าไปเกี่ยวข้อง ฉันเป็นผู้ปกครองของนาย นายคือความรับผิดชอบของฉัน”

ลั่วอี้ถอนหายใจพลางเอ่ย “เอาเถอะ ผมจะบอกพี่ ตอนนี้ผมต้องการเงินทุนด่วน ไม่อย่างนั้นความพยายามที่ทุ่มเทลงไปจะสูญเปล่าและจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ถ้ายื้อเวลาไปถึงปลายเดือนสิบได้ พอผมรับมรดกแล้วก็จะแก้ไขความเสี่ยงนี้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ฉะนั้นเฉาไห่ก็เลยเสนอวิธีที่จะให้ผมรับมรดกก่อนกำหนด”

“วิธีอะไร”

ลั่วอี้มองเขา “ปลอมแปลงสัญญาให้พี่รับมรดกแทน จากนั้นค่อยโอนเงินมาให้ผม”

เวินเสี่ยวฮุยอ้าปากกว้าง ด้วยความรู้ของเขานั้นยังไม่เพียงพอที่จะพิจารณาว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด คำสำคัญอย่างเดียวที่เขาได้ยินคือ ‘ปลอมแปลงสัญญา’ กับ ‘นายรับมรดกแทน’ สองอย่างนี้

ลั่วอี้หลุบตาลง “ผมรู้ว่ามันทำให้พี่ตกใจ ผมก็เลยไม่อยากบอกพี่”

เวินเสี่ยวฮุยกลืนน้ำลาย “นี่มันทำได้ด้วยเหรอ”

“ในทางทฤษฎีก็ทำได้ เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่บนพื้นฐานที่ว่าพี่น่าเชื่อถือมากแค่ไหน พี่เสี่ยวฮุย ผมเชื่อใจพี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ท้ายที่สุดมันเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงสัญญา ผมรู้ว่าพี่ต่อต้านเรื่องแบบนี้มาก ฉะนั้น…”

“นั่นสิ ฉ้อโกงสัญญา…ทำไมเฉาไห่ถึงได้กล้าขนาดนี้ เขาไม่กลัวถูกจับเหรอ”

ลั่วอี้ยิ้มขมขื่นแล้วพูด “เฉาไห่ก็เป็นคนแบบนี้มาโดยตลอด ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จล่ะก็ เขาก็จะได้เงินก้อนใหญ่ ฉะนั้นเขาจึงยอมเสี่ยง อีกอย่างเขาเป็นทนายของแม่ สัญญามรดกเขาก็เป็นคนร่าง สัญญาที่พวกเราเคยเซ็นก็อยู่กับเขา เขาแก้ไขสัญญาได้ง่ายที่สุดแล้ว ตอนนี้ซุนอิ่งซึ่งเป็นคนเดียวที่รู้เนื้อหาจริงๆ ในสัญญากำลังป่วยหนัก ตราบใดที่เราสามคนตกลงกันก็จะปลอดภัย อย่างน้อยเขาก็มั่นใจในตัวเองมาก บอกว่าสามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างปลอดภัย ต่อให้เกิดเรื่อง เขาบอกแค่พูดว่าไม่รู้เรื่องอะไรก็พอแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง เขาประสานมือกัน ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย อันที่จริงเขาฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องผิดกฎหมายแน่ๆ แต่ว่าตามที่ลั่วอี้พูดก็ดูไม่เหมือนเรื่องที่ร้ายแรงอะไรมาก ต่อให้เกิดเรื่องก็เป็นเพราะเฉาไห่เป็นคนปลอมแปลงสัญญา สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือลั่วอี้ต้องการใช้เงินนี้อย่างเร่งด่วน ในเมื่อเดิมทีมรดกก้อนนี้ก็เป็นของลั่วอี้อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเขายังเด็กเกินไปที่จะจัดการกับมันได้ การเปลี่ยนมือจากตัวเขาก็น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไรหรอกมั้ง

ลั่วอี้ลูบๆ มือของเขา “พี่เสี่ยวฮุย ให้ผมคิดหาวิธีอื่นเถอะ บางทีในช่วงเวลาเข้าตาจนอาจจะมีคนช่วยผมจริงๆ สักครั้งก็ได้”

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้วมองเขา “ลั่วอี้ มีคำถามหนึ่งที่ฉันอยากรู้มาตลอด”

“พี่ว่ามา”

“ฉันก็แค่สงสัย ไม่ได้มีความหมายอื่น คือว่า…พี่สาวของฉันทิ้งไว้ให้นายเท่าไรเหรอ”

ลั่วอี้เงียบไปครู่หนึ่ง “ผมจะบอกพี่ก็ได้ แต่พี่อย่าถามผมนะว่าแม่ได้เงินพวกนี้มาจากไหน เพราะส่วนใหญ่แล้วผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ส่วนที่รู้ก็ไม่อยากบอกพี่เพราะมันไม่เป็นผลดีกับพี่”

“นายว่ามาเถอะ ถึงยังไงฉันก็ต้องรู้อยู่ดี”

“เงินสดสองร้อยหกสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อสังหาริมทรัพย์สิบสองห้อง บวกกับบริษัท ที่ดิน รถยนต์ เครื่องประดับ หุ้น และสัญญาซื้อขายอื่นๆ รวมทั้งหมด…” ลั่วอี้มองดูอาการตกตะลึงของเวินเสี่ยวฮุย ก่อนจะพูดเสียงเบา “มากกว่าสามร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ”

เวินเสี่ยวฮุยตะลึงงัน ชั่วชีวิตของเขาอย่าว่าแต่รู้จักเลย ดูเหมือนเขาจะไม่เคยเห็นคนที่มีเงินมากขนาดนี้กับตาตัวเองด้วยซ้ำ ทว่าบุคคลนี้กลับนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เคยทำอาหาร ล้างจาน และขี่จักรยานรับส่งเขาทำงานเป็นเวลาสองปีเต็ม!

ลั่วอี้โบกมือไปมาตรงหน้าเขา “พี่เสี่ยวฮุย พี่ไม่เป็นไรนะ”

“ให้ตายเถอะ!” เวินเสี่ยวฮุยตะโกนออกมา “สามร้อยล้าน! ดอลลาร์สหรัฐฯ! เงินเยอะขนาดนี้! จะใช้ยังไงหมด!”

ลั่วอี้หลุดหัวเราะ “เวลามีเงินมากหน่อยก็ทำให้คนเราใช้ชีวิตได้สบายขึ้น เวลามีเงินมากเกินไปมันก็เป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น”

“น้ำเสียงของนายไม่น่าตบไปหน่อยเหรอ” เวินเสี่ยวฮุยลูบมืออย่างตื่นเต้น “สามร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สามร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สามร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นี่มันเป็นความคิดแบบไหนกัน ซื้อเรือยอชต์ได้ไหม”

“ได้”

“ซื้อเครื่องบินส่วนตัวได้ไหม”

“ได้”

“ซื้อแลมเบอร์กินีได้ไหม”

“อันนี้ถูกกว่าเรือยอชต์กับเครื่องบินส่วนตัวมาก”

เวินเสี่ยวฮุยกุมศีรษะ “ฉันต้องใจเย็นลงหน่อย”

มุมปากของลั่วอี้ผุดรอยยิ้ม หมุนตัวไปเก็บเอกสารบนโต๊ะกลาง

เมื่อเขาเก็บของเสร็จแล้ว เวินเสี่ยวฮุยก็เงยหน้าขึ้นมา “พอมีเงินก้อนนี้แล้วนายก็แก้ปัญหาเรื่องเงินทุนได้แล้วสิ”

“เหลือเฟือ”

“แล้ว…มันจะไม่เสี่ยงจริงเหรอ ปลอมแปลงสัญญาเชียวนะ อีกอย่างไหนๆ ก็จะปลอมแปลงแล้ว ทำไมไม่แก้สัญญาให้นายสืบทอดมรดกตอนนี้เลยล่ะ”

“ผมก็เคยคิดข้อนี้เหมือนกัน เฉาไห่อธิบายกับผมว่าทำแบบนี้จะเสี่ยงมากกว่า มันเกี่ยวข้องกับสายอาชีพหลายอย่างน่ะ ผมไม่ได้ศึกษากฎหมายอย่างลึกซึ้ง ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก ผมคิดว่าถ้าเฉาไห่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ ได้ก็คงไม่เลือกวิธีที่ยุ่งยาก เรื่องนี้เขาจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมาก่อนแล้ว”

“เขาจะฉวยโอกาสวางแผนอะไรหรือเปล่า”

“ก็เป็นไปได้ หลังจากใช้ทางเบี่ยงแบบนี้แล้ว ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดก็คือพี่นั่นแหละ” ลั่วอี้ลูบผมของเวินเสี่ยวฮุย “ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดก็คือหลังจากพี่ได้รับมรดกแล้วไม่ให้ผม ถ้าเฉาไห่คิดเล่นลูกไม้อะไรก็ต้องลงมือจากพี่ก่อน”

“ฉันจะไม่ให้นายได้ยังไง!” เวินเสี่ยวฮุยรีบพูด

ลั่วอี้หัวเราะ “ผมรู้ อันที่จริงต่อให้ฝากเงินไว้ที่พี่ ผมก็โอเค”

“ฉันจะกล้าเอาเงินเยอะขนาดนั้นที่ไหนกัน แค่นี้ก็ตกใจแทบตายอยู่แล้ว” เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอบอุ่นในใจและภาคภูมิใจมาก เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเขาอมเงินไปจริงๆ ลั่วอี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้สินะ การที่เด็กหนุ่มกล้าโอนเงินจำนวนเยอะขนาดนั้นผ่านทางเขาคือความไว้วางใจเต็มร้อย เขารู้สึกซาบซึ้งกับความไว้วางใจที่ลั่วอี้มอบให้เป็นอย่างมาก และจิตใต้สำนึกของเขาก็ต้องการที่จะตอบแทนด้วยอะไรสักอย่าง

ลั่วอี้เอ่ย “พี่เสี่ยวฮุย อย่าคิดเยอะขนาดนั้นเลย ตอนนี้ก็ดึกแล้ว พี่ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ผมจะทำงานต่ออีกหน่อย”

เวินเสี่ยวฮุยคว้าแขนของเขาพลางสูดหายใจลึก “ถ้ายังไงก็ทำตามที่เฉาไห่พูดเถอะ”

ลั่วอี้เบิกตากว้าง “พะ…พี่คิดจะทำแบบนั้นเหรอ”

“ฉันไม่อยากเห็นนายเป็นแบบนี้อีก หลังจากแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ไปได้แล้ว นายรับปากฉันว่าอย่าทุ่มเทพลังไปกับเรื่องเหล่านี้อีก นายมีเงินเยอะขนาดนั้น ทำไมต้องรีบมาทำธุรกิจด้วย ฉันอยากให้นายใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเรียบง่ายแล้วก็มีความสุข”

“เรื่องครั้งนี้ให้บทเรียนครั้งใหญ่กับผม ต่อไปผมจะไม่ประมาทแบบนี้อีกแล้ว แต่ว่า…” ลั่วอี้มองเวินเสี่ยวฮุยด้วยความลึกซึ้ง “พี่เสี่ยวฮุย พี่คิดจะทำแบบนี้จริงเหรอ”

“อันที่จริงในใจของนายก็อยากให้ฉันทำแบบนี้ล่ะมั้ง เพียงแต่เกรงใจไม่อยากลากฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”

ลั่วอี้ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “ผม…”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางลูบๆ ศีรษะของเขา “อีกไม่ถึงสามเดือนฉันก็จะไม่ใช่ผู้ปกครองของนายอีกต่อไป สองปีกว่าที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อนายเลย แต่กลับกลายเป็นว่านายดูแลฉันตลอดเวลา สุดท้ายนี้ให้ฉันได้รับผิดชอบเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ ฉันอยากช่วยนาย”

ลั่วอี้เงยหน้าขึ้นมองเวินเสี่ยวฮุย อารมณ์ที่ยากจะอธิบายซ่อนอยู่ในดวงตาสีดำดุจหินออบซิเดียน

เขาเอ่ยเสียงต่ำ “พี่เสี่ยวฮุย พี่คิดดีแล้วจริงเหรอ”

“คิดดีแล้ว นอกเสียจากนายกลัวว่าฉันจะอมเงิน” เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะ

“จะเป็นไปได้ยังไง ผมเคยบอกแล้วว่าผมเชื่อใจพี่ร้อยเปอร์เซ็นต์” ลั่วอี้กล่าวเสริมประโยคหนึ่ง “ก็เหมือนกับที่พี่ไว้ใจผม”

เวินเสี่ยวฮุยพยักหน้า “ฉะนั้นก็ทำเถอะ ทำให้ฉันได้ลิ้มรสของการเป็นเศรษฐีร้อยล้านสักครั้ง”

ลั่วอี้มองเวินเสี่ยวฮุยด้วยความลึกซึ้ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่แข็งทื่อเล็กน้อย

หลังจากรับปากเรื่องนี้แล้วเวินเสี่ยวฮุยก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยกับความประมาทของตัวเอง แต่เขาคิดว่าเฉาไห่จะไม่ลากเขาเข้าไปเอี่ยวด้วย ลั่วอี้ก็จะไม่ทำร้ายเขา อีกอย่างเดิมทีเงินก็เป็นของลั่วอี้อยู่แล้ว นอกจากแบ่งให้เฉาไห่นิดหน่อยก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งยังสามารถแก้ไขความยุ่งเหยิงของลั่วอี้ได้ เขาคิดทบทวนแล้วว่าควรจะช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามในแง่ของการรักษาความลับ เขาไม่ได้บอกใครเหมือนที่ลั่วอี้พูด เมื่อพวกเขาทั้งสามบรรลุข้อตกลงร่วมกันก็ไม่มีใครรู้แล้ว

อันที่จริงสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากที่สุดก็ยังคงเป็นมรดกจำนวนมหาศาล เขาเริ่มสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วว่าหย่าหย่าทำเงินได้เท่าไรกันแน่ถึงได้ทิ้งเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ไว้ให้เขากับแม่ ข้าวของเครื่องใช้ก็หรูหราอย่างที่สุด ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว มรดกก้อนนั้นอยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจเรื่องเงินของเขา เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อคิดว่าลั่วอี้ที่เขาคลุกคลีอยู่ด้วยกันถึงสองปีกว่า แท้จริงแล้วเป็นมหาเศรษฐีที่พรางตัวอยู่

 

ช่วงบ่ายหลังเลิกงานเขาไปหาหลัวรุ่ย ตอนนี้ร้านของหลัวรุ่ยได้กลายเป็นร้านเบเกอรี่ที่โดดเด่นที่มีชื่อเสียงในปักกิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าฮิปสเตอร์หรือคนที่กำลังมีความรัก ‘Lory’s Tea Time’ ก็ถือเป็นหนึ่งในร้านเบเกอรี่ที่วัยรุ่นจะต้องแวะมา เคยลงนิตยสารแฟชั่นและอาหารบ่อยครั้ง ทั้งยังเคยได้รับการแนะนำจากคนมีชื่อเสียงมากมาย หลัวรุ่ยในฐานะที่เป็นเจ้าของและบล็อกเกอร์ด้านอาหารที่มีชื่อเสียงยังมีกลุ่มแฟนคลับของตัวเองด้วย แน่นอนว่าการที่เวินเสี่ยวฮุยเคยโฆษณาให้หลัวรุ่ยในบล็อกตอนช่วงแรกๆ นั้นก็มีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก

พนักงานในร้านเพิ่มขึ้นเยอะมาก หลัวรุ่ยจึงว่างขึ้นมาก เมื่อเห็นว่าเขามาถึงก็พาเขาไปที่ห้องพักผ่อน เพื่อให้เขาชิมชีสเค้กแครนเบอรี่ที่เพิ่งคิดสูตรขึ้นใหม่

เวินเสี่ยวฮุยกินไปพลางชมไปพลางไม่หยุดปาก มองหลัวรุ่ยในห้องพักผ่อนก่อนจะเอ่ยชม “แม่เล็ก ขนาดห้องพักผ่อนนายยังตกแต่งได้สาวขนาดนี้ ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

หลัวรุ่ยค้อนเขา “นายยังเคยใส่กระโปรงด้วยกันกับฉันเลยนะ รู้สึกไม่ดีอะไรกัน”

เวินเสี่ยวฮุยแอบยิ้มแล้วพูด “ไว้คราวหน้าพวกเราค่อยใส่ออกไปข้างนอกด้วยกันอีกรอบ น่าสนุกจะตาย หน้าตาดีก็ต้องเล่นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเสียของแย่”

หลัวรุ่ยก็ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “เครื่องกำจัดขนที่ฉันซื้อมาใหม่ใช้ง่ายมาก คราวนี้ฉันจะใส่กระโปรงสั้นจู๋เลย”

“นี่ ถามจริง นายวางแผนจะเปิดสาขาจริงหรือเปล่า”

“ฉันยังลังเลอยู่เลย ถ้าเปิดสาขาแล้วฉันจะรักษาคุณภาพของได้ยังไง เค้กในตอนนี้ฉันก็เป็นคนคุมงานเอง ฉันตัวคนเดียวจะไปเปิดร้านเยอะแบบนั้นได้ยังไง” หลัวรุ่ยเท้าคางพลางพูดอย่างหดหู่ “อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ต้องการเงินเยอะๆ หรอก ตอนนี้ที่หามาได้ก็พอใช้แล้ว ฉันค่อนข้างพอใจเลยล่ะ”

“ทายาทเศรษฐีเฮงซวย ไสหัวไป” เวินเสี่ยวฮุยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ

“ฉันพูดจริงนะ นายก็รู้นิสัยของฉัน ฉันไม่อยากทำงานหนักจนเกินไป เวลาเหนื่อยเกินไปแล้วจะแก่ง่าย”

“แบบนั้นก็ช่างเถอะ อย่าเปิดเลย นายก็ไม่ได้ขาดเงินจริงๆ เปิดสาขาแล้วเรื่องเยอะจะตาย พอมีคนมาดูแลแทนแล้วก็มีผลต่อแบรนด์ของนายอีก นายจะดูแลร้านเล็กๆ นี้ไปตลอดชีวิตก็ได้ มันเพียงพอให้นายได้กินได้ใช้อยู่แล้ว ถ้าไม่พอก็ยังมีพ่อแม่เศรษฐีของนายอีก”

หลัวรุ่ยพยักหน้า พูดอย่างมีความสุข “ฉันฟังผู้ชายของฉัน”

พวกเขาจุ๊บกลางอากาศทีหนึ่ง

ในเวลานี้เองเสียงเคาะประตูห้องพักผ่อนก็ดังขึ้น พนักงานโผล่ศีรษะเข้ามา ขมวดคิ้วหลิ่วตาก่อนพูด “เถ้าแก่ๆ เขามาแล้ว”

หลัวรุ่ยตาเป็นประกาย ดึงเวินเสี่ยวฮุยขึ้นมา “ไป ฉันจะพานายไปเจอสุดหล่อ”

“สุดหล่ออะไรกัน”

“เห็นแล้วก็อย่าพูดอะไร แค่ดูก็พอ”

เวินเสี่ยวฮุยรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขากลับเข้าไปในร้านพร้อมกับหลัวรุ่ย

เมื่อมองไปยังทิศทางของแคชเชียร์ ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังหันหลังให้พวกเขา เผยให้เห็นลำคอขาวผ่อง เขากำลังชี้ไปที่ของหวานในตู้ มือนั้นงดงามมาก ทั้งยาวทั้งเปี่ยมด้วยพลัง

หลัวรุ่ยดึงแขนเสื้อของเวินเสี่ยวฮุยอย่างตื่นเต้น ชี้ๆ ไปที่ร่างนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย

เวินเสี่ยวฮุยขมวดคิ้วสำรวจเขาอย่างถี่ถ้วน รู้สึกมั่นใจมาก อืม ติดหนุ่มแล้ว

หลัวรุ่ยจัดๆ ผมแล้วเดินเข้าไป จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ฮัลโหล มาอีกแล้วเหรอ”

ร่างนั้นหันหน้ามา เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลามาก อายุไล่เลี่ยกับลั่วอี้ ผิวขาวจนเหมือนกับจะสะท้อนแสงได้ สวมแว่นกรอบสีทอง สีหน้าไร้อารมณ์ ดูฉลาดและเย็นชา เขาพยักหน้ากับหลัวรุ่ย พูดว่า ‘อืม’ เสียงหนึ่ง

“วันนี้อยากซื้ออะไรเหรอ”

“สามชิ้นนี้” เขาพูด

หลัวรุ่ยหยิบมูสมะม่วงชิ้นหนึ่งออกจากตู้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ชิ้นนี้แถมให้นาย มะม่วงนำเข้าจากไทย เพิ่งทำเสร็จเมื่อชั่วโมงก่อน สดใหม่มากเลยนะ”

“อ่อ ขอบคุณ” เด็กหนุ่มจ่ายเงิน ก่อนจะรับเค้กแล้วหมุนตัวจากไป

เด็กสาวพนักงานแคชเชียร์พูดด้วยความลุ่มหลง “เท่สุดๆ ไปเลย”

เวินเสี่ยวฮุยใช้ศอกกระทุ้งๆ หลัวรุ่ย “นั่นใครน่ะ”

“ลูกค้าไง”

เวินเสี่ยวฮุยค้อนเขา “ขอบคุณที่ไขข้อสงสัยของฉันนะ”

หลัวรุ่ยหัวเราะฮี่ๆ “เขามาที่ร้านบ่อยที่สุดแล้ว บอกว่าคนที่บ้านชอบกินเค้กของฉัน ฉะนั้นบางครั้งเวลาเลิกเรียนก็จะแวะมาซื้อ”

“หล่อจริงๆ เลยนะ ทำไม แตกเนื้อสาวแล้วเหรอ”

หลัวรุ่ยยู่ปาก “ฉันอยู่ในวัยแตกเนื้อสาวไม่ได้หรือไง”

“เด็กคนนั้นเย็นชาเกินไปแล้ว น่าจะเข้ากันไม่ได้”

“ไม่นะ เขาเย็นชาแค่ภายนอกแต่อบอุ่นข้างใน” หลัวรุ่ยพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ตอนที่เขาเข้าร้านมาครั้งแรก บังเอิญเจอคนกำลังหาเรื่องอยู่พอดี ฝ่ายนั้นยืนกรานว่าเค้กของฉันไม่สดใหม่ ต้องการจะหลอกเอาเงินของฉัน เขาก็เลยเตะคนนั้นออกไปจากร้าน หล่อเป็นบ้า”

“นายชอบเหรอ”

หลัวรุ่ยพยักหน้าอย่างเขินอาย “ก็นิดหน่อยน่า”

“แล้วทำไมนายไม่ขอเบอร์ไว้ล่ะ”

“ช่างมันเถอะ เขาเป็นนักเรียน อีกอย่างน่าจะเป็นชายแท้ด้วย ฉันไม่ไปทำให้เขารังเกียจดีกว่า ถ้าทำให้เขาตกใจแล้วไม่เข้าร้านอีกจะทำยังไง ฉันแค่มองเฉยๆ ก็พอแล้ว”

เวินเสี่ยวฮุยจิ้มๆ ที่หน้าผากของเขา “ก็เพราะนายตาขาวแบบนี้ไงล่ะ ถ้าฉันเจอครั้งหน้า เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

หลัวรุ่ยพูดอย่าเคอะเขิน “ช่างมันเถอะน่า”

“ช่างบ้านนายสิ เป็นผู้ชายหรือเปล่า”

“…เป็น”

“ถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องกล้าจีบคนที่ชอบ”

“ก็ไม่นับว่าชอบหรอกมั้ง ยังไม่รู้จัก…”

“นายไม่รุกก่อนจะไปรู้จักได้ยังไง ฉันเห็นว่านายไม่มีใครเอาก็หงุดหงิดเหมือนกันนะ”

หลัวรุ่ยเท้าเอว “ให้ตายเถอะ นายก็โสดมาตลอดไม่ใช่หรือไง”

“แม่งเอ๊ย จำเป็นต้องเอามีดมาแทงกันเองด้วยเหรอ!”

 

หลังจากผ่านไปหลายวันเวินเสี่ยวฮุย ลั่วอี้ และเฉาไห่ก็มาเจอกันที่คฤหาสน์ของลั่วอี้อีกครั้ง

เวินเสี่ยวฮุยกับเฉาไห่มองกันและกันด้วยสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย ส่วนลั่วอี้กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ยิ้มตลอดเวลา

เฉาไห่กระแอมกระไอเบาๆ ทีหนึ่ง “คุณเวินครับ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะมีโอกาสได้เซ็นสัญญาเป็นครั้งที่สอง ดวงของเราสมพงศ์กันมากเลยนะครับ”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะแห้งๆ สองที

“เชื่อว่าลั่วอี้ได้อธิบายกับคุณอย่างละเอียดแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่พูดซ้ำแล้วนะครับ” เฉาไห่ดันสัญญาสองสามฉบับไปให้เวินเสี่ยวฮุย “คุณแค่เซ็นชื่อแล้วประทับรอยนิ้วมือก็พอ”

เวินเสี่ยวฮุยหยิบมันมา สัญญาสามฉบับมีอย่างน้อยสิบกว่าหน้า เขาแสร้งทำเป็นพลิกอ่าน เมื่อไม่เห็นความผิดปกติอะไรก็วางสัญญาลงแล้วเหลือบมองลั่วอี้

ลั่วอี้ก็กำลังมองเขาเช่นกัน แววตาสงบนิ่งราวกับสายน้ำ ซ่อนอารมณ์ที่ยากจะคาดเดาเอาไว้

ลั่วอี้พูดเสียงเบา “พี่เสี่ยวฮุย พี่จะถอนตัวเมื่อไรก็ได้”

“ฉันจะไม่ตอบตกลงตั้งแต่แรกก็ได้ แต่ฉันจะมาถอนตัวตอนนี้ไม่ได้” เวินเสี่ยวฮุยยักไหล่ “ในเมื่อฉันรับปากแล้วก็จะไม่ถอนตัว” เขาหยิบปากกาขึ้นมา “ฉันขี้เกียจอ่านสัญญาแล้ว ถึงยังไงพวกนายก็คุยกันมาก่อน ก็ทำตามนั้นเถอะ” สุดท้ายแล้วคนที่ควรกังวลว่าจะถูกโกงเงินก็ไม่ใช่เขา

ขณะที่ปลายปากกาของเวินเสี่ยวฮุยกำลังจะสัมผัสกระดาษสีขาว ทันใดนั้นลั่วอี้ก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือของเขา

ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังแว่นตาของเฉาไห่เป็นประกาย ก่อนจะแอบถอนหายใจ

เวินเสี่ยวฮุยมองลั่วอี้ด้วยความประหลาดใจ “เป็นอะไรไป”

ลั่วอี้เม้มปาก สีหน้าแข็งกระด้างเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดออกมาสามพยางค์ “ขอบคุณนะ”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้ม “ไม่เป็นไร”

จากนั้นลั่วอี้ก็ปล่อยมือแล้วหลุบตาลง

เวินเสี่ยวฮุยเซ็นชื่อตัวเองอย่างสง่างาม “เสร็จแล้ว ตอนนี้ผมเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้แล้วใช่ไหม”

เฉาไห่ยิ้มพลางเอ่ยอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ใช่ครับคุณเวิน ภาษีมรดกและขั้นตอนต่างๆ จะใช้เวลาสองสามวัน คุณสามารถเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งการเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างเต็มที่”

เวินเสี่ยวฮุยหัวเราะเสียงดัง “ฟินจังเลย”

ลั่วอี้พูด “พี่เสี่ยวฮุย พี่อยากได้อะไรก็ไปซื้อตามสบายเลยนะ”

เวินเสี่ยวฮุยยิ้มพลางเอ่ย “อันที่จริงตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ขาดเงิน เดือนหนึ่งฉันก็หาเงินได้ตั้งหลายหมื่น พวกนายรีบดำเนินการเถอะ เรียบร้อยแล้วฉันจะโอนเงินไปให้นาย”

เฉาไห่โบกเอกสารในมือ “เมื่อกี้คุณเซ็นเอกสารการส่งมอบแล้ว ไว้คุณได้มรดกเมื่อไรก็จะโอนไปให้ลั่วอี้ได้ทันที”

เวินเสี่ยวฮุยตกตะลึง “อ่อ”

แม้นี่จะสมเหตุสมผล แต่ในใจของเขาก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่บ้าง อันที่จริงมันไม่มีความจำเป็นต้องรีบยืนยันขนาดนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางฮุบเงินของลั่วอี้ เขาคิดว่าคงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาล่ะมั้ง และไม่มีความจำเป็นต้องเจอหน้ากันเป็นครั้งที่สองหรือเซ็นชื่อครั้งที่สองเพื่อเรื่องนี้แล้ว

เฉาไห่ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือไปให้เวินเสี่ยวฮุย “คุณเวิน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของคุณ คุณช่วยพวกเราได้มากเลย”

เวินเสี่ยวฮุยจับมือกับอีกฝ่าย เขาไม่ค่อยชอบใจเฉาไห่สักเท่าไรนัก

หลังจากเฉาไห่จากไปแล้ว เวินเสี่ยวฮุยก็เอนตัวอยู่บนโซฟา “ฮ่าๆๆ เศรษฐีร้อยล้าน นี่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่หาได้ยากมากเลยนะ”

ลั่วอี้พูดเสียงเบา “นั่นสิ”

เวินเสี่ยวฮุยลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “วันนี้พวกเรามาฉลองกันหน่อย ฉลองที่ฉันกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านชั่วคราว ฉลองที่การลงทุนของนายประสบความสำเร็จ”

ลั่วอี้ยิ้มแล้วเอ่ย “เอาสิ พี่อยากกินอะไรล่ะ”

“กุ้งอบน้ำมัน”

“ไป ไปซูเปอร์มาร์เก็ตกัน”

พวกเขาสองคนไปซื้ออาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน จากนั้นก็เดินพูดคุยและหัวเราะระหว่างทางกลับคฤหาสน์ แล้วเตรียมอาหารค่ำด้วยกัน

นอกจากลั่วอี้ที่ดูเหมือนมีเรื่องหนักใจเล็กน้อย ทุกอย่างก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เวินเสี่ยวฮุยถอนหายใจโล่งอก เขาคิดว่าการเลือกของตัวเองในครั้งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ก็เหมือนที่เขาเซ็นสัญญาเป็นผู้ปกครองในตอนนั้น การมีลั่วอี้อยู่ข้างกายเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา

 

* อย่าเพิ่งหาหมอไปมั่วๆ เพราะป่วยหนัก เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงเวลาที่มีปัญหาก็อย่าให้ใครมาช่วยแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: