บทที่ 14
พอไป่เริ่นเข้าวังก็โดนเรียกเข้าเฝ้าที่ตำหนักกานชิง ประจวบเหมาะกับช่วงฮ่องเต้ที่กำลังพบปะขุนนาง หัวหน้าขันทีของตำหนักกานชิงฝูไห่ลวี่จึงพาเขามายังห้องเล็กของตำหนักข้างอย่างเคารพนบนอบพร้อมรับรองด้วยชาชั้นดี
ไป่เริ่นไม่ชอบให้ในห้องมีคนเฝ้า เอ่ยอย่างนอบน้อมสองประโยคให้ฝูไห่ลวี่พาคนออกไปเหลือแค่นางกำนัลน้อยสองคนคอยรับใช้
“ซื่อจื่อรู้สึกหนาวหรือไม่เจ้าคะ ต้องการจุดเตากำยานหรือไม่” นางกำนัลน้อยกระตือรือร้นยิ่ง ท่าทางยิ้มแย้มแช่มชื่น “อากาศหนาวขึ้นทุกวัน อาภรณ์ของซื่อจื่อบางไปสักนิดนะเจ้าคะ”
ไป่เริ่นยิ้มพลางส่ายหน้า นางกำนัลน้อยเห็นเขานิ่งเฉยก็ไม่พูดมากความอีก เพียงถอยออกไปยืนรอรับใช้นอกตำหนักตามเดิม
ไป่เริ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง รู้สึกเพียงยามดื่มลงคอไปมีแต่ความฝาดขม เขาฉุกคิดถึงเรื่องต่างๆ นานาที่จวนรัชทายาทวันนี้ ในใจคล้ายมีปุยนุ่นอุดกั้นอยู่ก้อนหนึ่ง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อึดอัดจนเขาหายใจไม่ออก
ไม่ใช่ว่าไป่เริ่นนึกเจ็บแค้นเสียใจภายหลัง ดีชั่วอย่างไรเขาก็อ่านหนังสือของนักปราชญ์ราชบัณฑิตตั้งแต่เล็กจนโต แม้ไม่นึกว่าตนสูงส่งบริสุทธิ์เฉกเช่นเฉินเฉาเกอ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตนจะมีวันที่ต้องใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซ้ำยังไม่มีทางเลือก ไป่เริ่นหลับตาลงย้อนคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่หลิ่งหนานอย่างสุดกำลัง ย้อนคิดถึงมารดาผู้ใจดีมีเมตตา ย้อนคิดถึงพี่สาวผู้อ่อนโยนนุ่มนวล ย้อนคิดถึงทิวทัศน์งดงามดังวสันตฤดูของหลิ่งหนาน…สุดท้ายสูดหายใจลึก ยังคงคุ้มค่า เพื่อท่านแม่และพี่สาว ทั้งหมดนี้ล้วนคุ้มค่า
ไป่เริ่นยืนเหม่อลอยข้างหน้าต่าง ไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
“นี่ไป่เริ่นไม่ใช่หรือ” ฉีหวาหัวเราะขึ้น “ข้ามาเร็วขึ้นก้าวหนึ่งเพราะอยากมานั่งเล่นที่ตำหนักข้าง นึกไม่ถึงว่าได้พบซื่อจื่อ”
ฉีหวาเปล่งวาจาอย่างกะทันหัน เดิมคิดว่าไป่เริ่นจะสะดุ้งตกใจ ทว่าไป่เริ่นกลับเป็นเช่นที่แล้วมาเพียงหมุนตัวมาทำความเคารพอย่างสงบนิ่ง “ถวายบังคมองค์ชายรอง”
ฉีหวาลูบจมูกยิ้มๆ “ซื่อจื่อมาทำอันใดที่นี่หรือ”
ไป่เริ่นปราดมองฉีหวา ด้านนอกมิใช่ไม่มีข้ารับใช้ ฉีหวาเข้ามากลับไม่มีคนรายงาน เห็นชัดว่าเขารู้ว่าตนอยู่ด้านในจึงสั่งไม่ให้คนส่งเสียง ในใจไป่เริ่นนึกชิงชังรำคาญแต่ภายนอกยังคงนิ่งเฉย “เหมือนเช่นองค์ชายรอง มาเร็วไปเล็กน้อย จึงรออยู่ด้านนี้ก่อน”
ตั้งแต่มาถึงไม่ว่ากับใครไป่เริ่นก็ปฏิบัติเช่นนี้ ประจวบเหมาะในสายตาของฉีหวายามนี้กลับมีความหมายอื่นเพิ่มมาอีกขั้น
ฉีหวาเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮา ข่าวสารว่องไวยิ่ง สองสามวันก่อนเขาก็รู้ว่าฉีเซียวจะรับชายารอง ว่ากันว่าชายารองคนใหม่เป็นธิดาที่เกิดจากชายาเอกของหลิ่งหนานอ๋อง โหรวจยาจวิ้นจู่
ฉีหวาหาใช่คนโง่ หลิ่งหนานเป็นดั่งชิ้นเนื้อติดมัน ไม่ว่าใครก็อยากกัดคำหนึ่งทั้งนั้น บัดนี้กลับโดนฉีเซียวก้าวเร็วปีนขึ้นยอดก่อน เขาย่อมไม่ยินยอม เหตุใดตนเองถึงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่ได้ ฉีหวาชายตามองไป่เริ่นแวบหนึ่ง เขาหารู้ไม่ว่าเรื่องนี้องค์หญิงใหญ่ตุนซู่เป็นคนจัดการ คิดแค่ว่าไป่เริ่นเร่งร้อนต้องการที่พึ่งพิงจึงเลือกฉีเซียว ดังนั้นวันนี้เห็นหน้าไป่เริ่นจึงไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ตอนนี้ฉีหวาเห็นไป่เริ่นไม่อยากแยแสตนเอง เพลิงโทสะในใจยิ่งลุกโชน กล่าวตามจริงคือเขาต่างหากที่เป็นโอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้ ทว่าตั้งแต่เล็กทุกอย่างล้วนโดนฉีเซียวกดหัวไว้ ตอนนี้กระทั่งตัวประกันต่ำต้อยคนหนึ่งยังเลือกปฏิบัติไม่เห็นตนในสายตา
เดือนก่อนเพราะเรื่องสงเคราะห์ผู้ประสบภัยพิบัติฉีหวาก็โดนฉีเซียวกลั่นแกล้งไปรอบหนึ่ง บัดนี้แค้นใหม่อาฆาตเก่ารวมกันที่เดียว ฉีหวามองไป่เริ่นยิ่งรู้สึกขัดตา
ภายนอกฉีหวายังคงยิ้มระรื่น เอ่ยเนิบๆ ว่า “สองสามวันนี้ไยไม่เห็นเจ้ามาที่สำนักฮุ่ยซิ่น ได้ยินคนบอกว่าเจ้าไม่สบาย ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
ช่วงหลายวันติดกันนี้ไป่เริ่นคิดแต่จะหาวิธีไปพบฉีเซียวไหนเลยจะมีเวลาไปร่ำเรียน ด้วยเหตุนี้จึงอ้างว่าป่วยตลอด เห็นฉีหวาถามเช่นนี้ไป่เริ่นจึงพยักหน้า “ลำบากองค์ชายรองต้องเป็นห่วง บัดนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
ฉีหวาคลี่ยิ้ม “เมื่อวานราชครูทั้งหลายสอนเรื่องเล่าโบราณสอนใจเรื่องหนึ่ง ข้าฟังไม่เข้าใจนักยังคิดจะถามเจ้าอยู่เลย บังเอิญได้พบพอดี ใคร่ขอซื่อจื่อชี้แนะได้หรือไม่”
“มิกล้า” ไป่เริ่นค้อมศีรษะเล็กน้อย “เชิญองค์ชายรองกล่าว กลัวก็แต่ไป่เริ่นความสามารถอ่อนด้อยความรู้ตื้นเขินอธิบายไม่กระจ่าง”
“ราชครูสอน ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ กล่าวถึงหลี่เหยียนเหนียน เล่าว่าเขาได้รับความโปรดปรานอย่างไรเพียงไหน ข้าไม่เข้าใจเท่าไร ก็แค่บุรุษถูกตอนคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ไยทำให้ฮั่นอู่ตี้ทรงโปรดถึงเพียงนั้นได้” ฉีหวาหัวเราะเยาะหยันออกมา “ซื่อจื่อว่า…หลี่เหยียนเหนียนผู้นี้มีความสามารถอันใดกัน…”
ความตั้งใจเดิมของฉีหวาคืออาศัยเรื่องที่หลี่เหยียนเหนียนเสนอตัวน้องสาวอย่างหลี่ฟูเหรินมาถากถางที่ไป่เริ่นใช้พี่สาวตนมาผูกญาติกับฉีเซียว ไป่เริ่นได้ยินกลับคิดไปถึงสิ่งอื่น หลี่เหยียนเหนียนเป็นบุคคลที่ ‘หลับนอนร่วมกับฝ่าบาท’ ชั่วยามก่อนไป่เริ่นเพิ่งโดนฉีเซียวล่วงเกิน ยามนี้ได้ยินคำพูดนี้มีหรือจะนึกถึงหลี่ฟูเหริน คิดเพียงว่าฉีหวารู้แล้ว หน้าพลันขาวซีดในพริบตา
ฉีหวาเห็นไป่เริ่นหน้าเปลี่ยนสียิ่งมั่นใจจึงยิ้มเย้ยหยัน “ต่างพูดกันว่าซื่อจื่อมีวิชาความรู้กว้างขวาง ที่หลิ่งหนานก็เป็นอัจฉริยะหาตัวจับยาก เรื่องเล่าโบราณสอนใจเรื่องนี้…ซื่อจื่อกลับไม่รู้หรือ น่าเสียดายก็แต่…หลี่ฟูเหรินตายไป สกุลหลี่ถูกฆ่าล้างตระกูลมอดม้วยทั้งหมด”
พอไป่เริ่นได้ยินคำกล่าวนี้ถึงตระหนักได้ ในใจยิ้มเย้ยหยันตนเอง บัดนี้ตนได้กลายเป็นนกตื่นธนู จริงๆ แล้ว แม้แต่คำพูดนี้ยังฟังไม่ออก เมื่อรู้ว่าฉีหวาแค่ไม่พอใจเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไป่เริ่นก็วางใจ คร้านจะมากความกับเขา เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “น่าละอายนัก ไป่เริ่นความสามารถอ่อนด้อยความรู้ตื้นเขิน ไม่รู้จักเรื่องเล่านี้ทำให้องค์ชายรองขบขันแล้ว”
ยิ่งไป่เริ่นเป็นเช่นนี้ฉีหวายิ่งโมโห ปากยิ้มใจไม่ยิ้ม “ไป่เริ่น…เห็นแก่ที่เจ้าอายุน้อยกว่า ข้าขอเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง สายตาอย่าได้ตื้นเขินนัก เรื่องรัชทายาท…คาดว่าเจ้าคงไม่รู้ ไปสืบข่าวดูเสียวันข้างหน้าจะได้ไม่เสียใจ”
ไป่เริ่นรู้ว่าที่ฉีหวาพูดหมายถึงเรื่องที่ฉีเซียวมิใช่โอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้จึงอดยิ้มหยันในใจไม่ได้ ตัวเขาแม้กลัวฉีเซียวบีบบังคับ ทว่าเรื่องสายโลหิตนี้ไป่เริ่นไม่ยอมรับมิได้ อย่าว่าแต่องค์ชายรองฉีหวาผู้นึกว่าตนเองสูงส่งผู้นี้ กระทั่งฮ่องเต้ยังมีสายโลหิตสูงศักดิ์ทรงเกียรติเทียบกับฉีเซียวไม่ได้เลย
ไป่เริ่นไม่ต้องการพูดมากกับฉีหวาอีก จึงโค้งตัวเล็กน้อยทำท่าจะออกไป ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้ฉีหวาคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะสั่งสอนไป่เริ่นให้จงได้ เขารั้งตัวไป่เริ่นไว้แล้วยิ้มเอ่ย “นี่ซื่อจื่อต้องการไปที่ใด ไปฟ้องรัชทายาทหรือ หึๆ…ข้ายังต้องการเอ่ยประโยคหนึ่ง สายตาซื่อจื่ออย่าได้ตื้นเขินนัก พวกเจ้าเห็นแต่เสด็จพ่อทรงชมเชยรัชทายาทอย่างมาก โปรดปรานรักใคร่เป็นที่สุด ทว่าเบื้องหลังหาได้เป็นเช่นนั้น”
“องค์ชายรองเข้าใจผิดแล้ว” ไป่เริ่นเหลือบมองมือของฉีหวาที่กุมท่อนแขนของตนอย่างชิงชัง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องของเชื้อพระวงศ์ ข้าไม่อาจแสดงความเห็นได้ ไม่ว่ารัชทายาทหรือองค์ชายรองต่อหน้าไป่เริ่นล้วนสูงศักดิ์ไม่ต่างกัน”
ฉีหวาแค่นหัวเราะ “ไม่ต่างกัน? หากไม่ต่างกันไยเจ้ารีบเร่งส่งพี่สาวตนเข้าจวนรัชทายาทเล่า! หึๆ…คิดว่าข้าไม่รู้หรือ ไป่เริ่น ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ดูเบาเจ้า ยามปกติเจ้าสงบเสงี่ยมไม่พูดไม่จา ในที่ลับกลับเริ่มหาที่พึ่งพิงให้ตนเอง เจ้ายังไม่เบิกตาให้กว้างๆ อีก! ที่พึ่งพิงของเจ้านี้พึ่งได้จริงหรือไม่ หืม!”
ความอดทนของไป่เริ่นถึงขีดสุด แต่ก่อนเขายังเคยฉงนสงสัยว่าเหตุใดผู้มีสถานะอ่อนไหวเช่นฉีเซียวจึงเป็นรัชทายาทได้อย่างสงบมั่นคงมาเกือบยี่สิบปี ยามนี้ดูแล้ว…ไม่เพียงเพราะฉีเซียวเอาการเอางาน คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปก็มีส่วนอย่างมาก ไป่เริ่นมองฉีหวาที่ยังมีสีหน้าฉุนเฉียวในใจก็ถอนใจอย่างเย็นชา น่าเสียดายโอรสที่วังกลางเป็นผู้ให้กำเนิดกลับไม่มีความอดทนตามแบบฮ่องเต้ ที่การแสดงออกเป็นอย่างหนึ่งลับหลังเป็นอีกอย่างหนึ่งสักกระผีกริ้น ถึงขนาดจะแตกหักกับตนเองด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
ไป่เริ่นยิ้มเย้ยหยันตนเอง บางทีฉีหวาอาจมิได้ไม่รู้จักอดทนอดกลั้นขนาดนั้น เพียงเห็นตนเป็นตัวประกันคนหนึ่งที่บีบคลายได้ตามใจชอบ ไป่เริ่นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ระยะนี้เขารับการหยามเหยียดบีบคั้นมาไม่น้อย ครานี้ไป่เริ่นไม่อยากอดทนอีกแล้ว
“คำพูดขององค์ชายรอง ไยข้าจึงฟังไม่เข้าใจสักประโยคเล่า” ไป่เริ่นคลี่ยิ้มเสียดสี “อาศัยรัชทายาทเป็นที่พึ่ง? ช่วงสองวันนี้ข้าไปจวนรัชทายาทหลายครา ทว่าไปลิ้มรสชาเดินหมาก ปรึกษาโต้ตอบวิชาความรู้กันเท่านั้น จริงด้วย…ภูมิความรู้ของรัชทายาทยอดเยี่ยมโดยแท้ หากต่อไปองค์ชายรองมีอันใดไม่เข้าใจอีกไปสอบถามรัชทายาทโดยตรงก็พอ จะว่าไป…ช่างน่าเสียดาย บัดนี้รัชทายาทไม่ไปสำนักฮุ่ยซิ่นแล้ว หากได้มีวาสนาเป็นสหายร่วมสำนักกับรัชทายาทคงเป็นเรื่องน่าปีติยินดีในชีวิตอย่างแท้จริง”
ไป่เริ่นเอ่ยถึงฉีเซียวไม่ขาดปาก เหลือก็แต่เยินยอเขาขึ้นเทียมฟ้า ฉีหวาเดือดดาลตาแทบถลน เช่นนี้แหละ! ไม่ว่าฮ่องเต้หรือบรรดาขุนนางในราชสำนัก เมื่อกล่าวถึงฉีเซียวทุกคนล้วนสรรเสริญไม่หยุดปาก กลับหลงลืมตนที่เป็นโอรสถูกต้องตามทำนองคลองธรรมผู้นี้เสียสนิท!
ภายใต้ความโกรธจัดกำลังมือของฉีหวายิ่งไม่มีขอบเขต เขาแทบอยากจะบีบแขนไป่เริ่นให้แหลกละเอียด ไป่เริ่นขมวดคิ้วแน่นคิดดิ้นหนี ฉีหวาเลือดขึ้นหน้ามีหรือจะยอมปล่อยเขาไป หลังจากยื้อกันไปมา ทั้งสองแทบจะลงไม้ลงมือกัน ไป่เริ่นจับตามั่นเหมาะตอนที่ฉีหวาไม่ทันระวังชักท่อนแขนออกอย่างแรง ฉีหวาคว้าตัวไป่เริ่นอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณ ตอนฉีหวายกแขนขึ้น ในดวงตาไป่เริ่นมีประกายวูบผ่านร่างพลันขยับถอยหลัง มือฉีหวาที่คิดคว้าจวนเจียนจะข่วนโดนใบหน้าไป่เริ่น ไป่เริ่นเอียงศีรษะหลบเล็กน้อย ทำให้บนลำคอเกิดเป็นรอยนิ้วสี่สายแทน หยดเลือดค่อยๆ ซึมออกมา…
“เจ้า…” ฉีหวาเพียงคิดจะให้บทเรียนไป่เริ่น คิดไม่ถึงว่าจะเลือดตกยางออกจึงตะลึงอึ้งไปชั่วขณะ เขาเอ่ยตะกุกตะกัก “เจ้า…เจ้า…ไม่เกี่ยวกับข้า!”
ไป่เริ่นรับฝ่ามือเข้าอย่างจัง มุมปากกลับผุดรอยยิ้มจางๆ เขาลูบลำคอทีหนึ่งพลางยิ้มถากถาง “องค์ชายรองทรงอานุภาพโดยแท้…”
ฉีหวาเห็นไป่เริ่นเป็นเช่นนี้ยิ่งหวาดกลัว เท้าพลันถอยหลังก้าวหนึ่ง ปากเอ่ยร้อนรน “เจ้า…เจ้าจะทำอันใด ขะ…ข้าเรียกหมอหลวงให้เจ้าก็พอแล้ว…ข้ามิได้มีเจตนา!”
“ไม่รีบร้อน อีกสักครู่…ย่อมมีคนเรียกหมอหลวงให้ข้า” อย่างไรก็แตกหักกันไปแล้ว ไป่เริ่นไม่คิดอดกลั้นอีก เขาแสยะยิ้ม “นับแต่ข้ามาเมืองหลวง แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงปฏิบัติต่อข้าอย่างสุภาพให้เกียรติ เกรงกลัวว่าข้าเป็นอันใดไปจะไม่อาจรายงานต่อหลิ่งหนาน องค์ชายรองกลับไม่หลบเลี่ยง ดียิ่งนัก…”
“นี่…นี่หมายความว่าอันใด”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็มีเวลาว่าง ฝูไห่ลวี่รีบร้อนมาเชิญไป่เริ่นกับฉีหวา ทว่าพอเดินถึงตำหนักข้างเห็นเหล่าข้ารับใช้อยู่ด้านนอกกันหมด สืบถามค่อยรู้ว่าฉีหวาสั่งให้ออกมา ฝูไห่ลวี่พลันรู้สึกว่าท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปอย่างรวดเร็ว กลับมองเห็นเหตุการณ์นี้ เขาเสียขวัญจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ร้องเรียกคนซ้ำๆ “เชิญหมอหลวงเดี๋ยวนี้! โถ ซื่อจื่อของกระหม่อม…”
ไป่เริ่นระบายยิ้มบาง “ไม่รีบ ไป่เริ่นยังต้องไปถวายบังคมฝ่าบาทก่อน”
ในใจฝูไห่ลวี่คาดเดาได้เลาๆ จึงตั้งใจช่วยฉีหวาปกปิดสักเล็กน้อย แต่รอยที่คอไป่เริ่นปรากฏชัดเจนอยู่ตรงนั้นมีหรือจะปกปิดได้ ฝูไห่ลวี่หันหน้ามองฉีหวาที่มีใบหน้าหวั่นกลัวแวบหนึ่งพลางถอนใจอยู่ข้างใน ครั้งนี้องค์ชายรองเตะแผ่นเหล็ก เข้าแล้ว เขาหัวเราะขื่นเสียงหนึ่งและเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ ซื่อจื่อตามกระหม่อมมา”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.