บทที่ 15
ในตำหนักอวี้ซิ่ว เจียงเต๋อชิงกระวีกระวาดเข้าไปในห้องด้านใน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักกานชิงเมื่อครู่อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ ก่อนก้มหน้าเอ่ยเสียงค่อย “ได้ยินว่าเชิญหมอหลวงมาแล้ว เวลานี้…อยู่หน้าพระพักตร์ฝ่าบาททั้งคู่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่หันหน้ามองฉีเซียวแวบหนึ่งอย่างลึกซึ้งก่อนแย้มยิ้ม “ข้าพูดไว้อย่างไรนะ ไม่ว่าตกอยู่ในสถานภาพใดไป่เริ่นก็เป็นหลิ่งหนานซื่อจื่อ ฐานะสูงส่ง จะยอมให้คนรังแกหยามเหยียดได้อย่างไร หากมีโอกาสขึ้นมา เขาไม่มีทางให้ตนเสียเปรียบแม้แต่นิดแน่”
ฉีเซียวโมโหจนหัวคิ้วสั่นระริกพลางคิดถึง ‘รอยเลือดสี่สาย’ กับ ‘เลือดสดซึมทะลัก’ ที่เจียงเต๋อชิงเอ่ยถึงเมื่อครู่ หลังฟังคำขององค์หญิงใหญ่พลันหัวเราะเย็น “เสด็จป้ากล่าวถูกต้อง ซื่อจื่อช่างรู้ความโดยแท้ ถึงได้ใช้วิธีฆ่าศัตรูหนึ่งหมื่นเสียทหารฝ่ายตนแปดพันนี้ออกมาได้”
ฉีเซียวลุกขึ้นจะเดินออกไป องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยตำหนิเสียงเบา “ฉีหวาประพฤติบุ่มบ่ามย่อมมีฮ่องเต้ออกหน้าลงโทษ เจ้าจะไปทำอันใด!”
ฉีเซียวชะงักไปก่อนคลี่ยิ้ม “ไปชมเรื่องขำขันของฉีหวา เสด็จป้าจะไปด้วยกันหรือไม่”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ถอนใจ “ช่างเถิด คร้านจะสนใจเจ้า ไปดูก็แล้วไป อย่าได้ก่อเรื่องอีก”
ฉีเซียวพยักหน้าแล้วพาข้ารับใช้จำนวนหนึ่งจากไป
ตอนที่เกี้ยวของฉีเซียวมาถึงตำหนักกานชิง องค์ชายทั้งหลายก็มาถึงกันหมดแล้ว องค์ชายสามฉีฉีกับองค์ชายสี่ฉีหลีที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักเห็นฉีเซียวมาก็รีบก้าวมาทำความเคารพ ฉีเซียวยิ้มน้อยๆ “น้องทั้งสองสบายดีหรือ เหตุใดจึงอยู่นอกตำหนัก เสด็จพ่อยังพบปะขุนนางอยู่หรือ”
ฉีฉีกับฉีหลีหันมองหน้ากันและกัน พวกเขาก็เดาไม่ได้ว่าฉีเซียวไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งเลอะเลือน ฉีฉีลังเลอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยกล้อมแกล้มว่า “เสด็จพ่อ…คงมีราชกิจกระมัง”
ฉีเซียวชายตามองไปทางฝูไห่ลวี่ที่ยืนอยู่นอกตำหนักพลางยิ้มจางๆ “หัวหน้าฝูวันนี้คร้านจะขยับตัวแล้วหรือ ข้ามาแล้วไยไม่ไปรายงาน”
“มิกล้าๆ” ฝูไห่ลวี่รีบร้อนยิ้มประจบ โค้งกายเอ่ย “กำลังคิดจะถวายบังคมองค์รัชทายาทก่อนค่อยเข้าไป กลับฟังองค์ชายทั้งหลายสนทนาจนใจลอย กระหม่อมจะเข้าไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จะทอดทิ้งโอรสทั้งสองของตนไว้นอกประตูอย่างไม่ไยดีก็ย่อมได้ แต่กับฉีเซียวไม่อาจทำส่งเดชเช่นนั้น ไม่นานนักฝูไห่ลวี่ก็ถอยออกมา เขาฝืนยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “เชิญองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเซียวเข้าไปยังตำหนักหลักพร้อมฝูไห่ลวี่ ลัดเลาะผ่านโถงหน้าตรงเข้าไปยังห้องอุ่น ด้านใน ในนั้นฮ่องเต้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน ไป่เริ่นยืนอยู่เบื้องล่าง ข้างกายเป็นฉีหวาซึ่งคุกเข่าอยู่ ฉีเซียวค้อมกายถวายบังคม ฮ่องเต้โบกมือให้อย่างอ่อนล้า “ลุกขึ้นเถิด…เซียวเอ๋อร์มาพอดี มาดูเรื่องบัดซบที่น้องชายเจ้าทำ!”
ฉีเซียวมีหรือจะเสียเวลาดูฉีหวา ตั้งแต่เข้าห้องมาสายตาของฉีเซียวก็ไม่ละไปจากร่างของไป่เริ่นเลย เสียดายเพียงไป่เริ่นยืนอยู่ด้านซ้ายของตน แผลที่ลำคอก็อยู่ด้านซ้ายมีหรือจะมองเห็นได้ ดวงตาหงส์ของฉีเซียวกลอกเล็กน้อยก่อนกวาดตามองฉีหวาปราดหนึ่ง เอ่ยราบเรียบว่า “น้องรองสุขุมนอบน้อมรู้มารยาทมาแต่ไหนแต่ไร ไหนเลยจะกระทำเรื่องโง่งมได้ มีอันใดเข้าใจผิดกันหรือไม่”
“รู้จักกิริยามารยาทเสียที่ไหน ไม่รู้ว่าอ่านตำราแล้วเอาไปทิ้งที่ใดหมด!” ฉีหวาทำฮ่องเต้โกรธจนควันออกหู เขาหันหน้าไปหาไป่เริ่นก่อนปลอบเสียงอ่อนว่า “ไป่เริ่น…เด็กดี ฉีหวานิสัยเสียและยังไร้สมอง ไม่ว่าวันนี้มีมูลเหตุใด การปะทะล่วงเกินเจ้าก็เป็นความผิดของเขาทั้งสิ้น เราเรียกหมอหลวงให้เจ้าแล้ว ให้หมอหลวงตรวจดูก่อน หากมีความไม่เป็นธรรมอันใดอีกประเดี๋ยวค่อยๆ บอกเรา เราไม่มีทางปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมแน่”
ไป่เริ่นยิ้ม “ไม่รีบร้อนพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรองลงไม้ลงมือกับกระหม่อมเพราะเหตุใดนั้น เวลานี้กระหม่อมก็ยังเลอะเลือน ประจวบเหมาะที่รัชทายาทเสด็จมา กระหม่อมขอเล่าเรื่องเมื่อครู่หนึ่งรอบ หากความผิดอยู่ที่ไป่เริ่นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง ลำพังแค่ทำให้องค์ชายรองเกิดโทสะใหญ่โตเพียงนี้ก็นับว่าไป่เริ่นหาเรื่องใส่ตัว ยากจะขออภัยโทษแล้ว ไหนเลยจะกล้าลำบากหมอหลวง”
ฉีเซียวได้ฟังวาจาก็ยิ้มหยันในใจ ฮ่องเต้ประสงค์ทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กทำเรื่องเล็กเป็นหมดเรื่อง เห็นไป่เริ่นโง่งมกระนั้นหรือ
ฮ่องเต้หมดหนทาง ได้แต่เอ่ยอย่างนุ่มนวล “อย่าพูดเหลวไหล…เรื่องนี้ย่อมเป็นความผิดฉีหวามิใช่เจ้า เราเพียงแต่เกรงว่าแผลเจ้าจะรักษาล่าช้าเท่านั้น เอาเถิด เจ้าว่ามาก่อน”
ไป่เริ่นหันไปปราดมองฉีหวา จากนั้นบอกเล่าถ้อยคำที่ทั้งสองโต้ตอบกันที่ตำหนักข้างเมื่อครู่อย่างละเอียดซ้ำอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นก็มองใบหน้าซีดคล้ำของฮ่องเต้พลางเอ่ยเรียบๆ “กระหม่อมเพิ่งมาถึงไม่นาน ไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่า ‘เรื่องของรัชทายาท’ เป็นเรื่องคลุมเครืออันใด มิใช่เพราะข้าไม่รู้เรื่องนี้ถึงได้บังเอิญยั่วโทสะองค์ชายรองจนได้รับการสั่งสอนกระนั้นหรือ”
“ตัวบัดซบ!” ฮ่องเต้โกรธฉีหวาจนจวนเจียนระงับไม่อยู่ เรื่องของฉีเซียวแม้ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ แต่ไหนเลยจะยกขึ้นมาพูดในที่แจ้งได้! คนใกล้ชิดของอู่ตี้ยังมีชีวิตอยู่! คนในราชวงศ์ก็ไม่ขาดแคลนผู้ที่อุ้มชูฉีเซียว เรื่องนี้จึงควรหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึง หากสืบหาความจริงเรื่องฐานะของฉีเซียวก็เท่ากับสืบหาว่าบัลลังก์นี้ของฮ่องเต้ได้มาอย่างไร นี่เป็นปมในใจอย่างหนึ่งของฮ่องเต้มาตลอด มีหรือจะยอมให้คนกล่าวถึง ฮ่องเต้ทรงมองฉีหวาที่คุกเข่าตัวสั่นเทาไม่หยุดบนพื้น ใจแทบอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ เสียให้ได้! ฮ่องเต้ฉวยถ้วยชาขึ้นเขวี้ยงไปที่ฉีหวาอย่างแรง “วันๆ ดีแต่พูดจาเลอะเทอะ! เซียวเอ๋อร์เป็นพี่ชายทางสายเลือดเจ้า ทางฐานันดรเป็นว่าที่กษัตริย์ของเจ้า! เป็นผู้ที่เจ้าเอามาพูดลับหลังได้หรือ!”
ฉีหวาขวัญหนีดีฝ่อรีบฟุบหน้าเข้ากับท่อนแขน ร้องขออภัยโทษด้วยเสียงสะอื้นไห้ไม่หยุด “เสด็จพ่อโปรดอภัย…เสด็จพ่อโปรดอภัย…”
ไป่เริ่นมองฮ่องเต้เปลี่ยนความคิดด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ซ้ำเติมอีกแผล “องค์ชายรองย้ำแล้วย้ำอีกว่า ‘เสด็จพ่อทรงชมเชยรัชทายาทอย่างมาก โปรดปรานรักใคร่เป็นที่สุด ทว่าเบื้องหลังหาได้เป็นเช่นนั้น’ ข้อนี้กระหม่อมยิ่งไม่เข้าใจ กระหม่อมแม้เพิ่งมาอยู่ไม่นาน แต่เรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาตลอดหนึ่งเดือนนี้ไม่เคยรู้สึกว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานองค์ชายทั้งหลายไม่เท่ากัน นอกจากนี้เรื่องที่ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อองค์ชายทั้งหลายอย่างไรเกี่ยวข้องอันใดกับกระหม่อม แล้วสิ่งนี้กลายเป็นข้ออ้างที่องค์ชายรองตำหนิกระหม่อมได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฟังแล้วยิ่งโกรธจนเลือดขึ้นหน้า หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าไป่เริ่นกับฉีเซียวก็แทบจะลงไม้ลงมือแล้ว เขาฝืนคลี่ยิ้มแล้วเอ่ย “เราเข้าใจ…แค่เพราะยามปกติเราเอ็นดูเซียวเอ๋อร์มากไปบ้าง ในใจฉีหวาคงอึดอัดจึงก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น…”
ไป่เริ่นส่ายศีรษะ “กระหม่อมกลับคิดว่าเรื่องวันนี้คงมีเหตุจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อันเลื่อนลอยไม่มีจริงนั้น เรื่องนี้กระหม่อมมิเคยได้ฟังมาอย่างแท้จริง ประจวบเหมาะที่รัชทายาททรงอยู่ที่นี่ด้วย องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ…ไป่เริ่นเคยเอ่ยกับพระองค์ว่าคิดส่งโหรวจยาให้อภิเษกสมรสกับพระองค์หรือไม่ ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและองค์ชายรอง ขอรัชทายาททรงมอบความบริสุทธิ์แก่ไป่เริ่นด้วย”
ฉีเซียวเข้าใจความหมายของไป่เริ่นในพริบตา หากต้องการปัดเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตกไปอย่างไม่ทิ้งพิรุธ เวลานี้คือโอกาสที่ดีที่สุด
“ไม่เคยจริงๆ กระหม่อมก็ไม่รู้ว่า…คำพูดเหล่านี้น้องรองได้ยินมาจากที่ใด” ฉีเซียวมองไปทางฮ่องเต้ เอ่ยอย่างจริงจัง “กล่าวตามจริง ก่อนหน้านี้กระหม่อมก็เคยได้ยินข่าวลือคล้ายๆ กัน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าข่าวไร้มูลเหตุนี้กลับทำร้ายซื่อจื่อ เสด็จพ่อ…ทูลขอเสด็จพ่อออกหน้าตรัสประโยคหนึ่ง กระหม่อมไม่เคยคิดแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหลิ่งหนาน วันข้างหน้าก็ไม่มีทางเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินกลับตะลึงงัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าฉีเซียวจะวางมืออย่างง่ายดาย แต่ไม่ว่าเพราะเหตุใด ฉีเซียวเป็นคนเลิกล้มการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เองก็นับเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ยินดียิ่ง ฮ่องเต้มองฉีเซียวพลางเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “เซียวเอ๋อร์…เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ”
ฉีเซียวพยักหน้า “ส่วนทางเสด็จป้า กระหม่อมย่อมมีคำอธิบายให้เองพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เกรงว่าเป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลองเพียงอย่างเดียวในวันนี้ของฮ่องเต้ แม้แต่ท่าทีไม่ยอมรามือของไป่เริ่นเมื่อครู่ก็ไม่ติดใจอีก เขาพยักหน้าเอ่ย “ดี ไป่เริ่น เจ้าก็ได้ยินแล้ว วันข้างหน้ารัชทายาทจะไม่สู่ขอจวิ้นจู่จากหลิ่งหนานของพวกเจ้าอีกอย่างเด็ดขาด เจ้าวางใจได้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท เช่นนี้กระหม่อมก็วางใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไป่เริ่นขยับขึ้นหน้าก้าวหนึ่งและคุกเข่า เอ่ยด้วยนัยน์ตาเย็นชาท่าทางเคร่งขรึม “เรื่องวันนี้ แม้องค์ชายรองลงมือก่อนแต่ความผิดล้วนอยู่ที่กระหม่อม นับแต่กระหม่อมมาจากหลิ่งหนานด้วยเลื่อมใสในความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของเมืองหลวง และเคารพยกย่องความสง่างามทรงอานุภาพของฝ่าบาทจึงไม่จากไป ทั้งยังเป็นความตั้งใจของหลิ่งหนานอ๋องผู้เป็นบิดาของกระหม่อม หลิ่งหนานถึงอยู่ห่างไกลนับพันหลี่ แต่มิเคยหลงลืมแผ่นดินบ้านเมืองแม้ชั่วขณะ บิดาให้กระหม่อมมาศึกษาเล่าเรียนที่เมืองหลวง เพื่อภายหน้าจะได้กล่อมเกลาไพร่ฟ้าให้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาททุกเมื่อ ทว่าวันนี้…กระหม่อมพำนักในเมืองหลวงผ่านไปเดือนกว่ายังมิอาจร่ำเรียนได้วิชาแม้สักกระผีก กลับทำให้องค์ชายรองเป็นเช่นนี้ กระหม่อมทบทวนตนเองดูเรื่องวันนี้ล้วนเป็นความผิดของกระหม่อม…”
“เด็กดี อย่าได้เอ่ยเช่นนี้เลย” ต่อให้ฮ่องเต้หน้าหนาเพียงไรเมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ของไป่เริ่นก็แทบจะทานทนไม่ได้อยู่รอมร่อ เอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “เราพูดแล้ว เรื่องวันนี้เป็นความผิดของฉีหวาทั้งหมด เพราะปกติเราโปรดปรานเซียวเอ๋อร์มากไปบ้าง เขาถึงทำนิสัยเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ วันนี้ท่าทางจะดื่มสุรามาเล็กน้อย ยิ่งไม่มีกฎระเบียบ ไป่เริ่นเจ้าวางใจเราจะลงโทษเขาอย่างหนักแน่นอน…”
ไม่เพียงเพื่อสยบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงคำพูดของไป่เริ่นเมื่อครู่จะขยายความอวดโอ่ ทว่าทุกคนในที่นั้นรู้ดี ไป่เริ่นใช่เป็นแค่ซื่อจื่อคนหนึ่ง เขาเป็นตัวแทนของหลิ่งหนาน ท่าทีที่เมืองหลวงมีต่อเขาเทียบได้กับท่าทีที่มีต่อหลิ่งหนาน หากไป่เริ่นเป็นอันใดไปหลิ่งหนานอ๋องจะอาศัยเหตุนี้ก่อสงครามก็มิใช่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นต่อให้ผู้อื่นดูแคลนฐานะตัวประกันของไป่เริ่นแต่ภายนอกก็ยังต้องเคารพนอบน้อม ผู้ใดล้วนไม่อยากกลายเป็นต้นเหตุของการสู้รบทางชายแดนใต้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจเรื่องนี้กระจ่าง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฉีหวาตัวโง่งมผู้นี้
ฉีหวาซึ่งยังคุกเข่าอยู่บนพื้นตัวสั่นระริกยิ่งกว่าเก่า ฮ่องเต้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ยิ่งเดือดดาล ไป่เริ่นอยู่ที่นี่พูดมานานสองนาน อย่าว่าแต่คำโต้แย้งสักครึ่งประโยค กระทั่งขออภัยโทษยังงึมๆ งำๆ ไหลตามน้ำไร้จุดยืน! ฮ่องเต้เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า พลันตะโกนเสียงเฉียบ “ใครก็ได้! ลากลูกไม่รักดีผู้นี้ไปโบยหนักยี่สิบไม้! หากผู้ใดกล้ายั้งมือ เราจะบั่นคอมันเสีย!”
เดิมฉีหวาคิดว่าร้ายแรงที่สุดคือโดนตีด้วยไม้ระเบียบไม่กี่ที คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเอาจริงจึงร้องเสียงหลง ฮ่องเต้ชายตามองฝูไห่ลวี่แวบหนึ่ง ฝูไห่ลวี่เข้าใจความนัยรีบขยับเข้าไปอุดปากฉีหวา ประการแรกคือกลัวเขาจะร้องเจ็บจนกัดลิ้นตนเอง ประการที่สองคือ…ผู้ใดจะรู้ว่าฉีหวาจะพูดวาจาถึงแก่ชีวิตอันใดออกมาอีกบ้าง!
ในลานมีเสียงไม้ทุ้มหนักดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฉีเซียวเบือนศีรษะปรายตามองไป่เริ่นวูบหนึ่ง ก่อนหันหน้าไปทางฮ่องเต้และค้อมกายเอ่ยว่า “บาดแผลของซื่อจื่อยังต้องจัดการโดยเร็ว ในเมื่อเรื่องวันนี้เกี่ยวพันถึงลูก…ให้ไป่เริ่นไปพักผ่อนที่ตำหนักของลูกชั่วคราว นับว่าเป็นการขออภัยต่อซื่อจื่อด้วย”
ฮ่องเต้อย่างไรก็ได้ทั้งสิ้นจึงพยักหน้าเอ่ย “ยังเป็นเซียวเอ๋อร์ที่คิดการรอบคอบ บอกหมอหลวงให้ใช้ยาที่ดีที่สุด หากอาการบาดเจ็บของไป่เริ่นมีความผิดพลาดสำนักหมอหลวงเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉีเซียวหันไปมองไป่เริ่น แววตาลึกซึ้ง “ซื่อจื่อตามข้ามาเถิด”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน รัชทายาทบัญชา ฉบับเต็ม
Comments
comments
No tags for this post.