บทที่ 2
ในตำหนักอวี้ซิ่ว องค์หญิงใหญ่ตุนซู่มองตำหนักที่ตนเองอาศัยมาตั้งแต่เล็กจนโตพลางทอดถอนใจไม่ขาดสาย “ผ่านมากี่ปีแล้วที่นี่ก็ยังว่างเปล่าอยู่”
ฉีเซียวหัวเราะ “ตำหนักขององค์หญิงในฮองเฮา จะให้คนย้ายเข้ามาง่ายๆ ได้อย่างไร”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่หันหน้ามองเจียงเต๋อชิงแวบหนึ่ง เจียงเต๋อชิงรู้ความนัยจึงนำข้ารับใช้ในตำหนักถอยออกไป
ฉีเซียวรินชาให้องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ด้วยตนเองและเอ่ยเสียงเบา “เสด็จป้า…ไยต้องขัดแย้งกับฮ่องเต้เพราะเรื่องนี้”
“เฮอะ…หากไม่ทำจะมีใครรู้ว่าเจ้าเป็นถึงรัชทายาท” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ไม่มีความอ่อนโยนยามอยู่ต่อหน้าผู้คนอีก นางหัวเราะหยัน “ทางใต้ประสบภัย การโยกย้ายขนถ่ายเสบียงอาหารและสิ่งของช่วยเหลือล้วนเป็นความลำบากยากเย็นของเจ้า ครั้นเรื่องทุกอย่างตระเตรียมพร้อมสรรพ ฮ่องเต้กลับให้ฉีหวาเป็นเสนาธิการคุมทหารไปปลอบขวัญสองมณฑล! พูดจาสวยหรูว่าหลังจากภัยพิบัติจะมีโรคระบาด รัชทายาทฐานะสูงส่งไม่อาจเสี่ยงอันตราย คำพูดล่องลอยประโยคเดียวก็ลบล้างคุณงามความดีของเจ้าสิ้น ชื่อเสียงความชอบถูกฉีหวาฉกชิงไปหมด! เคราะห์ดีฉีหวาเป็นคนใช้การไม่ได้ ลงใต้หนนี้กลับก่อเรื่องน่าขันไม่น้อย สูญเสียความเชื่อใจของผู้คน”
ฉีเซียวระบายยิ้มบาง “ฮ่องเต้คิดใช้ข้าเป็นสะพาน ข้าย่อมไม่อาจให้พวกเขาสมประสงค์เกินไป”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ตกใจพูดไม่ออก “เรื่องฉีหวา…เป็นอุบายของเจ้า?”
ฉีเซียวหัวเราะเล็กน้อยมิได้ตอบคำ ในใจองค์หญิงใหญ่ตุนซู่พลันกระจ่างชัด สีหน้าดีขึ้นมาก นางเอ่ยอย่างปลื้มใจ “ฟู่หม่าพูดเสมอว่าในใจเจ้ามีโตรกผา* เป็นความจริงอย่างที่คิด เพียงแต่…ลงมือสะอาดหรือไม่ หากฮ่องเต้ทรงทราบเข้า…”
“ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็ไม่คิดปกปิดเขา” ฉีเซียวจับป้ายหยกที่ข้างเอวเล่น ก่อนเอ่ยเนิบๆ “เอาแต่ซ่อนคมอย่างเดียวนั่นก็คืออ่อนแอ อย่างไรก็ต้องให้เขาเข้าใจว่าตอนนี้เขายังทำอันใดข้าไม่ได้”
“ในใจเจ้ารู้ว่ากำลังทำสิ่งใดก็พอ…มาพูดเรื่องสำคัญ บัดนี้หลิ่งหนานมีจวิ้นจู่ยังไม่ออกเรือนสองคน หนึ่งคือโหรวจยาจวิ้นจู่เป็นทายาทสายตรงและพี่สาวร่วมอุทรของหลิ่งหนานซื่อจื่อที่มาเป็นตัวประกัน ว่ากันว่าพรั่งพร้อมทั้งคุณธรรมและความสามารถ ความประพฤติดีงามเหนือสามัญ…แล้วก็มีคังไท่จวิ้นจู่ที่เกิดจากชายารองของหลิ่งหนานอ๋อง ชายารองผู้นี้ได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากหลิ่งหนานอ๋องเป็นล้นพ้น ธิดาของนางแม้มิได้เกิดจากชายาเอก ทว่ากลับเปรียบเสมือนไข่มุกในมือของหลิ่งหนานอ๋อง…” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ในใจลังเล จึงเงยหน้าถามฉีเซียว “เจ้าชอบผู้ใด”
จวิ้นจู่ทั้งสองคนหนึ่งฐานะสูงส่ง อีกคนได้รับความรักจากหลิ่งหนานอ๋องมากกว่า ต่างมีข้อดีข้อเสียของตน องค์หญิงใหญ่ตุนซู่เองก็ตัดสินใจไม่ได้จึงให้ฉีเซียวเลือกเอง
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเบา “น่าเสียดายที่เตรียมการล่าช้าเกินไป ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ละเลย มักเกรงกลัวฮ่องเต้จะสู้รบกับหลิ่งหนานอ๋องจึงไม่เคยใส่ใจ หากรู้แต่แรกตอนข้าติดตามฟู่หม่าไปอยู่ทางใต้ก็ควรหาวิธีพบหน้าจวิ้นจู่ทั้งสองสักครา ดีอย่างไรก็ฟังจากคำผู้อื่นมิได้พิจารณาด้วยตาตนเอง ข้าก็ไม่อาจวางใจ”
ฉีเซียวระบายยิ้มบาง เรื่องนี้ไม่อาจโทษองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ หลิ่งหนานอ๋องเป็นอ๋องต่างสกุล นี่คือบ่อเกิดของความขัดแย้ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบัญชีเก่ายุ่งเหยิงหลายปีมานี้ระหว่างเชื้อพระวงศ์กับสกุลตงหลิงของหลิ่งหนานอ๋อง
หลิ่งหนานอ๋องปีนั้นร่วมกับไท่จู่ สู้รบยึดครองแผ่นดินมาได้ หลังจากไท่จู่สถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานรางวัลตามความดีความชอบ แต่งตั้งอ๋องต่างสกุลขึ้นเจ็ดคน ทว่าไม่ทันพ้นสิบปีอ๋องที่เหลือทั้งหกคนทั้งหมดต่างตกหลังม้า เจิ้นเป่ยอ๋องที่ดวงดีที่สุดเพียงถูกเรียกคืนที่ดินศักดินา ริบบรรดาศักดิ์ลดขั้นเป็นสามัญชน ที่ดวงไม่ดีอย่างเช่นป๋ออันอ๋องล้วนมีจุดจบคือฆ่าล้างสกุล สุดท้ายที่เหลืออยู่มีเพียงหลิ่งหนานอ๋อง
หลิ่งหนานอ๋องมีชีวิตรอดมาได้หาใช่เพราะชะตาแข็ง ในปีที่เจ็ดที่ขึ้นเป็นอ๋อง ชาวเวิ่งซีจากทางใต้มารุกราน หลิ่งหนานอ๋องผู้เฒ่าตงหลิงอูนำทัพรับศึก สู้รบเกือบสามปี สูญเสียทหารไปเกือบสิบหมื่น ไท่จู่เจตนาให้หลิ่งหนานอ๋องกับแคว้นเวิ่งซีสู้รบกันให้สิ้นไปทั้งคู่ รายงานสงครามถูกส่งมายังเมืองหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ไท่จู่กลับไม่ส่งทหารไปช่วยแม้แต่นายเดียวเพียงรอตักตวงผลประโยชน์จากความขัดแย้ง น่าเสียดายที่หลังพ่ายแพ้เพียงสองสามครั้ง จากนั้นหลิ่งหนานอ๋องก็ชนะศึกติดต่อกัน ไม่เพียงตีชาวเวิ่งซีถอยร่น ท้ายที่สุดยังไล่โจมตีข้าศึกที่แตกพ่ายไปจนถึงเมืองหลวงแคว้นเวิ่งซี เข่นฆ่าล้างเมือง เมื่อสังหารเชื้อพระวงศ์ของแคว้นเวิ่งซีหมดสิ้นหลิ่งหนานอ๋องผู้เฒ่าก็ยึดพื้นที่ตั้งตัวเป็นอ๋อง ควบรวมแคว้นเวิ่งซี
แคว้นเวิ่งซีมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของมณฑลหลิ่งหนานในอดีต ทั้งยังมีพื้นที่เกษตรกรรมมาก ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ไท่จู่จึงนั่งไม่ติด ปูนบำเหน็จรางวัลมหาศาล พร้อมส่งอัครเสนาบดีไปยังหลิ่งหนานเพื่อหารือว่าภายหน้าจะส่งผู้ใดมารับช่วงดูแลต่อ อาณาเขตนั้นหลิ่งหนานอ๋องเป็นผู้ยึดมาได้ ทางเมืองหลวงมิเคยช่วยเหลือตั้งแต่แรกจวบจนสุดท้าย เขาย่อมไม่ยินยอมให้เมืองหลวงมาแบ่งน้ำแกงหนึ่งถ้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไท่จู่ที่ไม่คิดจะแบ่งน้ำแกงแค่ถ้วยเดียวด้วยซ้ำ ทั้งสองฝ่ายส่งจดหมายไปมาหากันมากมายดุจละอองหิมะ เกือบหนึ่งเดือนก็ยังตกลงกันไม่ได้ เรือนรั่วยังเจอฝนพรำทั้งคืน ป๋ออันอ๋องทางตะวันตกลุกขึ้นกบฏ ไท่จู่หมดหนทางซ้ำยังหวั่นกลัวว่าหลิ่งหนานอ๋องจะร่วมมือกับป๋ออันอ๋อง จึงจำใจถอยและใช้วิธีการขึ้นภาษีเครื่องบรรณาการจากหลิ่งหนานหลายเท่าตัวทุกปี สุดท้ายจบลงด้วยการพักปัญหาไว้และผัดออกไปหลายปี ครั้นเมื่อไท่จู่กำราบป๋ออันอ๋องได้และคิดจะจัดการหลิ่งหนานอ๋องนั้น อีกฝ่ายก็ยึดครองพื้นที่ทางใต้ได้อย่างมั่นคงนานแล้ว ไท่จู่อายุมากแม้ใจสุดจะปรารถนาทว่ากำลังไม่พอจึงเก็บภัยภายหน้าอันใหญ่หลวงของเมืองหลวงไว้ตลอดจนถึงบัดนี้
สองสามปีนี้ความสัมพันธ์ของเมืองหลวงกับหลิ่งหนานยิ่งอ่อนไหวขึ้นไปอีก คนไม่น้อยล้วนเป็นกังวล ไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายจะรบพุ่งกันขึ้นมาเมื่อใด ทว่าตั้งแต่ปีกลายหลิ่งหนานกลับประสบภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสนยานุภาพเสียหายเป็นอันมาก หมดความฮึกเหิมที่จะสู้รบกับเมืองหลวง ยิ่งปีนี้มาขอหยิบยืมเสบียงไปจึงต้องส่งตัวประกันมา คนที่ตาไม่มืดบอดล้วนมองออก ขอแค่หลิ่งหนานอ๋องไม่เสียสติโง่เขลา สองฝ่ายย่อมไม่มีทางสู้กันแน่
ในเมื่อไม่มีทางสู้รบกัน เช่นนั้นความสัมพันธ์ที่ควรฟื้นฟูก็ต้องฟื้นฟู การสมรสเชื่อมสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ต้องเกิดไม่ช้าก็เร็ว องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ลงมือก่อนได้เปรียบ คว้าเรื่องนี้มาให้ฉีเซียวทั้งยังต้องการเพียงชายารอง ต่อให้วันข้างหน้าหากชายแดนใต้หันอาวุธเข้าหากัน ฉีเซียวปลดชายารองคนหนึ่งก็เป็นเรื่องแค่ประโยคเดียว ไม่ทิ้งผลร้ายใดๆ ทั้งนั้น
ในฐานะที่เป็นองค์หญิงสายตรง ในใจองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ย่อมชมชอบจวิ้นจู่ที่ถือกำเนิดจากชายาเอกมากกว่า เพียงน่าเสียดายที่หลิ่งหนานอ๋องไม่โปรดปรานชายาผู้นี้อย่างแท้จริง องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ถอนใจ “เจ้าคิดเห็นอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นเถิด…”
เรื่องของหลิ่งหนานอ๋องฉีเซียวก็รู้กระจ่างดี เขาหัวเราะเบาๆ “บิดาของชายาหลิ่งหนานอ๋องสิ้นชีพในศึกเวิ่งซี ประการแรกนางไม่เป็นที่โปรดปราน ประการที่สองไม่มีญาติมิตรฝ่ายมารดาให้พึ่งพา ลูกชายาเอกย่อมสู้ลูกชายารองซึ่งเป็นที่โปรดปรานมิได้ ซ้ำบัดนี้ซื่อจื่อยังมาเป็นตัวประกัน ฝั่งทายาทสายตรงยิ่งไม่ได้รับความสำคัญ”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่พยักหน้า “เรื่องเป็นเช่นนี้จริง ไม่เป็นไร…ถึงจะมิใช่สายตรง แค่เป็นธิดาของหลิ่งหนานอ๋องก็พอ เช่นนี้ต่อแต่นี้ในยามจำเป็นไร้ทางเลือก…ชาวหลิ่งหนานย่อมยินดีสนับสนุนเจ้าที่เคยผูกสัมพันธ์แต่งงานกับหลิ่งหนานมาก่อน มีการสนับสนุนจากหลิ่งหนาน…เรื่องวันหน้าก็มั่นใจได้อีกชั้นหนึ่ง”
ฉีเซียวยังคงมีท่าทีอย่างไรก็ได้ “หลานเชื่อฟังเสด็จป้าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่ตุนซู่มองดวงตาที่เหมือนอู่ตี้ไม่มีผิดของฉีเซียวอย่างเอ็นดูเหลือแสน อดไม่ได้ดึงมือเขามาและเอ่ยเสียงเบา “เด็กดี ป้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบ…แต่อดทนอีกหน่อยเถิด ครั้นเจ้าขึ้นครองราชย์ป้าก็วางใจแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าต้องการทำสิ่งใดก็จะไม่มีผู้ใดขัดขวางได้อีก…”
อย่างไรองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ก็อายุค่อนข้างมากแล้ว นางเดินทางเหน็ดเหนื่อยยากลำบากมาตลอด เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ตำหนักเฉิงกานยังดูไม่ออก ยามนี้ลับตาผู้คน แววเหนื่อยล้าพลันปรากฏ ต่อให้ฉีเซียวมีนิสัยเย็นชาก็ยังอดปวดใจไม่ได้ เขาเอ่ยเสียงเบา “เสด็จป้าไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงใจเพื่อหลานถึงเพียงนี้ เรื่องพวกนี้หลานเอง…”
“ภาระบนบ่าเจ้าหนักหนาพอแล้ว เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ให้ข้าช่วยจัดการก็พอ อย่าได้เก็บไปคิดมากนัก ข้าไม่เพียงทำเพื่อเจ้า…” องค์หญิงใหญ่ตุนซู่สูดหายใจลึกคราหนึ่ง “มากกว่านั้นคือเพื่อตัวข้าเอง บัดนี้ผู้สืบสายเลือดสายตรงจากไท่จู่เหลือเพียงเจ้ากับข้าสองคน หากข้ายังให้เจ้าต่อสู้ลำพัง เกรงว่าบรรพบุรุษก็จะไม่ยอมรับข้าเช่นกัน”
แม้ฉีเซียวเห็นเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นสิ่งที่มีหรือไม่มีก็ได้ ทว่าเห็นแก่องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ที่กลัดกลุ้มใจเพื่อเขาจึงไม่อาจอยู่เฉย วันต่อมาหลังประชุมราชกิจ ฉีเซียวจงใจล่าช้าสองสามฝีก้าว รออยู่ที่สระเลี่ยนเยี่ยนหน้าตำหนักกานชิง พักหนึ่งก็ได้พบกับหลิ่งหนานซื่อจื่อที่ออกมาจากสำนักฮุ่ยซิ่นตามคาด
ฐานะตัวประกันของหลิ่งหนานซื่อจื่อตงหลิงไป่เริ่นทุกคนล้วนรู้กระจ่างแก่ใจ ทว่าแต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ทรงแสดงออกอย่างดีเยี่ยม ดูแลเอาใจใส่อาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ ที่พักอาศัยก็พร้อมสรรพ ได้ยินว่าตอนอยู่ที่หลิ่งหนาน ไป่เริ่นกำลังเรียนหนังสือ ฮ่องเต้ก็ส่งราชครูไปสอนพร้อมอนุญาตให้เขาเข้าวังเพื่อเล่าเรียนที่สำนักฮุ่ยซิ่นทุกวัน ได้รับการปฏิบัติเทียบเท่าองค์ชายทุกประการ
ฉีเซียวหัวเราะหยันในใจ เป็นเพราะใส่ใจหลิ่งหนานหรือต้องการจับตาดูให้ดี นั่นก็เป็นเรื่องต่างจิตต่างใจแล้ว
ไป่เริ่นเพิ่งเลิกคาบเช้า เนื่องจากฮ่องเต้ส่งอาหารเช้ามา เขาจึงพาสหายร่วมเรียนเดินรีบเร่งตามข้ารับใช้ไปยังตำหนักเฉิงกาน เขามองเห็นฉีเซียวแต่ไกลจึงไม่เหมาะสมที่จะเดินอ้อม ได้แต่พาคนจำนวนหนึ่งเดินมา ฉีเซียวแย้มยิ้ม “ซื่อจื่อกำลังจะไปที่ใดหรือ”
ไป่เริ่นคารวะตามธรรมเนียมและหลุบตาลงตอบ ฉีเซียวพยักหน้า “ซื่อจื่อมาเยือนเมืองหลวงหลายวัน ข้ายังมิได้พูดคุยกับซื่อจื่ออย่างเต็มที่เลย อยู่ที่นี่สบายดีทุกอย่างหรือไม่ คิดถึงบ้านบ้างหรือเปล่า”
ไป่เริ่นเงยหน้ามองฉีเซียวแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายประกายประหลาดใจ การแสดงออกยังคงสงบนิ่งเฉยเมย เอ่ยราบเรียบอย่างไม่กลบเกลื่อนสีหน้าว่า “ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อกระหม่อมอย่างดียิ่ง มิเคยคิดถึงบ้านพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเซียวมองความห่างเหินของไป่เริ่นออกจึงหาได้บีบบังคับอีกฝ่าย เพียงคลี่ยิ้มอ่อนโยน “เสด็จพ่อมีราชกิจมากมาย หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีจุดซึ่งทรงคาดไม่ถึง หากมีอันใดไม่ราบรื่นบอกกับข้าเป็นพอ มิต้องเห็นเป็นคนอื่นไกล ในเมื่อเสด็จพ่อเรียกตัวเจ้า ข้าก็จะไม่ทำเจ้าล่าช้าแล้ว ต่อไปวันใดมีเวลาค่อยพบกัน”
ไป่เริ่นพยักหน้าอย่างเย็นชาและค้อมกายเล็กน้อย ก่อนหมุนตัวเดินตามข้ารับใช้ไป ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่รอยยิ้มสักครายังไม่เผย ฉีเซียวทอดตามองเงาหลังของไป่เริ่นจากที่ไกลพลางยิ้มอย่างนึกสนุก “หลิ่งหนานซื่อจื่ออายุยังน้อย แต่นิสัยกลับสงบเยือกเย็นยิ่ง”
เจียงเต๋อชิงรีบยิ้มประจบ “ซื่อจื่ออายุน้อยเพียงนี้มาเมืองหลวงลำพัง จิตใจย่อมหดหู่เป็นเรื่องปกติ รัชทายาทอายุมากกว่า เข้าใจซื่อจื่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเซียวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาไม่ได้ไม่สบอารมณ์เพราะความเฉยชาของไป่เริ่นอย่างแน่นอน เพียงแต่…หลิ่งหนานซื่อจื่อเพิ่งมาเมืองหลวงไม่นาน ฉีเซียวได้พบหน้าเขาแค่สองครั้ง ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการมองวูบเดียวจากระยะไกล จดจำได้เพียงว่าไป่เริ่นนั้นหน้าตางามหมดจด ทว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นกลับไม่มีความทรงจำเท่าใด เมื่อครู่พินิจดูในใจก็หวั่นไหวอย่างมิอาจห้าม เขาคลี่ยิ้ม ตอบเรียบๆ ว่า “นั่นย่อมแน่นอน”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.