บทที่ 6
ในจวนหลิ่งหนานอ๋อง ไป่เริ่นไล่คนทั้งหมดออกไป เขาลดเสียงลงถามอย่างร้อนใจ “สืบข่าวมาว่าอย่างไรบ้าง ใครเป็นคนออกความคิดนี้กันแน่”
เฉินเฉาเกอขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เอ่ยเสียงค่อย “เป็นความเห็นขององค์หญิงใหญ่ตุนซู่”
“องค์หญิงใหญ่ตุนซู่…” ไป่เริ่นเคยได้ยินมาเช่นกัน บ้านสามีขององค์หญิงผู้นี้เป็นสกุลใหญ่ในเมืองหลวง รับราชการมาหลายชั่วคน มีอำนาจอย่างมากในราชสำนัก ซ้ำองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ยิ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญสร้างผลกระทบในราชวงศ์ได้ ไป่เริ่นนึกถึงความลับของราชวงศ์ที่ต่งป๋อหรูบอกตนเองวันก่อน ที่จริงแล้วฉีเซียวเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮาของอู่ตี้ เมื่อกล่าวดังนี้ก็เข้าใจได้ องค์หญิงใหญ่ตุนซู่เป็นป้าผู้มีสายโลหิตเดียวกับฉีเซียว ใกล้ชิดกว่าฮ่องเต้มากนัก ใจจะมุ่งมั่นวางแผนเพื่อฉีเซียวย่อมสมควร ไป่เริ่นยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้า “เป็นองค์หญิงใหญ่ตุนซู่ที่เจาะจงเลือกพี่สาว?”
เฉินเฉาเกอส่ายหน้า “คล้ายไม่ใช่…ได้ยินว่าวันที่องค์หญิงใหญ่ตุนซู่กลับวังก็เปรยขึ้น ด้วยเอ่ยถึงว่าควรเลือกชายารองให้องค์รัชทายาทจึงพูดถึงจวิ้นจู่ของพวกเรา แต่ตอนนั้นมิได้ยืนยันว่าเป็นจวิ้นจู่คนใด ภายหลังไม่รู้เพราะเหตุใดก็ตกลงแน่ว่าเป็นโหรวจยาจวิ้นจู่ ตั้งแต่ต้นจนจบสองวันเท่านั้นไม่มีทางส่งคนไปดูหน้าได้ แต่เพราะอันใด…ข้อนี้ข้าก็ไม่รู้ชัด”
ริมฝีปากบางของไป่เริ่นเม้มเล็กน้อย “หากกล่าวเช่นนี้…ฮ่องเต้อาจยังไม่ทรงทราบ หรือต่อให้ทรงทราบแล้วก็ไม่เคยพูดกับท่านพ่อและกับพวกเขา…ยังมีหนทางพลิกกลับคืน แล้วก็…”
ไป่เริ่นทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยเงียบๆ ลอบคิดอุบายในใจ เฉินเฉาเกอชั่งใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยโน้มน้าว “ซื่อจื่อ แท้จริงการที่โหรวจยาจวิ้นจู่มานั้นหาได้เป็นผลร้ายต่อซื่อจื่อไม่ สถานการณ์ยามนี้ซื่อจื่อก็รู้ หากนางมาจะดีขึ้นอย่างมาก”
“แม้แต่เจ้าก็พูดเช่นนี้” ไป่เริ่นผิดหวังเป็นล้นพ้นในใจ “เฉาเกอ พวกเราสองสามคนโตมาด้วยกัน เจ้ายังไม่รู้นิสัยของพี่สาวหรือ หากนางเข้าจวนรัชทายาท วันข้างหน้ารัชทายาทตบแต่งชายารัชทายาทเข้าจวน จากนั้นรับชายารองอีกสองสามคน…พี่สาวจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ”
เฉินเฉาเกออ้ำอึ้งพูดไม่ออก เขายิ้มเจื่อนเล็กน้อยกล่าว “ข้าก็ทำเพื่อเจ้าไม่ใช่หรือ บัดนี้สภาพการณ์ของพวกเรากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกำลังต้องการคนมาช่วยคลี่คลาย แม้ข้าไม่รู้จักมักคุ้นกับองค์รัชทายาท แต่สองสามวันนี้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังตอนสืบข่าวคราว หากซื่อจื่อได้รับความกรุณาจากองค์รัชทายาท วันเวลาข้างหน้าจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นมากอย่างแน่นอน”
ในใจไป่เริ่นกำลังร้อนรนไหนเลยจะยอมฟังเรื่องพวกนี้ เขาขมวดคิ้วส่ายหน้า “ข้าบอกแล้วว่าข้อนี้ไม่เอามาพิจารณา…สองสามวันนี้เจ้าก็เหนื่อยแล้วไปพักผ่อนเสียก่อน ข้าค่อยคิดหาวิธีรับมืออย่างถี่ถ้วน…”
เฉินเฉาเกอไร้หนทาง ได้แต่เพียงปลอบโยนไป่เริ่นไม่กี่ประโยคก็ออกมา คิดไม่ถึงตอนออกจากโถงหลักก็พบกับต่งป๋อหรูที่มาหาไป่เริ่น เฉินเฉาเกอพลันประสานมือ “คารวะอาจารย์ต่ง”
ต่งป๋อหรูพยักหน้า ถามเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ว่าสืบข่าวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เฉินเฉาเกอตอบเหมือนเก่า ก่อนถอนใจเฮือกหนึ่ง “ท่านอาจารย์ มิใช่ข้าใจเหี้ยม แต่สถานการณ์เวลานี้ท่านก็เห็น หลายปีมานี้ความสัมพันธ์ของพวกเรากับเมืองหลวงเลวร้าย ทางด้านนี้แม้แต่ญาติมิตรห่างๆ สักคนก็ยังไม่มี จวนหลิ่งหนานอ๋องในเมืองหลวงเปรียบเสมือนเกาะโดดเดี่ยวผู้ใดก็พึ่งพาไม่ได้ กว่าจะมีช่องทางขององค์รัชทายาทนี้มาก็ยากเย็น ซื่อจื่อกลับต้องการผลักไส”
ต่งป๋อหรูถอนใจเฮือกหนึ่ง “ข้ามีหรือจะไม่โน้มน้าวซื่อจื่อเช่นนี้ แต่ซื่อจื่อก็มีความลำบากของตน…เฮ้อ หากผลักไปได้ก็ดี ลูกผู้ชายจะฝากฝังภยันตรายไว้บนตัวสตรีอ่อนโยนแบบบางได้อย่างไร”
เฉินเฉาเกอฝืนหัวเราะเสียงหนึ่ง “คำพูดเช่นนี้เมื่อก่อนข้าก็พูดบ่อย เพียงแต่มาเมืองหลวงแล้วถึงได้เข้าใจความลึกตื้น…ช่างเถิด ในเมื่อเป็นความต้องการของซื่อจื่อแม้ต้องสิ้นชีพกายแหลกสลายข้าก็จะไปทำ ข้าเดินหาข่าวถึงสองวันจึงรู้เรื่องนี้ ละอายใจยิ่งนัก อาจารย์เข้าไปก่อนเถิด ข้าจะลองหาช่องทางอื่นดู”
ต่งป๋อหรูย่อมรู้ความยากเข็ญของเขา พยักหน้าแล้วเข้าไป
เฉินเฉาเกอสูดหายใจลึก ออกจากจวนหลิ่งหนานอ๋องมุ่งหน้าไปยังหอสุราแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเมือง
เฉินเฉาเกอจองห้องรับรองกับเด็กรับใช้ในหอสุราไว้ล่วงหน้า พร้อมกำชับให้พ่อครัวที่ดีที่สุดของพวกเขาจัดอาหารอย่างดีมาหนึ่งโต๊ะ พอถึงยามซื่อ เฉินเฉาเกอก็รุดมารอในหอสุรา จวบจนยามอู่ คนที่เขาเชิญก็มาถึงอย่างไม่รีบร้อน
“ใต้เท้าสี่ เชิญนั่งๆ…” เฉินเฉาเกอรีบแย้มยิ้มพลางเชื้อเชิญให้นั่ง ก่อนหมุนตัวหันไปให้เงินเสี่ยวเอ้อร์ยี่สิบตำลึง “ยกอาหารมาเร็ว”
เสี่ยวเอ้อร์เร่งร้อนเก็บเงินใส่อกแล้วจากไปอย่างแข็งขัน
สี่เสียงยิ้มระรื่น “คุณชายเฉินช่างเกรงใจไปแล้ว รับรองยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าจะกล้ารับได้อย่างไร”
เฉินเฉาเกอรีบยิ้มรับ “ใต้เท้าสี่ล้อเล่นแล้ว ใต้เท้าเหน็ดเหนื่อยในสำนักพระราชวังทุกวัน คนนอกต้องการเชิญมาสักครั้งล้วนไม่มีเวลา วันนี้เห็นแก่หน้าตาข้ายอมออกมาหนึ่งครั้ง หาใช่ข้าเกรงใจแต่เป็นใต้เท้าให้เกียรติต่างหาก”
วาจาของเฉินเฉาเกอนี้พูดจนสี่เสียงชุ่มชื่นหัวใจ ยิ้มพลางรับคำ “ยุ่งยากแล้ว” ก็นั่งลง
ข้ารับใช้ของเฉินเฉาเกอรีบร้อนขยับขึ้นมารินสุราที่อุ่นไว้แต่แรกแก่คนทั้งสองจนเต็มถ้วย ทั้งสองพูดคุยตามมารยาทอีกครู่หนึ่ง เมื่อดื่มสุราได้ที่เฉินเฉาเกอก็โบกมือให้ข้ารับใช้ออกไปก่อนยิ้มเอ่ย “ใต้เท้า ครั้งก่อนที่เอ่ยถึงเรื่ององค์รัชทายาทกับจวิ้นจู่ของพวกเรา…”
สี่เสียงได้ฟังรอยแดงของสุราบนหน้าก็จางลงหลายส่วน ประชิดเข้าไปลดเสียงเอ่ย “ขอแสดงความยินดีกับคุณชายเฉิน เรื่องนี้อักษรแปดมีหนึ่งขีด แล้ว…”
สี่เสียงกล่าวประโยคหนึ่งก็ไม่เอ่ยปากอีก แสร้งว่ามึนเมากินอาหารต่อ ในใจเฉินเฉาเกอรู้สึกรังเกียจเป็นล้นพ้น ทว่ายังคงยิ้มพลางควักตั๋วเงินออกมาจากอกยัดใส่มือสี่เสียงอย่างเงียบเชียบ เอ่ยยิ้มๆ “ก็ไม่รู้ว่าขีดนี้คืออันใด”
สี่เสียงก้มหน้ากวาดตามองวูบหนึ่งก็ยิ้มออกมา เก็บตั๋วเงินใส่อกไปพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “พระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทยิ่งใหญ่นัก เสบียงอาหารยี่สิบหมื่นตั้นที่พระราชทานแก่หลิ่งหนานตระเตรียมพร้อมสรรพแล้ว รอถึงวันที่แปดเดือนหน้าฝ่าบาทก็จะส่งใต้เท้าคนหนึ่งคุ้มกันไปด้วยตนเอง สิ่งที่เดินทางไปพร้อมกับเสบียงอาหาร…ก็คือจดหมายแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเจ้า”
เฉินเฉาเกอในใจกระตุกวูบ วันที่แปดเดือนหน้า? ก็เหลืออีกสิบวัน…
“อย่างอื่นก็ไม่มีอันใดแล้ว อ้อจริงด้วย ข้ายังได้ยินว่า…เนื่องจากมิได้มีปฏิสัมพันธ์กับทางฝั่งหลิ่งหนานเนิ่นนาน นอกจากคนเหล่านั้นยังต้องคัดเลือกคนหลิ่งหนานอีกสองสามคนคอยติดตามตลอด…ตลอดทาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเหตุผิดพลาด เจ้าก็รู้ เวลาคนทางชายแดนใต้พูดจากันพวกเราคนทางนี้ฟังไม่ออก…” สี่เสียงคล้ายดื่มมากไปจริงจนเรอออกมาทีหนึ่ง ก่อนยิ้มว่า “คนเหล่านั้นก็คัดเลือกจากกลุ่มของพวกเจ้าที่มาครั้งนี้…ฮ่าๆ ข้าเห็นว่าข้ารับใช้ของเจ้าดูไม่เลว เจ้าลองถามเขาว่าคิดถึงบ้านหรือไม่ หากคิดถึงบ้านก็ให้เขาตามกลับไปเสียเถิด…”
เฉินเฉาเกอใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้จนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าล้อเล่นอีกแล้ว…”
“เอ้ย! เจ้าไม่เชื่อว่าข้าทำได้ใช่หรือไม่” สี่เสียงพลันสติแจ่มชัดขึ้นมาทันใด เขาถลึงตาตบโต๊ะด้วยร่างโงนเงน ร้องตะโกนขึ้น “ข้าในฐานะเลขาธิการสำนักพระราชวัง เรื่องแค่นี้น่ะหรือจะทำไม่ได้ บอกเจ้าให้…ไม่ต้อง…ไม่ต้องพูดถึงข้ารับใช้ของเจ้า…ต่อให้เป็นเจ้า! ข้าก็ย้ายเจ้าไปอยู่ในรายชื่อผู้ติดตามได้! เรื่องยากสักแค่ไหนเชียว…”
หัวใจของเฉินเฉาเกอยิ่งเต้นรัวเร็ว รีบร้อนประคองสี่เสียงให้นั่งดีๆ แล้วยิ้มประจบพลางเอ่ย “ท่านใต้เท้ากล่าวถูกต้อง กล่าวถูกต้อง…”
“ชิ…” สี่เสียงรินสุราให้ตนเองแล้วดื่มเองอีกถ้วย ก่อนถอนใจเฮือกหนึ่ง “จะว่าไป…เป็นพวกเจ้าก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ยกตัวอย่างข้ารับใช้ของเจ้าคนนั้นแล้วกัน คนทางนี้มีใครเห็นเขาเป็นคนบ้าง ไม่ว่าผู้ใดล้วนออกคำสั่งกับเขา แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์เมื่อครู่ก็ยังไม่เห็นเขาในสายตา ข้าไม่โง่งม หากอยู่ที่หลิ่งหนานของพวกเจ้า เขาทั้งเป็นบ่าวของใต้เท้าเสนาบดี ยังรับใช้ข้างกายเจ้าอีก ในจวนเขาเป็นเพียงบ่าว แต่ออกจากเรือนผู้อื่นล้วนเอาใจเขาราวกับคุณชายทีเดียว! บ่าวของอัครเสนาบดีเท่ากับขุนนางขั้นเจ็ด หลักการเป็นเช่นนี้มิใช่หรือไร
แต่นั่นคือตอนอยู่ที่หลิ่งหนานของพวกเจ้าเท่านั้น มาถึงเมืองหลวง บ่าวของตระกูลเสนาบดีแห่งหลิ่งหนานอันใด ใครจะเคยได้ยิน” สี่เสียงค่อยตระหนักได้ขึ้นมา รู้ว่าตนเองเอ่ยคำเลยเถิดแล้วก็พลันตบปากตนเองเบาๆ “ชะ! ดูปากของข้าสิ…ดื่มมากเข้าหน่อยก็ไม่มีหูรูด คุณชายเฉินอย่าได้ถือสาเป็นอันขาด ใต้เท้าเสนาบดีแห่งหลิ่งหนานเป็นขุนนางที่หาได้ยาก พวกเราเลื่อมใสในชื่อเสียงมาเนิ่นนาน…”
เฉินเฉาเกอฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า คำพูดนี้หยาบกระด้างทว่าไม่ไร้เหตุผล มาเมืองหลวงหนึ่งเดือนแล้วเขายังมีอันใดไม่เข้าใจอีกเล่า เขาเติบโตที่หลิ่งหนานตั้งแต่เล็ก ชาวหลิ่งหนานรู้จักเพียงหลิ่งหนานอ๋องไม่รู้ว่าฮ่องเต้คือใคร เฉินเฉาเกอเป็นคุณชายของท่านเสนาบดี ไปที่ใดล้วนมีคนนับหน้าถือตา กระทั่งหลิ่งหนานอ๋องยังมีวาจาท่าทีเป็นมิตรกับเขา วันปกติทั่วไปแม้ไม่กล้าพูดว่าเรียกลมเรียกฝน แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องมายกยอปอปั้นขันทีเช่นนี้ เฉินเฉาเกอกวาดตามองสี่เสียงที่เมามายมึนงงข้างกายปราดหนึ่ง ในใจยิ่งรู้สึกขยะแขยง
หลังจากเข้าเมืองหลวงมาเฉินเฉาเกอถึงได้เปิดหูเปิดตา เขาที่แต่ก่อนคิดว่าพอมีฐานะอยู่บ้างมาถึงใจกลางเมืองหลวงที่มีขุนนางระดับสูงและคนสูงศักดิ์มากมายถึงได้รู้ว่าแท้จริงเขาไม่ใช่อันใดทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวันนี้ยังมีฐานะหนึ่งเพิ่มขึ้นมา…สหายร่วมเรียนของตัวประกัน ผู้อื่นหวาดกลัวหลบเลี่ยงยังแทบไม่ทัน จะมีใครที่ไหนยอมสนใจเขา
หนึ่งเดือนนี้เฉินเฉาเกอนับว่าลิ้มรสทั้งความเย็นชาและอบอุ่นของผู้คนจนอิ่มแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดในใจไป่เริ่นมีเพียงความคั่งแค้น เอาแต่ต้องการไต่เต้าขึ้นสูง ตอนนั้นเขายังเคยปรามไป่เริ่น บนโลกใบนี้มีแต่ชื่อเสียงและผลประโยชน์สองอย่างนี้เท่านั้นที่สกปรกที่สุด ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่น ตอนนี้เฉินเฉาเกอรู้สึกเพียงว่าตอนนั้นตนเองช่างสูงส่งจนน่าขันโดยแท้ เขาพลันฉุกคิดถึงคำพูดที่บิดาเอ่ยกับเขาก่อนออกจากหลิ่งหนานว่า ‘ไปครั้งนี้ยากลำบากหมื่นแสนต้องระมัดระวังทุกอย่าง หลังจากอดทนผ่านไปได้อนาคตจะไร้ข้อจำกัด’
เฉินเฉาเกอนึกถึงปณิธานยิ่งใหญ่ของตนในยามนั้น ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เป็นเพราะมิตรภาพหลายปีกับไป่เริ่นตนเองจึงรับปากไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ตอนนี้คิดดู ช่าง…
สี่เสียงไม่รู้ความรู้สึกของเฉินเฉาเกอในเวลานี้ ตนเองทางหนึ่งกินเนื้อแกล้มสุราทางหนึ่งร้องงึมงำ “คุณชายเฉินไยจึงไม่พูด อ้อ…ข้าเข้าใจแล้ว คุณชายเฉินคิดถึงบ้าน ก็จริง…หลิ่งหนานเป็นที่ที่ดี แม้ข้าไม่เคยไปหลิ่งหนานแต่เคยได้ยินคนพูดถึงทิวทัศน์ของแดนใต้ ที่นั่นดีกว่าเมืองหลวงมากนัก สี่ฤดูดุจวสันต์และไม่คล้ายที่พวกข้านี่…พายุทรายพัดตั้งแต่หัวปียันท้ายปี…คุณชายเฉินอยู่ที่นี่สักสองสามปีก็จะรู้ ถึงตอนนั้นใบหน้าเล็กขาวสะอาดของท่านนี้…ก็จะเหมือนกับของข้า เหมือนเป็น…”
สี่เสียงเมามาย สองตาไร้แวว พึมพำขึ้น “หากข้าเป็นเจ้า…ข้ากลับไปนานแล้ว คน…คนอื่นเป็นสหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาท…วันข้างหน้ามีอนาคตล้ำเลิศ เจ้า…เจ้าเล่า อนาคตไม่แน่…ไม่แน่…ก็จะตาย…ตามกันไป”
สี่เสียงพ่ายแพ้แก่ฤทธิ์สุรา ซบศีรษะกับแขนนอนหลับไป
เฉินเฉาเกอเบือนหน้าไปมองสี่เสียงด้วยสีหน้าซับซ้อน ในใจลังเลสุดแสน เพียงแต่สี่เสียงเมามายมากแล้วถึงอยากพูดคุยก็คุยไม่ได้แล้ว เฉินเฉาเกอลุกขึ้นเปิดประตูห้องรับรองให้ขันทีน้อยสองคนที่ติดตามสี่เสียงเข้ามา เอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าสี่ดื่มมากไป นอนหลับเสียแล้ว”
ขันทีน้อยผู้หนึ่งพยักหน้า “ไม่เป็นอันใด เพียงแต่กลับวังหลวงเช่นนี้ไม่ได้ ประเดี๋ยวพวกข้าจะส่งท่านเลขาธิการสี่ไปที่คฤหาสน์ทางเขตตะวันตกของเมือง”
เฉินเฉาเกอพยักหน้ามองดูขันทีน้อยสองคนแบกสี่เสียง เขาหลับตาลงกัดฟันและเข้าไปขวางหน้าไว้ ก่อนหยิบถุงเหอเปา ออกมาจากอก ในมือคล้ายมีน้ำหนักพันชั่ง เขาส่งถุงเหอเปาให้ขันทีน้อยผู้นั้นอย่างช้าๆ พลางเอ่ยเสียงเบา “รบกวนใต้เท้าน้อย เมื่อใต้เท้าสี่ตื่นขึ้นมอบถุงเหอเปานี้กับเขาด้วย บอกว่าข้า…ยังมีเรื่องหนึ่งต้องรบกวนใต้เท้ากลัดกลุ้มใจ”
ขันทีน้อยผู้นั้นรีบร้อนรับคำแล้วรับมา ก่อนประคองสี่เสียงลงบันไดไป
ครึ่งชั่วยาม ให้หลังสี่เสียงและพวกก็มาถึงเรือนคั่นสอง แห่งหนึ่ง ขันทีน้อยเลิกม่านเกี้ยวขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา “ท่านเลขาธิการสี่ พวกเรามาถึงแล้ว”
สี่เสียงก้าวออกมาจากเกี้ยว บนใบหน้าไร้ซึ่งความเมามายแม้เพียงครึ่ง เขาเร่งร้อนเข้าประตูเรือนไปมุ่งตรงไปที่โถงหลัก เจียงเต๋อชิงที่อยู่ด้านในกำลังพินิจพิจารณาชาอย่างเรื่อยเฉื่อย ครั้นเห็นสี่เสียงเข้ามาก็พลันคลี่ยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้าง”
สี่เสียงรีบร้อนเดินเข้าไปใกล้แล้วแสดงคารวะ จากนั้นก็ชงชาให้เจียงเต๋อชิงพลางเอ่ยเสียงค่อย “อาจารย์วางใจ ทุกอย่างล้วนจัดการเรียบร้อย”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.