บทที่ 7
เจียงเต๋อชิงรับถ้วยชามาจิบเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี คาดว่าไม่ทันพ้นหนึ่งถึงสองวันเขาก็จะมาหาเจ้า เจ้ามีไหวพริบสักหน่อยอย่าพูดคุยด้วยง่ายนัก ทำมากเกินไปก็ผลไม่ต่างกับไม่ทำ หากเขาจับสังเกตได้จะไม่ดี เจ้าก็รู้อุปนิสัยขององค์รัชทายาท ทุกเรื่องต้องทำอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หากเกิดเหตุไม่คาดคิดเพียงเล็กน้อย ข้าคงรายงานขึ้นไปไม่ง่ายแล้ว”
“อาจารย์วางใจได้เต็มร้อย ไม่เอ่ยถึงว่าจะเกิดเหตุผิดพลาด ต่อให้เฉินเฉาเกอผู้นั้นมองออกแล้วอย่างไร นี่เป็นโอกาสเดียวที่เขาจะกลับหลิ่งหนาน ถึงเขารู้ว่าองค์รัชทายาทขุดหลุมพรางไว้ก็จะกระโดดลงไปอยู่ดี” สี่เสียงนึกถึงสีหน้าตอนเฉินเฉาเกอได้ยินว่าตนเองต้องการหาคนสองสามคนติดตามกลับหลิ่งหนานก็รู้สึกขบขันมาก “อาจารย์คงไม่ทราบ ตอนนั้นเขาแทบอยากจะติดปีกบินกลับไปเสียให้ได้ เรื่องนี้ไม่พลาดแน่”
เจียงเต๋อชิงเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า “ผู้ใดพูดกับเจ้าเรื่องคนแซ่เฉินนั่นกัน ถามเจ้าหน่อย คิดว่าองค์รัชทายาททุ่มเทกำลังมากมายให้เจ้าเล่นละครมีสาเหตุอันใด”
สี่เสียงตะลึงไปอึดใจก่อนเอ่ยอึ้งๆ “เพื่อ…ย่อมเพื่อให้ซื่อจื่อยอมจำนนอย่างเปิดเผยจริงใจ…”
“ใช่น่ะสิ หากซื่อจื่อรู้ว่าเรื่องนี้องค์รัชทายาทของพวกเราเป็นคนจัดการ หาใช่คนแซ่เฉินผู้นั้นวางแผนเองซื่อจื่ออาจไม่โทษคนแซ่เฉินกลับจะหันมาโกรธแค้นองค์รัชทายาทที่พรากคู่นกยวนยาง!” เจียงเต๋อชิงส่ายหน้า “ตอนนี้เจ้าอายุสามสิบปลายแล้ว ซ้ำยังแบกภาระใหญ่โตอย่างสำนักพระราชวังไว้ เหตุใดยังเหมือนกับตอนเด็ก ไม่เตือนสติสักหน่อยก็คิดไม่ถึง ร้อยรอบคอบหนึ่งประมาทมักเกิดเรื่อง…”
สี่เสียงยิ้มเอ่ย “ยังคอยมีอาจารย์สั่งสอนข้าบ่อยๆ อย่างไรเล่า มีอาจารย์อยู่ไม่มีทางให้ข้าตกม้าตายที่ ‘หนึ่งประมาท’ นั้นแน่นอน”
เจียงเต๋อชิงกลั้นไม่ไหวหัวเราะออกมา โบกมือปัดพลางเอ่ย “ช่างเถิดๆ ตอนนี้เจ้ารู้จักประจบเอาใจยิ่งกว่าผู้เป็นอาจารย์แล้ว เอาล่ะ ข้าต้องรีบกลับจวนรับรององค์รัชทายาท เรื่องข้างหน้าข้าไม่ต้องพูดมากอีกแล้วกระมัง”
เจียงเต๋อชิงลุกขึ้น สี่เสียงรับคำพลางจะเดินเข้ามาประคอง เจียงเต๋อชิงตบบนมือเขาพลางส่ายหน้าเอ่ย “ข้าจะออกไปทางประตูหลัง เจ้าไม่ต้องไปส่งป้องกันมิให้ผู้อื่นเห็น หากไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทไม่วางพระทัย ข้าคงไม่เดินทางมาครั้งนี้อย่างแน่นอน…”
สี่เสียงจนหนทางจึงได้แต่พยักหน้ารับคำ
ในจวนรัชทายาท ฉีเซียวฟังเจียงเต๋อชิงรายงานรอบหนึ่งก่อนแย้มยิ้มพยักหน้า “สี่เสียงนี่ก็ใช้ได้ แม้พูดว่าฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นความสามารถจนได้ขึ้นเป็นเลขาธิการ ทว่าตัวคนนั้นซื่อสัตย์ยังคงเคารพนบนอบเจ้า มีจิตใจดีงามจดจำน้ำใจที่เจ้าปฏิบัติต่อเขาครั้งยังเล็ก”
“โธ่ เขาไหนเลยจะจดจำไมตรีเล็กน้อยของกระหม่อม ตอนสี่เสียงยังเล็กครอบครัวของเขากระทำผิด เขาพลอยได้รับผลพวง ถูกตอนเข้าวัง เดิมทีช่วยงานเป็นลูกมืออยู่ในห้องครัวเล็กตำหนักเฟิ่งหวา โดนพ่อครัวรังแกหยามเหยียดทุกวันกลัวเหมือนลูกแมวที่กำลังหนาวสั่นอย่างไรอย่างนั้น…” เจียงเต๋อชิงกล่าวเนิบนาบไปพลางเก็บของบนโต๊ะหนังสือไปพลาง “เป็นเพราะชะตาชีวิตเขามีวาสนาดี วันนั้นหลี่เสียนฮองเฮาประสงค์จะต้มโจ๊กให้อดีตฮ่องเต้ด้วยพระองค์เอง สี่เสียงที่คอยจุดไฟผล็อยหลับอยู่ในครัว บรรดาพ่อครัวลืมไล่เขาออกไปทำให้หลี่เสียนฮองเฮาทอดพระเนตรเห็นพอดี ตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบกว่า ผอมแห้งเหมือนลูกเจี๊ยบ กลางฤดูเหมันต์สวมเพียงเสื้อตัวบางชั้นเดียว นิ้วมือทั้งสิบจับแข็งเหมือนหัวไช้เท้า…
หลี่เสียนฮองเฮามีพระทัยเมตตากรุณาไหนเลยจะทนทอดพระเนตรต่อไปได้ ในครานั้นฮองเฮามิได้ตรัสอันใด แต่ครั้นมาส่งโจ๊กแก่ฝ่าบาทที่ตำหนักเฉิงกานก็เรียกกระหม่อมไปหา พร้อมพระราชทานทองคำให้กระหม่อมหนึ่งก้อน ตรัสว่ามีเด็กคนนี้อยู่ ให้กระหม่อมดูแลเขา อย่าให้โดนทรมานอย่างเด็ดขาด…” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสมัยอู่ตี้ใบหน้าของเจียงเต๋อชิงก็มีร่องรอยทอดถอนใจ เขาเอ่ยต่อเนิบช้า “หลี่เสียนฮองเฮาทรงเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เมตตากรุณาโดยแท้ ทรงทราบว่าหากพิโรธผู้ที่รังแกสี่เสียงในตอนนั้นทันที ต่อไปเขาจะยิ่งอยู่ในวังยาก จึงไม่ตรัสอันใด แต่กลับแอบจัดแจงอย่างลับๆ ให้เด็กผู้นี้มาเป็นลูกศิษย์ของกระหม่อม เฮ้อ…สี่เสียงมาอยู่กับกระหม่อมก็เหมือนตกถังน้ำผึ้ง คนที่หลี่เสียนฮองเฮาทรงเอ่ยปาก ใครจะกล้าทำอันใดเขา อยู่กับกระหม่อม…ของว่างที่เหลือจากวังเฉียนชิงทั้งหมดทำให้เขาอิ่มเจียนตายได้ เวลาแค่ครึ่งเดือนก็เลี้ยงดูจนอ้วนพีขาวผ่อง หลี่เสียนฮองเฮาทอดพระเนตรแล้วตรัสขึ้นทันทีว่าเช่นนี้จึงดี เฮ้อ พระองค์ดูสภาพสี่เสียงที่ยามนี้อ้วนเหมือนสุกร ร่างกายอวบอ้วนของเขาก็ขุนมาจากคราวนั้น…”
ฉีเซียวที่อยู่บนตั่งกุ้ยเฟย นั่งพิงหมอนนุ่มถือตำราเล่มหนึ่งฟังอย่างเงียบเชียบ คำพูดเหล่านี้เขาฟังมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง เดิมฉีเซียวรำคาญคนพูดพร่ำเยิ่นเย้อที่สุด แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลี่เสียนฮองเฮาหรืออู่ตี้ เจียงเต๋อชิงจะพูดกี่ครั้งเขาก็ยินดีฟัง ฉีเซียวสูญเสียบุคคลสำคัญทั้งสองขณะแบเบาะ ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ก็ค่อยๆ ได้กระจ่างชัดขึ้นมาอย่างเชื่องช้าจากการพูดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าของเจียงเต๋อชิงในหลายปีมานี้
“ต่อมา…ต่อมาฟ้าเปลี่ยน ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงปลดกระหม่อมจากตำแหน่งเลขาธิการสำนักพระราชวัง องค์หญิงใหญ่ตุนซู่วางใจให้กระหม่อมปรนนิบัติพระองค์ ตอนนั้นกระหม่อมกลัวสี่เสียงติดร่างแหไปด้วยจึงส่งเขาไปอยู่กับศิษย์พี่ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ไปมาหาสู่กับเขาต่อหน้าผู้อื่นอีก และก็เป็นเพราะเขามีบุญวาสนา หลายปีผ่านไปนี้กลับขึ้นเป็นถึงหัวหน้าใหญ่เช่นกัน ฮ่าๆ…โชคดีที่เขาเป็นคนมีคุณธรรมจดจำพระกรุณาธิคุณของหลี่เสียนฮองเฮา กระหม่อมยังจำได้ ตอนที่หลี่เสียนฮองเฮา…หลี่เสียนฮองเฮาทรงจากไป เวลากลางวันสี่เสียงไม่กล้าร้องไห้ กลางคืนกลับห้องไปคลุมโปงร้องไห้สั่นระริกไปทั้งตัว องค์รัชทายาทอาจไม่ทราบ ตอนที่เขามาหากระหม่อมยังแอบมาดูพระองค์ด้วย เข้ามาก็โขกศีรษะปึงปังกับเตียงเล็กของพระองค์ กัดฟันสาบานทั้งน้ำตาว่าวันข้างหน้าจะตอบแทนพระคุณของหลี่เสียนฮองเฮากับพระองค์…” เจียงเต๋อชิงถอนใจเชื่องช้า “น่าเสียดาย…ตอนนั้นพระองค์อยู่ในตำหนักขององค์หญิงใหญ่ตุนซู่ องค์หญิงใหญ่ทรงอุ้มพระองค์อยู่ สี่เสียงไม่รู้โขกศีรษะสาบานกับเตียงว่างเปล่าของพระองค์ชี้ฟ้าวาดดินไม่สนใจสิ่งอื่น เป็นเรื่องเป็นราวอยู่ครึ่งชั่วยาม จนถึงตอนนี้กระหม่อมก็ยังไม่อาจหักใจบอกเขา กลัวเขาจะปวดใจจากความผิดหวังเสีย…”
ฉีเซียวในที่สุดก็กลั้นไม่อยู่หัวร่อออกมา เจียงเต๋อชิงพูดเองเออเองอยู่นานเห็นฉีเซียวหัวเราะก็หัวเราะตาม “องค์รัชทายาทฟ้ามืดค่ำแล้ว อ่านหนังสือใต้แสงโคมจะทำลายสายตา เข้านอนโดยเร็วหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเซียวส่ายหน้า ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “ยังมีอีกเรื่อง สองวันให้หลังเจ้าจงไปจัดการ…”
เจียงเต๋อชิงเดินเข้าไปใกล้ น้อมกายเอียงหู ครั้นฟังจบก็อึ้งตะลึง “องค์รัชทายาท นี่พระองค์…ต้องการเอาชีวิตซื่อจื่อจริงๆ แล้ว…”
“ไม่ใจโหดบ้างจะกำราบเขาอยู่ได้อย่างไรกัน” ฉีเซียวเอนกลับไปพิงบนตั่ง เอ่ยเสียงเบากลั้วหัวเราะ “ต้องให้เขาสองคนตัดขาดบุญคุณจบสิ้นมิตรภาพอย่างเด็ดขาดจึงจะได้”
เจียงเต๋อชิงตกใจจนพูดไม่ออก เพียงหัวเราะแห้งก่อนเอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะ ร่างกายสูงส่งล้ำค่าดุจทองพันชั่งของซื่อจื่อเดิมก็มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างเฉินเฉาเกอจะทำให้แปดเปื้อนได้”
“มิควรกล่าวเช่นนี้…ผู้ที่พรากคู่นกยวนยางไม่ใช่ข้า เป็นเฉินเฉาเกอที่ยืนหยัดไม่ไหว หากเขากัดฟันแน่นไม่ยอมไป ไม่แน่ข้า…” ฉีเซียวพิงหมอนนุ่มหัวเราะเยาะหยัน “แล้วอีกอย่างถึงข้าไม่ให้เส้นทางนี้กับเขา เฉินเฉาเกอก็ไม่มีทางคุ้มครองไป่เริ่นไปชั่วชีวิต ในกระดูกเขาไม่มีความรับผิดชอบนั้น”
เจียงเต๋อชิงรีบร้อนรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ แท้จริงเฉินเฉาเกอผู้นั้นก็เป็นแค่คุณชายตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง วางอำนาจในจวนตนเองจนเคยชินคิดว่าทุกที่ก็ล้วนเป็นเช่นนั้น ออกมาไม่ทันไรก็เผยตาขาวออกมาแล้วมิใช่หรือ ไหนเลยจะเหมือนพระองค์ผู้มีความสามารถพอจะคุ้มครองซื่อจื่อให้อยู่รอดปลอดภัย”
ฉีเซียวได้ฟังพลันยิ้มหยัน “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้เพื่อเอาใจข้า ครั้งนี้คือการจับดาบแย่งชิงความรักจริงๆ แต่ก็นั่นปะไรเล่า” ฉีเซียวลุกขึ้นให้เจียงเต๋อชิงถอดเสื้อนอกออก ก่อนเดินไปด้านในพลางเอ่ยเนิบช้า “คนที่ผิดไม่ใช่ข้า แต่เป็นกฎธรรมชาติที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด…”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.