ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 108
กินทีละน้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งเสวียนออกไปข้างนอกแต่เช้า
หลายเดือนที่อยู่ในเมืองซื่อฟางนั้นเขาไม่ค่อยได้ทำอาหารเท่าใดนัก ส่วนมากจะไปขอกินที่หอฮวาซย่าโดยไม่ต้องเสียเงิน บัดนี้จีอวิ๋นซีมา ทว่าในบ้านกลับไม่เหลือข้าวสารสักเม็ดหรือผักสักต้น ซ้ำยังมีจู้หยางเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง คงไม่ดีหากต้องให้สองปากท้องทนหิว เขาจึงต้องออกไปหาซื้ออาหารกลับมา
โชคดีที่เมืองซื่อฟางนั้นสามารถหาร้านขายอาหารเช้าได้ทั่วทุกหนแห่ง ซ่งเสวียนเดินไปยังโรงน้ำชาเลื่องชื่อแห่งหนึ่งซึ่งคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี เขาสั่งขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวร้อนควันฉุยเพิ่งออกจากเตามาหกตำลึงกับชากุ้ยฮวาอีกหนึ่งกา ของว่างต่างๆ รวมทั้งผลไม้แห้งอีกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหน้าร้านมีคนเร่ขายฝูหลิงซวง* ก็ซื้อมาด้วยห่อหนึ่ง
หลงจู๊ที่ดูแลร้านขายอาหารเช้านั้นรู้จักซ่งเสวียน เห็นว่าคราวนี้อีกฝ่ายสั่งอาหารไปมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งยังจับจ่ายใช้เงินซื้อของกับเขาไปหลายเหรียญทองแดงจึงยิ้มพลางถามว่า “อาจารย์ซ่งมีแขกมาที่บ้านหรือ”
ซ่งเสวียนพยักหน้า ยิ้มพลางเอ่ย “ใช่แล้ว มีสหายมาหาข้าน่ะ”
หลงจู๊ฟังแล้วก็เอาสุราไหเล็กออกมาจากตู้ด้านล่างไหหนึ่ง “ในเมื่ออาจารย์ซ่งมีแขก สุราไหนี้ข้ามอบให้อาจารย์ก็แล้วกัน”
ซ่งเสวียนสัญจรอยู่ตามตรอกต่างๆ เรื่อยมา เขารู้ว่าหลงจู๊ผู้นี้ชื่นชอบการดื่มสุราเป็นที่สุด ทว่ากลับถูกภรรยาควบคุมเอาไว้ไม่อนุญาตให้ดื่ม สุราแสนรักที่แอบเก็บเอาไว้เช่นนี้ ไหนเลยจะรับไว้ได้โดยไม่เกรงใจ เขาจึงได้แต่ยิ้มแล้วปฏิเสธ “กว่าท่านจะเก็บของดีเช่นนี้เอาไว้ได้นั้นไม่ง่ายเลย ท่านเก็บเอาไว้เองดีกว่า ไม่ลงแรงไม่รับรางวัล ข้ารับเอาไว้เกรงว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษเอา”
หลงจู๊ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นสิ่งแทนคำขอบคุณท่านน่ะ”
ซ่งเสวียนนิ่งงันไปเล็กน้อย “คำกล่าวนี้มีที่มาจากเหตุใด”
หลงจู๊หันซ้ายหันขวา ก่อนจะลดเสียงเอ่ย “ท่านอย่าได้เสแสร้งอีกเลย เช้านี้ท่านสามฟู่ให้คนมาส่งข่าวแล้ว คุณชายที่มาจากเซิ่งจิงนั่นจากไปกลางดึก แม้แต่ทางจวนว่าการก็ยังรู้ข่าวภายหลัง ท่านสามบอกว่าครานี้อาจารย์เป็นผู้ลงมือปราบปราม ขอให้พวกเราจดจำเอาไว้ในใจสักหน่อย นี่ก็เพราะข้าได้ข่าวมาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเราก็คงไม่กล้าเปิดร้านหรอก”
ท่านสามฟู่ยึดถือธรรมเนียมยุทธภพเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจอวดโอ่ตนเพื่อครองความดีความชอบ น้ำใจของผู้ใดก็ล้วนต้องกล่าวให้กระจ่าง เถ้าแก่ร้านต่างๆ ในเมืองซื่อฟางส่วนมากก็อาศัยบารมีคนในแปดสำนัก จึงมีกลิ่นอายของชาวยุทธภพอยู่ด้วย ผู้ใดมีบุญคุณผู้ใดมีความแค้นในใจล้วนจดบัญชีเอาไว้ จดจำกันให้ขึ้นใจ
บัดนี้ซ่งเสวียนคลี่คลายความยากลำบากนี้ ไม่ว่าเขาจะลงมือด้วยเหตุใด ในใจก็ล้วนต้องจารจำบุญคุณเอาไว้ ย่อมพบเห็นเขาแล้วรู้สึกสนิทชิดเชื้อกว่ายามปกติอยู่หลายส่วน
ซ่งเสวียนไม่อาจปฏิเสธจึงรับสุรามาพร้อมกับขอบคุณหลงจู๊ผู้นั้น ทว่าเมื่อออกมาคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น
หนานหรงจวินจากไปกลางดึกเสียได้ นี่คือสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง
หรือว่าหนานหรงจวินจะรู้ข่าวที่จีอวิ๋นซีมาถึงเมืองซื่อฟางแล้ว เพราะกลัวว่าตนจะถูกเปิดโปงจึงรีบหนีไป
ทว่าคนผู้นี้มีสถานะอย่างไร มาเมืองซื่อฟางด้วยจุดประสงค์ใด มีจุดแปลกประหลาดอันใดกันแน่นั้นก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยากจะคลี่คลาย
ซ่งเสวียนมีเรื่องยุ่งยากอยู่ในใจ ฝีเท้าจึงหนักอึ้งอย่างยากจะเลี่ยง เขาเดินลากเท้าอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับมาถึงเรือนของตน เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นเงาร่างสีขาวนั่งอยู่ในลานเรือน ร่างนั้นโปร่งบางผ่ายผอม ดูเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก
ซ่งเสวียนจับจ้องไปที่ร่างนั้น มิใช่จีอวิ๋นซีแล้วจะเป็นผู้ใด
จีอวิ๋นซีสวมเพียงเสื้อตัวกลาง เรือนผมค่อนข้างยุ่งเหยิง เขานั่งอยู่ในลานเรือน ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ซ่งเสวียนรีบวางอาหารเช้าในมือเอาไว้ทางหนึ่ง ก่อนถามขึ้น “เหตุใดจึงออกมานั่งอยู่เช่นนี้”
จีอวิ๋นซีราวกับเพิ่งสะดุ้งตื่น “…เจ้าไปที่ใดมา”
ซ่งเสวียนชี้ของบนโต๊ะ “ข้าไปซื้ออาหารเช้ามาให้พวกเจ้า”
สีหน้าเย็นเยียบของจีอวิ๋นซีค่อยคลายลง ก่อนเผยความมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลือนราง คล้ายน้ำนิ่งสนิทในบ่อเก่าร้างกลับมามีชีวิตขึ้นในชั่วขณะที่มองเห็นเขา
“ข้าคิดว่าเจ้าไปแล้ว” เขาว่า
ซ่งเสวียนมองเห็นท่าทีของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา ในใจรู้สึกสับสนปนเป เขาใช้มือข้างหนึ่งดึงจีอวิ๋นซีกลับเข้าห้อง หยิบเสื้อตัวนอกมาคลุมให้อย่างลวกๆ แล้วก็จับอีกฝ่ายนั่งลงเพื่อสางผมให้ “ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าจะไปที่ใดได้”
จีอวิ๋นซีเงียบงัน ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก บนใบหน้าแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ กลับยิ่งน่าเอ็นดู ซ้ำยังอบอุ่นจนชวนตะลึง
ซ่งเสวียนเอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมจากบนโต๊ะมาส่งๆ เพื่อใช้ยึดมวยผมให้จีอวิ๋นซี แต่กลับพบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายวางเอาไว้บนโต๊ะเมื่อคืนยังคงเป็นปิ่นไม้ท้อที่ตัวเขาเองทิ้งเอาไว้ตั้งแต่หกปีก่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้าของมันใช้สิ่งนี้เป็นประจำ
ซ่งเสวียนพูดเสียงเบาว่า “ให้เจ้าไว้เป็นที่ระลึก เพียงวางเอาไว้ก็สิ้นเรื่อง มิได้ให้เจ้านำมาใช้ประจำเสียหน่อย”
จีอวิ๋นซีหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง “ก็ข้าชอบยิ่งนัก”
เส้นผมนุ่มลื่นแทรกผ่านตามช่องระหว่างนิ้วของเขา หูของซ่งเสวียนพลอยร้อนผ่าวไปด้วย ราวกับประโยคบอกชอบนั้นมีความหมายลึกซึ้งอื่นใด ทำเอาสมองของเขาเกิดความคิดเหลวไหลมากมาย
ครานี้จีอวิ๋นซีเพียงหยุดอยู่แต่พอดี มิได้หยอกเย้าต่อ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น
ซ่งเสวียนรวบผมจนแน่นดีแล้วก็ไปจัดแจงตั้งโต๊ะอาหารเช้า
เดิมเขาคิดว่าจะเรียกจู้หยางมากินข้าวด้วยกัน แต่คิดไม่ถึงว่าจู้หยางจะแค่มาหยิบขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวก้อนหนึ่งแล้วมุดหายไปที่ใดก็ไม่รู้ ราวกับกลัวว่าจะต้องร่วมโต๊ะกับพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งเสวียนไม่มีทางเลือก ได้แต่รินน้ำชาพลางเอ่ย “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าชอบน้ำชาของร้านนี้ ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ หลายปีมานี้รสชาติไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่ารสชาติที่ถูกปากเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่…”
ไม่รู้ว่าเพราะเติบโตมาที่เมืองเหิงหยางหรืออย่างไร รสชาติที่ถูกปากจีอวิ๋นซีนั้นจึงค่อนข้างหวาน แม้จะไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนนัก ทว่าซ่งเสวียนก็ยังพอจะรับรู้ได้อยู่บ้าง
เป็นดังคาด จีอวิ๋นซีชิมขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวคำหนึ่งไป หว่างคิ้วก็คลายออกเล็กน้อย หางตาเองก็โค้งขึ้นน้อยๆ เช่นกัน
ซ่งเสวียนกินๆ หยุดๆ อยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าเบิกบานน้อยๆ ของจีอวิ๋นซีแล้วจิตใจก็เบิกบานสดใสตามไปด้วยหลายส่วน
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาเห็นว่าที่มุมปากของจีอวิ๋นซีมีเศษผงจากขนมแป้งนึ่งติดอยู่จึงยื่นมือไปเช็ดให้ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อยื่นไปถึงปากแล้วอีกฝ่ายจะสะดุ้งตกใจ
คล้ายว่ากิริยาของเขาไม่เหมาะสม
ซ่งเสวียนคิดจะดึงมือกลับ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าปลายนิ้วเปียกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ปลายลิ้นสีแดงสดของจีอวิ๋นซีไล้ผ่านปลายนิ้วของเขา สีหน้านั้นฉายแววได้ใจขึ้นมารางๆ
สีเลือดบนใบหน้าของซ่งเสวียนลามไล่จากใบหูไปจนทั่วใบหน้า เขารีบดึงมือกลับ “ข้า…มุมปากเจ้ามีอะไรติดอยู่น่ะ”
“หืม?” รอยยิ้มของจีอวิ๋นซียิ่งชัดเจนขึ้นอีก “ถ้อยคำนี้คล้ายมีผู้ใดเคยใช้แล้ว”
ซ่งเสวียนตะลึงงัน เมื่อวานบนรถม้าก็คล้ายมีฉากเช่นนี้ เพียงสลับบทบาทกันเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คล้ายกับว่าเขาจงใจหยอกเย้า ใบหน้าจึงยิ่งเห่อร้อนขึ้นไปอีก
ซ้ำจีอวิ๋นซีก็ยังจะพูดจาเหลวไหลอีก “พี่ชายกับข้าเป็นคนใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าใกล้ชิด อยากจับตรงที่ใดแตะที่ใดก็ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างหรอก เพียงพูดตรงๆ เป็นใช้ได้ ข้า…”
ซ่งเสวียนเขินอายจนแทบทนไม่ไหว เขาเอาขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวในมือมายัดใส่ปากจีอวิ๋นซี “พูดจาเหลวไหล…เจ้ากินของเจ้าไป ไยพูดมากเพียงนี้”
จีอวิ๋นซีอยากบอกว่าขนมแป้งนึ่งชิ้นนี้เจ้ากัดมาแล้ว
แต่ดูจากใบหูแดงซ่านของซ่งเสวียนกับสายตาที่แสร้งทำเป็นจริงจังแต่กลับหลุบมองต่ำนั้นแล้ว เขาก็หยุดปาก
ได้คืบจะเอาศอกคือความละโมบ
ในหนังสือก็มีกล่าวเอาไว้ไม่ใช่หรือ เดินห้าคืบ ถอยสองคืบ ถึงอย่างไรก็ได้เดินหน้าสามคืบ สิ่งนี้เรียกว่ากินไปทีละน้อย
เขาใช้เวลาหกปีในการช่วงชิงกรงขังที่ใหญ่ที่สุดมาได้ บัดนี้เพียงรอเชิญตัวการเข้ากับดัก ย่อมไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำให้ได้ในตอนนี้
เขาพูดเอาไว้นานแล้วว่าสำหรับซ่งเสวียน เขามีความอดทนมากเพียงพอ
ใช้โลกหล้าเป็นกรงขัง กักตัวซ่งเสวียนเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
จีอวิ๋นซีกลืนขนมแป้งนึ่งน้ำตาลขาวลงท้อง แม้แต่เศษแป้งที่ปลายนิ้วก็กวาดเข้าปากไปด้วย สายตาที่เขาใช้มองซ่งเสวียนยิ่งดูลึกซึ้งขึ้น
ทว่าใบหน้าภายนอกนั้นกลับยังคงรอยยิ้มอบอุ่นดุจธารน้ำยามวสันต์
* ฝูหลิงซวง คือฝูหลิงบดเป็นผง โดยฝูหลิงหรือโป่งรากสนนั้นคือพืชหัวชนิดหนึ่ง หน้าตาคล้ายพวกหัวมันหัวเผือก การทำฝูหลิงซวงคือนำเนื้อด้านในของฝูหลิงซึ่งเป็นสีขาวมาต้ม ตากจนแห้ง และบดให้ละเอียด สามารถรับประทานโดยนำมาละลายในนมกับน้ำผึ้งก็ได้หรือแปรรูปเป็นอาหารได้หลากหลาย มีสรรพคุณช่วยขับน้ำ ขับความชื้น ช่วยเรื่องการนอนหลับ ลดภาวะอ่อนเพลีย ทั้งยังบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย
บทที่ 109
แคว้นหนานถู
เมื่ออาหารเช้าผ่านพ้นไปแล้ว ซ่งเสวียนก็ให้จีอวิ๋นซีเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองแล้วพาไปยังจวนว่าการ
เจ้าเมืองยังคงเป็นคนเดิมกับเมื่อหกปีก่อน คาดว่าแม้อยู่เมืองซื่อฟางจะมีอำนาจจำกัด ทว่าก็ยังคงเป็นอาณาเขตอันร่ำรวยสุขสบายอยู่ ขุนนางท้องถิ่นคงไม่ขอย้ายสังกัดกันโดยง่าย
เมื่อหกปีก่อนเจ้าเมืองเคยพบกับจีอวิ๋นซีแล้วคราหนึ่ง บัดนี้ย่อมจดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น เขาตกใจจนดวงตาแทบถลน ยิ่งได้ยินว่ามาเพราะเรื่องของหนานหรงจวินด้วยแล้วเขาก็ยิ่งใจคอไม่ดี ตัวสั่นงันงก กลัวว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดใดขึ้นแล้วเป็นการไปล่วงเกินองค์ชายสามองค์นี้เข้า
“เช่นนี้ก็เท่ากับว่าหนานหรงจวินผู้นั้นไม่มีหลักฐานอันใดมาพิสูจน์ตัวตนของตนเองเลยน่ะสิ” ซ่งเสวียนฟังคำอธิบายของเจ้าเมืองแล้วก็อดย่นคิ้วไม่ได้ “เช่นนั้นเหตุใดใต้เท้าจึงเชื่อว่าเขาคือคนสนิทขององค์ชายสามเล่า”
“เรื่องนี้…” เจ้าเมืองถูกถามจนสมองงงงันไปชั่วขณะ ได้เพียงเอ่ยอย่างทื่อๆ ว่า “เรื่องนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ เขาพูดจริงๆ ว่าเป็นคนสนิทขององค์ชายสามและยังเป็นคนเคียงหมอนขององค์ชายสาม…”
จีอวิ๋นซีจ้องมองนิ้วมือตนเอง ทันใดนั้นก็เอ่ยแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าจำไม่ได้ว่าคนเคียงหมอนข้ามีคนเช่นนี้อยู่”
บรรยากาศรอบตัวเขากดดันหนักหน่วง สีหน้าเย็นเยียบ ชวนให้เจ้าเมืองสั่นสะท้านขึ้นมา
ซ่งเสวียนเห็นว่าเรื่องราวเริ่มแปลกพิกลจึงบอกให้จีอวิ๋นซีออกไปอย่างอ้อมๆ “องค์ชายมิสู้ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีหรือไม่ หากประทับอยู่ที่นี่ใต้เท้าจะพานนึกเรื่องราวไม่ออก”
ยามอยู่ต่อหน้าคนนอกซ่งเสวียนทำตัวเคารพจีอวิ๋นซี แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังทำเอาเจ้าเมืองถึงกับถลึงตาโต
ยิ่งเห็นจีอวิ๋นซียอมออกไปแต่โดยดี เจ้าเมืองก็ยิ่งเปลี่ยนจากสีหน้าตกตะลึงมาเป็นไม่อยากเชื่อ “อาจารย์ซ่ง…นี่…”
ซ่งเสวียนไหนเลยจะมีเวลามาพูดจาเหลวไหลกับเจ้าเมือง เขาเพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใต้เท้ายื่นมือออกมาเถิด ข้าจะดูลายมือให้ใต้เท้าสักหน่อย”
เจ้าเมืองยิ่งมีท่าทีคล้ายพระพุทธรูปหนึ่งจั้งสองฉื่อลูบเศียรไม่ถึง* “เวลานี้ยังจะดูลายมืออันใดอีก…”
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของซ่งเสวียนแล้วเขาก็ไม่อาจปฏิเสธ ได้แต่ยื่นมือออกไปโดยดี
ซ่งเสวียนใช้มือข้างหนึ่งจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วพูดว่า “ใต้เท้าลองพูดถึงตอนที่พบหน้าหนานหรงจวินอีกครั้งหนึ่งเถิด”
เจ้าเมืองเอ่ยปากงึมงำ แล้วก็เริ่มพูดสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง
กระทั่งเขาพูดจบ ซ่งเสวียนจึงปล่อยมือแล้วเอ่ยเบาๆ “ใต้เท้ามิได้โป้ปด”
เจ้าเมืองผู้นั้นเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ได้ยินดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก “อาจารย์ซ่งเข้าใจคน ขุนนางผู้น้อย ขุนนางผู้น้อยก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ขออาจารย์ช่วยอธิบายแทนผู้น้อยต่อหน้าองค์ชายสามด้วย…”
เขาถูกทำให้ตกใจกลัว ยามอยู่ต่อหน้าซ่งเสวียนนั้นแม้แต่คำว่า ‘ขุนนางผู้น้อย’ ก็ถูกนำมาใช้แล้ว
ซ่งเสวียนหัวเราะ “ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องกังวล ผิดถูกคดตรงองค์ชายสามย่อมไตร่ตรองอย่างกระจ่าง”
เจ้าเมืองค่อยผ่อนลมหายใจโล่งอก
ซ่งเสวียนกำชับอีกว่า “เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไรก็ขอใต้เท้าเก็บเอาไว้กับตัว กับภายนอกนั้นกล่าวเพียงว่าหนานหรงจวินผู้นั้นเป็นนักต้มตุ๋นผู้โอหังบังอาจก็พอ”
เจ้าเมืองรีบพยักหน้าหงึกหงักเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าว ถ้อยคำนี้หากไปอยู่ที่อื่นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เมื่อมาอยู่ในเมืองซื่อฟางแล้วกลับเป็นเหตุเป็นผล อย่างมากก็ทำให้พวกนักเล่านิทานเหล่านั้นได้มีเรื่องเกี่ยวกับการต้มตุ๋นอันโอหังบังอาจของยอดฝีมือเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง
ซ่งเสวียนเดินออกมาจากห้องก็เห็นจีอวิ๋นซีพิงกรอบประตูอยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็พลันเอ่ยหยอกเย้า “อะไรกัน อาจารย์กับท่านเจ้าเมืองยังมีเรื่องใดที่ไม่อาจบอกกล่าวแก่ผู้อื่นหรือ ถึงกับไม่อยากให้ข้าเห็นเชียว”
ซ่งเสวียนเคาะศีรษะจีอวิ๋นซีเบาๆ “ยิ่งโตก็ยิ่งปากเปราะจริงเชียว ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนกล้าพูดจาเหลวไหลออกมาได้” ว่าแล้วเขาก็ขมวดคิ้วน้อยๆ “เอาไว้ขึ้นรถม้าแล้วข้าจะพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”
หนานหรงจวินผู้นี้มีจุดประหลาดพิกลอยู่จริงๆ เพียงแต่ความประหลาดนี้ต่างจากของซ่งเสวียน
ซ่งเสวียนเพียงอ่านความทรงจำได้ ทว่าหนานหรงจวินผู้นี้คล้ายแทรกความคิดส่วนหนึ่งเข้าไปในสมองของผู้อื่นได้ และทำให้คนผู้นั้นเชื่อในความคิดนี้อย่างไม่มีข้อสงสัย
ซ่งเสวียนเคยเห็นตอนที่หนานหรงจวินมาเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองแล้ว เพียงพูดจาทักทายไม่กี่ประโยค ครั้นมองสบตากับคู่สนทนาด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนพึมพำอะไรเบาๆ อีกสองสามประโยค
ความทรงจำของเจ้าเมืองก็คล้ายจะพร่าเลือนไปชั่วขณะ หลังจากนั้นหนานหรงจวินผู้นั้นก็ยังคงพูดคุยยิ้มแย้ม แต่ระหว่างที่พูดคุยนั้นเจ้าเมืองเองก็ปฏิบัติต่อหนานหรงจวินอย่างคนสนิทเคียงกายจีอวิ๋นซีไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อมาไม่ว่าหนานหรงจวินจะวางอำนาจโอหังเพียงใด เจ้าเมืองก็ล้วนมิได้นึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย
รอจนหนานหรงจวินผู้นี้จากไปแล้ว ซ่งเสวียนจึงได้สอบถามเจ้าเมืองถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างละเอียด เขาก็คล้ายจะรู้สึกได้อย่างเลือนรางเช่นกันว่าความคิดนี้เป็นดั่งสายธารที่ไร้ตาน้ำ ไม่มีที่มาที่ไป
ทว่าตอนที่หนานหรงจวินผู้นี้ยังอยู่ เขาก็คล้ายไม่เคยคิดเลยว่าความคิดเหล่านี้มาจากที่ใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด
มิน่าเล่าหนานหรงจวินจึงได้เอาแต่พูดว่าซ่งเสวียนเป็นคนจำพวกเดียวกับตน
นี่คือครั้งแรกที่ซ่งเสวียนพบว่ามีคนที่คล้ายคลึงกับตนอยู่บนโลก ทว่าอีกฝ่ายกลับมีที่มาลึกลับ ทั้งยังเป้าหมายไม่ชัดเจน เขาจึงดีใจไม่ออกจริงๆ
จีอวิ๋นซีเห็นซ่งเสวียนเหม่อลอยไปไกลก็อดทนเป็นอย่างดี ไม่เพียงไม่ส่งเสียงรบกวน กลับยังรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเอง
ซ่งเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้พูดเรื่องหนานหรงจวิน แต่กลับล้วงเอามีดสั้นในอกเสื้อออกมาส่งให้ถึงมือจีอวิ๋นซี “เจ้าให้คนไปสืบดูก่อนเถิด ว่าของสิ่งนี้มีที่มาหรือไม่”
จีอวิ๋นซีรับมีดสั้นเล่มนั้นไป พินิจดูอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง แววตาก็บังเกิดความประหลาดใจขึ้น “มีดสั้นเล่มนี้เจ้าเอามาจากที่ใด”
ซ่งเสวียนตอบไปตามความจริง “ข้าเอามาจากหนานหรงจวิน ตอนนั้นเพียงหยิบบางอย่างจากในห้องของเขามาป้องกันตัว ไม่คิดว่าตอนออกมาจะเอามันมาด้วย”
จีอวิ๋นซีดึงมีดสั้นออกมาจากฝักครึ่งหนึ่ง มีดนั้นวาววับเป็นประกายราวกับหิมะ ลวดลายบนฝักมีดบิดเบี้ยวแปลกประหลาด เป็นลวดลายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในต้าเหยา
“ไม่ต้องสืบแล้ว ข้ารู้” จีอวิ๋นซีมีสีหน้าสงบนิ่ง “นี่คือลวดลายของแคว้นหนานถู ซ้ำยังเป็นลวดลายเฉพาะของนักบวชแคว้นหนานถูอีกด้วย” เขาจับจ้องลวดลายนั้นแล้วเอ่ยว่า “หากนี่คือของของหนานหรงจวินจริง เช่นนั้นเขาก็คือนักบวชใหญ่แห่งแคว้นหนานถู”
ซ่งเสวียนนิ่งงันไปเล็กน้อย
แคว้นหนานถูมีเขตแดนติดกับต้าเหยา แม้จะยอมสยบให้ต้าเหยาเป็นการชั่วคราว ทว่าทุกๆ สองสามปีก็มักจะเกิดการปะทะกันที่หนานเจียงขึ้น
แคว้นหนานถูได้รับการเรียกขานเป็นแคว้นได้ไม่นาน อารยธรรมส่วนใหญ่ล้าหลังกว่าต้าเหยาเล็กน้อย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแคว้น แต่ก็ยังคงรักษาขนบดั้งเดิมของชาวเผ่านอกด่านเอาไว้ไม่น้อย ซ้ำการปกครองและระบอบต่างๆ นั้นก็แตกต่างจากต้าเหยาโดยสิ้นเชิง
อย่างนักบวชทั้งสิบสองคนของพวกเขา
แคว้นหนานถูมีนักบวชสิบสองคน ซึ่งแต่ละคนรับผิดชอบดูแลเรื่องต่างๆ ของแคว้น หากว่ากันตามจริงก็ไม่แตกต่างจากขุนนางใหญ่ในสภาขุนนางของต้าเหยา แต่ทั้งหมดนั้นได้รับคำบัญชาจากเทพให้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นนักบวชใหญ่
ฮ่องเต้ของแคว้นหนานถูมิได้สืบสันตติวงศ์โดยสายเลือด ทว่าได้รับการสืบทอดจากคำทำนายของนักบวชใหญ่ พวกเขาจะถูกคัดเลือกมาจากบุรุษวัยผู้ใหญ่ทั่วแคว้น สิบสองนักบวชดูแลเรื่องการปกครองภายในแคว้น ส่วนฮ่องเต้นั้นจะเป็นผู้องอาจเชี่ยวชาญการศึกเสียมากกว่า
นักบวชใหญ่มีตัวตนลึกลับและสูงส่งที่สุด เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งเทพของแคว้นหนานถู ปรากฏตัวราวกับเทพหายตัวราวกับผี มิอาจพบเห็นได้โดยง่าย
นอกจากนี้การคัดเลือกนักบวชใหญ่…ก็นับเป็นความลับหนึ่งของแคว้นหนานถูเรื่อยมา
ราษฎรของแคว้นหนานถูมักจะเรียกขานนักบวชใหญ่ของตนว่าเป็นเทพสวรรค์กลับชาติมาเกิด แต่การกล่าวเช่นนี้มักถูกชาวต้าเหยาแค่นจมูกดูแคลนด้วยคิดว่าฮ่องเต้ของตนต่างหากคือโอรสสวรรค์ที่ถูกลิขิตมาอย่างแท้จริง
หลักการนั้นง่ายดายนัก คำกล่าวของราษฎรต้าเหยามีแนวคิดว่าฮ่องเต้ได้รับอำนาจมาจากสวรรค์…แล้วเหตุใดเทพสวรรค์ที่ลงมายังโลกมนุษย์เช่นพวกเจ้ายังต้องยอมสยบเป็นข้ารับใช้ต่อฮ่องเต้ของพวกเราเช่นนี้เล่า หากพิจารณาจากทั้งหมดนี้แล้วความคิดเช่นนี้ย่อมไม่ได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน
หลายปีมานี้ซ่งเสวียนร่อนเร่พเนจรไปทั่ว พื้นที่บริเวณเขตแดนแคว้นหนานถูเขาก็เคยไป ได้ยินคำเล่าลือเรื่องที่เกี่ยวข้องมาไม่น้อย โดยเฉพาะหลายปีมานี้สถานการณ์ที่หนานเจียงคับขันขึ้นทุกขณะ เมืองซื่อฟางก็มีหนังสือเกี่ยวกับแคว้นหนานถูเพิ่มขึ้นมามาก เขาจึงยิ่งรู้มากขึ้น
จีอวิ๋นซียังคงพินิจมีดสั้นเล่มนั้นอย่างถี่ถ้วน ตัวเขาเชี่ยวชาญการใช้มีดสั้นจึงสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่ง “ฝีมือการทำมีดสั้นเช่นนี้มีเพียงช่างที่ทำเครื่องเซ่นบูชาเทพโดยเฉพาะของแคว้นหนานถูเท่านั้นที่จะหลอมตีออกมาได้ และมีเพียงเหล่านักบวชเท่านั้นที่ใช้ เครื่องบูชาแต่ละอย่างจะใช้ลวดลายแตกต่างกัน นอกจากนั้นลวดลายนี้ก็มีแต่นักบวชใหญ่เท่านั้นที่จะใช้ได้…” จีอวิ๋นซีว่า แต่ก็คิดอีกแล้วพูดออกมาอีกว่า “แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่โจร แต่การจะขโมยของติดตัวของนักบวชใหญ่แห่งแคว้นหนานถูได้ก็นับว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง”
“ไม่หรอก” ซ่งเสวียนพลันเอ่ยปาก ดวงตาเขาฉายแววเข้มขึ้น “เขาคือนักบวชใหญ่แห่งแคว้นหนานถูนั่นล่ะ”
เขามีความรู้สึกเช่นนี้
* พระพุทธรูปหนึ่งจั้งสองฉื่อลูบเศียรไม่ถึง เป็นสำนวน กล่าวถึงพระพุทธรูปขนาดสูงใหญ่มาก ไม่มีทางที่คนจะลูบจับเศียรพระได้ ใช้อุปมาว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น จับต้นชนปลายไม่ถูก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.