X
    Categories: everYทดลองอ่านราชครูนักต้มตุ๋น

ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 112-113 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3

ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)

แปลโดย : ศีตกาล

ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 112

จิตใจว้าวุ่น

ลานด้านหลังของหอฮวาซย่า เสี่ยงหรงที่สวมเสื้อแขนลูกศร* สีขาว กำลังรำดาบถัง** ขวับๆ รวดเร็วต่อเนื่องจนไร้ช่องโหว่ ท่วงท่านั้นคล่องแคล่วราวเมฆาทะยานสายธารรินไหล ร่ายรำรวดเดียวจนจบกระบวน

หากมีคนในแวดวงการต่อสู้อยู่จะต้องมองออกแน่ว่าท่วงท่าของนางนั้นมิได้วางท่าจอมปลอมให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด ทุกท่าทุกกระบวนล้วนเป็นวิชาที่ใช้งานได้จริงทั้งสิ้น

น่าเสียดายที่ตอนนี้มีผู้ชมเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือซ่งเสวียนที่กำลังจ้องมองกระปุกซึ่งใส่จิ้งหรีดที่จับมาเล่นจิ้งหรีดกัดกันอยู่

เขาดูไม่เหมือนกำลังกัดจิ้งหรีดอยู่ เพียงถือฟางเส้นหนึ่งแล้วทำท่าทำทางไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจิตใจลอยหายไปที่ใดแล้ว

เสี่ยงหรงฝึกฝนกระบวนดาบเสร็จก็จ่อดาบถังมาตรงหน้าซ่งเสวียน ก่อนจะตัดกระปุกใส่จิ้งหรีดขาดเป็นสองซีก

ซ่งเสวียนจึงค่อยเงยหน้าขึ้น สายตาดูเหม่อลอยอยู่หลายส่วน

เสี่ยงหรงเอ่ยด้วยความโมโหว่า “เมื่อวานเจ้าหนีไปไม่บอกกล่าวอันใดสักคำ ทำเอาเหล่าเหนียงหวั่นใจอยู่ทั้งคืน ตอนนี้เจ้ากลับมากัดจิ้งหรีดอยู่นี่น่ะรึ”

ซ่งเสวียนหัวเราะ “นี่ก็เพราะข้าว่างจนไม่มีอะไรทำมิใช่หรือ”

เสี่ยงหรงถาม “เมื่อวานหนานหรงจวินนั่นกลับไปโดยจับเจ้าไม่ได้หรือ เจ้าไปพบอะไรเข้า เหตุใดจึงทำให้เจ้าคนถ่อยนั่นหนีไปกลางดึกเช่นนั้น”

ซ่งเสวียนยิ้มพลางทำมือจุปาก “ความลับ”

เสี่ยงหรงถลึงตาใส่เขา “ทำลึกลับซับซ้อน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีคำพูดดีอันใด”

ซ่งเสวียนไม่พูดอะไร รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จืดจางลง

เสี่ยงหรงจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางดาบถังไว้ข้างๆ นางเดินไปนั่งข้างกายซ่งเสวียน ก่อนแค่นลมออกจมูกแล้วถาม “เจ้าเป็นอะไรกันแน่”

สมองของซ่งเสวียนยังคงคิดเรื่องเหลวไหลเมื่อครู่ เรื่องที่เขาจูบจีอวิ๋นซี เรื่องนี้จะเอ่ยปากกับเสี่ยงหรงได้อย่างไรกัน เขาจึงได้แต่พูดเสียงเบาว่า “ข้าอาจต้องไปอีกแล้ว”

เสี่ยงหรงได้ยินแล้วก็อึ้งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “จะไสหัวไปก็รีบๆ เข้า ข้าคุ้นชินนานแล้ว หรือเจ้าหวังให้ผู้ใดหลั่งน้ำตาให้เจ้ากัน” นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถาม “ครั้งนี้จะไปนานเท่าใด”

“หกปี” ซ่งเสวียนว่า

เสี่ยงหรงมองเรื่องไปกลับใช้เวลาไม่แน่นอนของเขาเป็นเรื่องปกตินานแล้ว ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะมีจำนวนปีที่แน่นอน นางจึงอดถามไม่ได้ “ครั้งนี้จะไปทำอะไร”

“ไปเป็นราชครู” ซ่งเสวียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีน่าเวทนา

เสี่ยงหรงหัวเราะเสียงเย็น “อ้อ เช่นนั้นเอาข้าไปด้วยสิ ข้าว่าจะเป็นฮองเฮา”

“ข้าเป็นฮองเฮายังจะดูมีความหวังกว่าเจ้าเป็นฮองเฮาเสียอีก” ซ่งเสวียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “หากบอกว่าวันหน้าเจ้าจะได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพหญิงยังจะดูน่าเชื่อถือเสียกว่า”

เสี่ยงหรงถีบเขาไปครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “กว่าข้าจะได้พบเจ้าอีกครั้ง เกรงว่าบุตรชายข้าคงเดินไปซื้อซีอิ๊วเองได้แล้วกระมัง”

ซ่งเสวียนได้ยินแล้วก็นิ่งงันไป จากนั้นสมองก็มีฉากเมื่อครู่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาอดทอดถอนใจไม่ได้

เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดตนจึงคล้ายกับถูกพิษ จู่ๆ อารมณ์ก็เอ่อท้น ทำเรื่องเช่นนั้นกับอาซีเสียได้

กลับไปเขาจะเผชิญหน้ากับอาซีอย่างไรเล่า

เสี่ยงหรงเห็นเขาดูคิดไม่ตกจึงถามว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรกันแน่ หากไม่อยากไป ไม่ไปเสียก็สิ้นเรื่อง”

ซ่งเสวียนลังเลแล้วลังเลอีก ทว่ายังคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ข้า…เมื่อครู่ข้าล่วงเกินคนผู้หนึ่ง”

เสี่ยงหรงสนใจขึ้นมาทันที “อย่างไรกัน เจ้าไปถูกใจแม่นางบ้านใดเข้าแล้วหรือ”

แต่ดูจากท่าทีของซ่งเสวียนแล้ว นางก็คล้ายคิดอะไรบางอย่างออกมาได้ สีหน้าของนางเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดขึ้นทันที “ซ่งเสวียน เจ้าคงมิได้ไปลงไม้ลงมือกับฮูหยินบ้านใดเข้าหรอกใช่หรือไม่ หรือว่าแม่นางผู้นั้นไม่ยินยอม หรือว่าเจ้า…”

ยิ่งพูดสีหน้าก็ยิ่งดูย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

“พูดจาเหลวไหลอันใดกัน” ซ่งเสวียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้า…ข้าไปล่วงเกินบุรุษผู้หนึ่งเข้า”

เสี่ยงหรงมองเขาเงียบๆ

พูดมาถึงขั้นนี้แล้วซ่งเสวียนก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปิดบังใดๆ อีกต่อไป เขาเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผย “เมื่อครู่ข้าหน้ามืดไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพียงแต่อยากทำเช่นนั้น…ก็…”

พูดแล้วในหัวของเขาก็มีฉากเมื่อครู่ปรากฏวาบขึ้นมาอีก

ริมฝีปากบางสีแดงสดนั้นถูกเขาดึงให้มาอยู่ใกล้ชิดเบื้องหน้า เขาขาดสติไปชั่วขณะจึงได้พุ่งชนเข้าไปอย่างดื้อรั้นเอาแต่ใจ

ฉากนั้นช่างชัดเจนแจ่มแจ้งเหลือเกิน

ซ่งเสวียนกุมศีรษะร้องครวญครางออกมาเบาๆ ราวกับจะพยายามไล่เอาภาพนั้นออกไปจากสมอง

“แล้วอย่างไร” เสี่ยงหรงพลันเอ่ยถาม

ซ่งเสวียนนิ่งงันไปเล็กน้อย เสียงครวญครางหยุดไปชั่วขณะเช่นกัน

เสี่ยงหรงขมวดคิ้ว ก้มลงมองเขาจากมุมที่สูงกว่า “เจ้าก็พูดแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าอยากทำเช่นนั้น นี่ก็คือสาเหตุอย่างไรเล่า ยังต้องถามอีกหรือว่าเพราะเหตุใด”

คำพูดหลังจากนั้นของเสี่ยงหรง ซ่งเสวียนก็ไม่ได้ยินอะไรแล้ว ในหัวเขามีเสียงวิ้งๆ เต็มไปด้วยคำถามที่ยากจะเข้าใจมากมาย

เขาอยากทำเช่นนั้น

เดิมทีซ่งเสวียนมาที่นี่เพื่อขออภัยเสี่ยงหรง และมาหาที่สงบอยู่สักครู่ แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากจบบทสนทนานี้เขากลับจิตใจว้าวุ่นยิ่งขึ้น ได้แต่เดินมึนๆ งงๆ ออกจากหอฮวาซย่าไป

เสี่ยงหรงมองส่งเงาร่างของซ่งเสวียนที่ค่อยๆ ไกลออกไป ก่อนจะส่ายหน้าก่นด่าเบาๆ “ปกติเห็นเป็นคนฉะฉานชัดเจน เหตุใดตอนนี้ดูราวกับคนโง่งมกระนั้น”

จากนั้นก็เดินอ้อมกลับขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบน

นางเปิดโต๊ะเครื่องประทินโฉมออกมา ข้างในมีลิ้นชักลับชั้นหนึ่ง ในนั้นมีปานจื่อ* อัญมณีวงหนึ่งวางอยู่ นางไม่ได้หยิบมันขึ้นมา แต่กลับกดลงไปบนปานจื่อนั้นเบาๆ

ชั้นวางของโบราณขยับเคลื่อนดังครืดคราด เผยให้เห็นประตูลับทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านหลัง

เสี่ยงหรงเดินเข้าไป ข้างในนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือจิบชาอยู่ที่โต๊ะ

ด้านข้างนั้นมีเจ้าเมืองซื่อฟางยืนอยู่ แขนเสื้อทิ้งตัวลงอย่างเคารพสำรวม สีหน้าจริงจัง ไม่ได้ดูขลาดเขลาเหมือนตอนที่อยู่ข้างนอกแม้แต่น้อย

เสี่ยงหรงคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ทำความเคารพตามแบบนักรบอย่างคล่องแคล่ว ก่อนยืนขึ้นแล้วเอ่ย “นายท่าน”

“ไม่ต้องมากพิธี” บุรุษผู้นั้นวางหนังสือลงแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “ไปแล้วรึ”

“เจ้าค่ะ” เสี่ยงหรงก้มหน้าเอ่ย

“จีอวิ๋นซีต้องการให้เขาไปเป็นราชครูจริงดังคาด” บุรุษผู้นั้นหัวเราะเบาๆ “นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดดังที่เขาว่า”

เสี่ยงหรงไม่ได้พูดอะไร

“ก็ดี ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเลวอะไร” บุรุษผู้นั้นช้อนตาขึ้นมองเสี่ยงหรงแล้วหัวเราะ “เจ้าก็เชื่อใจเขามากเช่นกันมิใช่หรือ”

เสี่ยงหรงพยักหน้า “ซ่งเสวียนเป็นสหายข้า เขาเป็นคนใจดีพึ่งพาได้คนหนึ่ง”

“สหาย?” บุรุษผู้นั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าทำเพื่อเขาได้ถึงขั้นใดเล่า”

“บุกน้ำลุยไฟ ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่ปฏิเสธ” เสี่ยงหรงคล้ายซื่อตรงจริงใจจนเกินเหตุ เจ้าเมืองที่อยู่ด้านข้างคิดจะเอ่ยปากโน้มน้าว แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากที่ใด

บุรุษผู้นั้นนิ่งงัน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “คนที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ได้ คงเป็นคนสำคัญจริงๆ เช่นนั้นกับข้า เจ้ามองข้าเป็นอย่างไรเล่า”

เสี่ยงหรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบ

บุรุษผู้นั้นหัวเราะ “ช่างเถิด ไม่จำเป็นต้องลำบากใจ ข้าเป็นเพียงนายเก่าของเจ้าเท่านั้น ต่อไปคำว่านายท่านนี้ก็ไม่ต้องกล่าวถึงอีก ถึงอย่างไรข้าก็หลุดพ้นสถานะเดิมนั้นมานานแล้ว ตอนนี้เจ้าก็เป็นเพียงเสี่ยงหรงมิใช่หรือ”

เสี่ยงหรงขยับริมฝีปาก ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ย นางก้มหน้าลงต่ำราวกับกำลังโศกเศร้า

มือของบุรุษนั้นลูบลงบนศีรษะของนาง “ข้ามิได้กล่าวโทษเจ้า”

เสี่ยงหรงยังคงก้มหน้า ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าลับ

บุรุษผู้นั้นพาเจ้าเมืองจากไป พื้นที่อันเคว้งคว้างว่างเปล่านี้มีเพียงเสี่ยงหรงยืนอยู่ตามลำพัง ยิ่งดูเดียวดายและหนาวเหน็บขึ้นอีก

“นายท่าน…” เสี่ยงหรงพึมพำ “องค์ชาย…”

* เสื้อแขนลูกศร หมายถึงเสื้อที่มีปลายแขนสอบแคบลง

** ดาบถัง คือดาบในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นดาบทหารสามารถแบ่งออกได้สี่ประเภท ได้แก่ อี๋เตา จั้งเตา เหิงเตา และโม่เตา โดยมากแล้วหากกล่าวถึงดาบถังจะหมายถึงเหิงเตา ซึ่งเป็นดาบเรียวยาวตรง แต่มีความแข็งแรงมาก

* ปานจื่อ เป็นอุปกรณ์สวมนิ้วหัวแม่มือสำหรับผู้ที่ยิงธนู ป้องกันการเสียดสีของสายธนูกับนิ้วหัวแม่มือ ภายหลังมีการพัฒนามาเป็นเครื่องประดับที่ทำจากหยกหรืองาช้าง และอาจสลักตัวอักษรหรือลวดลายเอาไว้ด้านบน

บทที่ 113

หาคน

นับแต่ตอนที่ทำอาหารเย็นจนกระทั่งยกอาหารขึ้นโต๊ะ ซ่งเสวียนก็ยังไม่กล้าสบตากับจีอวิ๋นซีตรงๆ

จีอวิ๋นซีเองก็ไม่บีบคั้นซ่งเสวียน เพียงยิ้มตาหยีมองอีกฝ่ายพลางเอาข้าวเข้าปาก ไม่ทันรู้ตัวเขาก็กินไปหนึ่งถ้วยเต็มๆ หรืออาจจะมากกว่านั้น สำหรับคนร่างกายอ่อนแอและกินไม่มากอย่างเขาแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นความอยากอาหารที่หาได้ยาก

ซ่งเสวียนทนไม่ไหวต้องไอออกมาคราหนึ่ง “เจ้าจะกินก็กิน ไยต้องมาจ้องข้า”

จีอวิ๋นซีแย้มยิ้มแจ่มใส “ก็พี่ชายช่างงดงามชวนอิ่มอกอิ่มใจนี่นา”

ซ่งเสวียนหูแดง เมื่อช้อนตาขึ้นมองก็เห็นริมฝีปากแดงเรื่อของจีอวิ๋นซีที่กำลังเคี้ยวอะไรหมุบหมับ เขารีบบอกว่า “อิ่มแล้ว” ก่อนจะวางถ้วยข้าวลงแล้วจากไป

ตลอดทั้งวันนี้รอยยิ้มของจีอวิ๋นซีไม่จางหายไปแม้แต่น้อย แม้แต่ยามมองด้านหลังของซ่งเสวียนผู้ลนลานหนีไปก็ยังยิ้มแย้มอ่อนโยนราวกับสายลมยามวสันต์

 

ซ่งเสวียนที่อยู่ในลานเรือนสูดหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง กลิ่นดอกไม้ใบหญ้าฤดูใบไม้ผลิผสมปนเปกันพัดพาเข้ามาในคอในจมูก เขาจึงค่อยรู้สึกได้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจตนสงบลงบ้างแล้ว

ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคนเรียกเบาๆ “อาจารย์…อาจารย์”

ซ่งเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นจู้หยางซ่อนตัวอยู่ในร่มเงาหมู่ไม้เขียวขจี ฝ่ายนั้นโบกมือให้เขา “อาจารย์!”

ซ่งเสวียนเดินเข้าไปถาม “อะไร”

จู้หยางเอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

ซ่งเสวียนไม่เข้าใจ “เป็นอย่างไรเรื่องอะไร”

จู้หยางแลบลิ้น “ก็วันนี้องค์ชายราวกับคนเสียสติอย่างไรอย่างนั้น ยิ้มโง่งมอยู่ทั้งวัน ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตอนนี้แม้แต่เรื่องข่าวคราวความคืบหน้าข้าก็ยังไม่กล้าส่ง กลัวว่าจะไปรบกวนองค์ชายแล้วต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ข้ารับไม่ไหว”

ซ่งเสวียนย่อมรู้ว่าการที่จีอวิ๋นซียิ้มโง่ๆ เช่นนั้นเกิดมาจากสาเหตุใด เขาอดไอออกมาเสียงหนึ่งไม่ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าจะส่งข่าวอะไรหรือ”

“คราก่อนทรงสั่งให้ข้าไปสืบเบื้องหลังหนานหรงจวินนั่นมิใช่หรือ บัดนี้สืบได้ความมาแล้ว” จู้หยางเอ่ยเบาๆ “ข้างกายหนานหรงจวินผู้นี้มีองครักษ์คนหนึ่ง เขาตระเวนไปตามเมืองต่างๆ มากมายเพื่อจะสืบเรื่องราวของคนผู้หนึ่ง”

“ผู้ใด” ซ่งเสวียนถามอย่างสงสัย

จู้หยางมองซ้ายมองขวา ก่อนกดเสียงให้เบาลงแล้วเอ่ย “องค์ชายใหญ่จีอวิ๋นฉี”

สายตาของซ่งเสวียนนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว “พวกเขาหาพบหรือไม่”

“ไม่พบ” จู้หยางส่ายหน้า “พวกเขาคล้ายมั่นใจแล้วว่าองค์ชายใหญ่อยู่ที่เมืองซื่อฟาง แต่ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ร่องรอยของพระองค์”

ซ่งเสวียนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเข้าไปรายงานให้องค์ชายทราบเถิด คงไม่เป็นอันใด”

จู้หยางได้ยินดังนั้นจึงผ่อนลมหายใจโล่งอก ก่อนหัวเราะคิกคักพลางประสานมือ “ขอบคุณอาจารย์มาก”

ขณะที่กำลังจะเข้าห้องไป จู่ๆ ก็ได้ยินซ่งเสวียนเอ่ย “ข้าฝากไปบอกองค์ชายด้วยว่าข้ามีธุระเล็กน้อย คืนนี้จะไม่กลับมานอน”

จู้หยางพยักหน้า จากนั้นก็ถามไปตามเรื่อง “อาจารย์จะไปที่ใด”

“หอฮวาซย่า”

ซ่งเสวียนเพิ่งเอ่ยจบก็พรวดพราดออกไปราวกับสายลมพัดวูบ ทิ้งให้จู้หยางยืนปากอ้าตาค้างอยู่กับที่

หอฮวาซย่า?

หากเขาเข้าไปบอกเรื่องนี้แทนอาจารย์ซ่ง เกรงว่าคงจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แล้ว

“อาจารย์ซ่งทำร้ายข้านี่นา!” จู้หยางร้องเสียงดัง แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อซ่งเสวียนฝีเท้าว่องไวปานนั้น ไม่นานก็หายลับไปจากประตูแล้ว

ในใจของซ่งเสวียนมีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ถ่วงอยู่จนรู้สึกหนักอึ้ง

หากหนานหรงจวินผู้นั้นมาเพราะจีอวิ๋นฉี เช่นนั้นเกรงว่าเขาจะต้องบอกเสี่ยงหรง

เขากับเสี่ยงหรงคบหาเป็นสหายกันมานาน ในเมืองซื่อฟางแห่งนี้ผู้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเสี่ยงหรงก็มีเพียงเขา ซ่งเสวียนเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เนื่องจากเสี่ยงหรงเป็นคนของจีอวิ๋นฉี หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเคยเป็นคนของจีอวิ๋นฉี

เขายังจำเรื่องที่เสี่ยงหรงเคยพูดกับเขาหลังดื่มสุราเข้าไปได้

นางถูกจีอวิ๋นฉีเก็บมาเป็นผู้ติดตามตั้งแต่เด็ก เวลานั้นเสี่ยงหรงยังไม่ได้มีนามว่าเสี่ยงหรง นางมีแซ่เดิมคือฮวา นามว่าฮวาอู๋ฉยง

 

เสี่ยงหรงถือกำเนิดในหมู่บ้านทางตอนใต้แห่งหนึ่งซึ่งมีเขตแดนติดกับแคว้นหนานถู

อันที่จริงในบ้านเกิดของนางโดยทั่วไปแล้วจะมิได้มีนามเป็นทางการอันใด ทุกคนล้วนเรียกขานกันเพียงเจ้าหมาโง่เอย เจ้าเสาใหญ่เอยก็เท่านั้น

แต่นางกลับมีนามอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างเป็นทางการ สาเหตุก็เพราะนางมีเรี่ยวแรงมหาศาลตั้งแต่กำเนิด ปีที่นางอายุห้าขวบ สามารถอุ้มพี่ชายที่อายุสิบสองปีได้ ทำให้ทุกคนพากันตื่นตะลึง

ฮวาอู๋ฉยงไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากเรี่ยวแรงมหาศาล ครานั้นนางยังเคยทุบวัวคลั่งตัวหนึ่งที่วิ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้านจนตายด้วย

ชาวบ้านที่เกือบต้องตายใต้กีบเท้าวัวพากันขอบคุณนาง เมื่อได้ยินว่านางไม่มีนามจึงได้อาสาตั้งนามอันไพเราะสักนามหนึ่งให้

อันที่จริงผู้อาวุโสที่อยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน หลังคิดอยู่ทั้งคืนค้นดูตำราที่อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างจนหมด วันรุ่งขึ้นจึงพูดกับครอบครัวของนางว่า ‘ในหนังสือยามบรรยายถึงนักรบทั้งหลายล้วนกล่าวว่ามีเรี่ยวแรงมากมายไร้สิ้นสุด เจ้ามีเรี่ยวแรงมากมายเช่นนี้ เช่นนั้นก็เรียกว่าฮวาอู๋ฉยง* ก็แล้วกัน’

บิดาสกุลฮวาแสดงออกว่าหากนางมีนามว่าอู๋ฉยง มิสู้ตั้งชื่อว่าโหย่วฟู่** ยังจะฟังดูเป็นมงคลเสียกว่า

เหล่าผู้อาวุโสในหมู่บ้านปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด

ดังนั้นนางจึงมีนามเช่นนี้

ภายหลังนางได้พบกับนายท่านของนาง นายท่านก็ถามว่านางมีนามว่าอย่างไร

นางเอ่ย ‘พี่ชายข้ามีนามว่าฮวาต้าจู้*** พี่รองข้ามีนามว่าฮวาเอ้อร์จู้ ดังนั้น…’

‘เจ้ามีนามว่าฮวาซานจู้รึ’

‘มิใช่ ข้ามีนามว่าฮวาอู๋ฉยง’

ยามที่เสี่ยงหรงคุยโวถึงนายท่านในอดีตของนางให้ซ่งเสวียนฟัง นางสามารถคุยโวได้ตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนไม่ซ้ำเรื่องราวกันทีเดียว

ในสายตาของนาง นายท่านผู้นั้นเป็นคนใจดี ทั้งยังน่าคบหาคนหนึ่ง

นายท่านผู้แสนใจดีและน่าคบหาทั้งหมดทั่วหล้านี้ล้วนมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือข้างกายของพวกเขาจะต้องมีคนที่ก่อเรื่องได้เก่งเป็นพิเศษสักคนหนึ่ง

อย่างเช่นยามที่มีผู้ใดมาดูแคลนนายท่าน ผู้มีลักษณะท่าทางสูงส่งได้รับการอบรมอย่างดีเช่นนายท่านจะไปคิดเล็กคิดน้อยหาความเอากับคนผู้นั้นไม่ได้

และในเวลาเช่นนี้จะมีชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำสูงใหญ่หนวดเครายาวเดินออกมา จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างราวกับกระดิ่งทองแดง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง ‘ไหนเจ้าลองพูดอีกครั้งซิ’

ทว่าฮวาอู๋ฉยงไม่อาจทำงานนี้ได้

นางมีข้อด้อยข้อหนึ่ง นั่นคือนางเป็นสตรี

แม้จะมีพละกำลังมาก แต่หากเทียบกับนายท่านแล้วนางยังเตี้ยกว่าถึงสองช่วงศีรษะ ซ้ำใบหน้ายังงดงามราวกับตุ๊กตามาตั้งแต่กำเนิด ต่อให้แต่งกายเป็นบุรุษก็ยังดูตัวเล็กผอมบาง

คนเช่นนี้เมื่อออกมายืนก็มิได้ดูน่าเกรงขามอันใด หากไม่รู้ยังอาจคิดว่านายท่านพาบุตรชายมาด้วยซ้ำ

ดังนั้นฮวาอู๋ฉยงจึงต้องทำให้ตนดูโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น

ผู้อื่นเพียงต้องเอ่ยวาจาผรุสวาท ส่วนนางนั้นไม่พูดจาอันใดก็เดินเข้าไปตบโต๊ะจนแตก จากนั้นก็กวาดตามองทุกคนในที่นั้นรอบหนึ่ง…ไม่ว่านางจะทำสายตาเช่นไรอยู่ เวลานั้นทุกคนล้วนรู้สึกว่าสายตาของนางดูราวกับจะกินเนื้อคนสดๆ ได้อย่างไรอย่างนั้น

ซ้ำนางยังต้องถ่มน้ำลายอีกครา เอ่ยวาจาตามอย่างชายฉกรรจ์อีกสักสองประโยค ‘เจ้าตัวน่ารังเกียจ เอาแต่พูดพล่ามซี้ซั้ว เจ้ากล้ามาประมือกับเหล่าจื่อสักสองสามกระบวนท่าหรือไม่เล่า’

เวลาเช่นนี้นายท่านก็จะตำหนิว่า ‘อู๋ฉยง ถอยไป!’

จากนั้นเขาก็จะกล่าวถ้อยคำที่กล่าวซ้ำมาเป็นรอบที่หนึ่งหมื่น พร้อมกับรอยยิ้มว่า ‘ผู้ใต้บัญชาเสียกิริยา ทำให้ทุกท่านเห็นเป็นเรื่องขบขันแล้ว’

พวกตาเฒ่าขี้อิจฉาทั้งที่มีหนวดเคราและไม่มีต่างพากันฝืนยิ้มแย้มอย่างไม่ได้น่าดูชมสักเท่าใดนัก พวกเขาโบกมือรัวพลางกล่าว ‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…’

ยามนั้นฮวาอู๋ฉยงคิดจริงๆ ว่านายท่านของนางเป็นคนเอื้ออารีเข้าถึงง่ายทั้งยังใจกว้าง เป็นคนดีคนหนึ่งโดยแท้

ภายหลังซ่งเสวียนคิดว่าเรื่องที่สมองของเสี่ยงหรงไม่ค่อยดีนั้นคงไม่ใช่จากอาการป่วยหลายปีมานี้อย่างแน่นอน

* อู๋ฉยง แปลว่าไม่หมดสิ้น ไม่ขาดแคลน ไม่ยากจน ไร้สิ้นสุด

** โหย่วฟู่ แปลว่าร่ำรวย

*** คำว่าจู้ แปลว่าเสา ส่วนคำว่าต้า เอ้อร์ และซาน เป็นคำเรียกลำดับพี่น้องภายในครอบครัว เมื่อนำมาประกอบกันคำว่าต้าจู้จะหมายถึงเสาต้นที่หนึ่ง เอ้อร์จู้หมายถึงเสาต้นที่สอง และซานจู้หมายถึงเสาต้นที่สาม เป็นชื่อที่สามารถบ่งบอกลำดับพี่น้องในครอบครัวได้ในเวลาเดียวกัน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: