X
    Categories: everYทดลองอ่านราชครูนักต้มตุ๋น

ทดลองอ่าน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3 บทที่ 116-117 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3

ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)

แปลโดย : ศีตกาล

ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

   

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 116

วีรชน

เสี่ยงหรงไม่อยากหวนระลึกว่าเหตุใดนางจึงจากจีอวิ๋นฉีไป

และนางจะไม่บอกผู้ใดด้วย

ปีที่รัชทายาทอายุสิบแปด ในที่สุดโอกาสที่จีอวิ๋นฉีรอคอยก็มาถึงนั่นคือ…สงคราม

แคว้นหนานถูกับต้าเหยามีเขตแดนติดกันมานาน การกระทบกระทั่งเล็กน้อยก็เป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง ท้ายที่สุดวันหนึ่งก็เกิดการปะทะขึ้นที่ชายแดน รายงานการศึกถูกส่งมายังเมืองเซิ่งจิงที่อยู่ห่างไปแปดร้อยหลี่อย่างรวดเร็ว เหล่าขุนนางพากันหารือให้วุ่นวาย

วันก่อนหน้าจีหุยเพิ่งจะใช้ยาลูกกลอนเซียนเข้าไป หนังตาของเขาหนักอึ้ง ท่าทางคล้ายยังไม่ตื่นเต็มตา ฟังผู้คนถกเถียงกันอยู่ในท้องพระโรงให้ขรมไปหมด

ฝ่ายของจีอวิ๋นฉีหนุนให้ทำการศึก ส่วนฝ่ายรัชทายาทหนุนให้ใช้สันติวิธี ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ใดคิดถูกผู้ใดคิดผิด หากกล่าวโดยสรุปแล้วต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลกันทั้งสิ้น

จีหุยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยถาม ‘หากส่งกำลังไปปราบปรามแคว้นหนานถู ผู้ใดจะอาสาเป็นผู้นำทัพ’

ต้าเหยามีแม่ทัพผู้องอาจไม่กี่นาย แม่ทัพหลินทำหน้าที่พิทักษ์แดนเหนือ ส่วนที่เหลือล้วนเป็นผู้ไม่เคยผ่านประสบการณ์ทำศึกสงคราม ไม่นับว่ามีประโยชน์มากนัก

ในท้องพระโรงไม่มีแม้แต่เสียงนกกา* รัชทายาทหฤหรรษ์อยู่บนหายนะ

จีอวิ๋นฉีก้าวออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคน ‘ลูกขออาสา’

ราวกับน้ำหยดหยาดหนึ่งหยดลงในหม้อที่น้ำมันเดือดปุด ท้องพระโรงปั่นป่วนพลุ่งพล่านขึ้นทันใด

บ้างก็ว่าจีอวิ๋นฉีมีสถานะสำคัญสูงส่งนัก บ้างก็ว่าจีอวิ๋นฉีอาสารับผิดชอบทั้งที่ยังเยาว์นัก

มีเพียงจีหุยที่มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ‘เจ้ายินดีรึ’

‘พ่ะย่ะค่ะ ลูกยินดี’

‘เช่นนั้นก็เป็นเจ้าแล้วกัน’

สายตาของจีหุยดูโรยแรง มิไยดีขุนนางเสนาบดีทั่วท้องพระโรงที่พากันคุกเข่าอ้อนวอนห้ามปราม เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่าจะไปหาเทียนซือใหญ่เฟิงเหวินจื่อเพื่อสวดมนต์ทำพิธี

รัชทายาทลอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง ‘วิธีการของเสด็จพี่ช่างดีนัก ระวังจะไปอย่างเกรียงไกรแต่กลับมาไม่ได้ก็แล้วกัน’

จีอวิ๋นฉียิ้มแย้มสง่างาม ‘ขอบใจมากที่เตือน ยังคอยระมัดระวังให้พี่อีกด้วย’

นี่คือการเตรียมการหลายปีของจีอวิ๋นฉี ในที่สุดเขาก็ได้เริ่มเผยความสามารถออกมาแล้ว

ส่วนฮวาอู๋ฉยงก็ได้ทำให้ความปรารถนาของตนในครานั้นเป็นจริงขึ้นมา นางได้กลายมาเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญเก่งกาจในการรบอันดับหนึ่งภายใต้การนำทัพของจีอวิ๋นฉี

ทั่วทั้งต้าเหยาล้วนรู้ดีว่าทัพอวิ๋นอี้ซึ่งมีจีอวิ๋นฉีเป็นผู้นำนั้นโจมตีไร้พ่าย ศึกใดล้วนกำชัย ภายในสามปียึดครองไปได้ห้าเมืองติดต่อกัน สู้รบจนแคว้นหนานถูต้องก้มศีรษะร้องขอสันติ

และผู้ที่เก่งกาจน่าทึ่งที่สุดในการศึกสงครามครั้งนี้ก็ไม่มีผู้ใดเหนือไปกว่าฮวาอู๋ฉยง เล่าลือกันว่าแม่ทัพผู้นี้ร่างเล็กแต่พละกำลังมหาศาลแต่กำเนิด วรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่ง อาจหาญเก่งกล้าเหนือมนุษย์ แม้มีเพียงหนึ่งก็สามารถต่อสู้กับศัตรูสิบได้

ในขณะที่ทำศึกสงครามมีหลายคราซึ่งตกอยู่ในวิกฤต จีอวิ๋นฉีก็ล้วนอาศัยความเก่งกล้าของฮวาอู๋ฉยงฝ่าฟันไปได้ ฮวาอู๋ฉยงสามารถต่อสู้พลิกสถานการณ์ให้กลับตาลปัตรได้อย่างน่าทึ่งหลายครั้งหลายครา

สิ่งนี้ทำให้ฮวาอู๋ฉยงกลายเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ที่เด็กน้อยกล่าวขานกันอย่างแท้จริง

บัดนี้เมื่อเสี่ยงหรงลองมาคิดดู นางยังคงจดจำชีวิตในช่วงเวลานั้นได้…นางไม่อาจกล่าวได้อย่างเด็ดขาดว่านั่นคือความสุขหรือคือความเจ็บปวด เพียงแต่ทุกวันล้วนใช้ชีวิตราวกับเป็นวันสุดท้าย ทั้งด้านชาและรุนแรง

วันวานยังหัวเราะเริงร่าโกรธขึ้งด่าทอกับสหายร่วมรบ ชั่วขณะต่อมาคนผู้นั้นกลับอันตรธานไปจากข้างกายเสียแล้ว

นายท่านที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เก่าก่อน ศึกหน้ายังต้องมีบาดแผลใหม่เพิ่มเติมขึ้นอีก

ขอเพียงหลับตาลงก็เห็นเพียงเลือดกับสายตาอาฆาตของศัตรู

นางเคยคิดว่าบนสนามรบก็เหมือนกับที่เขียนเอาไว้ในบทอุปรากร หากมีคนตายก็จะมีคนไปบอกเขา มีคนคอยดูแลครอบครัวแทนเขาเป็นแน่

แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น

ส่วนมากแล้วมีเพียงยามที่นางพาร่างอันเต็มไปด้วยเลือดของตนกลับมาค่ายพักแล้วเท่านั้น นางจึงค่อยรู้ว่าบางคนได้หายสาบสูญไปอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยเสียแล้ว

ฮวาอู๋ฉยงเปลี่ยนไปแล้ว

นายท่านก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แรกเริ่มเขามักพูดว่าหากชนะเขาก็จะมีไพ่ตายเพียงพอที่จะไปนั่งบนบัลลังก์สูงสุดนั้น ไม่ต้องอาศัยลมหายใจต่อจากจมูกของผู้ใดอีก

ภายหลังเขาพูดกับฮวาอู๋ฉยงว่า ‘หากข้าตาย เจ้าก็ฝังข้าเอาไว้บนสนามรบเสียแล้วกัน เมืองหลวงไม่มีพี่น้องข้า แต่ที่นี่มี’

 

ครั้นกำชัยในศึกสงครามกลับมา กองทัพยาตราผ่านหมู่บ้านที่ฮวาอู๋ฉยงเคยอาศัย นางจึงกลับบ้านอย่างปลื้มปีตินัก

ตั้งแต่นางติดตามนายท่านก็ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว นางอยากไปบอกผู้อาวุโสในหมู่บ้าน อยากไปบอกผู้นำหมู่บ้าน บอกว่านางได้กลายเป็นวีรชนใหญ่ผู้หนึ่งแล้ว

ทว่านางมองเห็นเพียงความวังเวงเย็นเยียบเต็มสองตา

นางตามหาเรือนแล้วเรือนเล่าก็ยังหาผู้คนที่นางเคยรู้จักไม่พบ

ทั้งป้าซุนที่เคยให้ลูกกวาดแก่นาง นายพรานจางที่เคยฉลองปีใหม่กับนาง แล้วยังมีเสี่ยวฮวาเอ๋อร์ที่เคยหัวเราะคิกคักไปกับนางอีก

ทั้งหมู่บ้านราวกับตายไปแล้ว

มีเพียงยายเฒ่าซึ่งอาศัยอยู่ในเรือนที่ชายป่าเท่านั้น นางนอนพะงาบอยู่บนเตียง แม้แต่เสียงจะใช้พูดจาก็ยังฟังดูอู้อี้ไม่ชัดเจน

นางบอกว่าเมื่อเกิดสงครามทหารก็มาพาตัวบุรุษทั้งหลายไปหมดตั้งแต่ต้น

ต่อมาแนวหน้าขาดแคลนเสบียงจึงเริ่มระดมเสบียงอาหารอย่างเร่งด่วน ดังนั้นแม้แต่ข้าวปลาอาหารทุกคนก็กินไม่อิ่มกันเสียแล้ว ทั้งยังมีผู้ลี้ภัยจากแนวหน้าหรือไม่ก็พวกทหารหนีทัพของแคว้นหนานถูมาขโมยอาหารไปอีก

นับวันยิ่งไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้มากขึ้นทุกขณะ

สตรีและเด็กในหมู่บ้านถูกขายกันไปหมด แม้แต่ตนเองก็ยังต้องถูกขายเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คนที่หนีจากความยากลำบากได้ก็หนีไป คนที่อดตายก็อดตาย หากหนีไม่รอดจริงก็ได้แต่รอความตายอยู่ที่นี่

ทั้งยังมีคนฉวยโอกาสซ้ำเติมเวลาที่เกิดเหตุเดือดร้อน

ตอนที่พูดถึงตรงนี้ยายเฒ่าก็หลั่งน้ำตา ‘ภรรยาของหลินจื่อขายตนเองออกไปแล้ว ให้ข้าเลี้ยงบุตรสองคนของนาง แต่ข้าก็รั้งเอาไว้ไม่ได้ ถูกคนมาขโมยเอาเด็กไปอีก ต่อให้ลงนรกไปข้าก็คงไม่มีหน้าไปพบนาง…’

ทุกถ้อยคำของฮวาอู๋ฉยงล้วนติดคาอยู่ที่ลำคอ

ไม่ว่าคำใดนางก็ล้วนพูดไม่ออก สุดท้ายจึงนำอาหารและเงินทองทั้งหมดที่มีติดตัวทิ้งเอาไว้ให้ยายเฒ่า เรื่องเงินทองนั้นนายท่านไม่เคยตระหนี่กับนาง ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าเงินเหล่านี้ค่อนข้างร้อนมือเสียแล้ว

ตอนที่นางคิดออกจากหมู่บ้าน นายท่านมาพูดถ้อยคำนั้นกับนาง

‘เจ้าอยากได้สิ่งใด’

‘ข้าอยากเป็นวีรชน’

‘ได้ เจ้าติดตามข้า หากงานข้าสำเร็จลุล่วงเจ้าก็จะเป็นวีรชนอย่างแท้จริง’

นางนึกถึงเมื่อครั้งเยาว์วัย ที่เบื้องหน้าเวทีงิ้วมีเด็กน้อยสองสามคน ทั้งชาวแคว้นหนานถูและชาวต้าเหยา ทุกคนเล่นด้วยกัน

‘ข้าจะเป็นวีรชนยิ่งใหญ่!’

‘ข้าก็จะเป็นวีรชนยิ่งใหญ่เช่นกัน!’

พวกเขาร้องตะโกนกันคนละเสียงสองเสียง แข่งกันจนหน้าแดงหูแดง ฮวาอู๋ฉยงมีกำลังมากที่สุด นางยกเด็กอีกคนขึ้นเหนือศีรษะ เอ่ยถามพวกเขาด้วยความทะนงตน ‘เป็นอย่างไร ผู้ใดกันแน่จึงเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง’

‘ฮวาอู๋ฉยง!’

‘ฮวาอู๋ฉยง!’

‘ฮวาอู๋ฉยงคือวีรชนผู้ยิ่งใหญ่!’

เด็กๆ กระโดดโลดเต้น ทั้งยังตบไม้ตบมือด้วยความดีใจ

 

ครั้นฮวาอู๋ฉยงกลับมาที่ค่าย สวีวั่งผู้เป็นกุนซือทัพกำลังเอ่ยสรรเสริญเยินยอจีอวิ๋นฉี ‘เป็นพระมหากรุณาธิคุณขององค์ชายที่ครานั้นได้วางแผนรายงานเรื่องนี้กลับไปยังเซิ่งจิง เมื่อพระองค์ยืนกรานความคิดจะทำศึก จึงได้มีการใหญ่ให้มุ่งหวังในวันนี้ได้ องค์ชายทรงองอาจมุ่งมั่น กระหม่อมหวนมองตนเองแล้วละอายยิ่งนัก’

คำนี้พวกเขามิได้เลี่ยงไม่ให้ฮวาอู๋ฉยงรับรู้แต่อย่างใด ด้วยพวกเขาทราบดีถึงความภักดีของนาง

นางเองก็รู้นานแล้วว่าโอกาสทำศึกครานั้นเป็นเพียงเรื่องเหนือความคาดหมายไม่เล็กไม่ใหญ่ประการหนึ่ง จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก จีอวิ๋นฉีคว้าโอกาสนี้เดินเข้าสนามรบ ทั้งยังเดินเข้ามาในคลองสายตาของมวลประชาทั่วหล้า และได้กลายเป็นเทพแห่งสงครามในสายตาและดวงใจของพวกเขา

ฮวาอู๋ฉยงเองก็ไม่เคยคิดว่าจีอวิ๋นฉีทำพลาดผิด เขาประสบความสำเร็จ แผ่ขยายพื้นที่ให้ต้าเหยา แล้วจะผิดพลาดที่ใดกัน

ทว่าครั้งนี้นางพลันสับสนเคว้งคว้างเสียแล้ว

สุดท้ายแล้วการศึกครานี้ยังความสุขแก่ผู้ใดบ้าง

เมื่อเห็นฮวาอู๋ฉยงเดินเข้ามา จีอวิ๋นฉีก็ยิ้มแย้มถามนาง ‘เหตุใดกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า มิใช่อยากกลับไปเยี่ยมบ้านหรือ’

ฮวาอู๋ฉยงพลันจ้องเขาเขม็ง ‘นายท่าน’

‘หืม?’

‘ข้าเป็นวีรชนจริงหรือ’

คนตรงหน้าแต่งกายอย่างทหารเต็มยศ ผิวทั่วกายถูกแดดเผาจนหยาบกร้านดำคล้ำ ไม่มีลักษณะอย่างสตรีแม้แต่น้อยนิด ดวงตาที่แบ่งแยกดำขาวชัดเจนแต่เดิมบัดนี้กลับเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง

สายตาของนางราวกับการจ้องมองของสหายร่วมรบที่กำลังจะตายจาก และเหมือนสายตาของศัตรูที่กำลังจับจ้อง ทำให้คนไม่อาจหลบเลี่ยงแต่ก็ไม่กล้าสบตาโดยตรง

‘ข้าเป็นวีรชนจริงหรือ’ นางถาม

จีอวิ๋นฉีพูดไม่ออก

สวีวั่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านข้างพลางเอ่ย ‘แน่นอน ต้าเหยาของเราให้ความสำคัญด้านบุ๋นมากกว่าบู๊ ดังนั้นกำลังทหารจึงไม่แข็งแกร่งเทียมเท่าแคว้นหนานถู แต่บัดนี้กลับกำราบห้าเมืองได้ในสามปี ได้ชัยชนะมาทั้งสิ้น ความดีความชอบของอู๋ฉยงมากมายใหญ่หลวงนัก’

ฮวาอู๋ฉยงมิได้เอ่ยตอบ นางหันกายจากไปแล้ว

 

ยามที่พวกเขาอยู่ห่างจากเซิ่งจิงในระยะที่เดินเพียงหนึ่งวันถึง ฮวาอู๋ฉยงก็เตรียมจากไปแล้ว

ต่อให้เมืองหลวงจะมีความร่ำรวยสูงส่งล้นฟ้ารอนางอยู่ก็ตามที

นายท่านกล่าวว่านางสามารถย้อนคืนไปเผยร่างสตรีได้ กลายเป็นแม่ทัพสตรีซึ่งหาได้ยากยิ่งและมีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ต้าเหยา

นางสามารถมีจวนเป็นของตนเอง มีคนรับใช้ของตนเอง และเข้าท้องพระโรงได้ กลายเป็นวีรชนที่ทุกคนเคารพนับถือ เป็นตำนานจากปากของนักเล่านิทานทั้งหลาย

แต่นางก็ยังเก็บข้าวของ ทว่าไม่ได้นำสิ่งสำคัญล้ำค่าใดไป นางเดินไปยังกระโจมของจีอวิ๋นฉีเพื่อบอกลาเขา

‘จะไปจริงหรือ’

‘จริงเจ้าค่ะ’

ฮวาอู๋ฉยงโขกศีรษะคำนับนายท่านสามครั้ง ‘หลายปีมานี้ต้องขอบคุณนายท่านอย่างยิ่ง’

นางรู้จักพูดจายิ่งนัก ทว่าบัดนี้กลับพูดสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น

นางเพียงโขกศีรษะลงไปแรงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้ง เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้ง

โขกศีรษะเสร็จสิ้นนางก็หันกายจากไป

‘ฮวาอู๋ฉยง!’

ยามเดินไปถึงหน้าประตูนางก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของนายท่าน

‘หากวันนี้เจ้ากล้าออกจากประตูนี้ไป…หากเจ้ากล้าออกจากประตูนี้…’ นายท่านโกรธจนแม้แต่เสียงก็ยังสั่นเครือ สุดท้ายยังคงไม่พูดสิ่งใดออกมา แต่กลับเขวี้ยงถ้วยชาลงบนพื้นแทน

ท่าทางโมโหเกรี้ยวกราดเช่นนั้นไม่เหมือนนายท่านเลยแม้แต่น้อย

หากออกจากประตูนี้ไปแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า

ถ้อยคำหลังจากนั้นล้วนจมหายไปในกระโจมทหารที่หนาหนัก

 

* ไม่มีแม้แต่เสียงนกกา เป็นสำนวน หมายถึงเงียบมากๆ เปรียบว่าเงียบจนแม้แต่เสียงนกร้องก็ยังไม่ได้ยิน

บทที่ 117

อธิบาย

ครั้งก่อนที่จีอวิ๋นซีกับซ่งเสวียนออกจากเมืองซื่อฟางไปพร้อมทหารของทางการนั้น พวกเขาเดินทางไปตามเส้นทางบก ครั้งนี้กลับเดินทางในเส้นทางน้ำ เนื่องจากจีอวิ๋นซีแอบหนีออกมาจึงไม่อาจพักอยู่ในจุดพักม้าของทางการได้ เส้นทางน้ำจะปลอดภัยและรวดเร็วกว่าเส้นทางบกมากกว่า

วันที่ออกจากเมืองซื่อฟาง ซ่งเสวียนรออยู่ที่ท่าเรือเนิ่นนานก็ยังไม่เห็นเงาของเสี่ยงหรง

ที่ผ่านมาเขาคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขารอใครสักคนมาส่ง ทว่าสิ่งนี้มาจากความรู้สึกผิดบางประการที่ไม่อาจบอกกล่าวเป็นถ้อยคำได้อย่างชัดเจน

จีอวิ๋นซีเองก็ไม่ได้ห้ามเขา เพียงรอเป็นเพื่อนเขาอยู่ที่ท่าเรือ เมื่อเห็นว่ารออยู่เนิ่นนานแล้วก็ยื่นเหลียงฉา* ให้เขาถ้วยหนึ่ง “ไม่ต้องรีบ คนที่ควรมาย่อมต้องมาอย่างแน่นอน”

ในดวงตาสุกใสคู่นั้นไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย แต่กลับแสดงสีหน้าจริงใจซื่อตรงออกมา ทำเอาจู้หยางอดสะท้านไม่ได้

ซ่งเสวียนรับถ้วยชามาแล้วดื่มลงไปอึกหนึ่ง เขาถอนใจเบาๆ “เกรงว่าข้าจะยั่วให้นางโมโหเสียแล้ว นางไม่ร้องไห้เลยจะดีที่สุด”

เขาเคยคิดว่าเสี่ยงหรงเป็นดั่งชายชาตรีแข็งแกร่งคนหนึ่ง ไม่มีทางร้องไห้ กระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางดื่มสุราจนเมามาย กอดซ่งเสวียนร้องไห้สูดจมูกฟูมฟาย นางมิได้บอกว่าเพราะเหตุใด ทว่าพึมพำเบาๆ ออกมาคำหนึ่งว่า ‘องค์ชาย’

เขาจึงได้รู้ว่าสตรีผู้นี้ก็น้ำตาตกได้เช่นกัน

ผ่านไปครู่หนึ่งนายท้ายเรือมาเร่งซ่งเสวียนว่าต้องขึ้นเรืออยู่หลายครั้ง เขาพลันเห็นเด็กสาวตัวเล็กๆ สวมชุดสีชมพูลูกท้อคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาจากที่ไกลๆ ซ่งเสวียนมองดูก็รู้ว่าคือสาวใช้จากหอฮวาซย่า

“อาจารย์ซ่ง…อาจารย์ซ่ง!” สาวใช้ผู้นั้นตะโกน

เมื่อซ่งเสวียนลงมาจากเรือ สาวใช้ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ข้ามาถ่ายทอดวาจาแทนเถ้าแก่เสี่ยงหรงของพวกเรา”

ซ่งเสวียนย่อตัวลงพูดกับนาง “อะไรหรือ”

“เถ้าแก่ของพวกเราบอกว่าเจ้ามันเจ้าลูกเต่าโง่ ให้เจ้าไสหัวไปให้ไกล อย่าได้กลับมาอีก” สาวใช้ว่า “หากกลับมาอีกข้าจะต่อยเจ้าให้หน้าเต็มไปด้วยดอกท้อบานสะพรั่ง** ทีเดียว”

สาวใช้นั้นเลียนแบบได้อย่างออกรสออกชาติ แม้แต่สีหน้าถมึงทึงโหดเหี้ยมของเสี่ยงหรง เขาก็ยังมองเห็นได้จากนาง ทำเอาซ่งเสวียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขาล้วงเอาลูกกวาดสองเม็ดออกมาจากช่องเก็บของในแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือสาวใช้ ก่อนยิ้มตาหยีพลางเอ่ย “รบกวนแม่นางนำคำไปบอกเถ้าแก่ที บอกว่าให้นางเตรียมไม้กับสุราเอาไว้ ช้าเร็วซ่งเสวียนจะกลับมาอย่างแน่นอน”

สาวใช้กะพริบตาปริบๆ นางมองซ่งเสวียนแล้วก็มองลูกกวาดในมือ จากนั้นก็รับปากด้วยความลังเล

ซ่งเสวียนมองส่งสาวใช้คนนั้นจากไปจึงค่อยกลับเข้ามาในห้องโดยสารบนเรือ เขาเห็นจีอวิ๋นซีกำลังจับจ้องใบชาในถ้วยชา “ถ้าพี่ชายยังไม่กลับมาอีก ชานี้ของข้าคงกลายเป็นน้ำส้มสายชู* แล้ว”

ซ่งเสวียนนิ่งงันไปเล็กน้อย ละเลยความกำกวมในคำพูดของอีกฝ่ายไปอย่างไม่รู้ตัว “เสี่ยงหรงเป็นสหายข้ามาหลายปี ครานั้นมีคนฝากฝังให้ข้าดูแลนาง ดังนั้นจึงได้รู้จักเกี่ยวพันกัน เจ้าอย่าคิดมาก”

“ข้าไม่ได้คิดมาก” จีอวิ๋นซีว่า อย่างไรเขาก็ดำเนินการบางสิ่งบางอย่างลับๆ ไปบ้างแล้ว วันนี้เสี่ยงหรงผู้นั้นไม่ได้พบซ่งเสวียน วันหน้าเมื่อซ่งเสวียนไปถึงเซิ่งจิงแล้วก็อย่าได้คิดสัมผัสแม้ชายเสื้อของซ่งเสวียนเลย

ทว่าเขากลับอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมาทางจมูกเบาๆ “ผู้ใดฝากฝังให้เจ้าดูแลสตรีผู้หนึ่งรึ เหตุใดแม้แต่คำว่าเลี่ยงข้อครหาก็ยังเขียนไม่เป็น”

นี่ไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้แต่อย่างใด ซ่งเสวียนจึงอธิบายว่า “เป็นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งที่เร้นกายอยู่ในเมืองซื่อฟางมาเนิ่นนาน เขามีทักษะการพนันขันต่อดั่งเทพจำแลง คนในยุทธภพยกย่องเขาเป็นราชาพนัน เพียงแต่พบเห็นเขาได้น้อยนัก ข้าเองก็มีวาสนาได้พบเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งล้วนสวมหน้ากาก ไม่เคยเปิดเผยใบหน้า” ซ่งเสวียนคล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง “ข้าเคยแพ้พนันเขา ติดหนี้น้ำใจเขาอยู่หลายส่วน เขาต้องการให้ข้าคืนหนี้น้ำใจ จึงได้มีเรื่องเสี่ยงหรงนี้เข้ามา…”

ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงัก

เขานึกออกแล้วว่าก่อนหน้านี้เหตุใดจึงรู้สึกว่าเสียงของจีอวิ๋นฉีคุ้นหูยิ่งนัก

นั่นคือเสียงของราชาพนัน

ตอนที่ราชาพนันมาขอให้เขาช่วยเหลือในปีนั้นคือปีหลังจากสงครามกับแคว้นหนานถูสิ้นสุดพอดิบพอดี ฮวาอู๋ฉยงหายสาบสูญ ส่วนองค์ชายใหญ่จีอวิ๋นฉีปิดประตูไม่รับแขก

ที่แท้ก็มาซ่อนตัวอยู่เมืองซื่อฟางนี่เอง

มาคิดดูแล้วการที่ราชาพนันเร้นกาย อาจเป็นเพราะจีอวิ๋นฉีมีเรื่องต้องทำมากมาย ไม่สามารถปรากฏตัวที่เมืองซื่อฟางได้ในระยะเวลานานนัก

ส่วนเสี่ยงหรง ซ่งเสวียนรู้นานแล้วว่าเบื้องหลังของนางมีคนคอยหนุน

ถึงอย่างไรหอโคมเขียวก็มีเอาไว้เพื่อการพบปะทำการค้า หอฮวาซย่าได้เสี่ยงหรงดูแลอยู่หลายปี บรรดาแม่นางทั้งหลายถือไพ่เหนือกว่าลูกค้าเสียอีก จะรับแขกหรือไม่รับแขกก็ตามแต่อารมณ์ของพวกนางทั้งสิ้น หากเจ้ามุ่งหมายบังคับขู่เข็ญ เสี่ยงหรงจะเป็นคนแรกที่ถือไม้มาไล่ฟาด อีกทั้งยังล่วงเกินคนมาไม่รู้ตั้งเท่าใดแล้ว

ที่หอฮวาซย่ายังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งมาได้หลายปี ทั้งยังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ นี้ อย่าว่าแต่ซ่งเสวียนผู้เดียวเลย แม้แต่ซ่งเสวียนสักสิบคนก็ยังปกปักคุ้มภัยเอาไว้ไม่อยู่ ได้แต่ให้ผู้อยู่เบื้องหลังผู้นั้นค้ำจุนเอาไว้

หากกล่าวเช่นนี้ซ่งเสวียนก็รู้สึกว่าท่านผู้นั้นเอาใจใส่มากทีเดียว

พอจีอวิ๋นซีเห็นว่าเขาหยุดชะงักไม่พูดต่อก็ถามว่า “เป็นอะไรไป”

ซ่งเสวียนยิ้มพลางเอ่ย “คงจะรู้สึกหดหู่อยู่บ้างกระมัง พออายุมากขึ้นก็กลัวการหวนระลึกถึงอดีตอยู่บ้าง”

จีอวิ๋นซีถลึงตาใส่เขา “ปิดบังข้าซี้ซั้วอีกแล้ว”

ว่าแล้วมือก็ผลักอีกฝ่ายไปด้วย

จู่ๆ เรือก็โคลง คาดว่านายท้ายเรือคงออกเรือแล้ว

จีอวิ๋นซีอาศัยการโคลงเคลงของเรือนั้นผลักซ่งเสวียนล้มลงแล้วตนก็โน้มตัวทับลงบนร่างของซ่งเสวียน เพียงแต่สายตาของเขาไม่มีความผิดคาดหรือตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

กลับเป็นซ่งเสวียนที่อึ้งงันไปเล็กน้อย

ซ่งเสวียนไม่เคยลืมจูบที่ไม่เหมือนจูบในวันนั้น เพียงแต่คิดให้ตนถือเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โยนเรื่องนี้ทิ้งไปด้านหลังเสีย

ถึงอย่างไรครั้งนี้ตนก็ตอบรับการเชื้อเชิญของจีอวิ๋นซีไปแล้ว วันหน้าก็ยากจะเลี่ยงการพบหน้ากันเช้าเย็น การละเลยเรื่องนี้ไปเสียจึงเป็นตัวเลือกที่ดีและสะดวกที่สุด

ไม่คิดว่าจีอวิ๋นซีคล้ายไม่ต้องการละเลยเรื่องนี้เลย

เขาใช้ศอกค้ำอยู่ตรงข้างหูซ่งเสวียน เชยคางอีกฝ่าย น้ำเสียงเจือด้วยรอยยิ้มบางเบา “พี่ชายปิดบังข้าเช่นนี้อยู่เรื่อย น่ากลัวว่าจะต้องถูกข้าสั่งสอนแล้ว”

ทั้งที่ไม่ได้ใช้ถ้อยคำชัดเจนเปิดเผยแม้สักคำ ทว่าซ่งเสวียนกลับฟังแล้วหน้าแดงหูแดง ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตั้งใจจะลุกขึ้น

กระนั้นเขากลับถูกจีอวิ๋นซีกดบ่าลงเบาๆ “ซ่งเสวียน จูบก็จูบแล้ว อย่างไรเจ้าก็ควรอธิบายกับข้าสักหน่อยกระมัง”

ซ่งเสวียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยออกมาชัดเจนแจ่มแจ้ง สีหน้าจึงยิ่งดูเก้อเขินกระอักกระอ่วน “อธิบายอย่างไร”

เพิ่งพูดจบเขาก็รู้ว่าคำถามของตนนั้นไม่ถูกต้อง

เป็นดังคาด จีอวิ๋นซีก้มศีรษะลงมา ท่าทางราวกับกำลังจะจูบ

ซ่งเสวียนกลับมีท่าทีตอบสนองเร็วรี่ ใช้มือปิดปากจีอวิ๋นซีเอาไว้ “เช่นนี้ไม่ได้…”

สมองของเขาทำงานช้ามาแต่แรกแล้ว ทว่าสัญชาตญาณยังคงอยู่ “อาซี เช่นนี้ไม่ได้…”

จีอวิ๋นซีกลับไม่ใส่ใจ เขาหัวเราะเบาๆ ปลายลิ้นแลบเลียฝ่ามือของซ่งเสวียนเล็กน้อย จากนั้นก็ลากไล้ไปตามเส้นลายมือ

ความรู้สึกแปลบปลาบส่งผ่านมาตามฝ่ามือ ซ่งเสวียนรีบดึงมือกลับ ทว่าจีอวิ๋นซีกลับฉกฉวยช่องว่างนี้จูบลงบนริมฝีปากของซ่งเสวียนอย่างแม่นยำ

ซ่งเสวียนยังได้ยินอีกฝ่ายงึมงำเบาๆ ว่า “เหตุใดจึงไม่ได้…”

เหตุใดจึงไม่ได้หรือ

ซ่งเสวียนเหมือนคิดไม่ทันเสียแล้ว เขารู้เพียงปลายลิ้นของคนผู้นั้นแทรกเข้ามาระหว่างฟันของเขาอย่างคล่องแคล่ว ไล่เลียลิ้นอันไวต่อสัมผัสของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาสติสัมปชัญญะของเขาปั่นป่วนกลายเป็นกลุ่มก้อนแห่งความสับสนปนเป ตัดแยกตัวเขาออกจากโลกรอบด้าน

เขามีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างที่คล้ายกับภาพลวงตา

รู้สึกว่าตนเองอาจขึ้นมาบนเรือโจรลำหนึ่ง จุดหมายที่มุ่งไปนั้นไม่ใช่วังหลวง หากแต่เป็นรังโจร รังโจรที่เข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้เช่นนั้น

 

* เหลียงฉา หรือจับเลี้ยง คือเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น

** ดอกท้อบานสะพรั่ง ในที่นี้เป็นการเปรียบเปรยว่าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เลือดออกเหมือนดอกท้อสีแดงที่บานสะพรั่ง

* มีที่มาจากสำนวน ‘กินน้ำส้มสายชู’ ซึ่งแปลว่าหึงหวง

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: