ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 118
ลมพัด
เมื่อมีความตรงไปตรงมาและกระตือรือร้นของจีอวิ๋นซี ซ่งเสวียนจึงเดินทางไปบนเส้นทางน้ำสามร้อยหลี่นี้อย่างอกสั่นขวัญแขวนไปทีละก้าวๆ อย่างแท้จริง
ปีนั้นจีอวิ๋นซียังเป็นเด็กหนุ่ม แม้จะแปลกแปร่งอยู่บ้าง แต่ก็ยังกล่อมง่าย ยามทั้งคู่อยู่ด้วยกันเขาก็มักจะรู้ว่าความพอเหมาะพอดีอยู่ที่ใด
ทว่าบัดนี้ห่างกันไปหลายปี แม้จีอวิ๋นซีจะตรงไปตรงมากว่าเดิม ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงมักจับจังหวะการกระทำของเขาได้อยู่หมัดและยั่วเย้าจนเขาปั่นป่วนไปหมด
บัดนี้เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ หากถอยก้าวหนึ่งเด็กคนนี้ก็จะยิ่งตามติดเข้ามาราวกับเหนียนผีถัง* แต่หากเขาทำใจแข็ง จะก้าวออกมาขีดเส้นแบ่งเขตให้ชัดเจน คนผู้นี้ก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วหลบฉากไป ราวกับไม่เคยทำสิ่งใดทั้งสิ้น
ซ่งเสวียนถูกอีกฝ่ายปั่นป่วนจนนอนหลับไม่เป็นสุข หลายวันเข้าเพียงแค่หลับตาก็ยังเห็นภาพที่ชวนให้หน้าแดงหูแดงได้
กระทั่งเขาตื่นขึ้นมาแล้วก็จะเห็นเพียงเสาตั้งค้ำฟ้า เขาทั้งอิหลักอิเหลื่อและทั้งอับอาย แต่ก็รู้สึกโชคดีที่กิริยาน่าอายนี้ของตนไม่ถูกจีอวิ๋นซีพบเห็นเข้า ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีก
ผ่านไปสามวัน ในที่สุดเรือก็เทียบท่า
ซ่งเสวียนใต้ตาดำคล้ำอย่างมาก เดินลงจากเรือไปโดยไม่รอจู้หยางกับจีอวิ๋นซีที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อลงจากเรือก็เห็นที่ท่าเรือด้านนอกมีพื้นที่ว่างผืนใหญ่
ตรงกลางที่ว่างนั้นมีบุรุษสวมชุดแพรยืนอยู่สองสามคน ซ้ำยังนำขบวนเหล่าองครักษ์และพ่อบ้านหลายสิบคนมาด้วย ทั้งแก่เฒ่าเยาว์วัยล้วนมีทั้งหมด แต่ละคนแต่งกายกันไม่ธรรมดา ดวงตาเฉียบคมเปล่งประกาย เมื่อเห็นซ่งเสวียนเดินออกมาสายตาก็เลื่อนมาจับจ้องที่เขาอย่างพร้อมเพรียง จ้องจนร่างเขาแทบจะพรุนเหมือนกระชอนอยู่รอมร่อ
ผู้อาวุโสเคราขาวที่นำอยู่ด้านหน้าเห็นเขาแต่งกายเป็นนักพรตเต๋าก็ยิ้มตาหยีเดินเข้ามา “ท่านนักพรต ได้โปรดรั้งฝีเท้าก่อน”
ซ่งเสวียนสายตาไม่ขยับเขยื้อน เขารู้ว่าผู้อาวุโสตรงหน้ามิได้ร่ำรวยหรือเป็นชนชั้นสูงอันใด เป็นไปได้มากว่ามิได้มุ่งเป้ามาทางเขา
แล้วก็เป็นดังคาด ผู้อาวุโสยิ้มแย้มอบอุ่นอ่อนโยนพลางถามว่า “เรือลำนี้ของท่านนักพรตมุ่งไปที่ใดหรือ บนเรือยังมีผู้อื่นอยู่อีกหรือไม่”
ซ่งเสวียนไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดจึงไม่ได้ตอบในทันที “ผู้อาวุโสต้องการตามหาคนหรือ”
ผู้อาวุโสยิ้มพลางว่า “ข้าต้องการตามหาบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง รูปร่างคล้ายกับท่านนักพรตนี่ล่ะ รูปโฉมไม่ธรรมดา ลักษณะดั่งท่านเว่ยคนงาม* ท่านนักพรตเคยเห็นหรือไม่”
ซ่งเสวียนฟังแล้วก็กำลังจะพูด แต่กลับได้ยินเสียงคนด้านหลังเอ่ยขึ้นก่อน “ที่ท่านอัครเสนาบดีไป๋กล่าวถึงคงมิใช่ข้าผู้เป็นองค์ชายกระมัง”
ซ่งเสวียนได้ยินเสียงนั้นแล้วก็นิ่งงันไปทันที ครั้นเสียงสะบัดแขนเสื้อถวายบังคมทั้งด้านหน้าด้านหลังก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่ว ทุกคนล้วนเอ่ยเรียกองค์ชายสาม
มาหาองค์ชายผู้ไม่อยู่กับร่องกับรอยผู้นี้ดังคาด
รอจนซ่งเสวียนได้สติอีกครั้ง รอบด้านเหลือเพียงสองคนที่ยืนเชิดหน้านิ่ง คนหนึ่งคือเขา ส่วนอีกคนยืนอยู่ข้างกายเขา
“คิดอะไรอยู่” จีอวิ๋นซีถามเขา
“ผู้อาวุโสท่านนี้เยินยอเจ้าเป็นเว่ยเจี้ย เจ้าก็กล้ารับเสียด้วย” ซ่งเสวียนเอ่ยทันที
จีอวิ๋นซีหัวเราะออกมาเบาๆ “หรือว่าในใจของพี่ชาย ข้ามิอาจเทียบเขาได้เล่า”
ซ่งเสวียนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใดดี…ไหนเลยจะมีองค์ชายผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของแคว้นใดเปรียบความงามของตนกับผู้อื่นเช่นนี้
เหล่าขุนนางลุกขึ้นยืนกันทั้งหมดแล้ว สายตาร้อนแรงเลื่อนจากซ่งเสวียนมายังจีอวิ๋นซี แม้แต่ปลายผมก็ยังมองอยู่เนิ่นนานเหมือนกลัวว่าเขาออกมาครานี้จะน้ำหนักลดลงไปอย่างไรอย่างนั้น
จีอวิ๋นซีเพิ่งหันไปมองผู้อาวุโสผู้นั้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ข้าเพิ่งออกไปไม่กี่วัน ท่านอัครเสนาบดีไป๋ข่าวไวเสียจริง”
อัครเสนาบดีไป๋ผู้นั้นคล้ายคุ้นชินกับการทำสิ่งต่างๆ ขององค์ชายสามเสียแล้ว เขาไม่หวั่นไหว ทั้งยังยิ้มแย้มพูดจาเช่นปกติ “บัดนี้สำหรับกระหม่อมแล้วเรื่องขององค์ชายสามนับเป็นเรื่องใหญ่อันดับแรก ข่าวไม่ไวไม่ได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่แปลกใจเลยที่อัครเสนาบดีไป๋จะมารออยู่ที่ท่าเรือแต่เช้า หลายวันมานี้เหล่าขุนนางทั้งบนและล่างต่างต้องเหน็ดเหนื่อยอลหม่านกันไปหมด
กี่ยุคสมัยในประวัติศาสตร์ของต้าเหยาก็ยังไม่เคยเห็นองค์ชายผู้สืบทอดราชบัลลังก์หายไปอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยเช่นนี้
มีองค์ชายองค์ใดบ้างที่ก่อนจะได้ขึ้นสู่บัลลังก์แล้วไม่มีการเตรียมพร้อมเฝ้ารอ คอยจับตามองทุกฝีก้าวราวกับกลัวว่าเป็ดต้มสุกจะบินหนีไป** ทว่าองค์ชายองค์นี้กลับทำตัวดีนัก ไม่เพียงตบก้นหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ยังไม่ทิ้งเอาไว้ เพียงบอกว่าจะกลับมา แต่ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าจะกลับมาเมื่อใด
เหล่าขุนนางพากันปวดศีรษะยิ่งนัก ผู้มีตำแหน่งอำนาจสูงส่งอย่างอัครเสนาบดีไป๋ก็ไม่กล้าดุว่าองค์ชายต่อหน้าผู้อื่น ได้แต่กล่อมเกลาเคารพนบนอบพูดด้วยน้ำเสียงดีๆ ก่อนเชิญกลับวังหลวงอย่างระมัดระวัง
อัครเสนาบดีไป๋ผู้นี้ยังมิวายมองสำรวจซ่งเสวียนอีกครา “อาจารย์ท่านนี้คือ…”
“พวกเจ้าจะตั้งราชครูกันมิใช่หรือ” ดวงตาของจีอวิ๋นซีมีแววเสียดสีฉายวาบอย่างเลือนราง “นี่ก็คือราชครูของข้าอย่างไรเล่า”
ครั้งนี้ทุกคนรู้สึกราวกับต้องเผชิญสายฟ้าฟาดกลางท้องฟ้าแจ่มใส พากันจับจ้องซ่งเสวียนปากอ้าตาค้าง
อัครเสนาบดีไป๋เป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา เขาพินิจซ่งเสวียนอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง คล้ายว่าในที่สุดก็จดจำได้แล้ว “หรือว่าท่านนี้คือ…ซ่งเสวียน อาจารย์ซ่ง?”
ครานั้นซ่งเสวียนปรากฏกายโดดเด่นที่เมืองเซิ่งจิง เขาเคยโผล่หน้ามาเพียงแค่ในงานเลี้ยงอายุวัฒนะเท่านั้น ทุกคนจึงนึกไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะ
ทว่าเมื่ออัครเสนาบดีไป๋เอ่ยขึ้น ทุกคนก็ค่อยๆ นึกออก ครั้งจีหุยยังอยู่มีอาจารย์ซ่งผู้หนึ่งอยู่จริงๆ อาจารย์ผู้นั้นเป็นที่เล่าขานอย่างพิสดาร ทว่ากลับปรากฏกายเพียงชั่วครู่ก็หายไป
เวลานี้ต่อให้ซ่งเสวียนต้องเสแสร้งก็ต้องเสแสร้งทำเป็นสงบนิ่งดังปกติธรรมดา เขาประสานมือเบาๆ “ซ่งเสวียนพบใต้เท้าทุกท่านแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรทำความเคารพตอบหรือไม่
อัครเสนาบดีไป๋มีสายตาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กลับเห็นสายตาของจีอวิ๋นซีที่กำลังมองพวกเขาอย่างเย็นเยียบ คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง ใจก็เย็นวาบ รีบคำนับตอบ “กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี”
สายตาเย็นเยียบนั้นจึงค่อยถูกเก็บคืนกลับไป
อัครเสนาบดีไป๋แย้มยิ้มดุจลมวสันต์ ทว่าในก้นบึ้งดวงตานั้นกลับมีความกังวลอยู่บางเบา
องค์ชายสามผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง ครานั้นผู้ใดล้วนไม่คาดคิดว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะกลายเป็นผู้ชนะ บัดนี้หนึ่งคือเขาไม่มีไท่ฟู่* ผู้เป็นอาจารย์ สองคือเขาไม่มีญาติฝั่งมารดา สามคือเขาไม่มีภรรยาและบุตร ทั้งยังเป็นเจ้าชีวิตซึ่งอยู่นอกเหนือธรรมเนียมทั้งปวง
ไม่กี่ปีมานี้อัครเสนาบดีไป๋มองดูด้วยสายตาสงบนิ่งใจเย็น องค์ชายสามผู้นี้ดูไม่เหมือนองค์ชายผู้สืบบัลลังก์ของแคว้น แต่กลับวางท่าทีคล้ายคนร่อนเร่หนีเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวัง
อัครเสนาบดีไป๋รู้สึกกลัวไม่น้อย หากวันหน้าคนผู้นี้ขึ้นนั่งบัลลังก์แล้วก่อปัญหาขึ้นเมื่อใด ทั่วทั้งต้าเหยาจะมีผู้ใดห้ามปรามเขาได้อีก หากมิใช่ถูกบีบคั้นจนสิ้นไร้หนทาง พวกเขาก็คงไม่ยินยอมเสนอตำแหน่งเช่นราชครูนี้ขึ้นมา
หากราชครูหุ่นเชิดของจีอวิ๋นซีขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว
ว่าแล้วก็อดมองสำรวจซ่งเสวียนอีกคราไม่ได้
จีอวิ๋นซีกำลังกล่าวสิ่งใดเบาๆ ข้างหูซ่งเสวียน “พี่ชายกลับไปกับข้าเถิด”
ซ่งเสวียนส่ายหน้า ไหนเลยจะยอมตอบรับ “ข้าอยากอาศัยอยู่ข้างนอกจะได้ขยับตัวง่ายหน่อย ไม่ได้พบกันหลายปีต้องไปพูดคุยกับฟางชิวถังเสียหน่อย”
“หากเจ้าอยากพบเขา เรียกเขามาเสียก็สิ้นเรื่อง” จีอวิ๋นซีแค่นจมูก “อีกอย่างพี่ชายไม่คิดไปเยี่ยมเจ้าหมาโง่หรือ”
พูดถึงตรงนี้ซ่งเสวียนก็ตาวาว
สถานการณ์ในงานเลี้ยงอายุวัฒนะครานั้นฉุกละหุกยิ่ง เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าหมาโง่แล้วเขาจึงได้มอบมันให้กับจีหุย ตอนที่จะจากไปแม้จีหุยจะบอกว่าไม่อยากได้มัน แต่เขาก็ไม่สะดวกจะพามันไปด้วย
บัดนี้ไม่ได้พบกันหลายปี กลับเป็นจีอวิ๋นซีที่ช่วยเลี้ยงมันเอาไว้ จะไม่ให้เขาประหลาดใจระคนดีใจได้อย่างไร
คิดมาถึงตรงนี้ซ่งเสวียนก็ตอบรับคำชวนอย่างยินดี นั่งรถม้าคันเดียวกับจีอวิ๋นซี ปล่อยให้จีอวิ๋นซีหึงหวงอย่างไร้สาเหตุไปเพราะคิดว่าตนยังสู้สุนัขไม่ได้ ในใจนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
กลับเป็นพวกอัครเสนาบดีไป๋ที่ตามหลังมาต้องพากันขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
สุดท้ายอัครเสนาบดีไป๋ก็ขึ้นรถม้าไปก่อน ครั้นเขาเห็นรถม้าคันหน้าแล่นฉิวไปก็ทอดถอนใจเบาๆ “ลมพัดแล้ว”*
* เหนียนผีถัง เป็นคำสแลงที่ใช้เรียกคนที่ตามตื๊อ เกาะติด และน่ารำคาญเหมือนขนมผีถัง ซึ่งเป็นขนมหวานที่ทำจากผิวของผลไม้บางชนิด หรือเป็นขนมที่เหนียวๆ คล้ายตังเม คล้ายมาร์ชเมโล
* เว่ยคนงาม หมายถึงเว่ยเจี้ย หนึ่งในสี่บุรุษรูปงามตามประวัติศาสตร์ของจีน เป็นบัณฑิตนักคิดที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์จิ้นและเว่ย
** เป็ดต้มสุกจะบินหนีไป เป็นการเปรียบเปรยถึงสิ่งที่อยู่ในกำมือหลุดลอยไป ผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างแน่นอนแล้วสูญเสียไป
* ไท่ฟู่ คือตำแหน่งอาจารย์ที่คอยถวายคำแนะนำทางการปกครองและขนบจารีตประเพณีแด่ฮ่องเต้
* ลมพัดแล้ว เปรียบเปรยถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป มีความไม่สงบ เป็นสัญญาณของบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
บทที่ 119
มารผจญ
ช่วงสองสามวันแรกที่ซ่งเสวียนกลับมาเมืองหลวง เขาใช้ชีวิตอย่างสงบราบเรียบและอิสระยิ่ง สาเหตุหลักอาจเป็นเพราะในที่สุดจีอวิ๋นซีที่คอยยั่วเย้าปั่นป่วนเขาอยู่ตลอดคนนั้นได้ถูกภาระเรื่องราวมากมายมารั้งตัวไว้เสียที
ก่อนที่ฮ่องเต้องค์ใหม่จะสืบทอดราชบัลลังก์ จีอวิ๋นซีก็หนีหายโดยไม่สนใจสิ่งใด เรื่องต่างๆ มากมายที่สะสมคั่งค้างไว้นั้นอย่างไรก็ต้องมีคนคอยจัดการ จีอวิ๋นซีอาลัยรักอาวรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเหลือแสน ทว่าไม่ได้มีเวลาที่จะวนเวียนเกี่ยวพันอยู่ข้างกายซ่งเสวียนมากมายนัก
สิ่งนี้กลับทำให้ซ่งเสวียนรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง เนื่องจากเขาจะได้มีเวลาออกมาพบกับฟางชิวถัง
ซ่งเสวียนนั่งลงที่เหลาสุราแห่งหนึ่ง เขามองเห็นเงาร่างของฟางชิวถังจากที่ไกลๆ อีกฝ่ายยังคงมีรูปร่างเช่นเดิม ทว่ากิริยาท่าทางกลับแตกต่างจากกาลก่อน ยามที่ฟางชิวถังยกมือก้าวเท้าล้วนดูทะนงตนนัก ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเช่นจิ้งจอกยากแค้นเขี้ยวลากดินดังอดีต
แต่ก็ยังเป็นฟางชิวถังคนนั้น
ฟางชิวถังผลักประตูเข้ามาก็ได้ยินซ่งเสวียนเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อน “เศรษฐีจากที่ใดกัน อย่าได้อวดโอ่จนตาข้าบอดเสียก่อนเล่า”
ฟางชิวถังแค่นจมูก “นักพรตยากจนจากที่ใดกัน อย่าได้ทำให้เสื้อผ้าข้าสกปรกเสียก่อนเล่า”
ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว
ซ่งเสวียนก็หัวเราะเช่นกัน เขารินสุราให้อีกฝ่ายจอกหนึ่ง “เถ้าแก่ฟาง จากกันกลับมาอยู่ดีมีสุขหรือ”
ฟางชิวถังใช้กำปั้นต่อยเขาเบาๆ คราหนึ่ง “อิจฉาใช่หรือไม่ จดหมายก็ไม่มีมาสักฉบับ หากมิใช่ท่านสามฟู่คอยบอกข่าว ข้าก็คงไม่รู้ว่าเจ้ากลับไปที่เมืองซื่อฟางแล้ว บัดนี้ยังถูกเจ้าเด็กจีอวิ๋นซีนั่นกล่อมให้กลับมาอีก เจ้ามันนับเป็นสหายสายใดของข้ากันเล่า”
ซ่งเสวียนแกล้งเอ่ยหยอกเล่น “ข้าก็กลัวรบกวนเส้นทางทำมาหากินของท่านผู้อาวุโสน่ะซี บัดนี้กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่แล้ว ข้าคงมาฉกฉวยเอาของไปเปล่าๆ อยู่เรื่อยไม่ได้กระมัง”
ฟางชิวถังถีบเขาอีกคราหนึ่ง “เจ้านี่มันยิ่งเหน็บก็ยิ่งได้ใจ…”
ทว่าเท้าของฟางชิวถังเพิ่งวางลงก็ได้ยินเสียง “โอ๊ย…” ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามา เงาร่างสีขาวของสัตว์ตัวหนึ่งกระโจนมาตรงหน้าเขาแล้วก็ถูกซ่งเสวียนหิ้วกลับไปด้วยมือเดียว
“เจ้าหมาโง่ อย่าซน” ซ่งเสวียนลูบเจ้าสุนัข
ฟางชิวถังเพ่งมอง เป็นเจ้าหมาโง่จริงดังคาด หลายปีมานี้เขาก็เคยเห็นมันอยู่สองสามครั้ง แม้จะแข็งแรงเติบโตขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน แต่มันก็มักจะมีท่าทางหางลู่หูตกเสมอ บัดนี้ซ่งเสวียนกลับมาแล้วมันก็กระโดดโลดเต้นร่าเริงขึ้นมาอีกครา วิ่งวนรอบกายซ่งเสวียนไม่หยุด
“เจ้าพามันออกมาได้อย่างไร” ฟางชิวถังเห็นเจ้าหมาโง่ส่ายหัวส่ายหาง วิ่งวนรอบซ่งเสวียนอย่างร่าเริงก็ถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “ปกติเห็นมันก็ดูน่าเกรงขามอยู่หรอก แต่เหตุใดจึงโง่เง่าจนกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า”
ซ่งเสวียนโยนเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งไปให้ เห็นเจ้าหมาโง่งับเอาไว้แล้วส่ายหางเอาใจเขาก็พานยิ้มแย้มเอ่ยตอบ “ข้าทิ้งมันอยู่ตัวเดียวนานถึงเพียงนี้ เพิ่งได้พบข้ามันก็คงติดข้าแจนั่นล่ะ หากไม่พามันมาข้าคงออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างสุนัขกับแมว” ฟางชิวถังหรี่ตา เขาจ้องมองเจ้าหมาโง่ สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “เจ้าทิ้งสุนัขเอาไว้หกปี กลับมาอีกครามันก็ยังมาเลียเจ้าอย่างเบิกบานยินดี หากเจ้าทิ้งแมวเอาไว้ อย่าว่าแต่หกปีเลย ต่อให้เพียงครึ่งปีก็น่ากลัวว่ามันจะมาข่วนเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
ซ่งเสวียนมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเลี้ยงแมวรึ”
ฟางชิวถังส่ายหน้า ถอนหายใจ “ยุ่งยากกว่าแมวนัก”
เมื่อนั้นทั้งคู่จึงค่อยพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีมานี้
ซ่งเสวียนยังคงเป็นเช่นเดิม คอยวางกับดักหลอกลวงผู้อื่น ถือเอาสี่สมุทรเป็นบ้าน ใช้ชีวิตยากจนไม่มีสิ่งใดติดกาย ทว่ากลับอิสระสำราญใจนัก
ฟางชิวถังอยู่เมืองหลวงใช้ชีวิตเสี่ยงภัยกว่ามาก เขาตอบรับเพื่อเป็นสายลับแทรกซึมอยู่ในฝั่งรัชทายาททรราชให้กับจีอวิ๋นซี ถูกสงสัยมาหลายครั้งหลายครา สุดท้ายในเวลาคับขันเขาก็จู่โจมรัชทายาทจนถึงชีวิต
บัดนี้ทุกคนล้วนคิดว่าเถ้าแก่ฟางรั้งม้าหน้าผา* สุดท้ายก็มายืนอยู่ฝั่งจีอวิ๋นซี ไม่มีใครคิดว่าเขาคือหมุดที่จีอวิ๋นซีตอกฝังลงในฝั่งตรงข้ามมาเนิ่นนานแล้ว สุดท้ายก็นับว่าได้ผลดีงามตามที่ร้องขอ ไม่ได้เสียเวลาหลายปีเหล่านั้นไปโดยเปล่าประโยชน์
หากกล่าวถึงประสบการณ์หลายปีมานี้อย่างจริงจัง แม้แต่ฟางชิวถังเองก็ยังรู้สึกว่าเสี่ยงเหลือเกิน เกรงว่าเพียงไม่ระมัดระวังสักนิด แม้แต่ชีวิตก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว
ที่เรียกว่าความร่ำรวยต้องร้องขอท่ามกลางอันตรายนั้นก็เป็นเช่นนี้เอง
ซ่งเสวียนฟังแล้วก็ตกอยู่ในภวังค์ เขาเอ่ยถามไปตามเรื่องตามราวประโยคหนึ่งว่า “เช่นนั้นความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับจี้เซียวก็จงใจให้เกิดขึ้นเพื่อการนี้ด้วยหรือ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ฟางชิวถังก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “อะไรกัน เรื่องนี้ลือออกไปถึงข้างนอกแล้วรึ”
“ยิ่งกว่านั้นเสียอีก” ซ่งเสวียนหัวเราะออกมา “การทะเลาะกันดั่งมังกรกับพยัคฆ์ต่อสู้กันของพวกเจ้าสองคนน่ะ เกรงว่าแม้แต่หนังสือนิทานยังเอาไปเขียนด้วยกระมัง”
“พวกนักเล่านิทานนี่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ จมูกไวยิ่งกว่าสุนัข” ฟางชิวถังด่าไปประโยคหนึ่งแล้วจึงว่า “เจ้าเด็กน้อยจี้เซียวน่ะ มารดามันกล้ามางัดกับข้าจริงๆ”
ครานี้ซ่งเสวียนประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ เขารู้ว่าจี้เซียวคิดอย่างไรกับฟางชิวถัง ไหนเลยจะมาตั้งตนเป็นศัตรูกับฟางชิวถังด้วยความตั้งใจจริง
ฟางชิวถังลูบจมูก “เรื่องนี้…ถึงอย่างไรข้าก็ไม่พูดแล้ว…นับว่าข้าสู้เขาไม่ได้ แต่เจ้าเด็กนั่นก็ยังเจ้าคิดเจ้าแค้น เรื่องเล็กจิ๋วเท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงายังจับแน่นไม่ปล่อย…มารดามันเถอะ ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องเจ้าลูกกระต่ายนั่นแล้ว” ฟางชิวถังพูดอีกสองประโยคอย่างไม่ปะติดปะต่อ เขารู้สึกรำคาญ จึงโบกมือสองสามคราแล้วก็รินสุราจอกใหญ่ให้ตนเองเต็มจอก “พูดเรื่องสนุกสนานดีกว่า คนถ่อยอย่างเจ้าเที่ยวร่อนเร่อยู่หกปี กลับมาก็จะได้รับตำแหน่งแล้วหรือ” ฟางชิวถังพูดเรื่องนี้แล้วก็หัวเราะฮี่ๆ ดวงตาจิ้งจอกดูไม่ประสงค์ดีเป็นพิเศษ “ข้าได้ยินมาหมดแล้ว ถึงกับเป็นราชครู…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเสวียนดูขมขื่นเล็กน้อย “สิ่งนี้คงเป็นชะตาลิขิตกระมัง”
ฟางชิวถังเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็รู้ว่าเขายังคงเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนคือไม่ได้มาเพื่อเกาะผู้ใดไต่เต้า “อะไรกัน น้องชายตัวดีของเจ้าอีกแล้วรึ ไม่ถูก ตอนนี้จะไปเรียกเช่นนั้นไม่ได้แล้ว อีกสองสามวันก็ต้องเรียกฝ่าบาทแล้ว” ปากฟางชิวถังพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้ากลับไม่เห็นความเคารพสักเท่าใด ทั้งยังหัวเราะพรวดออกมาอีก “ซ่งเสวียน เขาน่ะไม่ใช่คนที่เจ้าจะต่อกรด้วยอย่างง่ายดายได้ เขาน่ะเหนือชั้นกว่าจีอวิ๋นอี้ไม่เพียงแค่ระดับเดียวเสียด้วยซ้ำ ข้าฟางชิวถังไม่เคยยอมศิโรราบแก่ผู้ใด หากกล่าวถึงเรื่องฝีมือโหดเหี้ยมอำมหิตแล้ว เช่นนั้นเขาก็คือคนที่ข้ายอมแพ้” ฟางชิวถังว่าพลางทำท่าชื่นชมเขา
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนที่อยู่ในเมืองเซิ่งจิงนี้ฟางชิวถังผ่านประสบการณ์ใดมา กับจีอวิ๋นซีแล้วเขาจึงได้ดูคุ้นเคยและคล้อยตามอยู่หลายส่วน แต่ก็ดูมีความชิงชังแฝงอยู่ในความกริ่งเกรงด้วย
ในใจซ่งเสวียนกระจ่างชัดว่าบัลลังก์ฮ่องเต้ของจีอวิ๋นซีนั้นมิได้เพียงหยิบขึ้นมาได้เฉยๆ ระหว่างนั้นมีเรื่องราวมากมายที่จีอวิ๋นซีไม่ได้กล่าวถึง และเขาก็รู้อยู่แก่ใจบ้างแล้วเช่นกัน จึงได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ “ข้ารู้”
“เจ้ารู้แล้วยังกล้ากลับมาอีกรึ” ฟางชิวถังถลึงตาใส่เขา “ซ่งเสวียน เจ้าคิดว่าก่อนหน้านี้เจ้าไปได้เพราะเขายอมปล่อยมือหรือ หากแต่เป็นเพราะฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงมีชีวิตอยู่ เขาจึงรั้งเจ้าไม่ได้ ทว่าตอนนี้…”
“ตอนนี้เขาต้องการข้า” ซ่งเสวียนเอ่ยต่อประโยคด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ชิวถัง ข้าตกลงกับเขาเอาไว้หกปี หกปีให้หลังจะทำอย่างไรเราค่อยตัดสินใจกันอีกครา แต่ตอนนี้เขาต้องการข้า”
ฟางชิวถังจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกยาว “ซ่งเสวียน สมน้ำหน้าเจ้าแล้วที่ถูกเขาพันธนาการเอาไว้ นี่ก็คือมารผจญของเจ้า”
ซ่งเสวียนคีบอาหารให้อีกฝ่าย เขายิ้มแย้มพลางเอ่ย “ก็ถือเสียว่าเป็นเช่นนั้นแล้วกัน”
ฟางชิวถังแค่นจมูก “คอยดูเถิด ก่อนเขาจะได้ขึ้นสู่บัลลังก์ คงได้มีเหตุนองเลือดคละคลุ้งอีกเป็นแน่”
ซ่งเสวียนชะงักกิริยาไปเล็กน้อย “เรื่องนี้คืออย่างไร”
“เขาอยากให้เจ้าเป็นราชครูก็ต้องกวาดเอาหินที่เจ้าจะสะดุดตามรายทางทั้งหลายทิ้งให้สะอาดเอี่ยม” ฟางชิวถังแววตาดูซับซ้อน “เจ้าคอยดูแล้วกัน ตอนนี้บรรดาขุนนางในราชสำนักรู้เพียงว่าเขาโหดเหี้ยม แต่ไม่รู้ว่าเขาสกปรกเพียงใด เอาไว้ครั้งนี้ผ่านพ้นพวกเขาก็จะได้รู้เอง”
จีอวิ๋นซีต้องการทำสิ่งใดให้สำเร็จ เขาก็จะต้องทำให้ได้และจะทำให้คนที่คัดค้านเขานึกเสียใจกันแทบไม่ทัน
* รั้งม้าหน้าผา หมายถึงได้สติกลับตัวทันเมื่อเผชิญอันตราย เช่นเดียวกับการดึงสายบังเหียนหยุดม้าตรงริมขอบผาชันได้ทันท่วงที
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 3
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.