ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 6
อาจารย์
เมื่อผ่านพ้นเรื่องนี้ไปบรรยากาศระหว่างพวกเขาก็ผ่อนคลายลง แต่ถึงอย่างไรก็ยังถูกกักขัง ทั้งคู่จึงคล้ายไม่สนใจจะพูดคุยสิ่งใดกัน
เวลาเที่ยงวันมาถึง ท้องของซ่งเสวียนก็หิวจนร้องจ๊อกๆ อดไม่ได้ต้องเอนกายลงพลางทอดถอนใจ “ข้าไม่กลัวโจรป่าจะมาฆ่าหรอก กลัวแต่จะหิวจนกลายเป็นคนตากแห้งมากกว่า”
พูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องเก็บฟืน ซ่งเสวียนเดาว่ามีคนมาส่งอาหารให้พวกเขาแล้ว
โจรป่าด้านนอกเดินพลางร้องเพลงในลำคอ ซ่งเสวียนเงี่ยหูฟังจนพบว่านั่นเป็นบทเพลงรักวาบหวามที่ตนเคยฟัง “ผ้าห่มแพรแดง เตียงงาช้าง อ้อมแขนกอดเจ้ายอดดวงใจไม่ห่าง”
จีอวิ๋นซีฟังแล้วขัดเขินจนต้องเบือนหน้าหนี ไม่ยอมส่งเสียงใดๆ
โจรป่าผู้นั้นไม่รู้สึกว่าเพลงที่ตนร้องมีสิ่งใดไม่เหมาะไม่ควร หลังผลักประตูเข้ามาก็ร้องต่อ “คนรักนิทรา ถอดผ้าอาภรณ์ ก่อนแลบลิ้นซอกแซกแสนหวาน…”
จีอวิ๋นซีกระแอมกระไอออกมาคราหนึ่ง
ซ่งเสวียนพลันหัวเราะร่า ร้องเพลงต่อจากโจรป่าผู้นั้น “…เรียกพี่สักคำค่อยหยอกเอิน อย่าเพลินจนพานให้เจ้าตกใจตื่น แม่ยอดดวงใจ คนหล่อเหลานี้ไซร้ จะทิ้งรอยรักไว้บนเรือนร่าง”
โจรป่าได้ยินเสียงเขาก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็แย้มยิ้มร้ายกาจ “บัณฑิตยากจนอย่างเจ้า หน้าตาก็ดูโง่เง่าซื่อบื้อ แต่กลับไม่ใช่คนซื่อตรงอันใด”
ซ่งเสวียนหาได้ถือสา เพียงยิ้มรับพลางประสานมือ “กาดำหัวเราะหมูดำ* พี่ชายกับข้าก็เป็นพวกเดียวกัน”
เดิมทีโจรป่าผู้นี้เป็นคนเฝ้าห้องเก็บฟืน มีหน้าที่คอยส่งข้าวส่งน้ำ พอได้ยินซ่งเสวียนร้องเพลงรักวาบหวามก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกมักมากในกามเช่นเดียวกัน ในใจจึงรู้สึกสนิทสนมขึ้นหลายส่วน
เขาไม่ได้ทำหน้าตาโหดเหี้ยมดุร้ายอีก กลับกันยังยิ้มแย้มหน้าบาน “เจ้าบัณฑิต ข้าวกลางวันเดี๋ยวเจ้าค่อยกิน ไปกับข้าก่อน หัวหน้าใหญ่ของเรากลับค่ายแล้ว อยากจะพบเจ้าสักหน่อย”
ซ่งเสวียนพยักหน้า หางตาเหลือบมองจีอวิ๋นซีที่ยังนั่งอยู่ตรงมุมแล้วยิ้มเอ่ย “รบกวนพี่ชายนำทาง”
ซ่งเสวียนพลิกแพลงปรับตัวรวดเร็วเสมอมา เขาเคยคลุกคลีกับคนทุกชนชั้นจนรู้ไส้รู้พุง เพียงพูดคุยกันไม่กี่ประโยคระหว่างทางเขาก็สนิทสนมกับโจรป่าผู้นั้นเป็นอย่างดี
“พี่ชายอะไรกัน เรียกข้าว่าอู๋ซื่อเถิด” โจรป่าผู้นั้นโอบไหล่ซ่งเสวียน ทั้งคู่หัวเราะเฮฮาพลางเดินออกไป “ข้าจะบอกให้นะ เจ้าไม่ต้องกลัว ครั้งนี้ไม่ได้จะทำร้ายเจ้า แต่มีเรื่องดีใหญ่หลวงรอเจ้าอยู่”
ซ่งเสวียนถามไปตามเรื่อง “เรื่องดีอันใดหรือ”
อู๋ซื่อพูดอย่างมีลับลมคมใน “เรื่องนี้บอกเจ้าก่อนไม่ได้ แต่คนที่อยากให้ถึงคราวตนบ้างยังน่ากลัวว่าจะไม่มีวันนั้นเลย”
ซ่งเสวียนคล้ายจับทางบางอย่างได้แล้ว แต่ยังพูดหยอกล้อไปเรื่อย “หัวหน้าใหญ่ของพวกเจ้าคงไม่จับข้าไปเป็นฮูหยินหัวหน้าโจรกระมัง ข้าเห็นแล้ว เจ้าเด็กที่ถูกขังอยู่ร่วมกับข้าหน้าตางดงามดุจจันทราบุปผชาติ พี่ใหญ่ของพวกเจ้าน่าจะชื่นชอบแนวนั้นมากกว่า”
อู๋ซื่ออดไม่ได้ต้องถองศอกใส่เขาคราหนึ่ง “อย่าพูดจาเหลวไหล ระวังหัวหน้าใหญ่ของเราจะอัดเจ้าจนสมองไหลออกมา” ว่าจบเขาก็เอ่ยต่อด้วยท่าทีลังเล “เจ้าเด็กป่วยในห้องเก็บฟืนนั่น เจ้าอย่าได้ไปสนทนาด้วยเชียว หัวหน้าใหญ่ของเราจับเขากลับมาด้วยตนเอง ตอนแรกบอกว่าจะเอามาเรียกค่าไถ่ แต่บัดนี้ไม่รู้อย่างไร ค่าไถ่หรือก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ยังไม่รู้ว่าวันหน้าจะจัดการอย่างไรเลย”
ซ่งเสวียนเอ่ยด้วยความสงสัย “เขาดูเป็นคุณชายตระกูลใหญ่โตแท้ๆ เหตุใดจึงไม่ได้ค่าไถ่มาเล่า”
อู๋ซื่อว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ พวกเราทำงานเช่นนี้มามาก ไม่ว่าคนแบบใดล้วนเคยพบเจอ พวกคนร่ำรวยน่ะโสโครกนัก ที่เห็นแก่เงินมากกว่าชีวิตคนก็มีอยู่ไม่น้อย” พูดมาถึงตรงนี้อู๋ซื่อก็ถอนหายใจ “เจ้าเด็กป่วยนั่นโชคไม่ดีจริงๆ คาดว่าคนที่บ้านเห็นเขาหมดหนทางเยียวยาแล้วจึงไม่ยอมจ่ายเงินแลกกับตัว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะป่วยตายไปสักที จะได้ไม่เอาเสนียดมาติดพวกเรา”
ซ่งเสวียนทำทีเห็นด้วยพยักหน้าคล้อยตามอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นพวกเดียวกับโจรป่าไปแล้ว
หลังจากพูดคุยกันมาตลอดทาง อู๋ซื่อก็พาซ่งเสวียนมาถึงหน้าเรือนหลัก โถงเรือนผ่านการตกแต่งอย่างหยาบๆ แต่นับว่ากว้างขวางทีเดียว เก้าอี้ปูหนังเสือตรงกลางมีคนนั่งอยู่สองคน คนที่นั่งทางขวาคือรองหัวหน้าที่บังคับพาตัวซ่งเสวียนขึ้นเขามา ส่วนที่นั่งทางซ้ายเป็นบุรุษคิ้วตาคมเข้ม น่าจะเป็นหัวหน้าใหญ่ที่อู๋ซื่อกล่าวถึง
อู๋ซื่อกระทุ้งเอวซ่งเสวียนพลางทำปากบุ้ยใบ้ว่า ‘มีไหวพริบหน่อย’ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง “หัวหน้าใหญ่ ข้าพาคนมาแล้ว”
ซ่งเสวียนเดินเข้าไปโดยไม่มีสีหน้าเกรงกลัว จากนั้นก็โค้งคำนับ “ข้าน้อยซ่งเสวียน คารวะท่านหัวหน้าค่าย”
เห็นเขาทำเช่นนี้ ดวงตาของหัวหน้าใหญ่ก็ฉายแววชื่นชมเพิ่มขึ้นหลายส่วน “น้องชาย เจ้านี่กล้าหาญไม่เบา”
หัวหน้าใหญ่ผู้นั้นมีกลิ่นอายอย่างคนรากหญ้าทั้งตัว พูดจาตรงไปตรงมา สอบถามเรื่องทางบ้านซ่งเสวียนไปเรื่อย เมื่อเห็นเขาเอ่ยตอบคล่องแคล่วไม่หวาดกลัวก็หันไปพูดกับรองหัวหน้าว่า “เจ้าบอกว่าเขาไม่ไหว แต่ข้ากลับเห็นว่าเขาไม่เลว ค่ายนี้ของเจ้าไม่ต้องการเขา แล้วจะไปจ้างตาเฒ่าหนอนหนังสือยากจนที่ใดมาล่ะ น่ากลัวว่าแค่เข้ามาถึง เจ้านั่นก็ตกใจกลัวจนปัสสาวะราดกางเกงแล้ว”
รองหัวหน้าพยักหน้าคล้อยตาม “พี่ใหญ่คิดอ่านรอบคอบเช่นเคย”
หัวหน้าใหญ่หันกลับมาพูดกับซ่งเสวียน “น้องซ่ง สภาพที่นี่เจ้าก็เห็นแล้ว ข้าไม่ได้จับเจ้าไว้ด้วยจุดประสงค์อื่นใด เพียงแต่พวกเราล้วนเป็นบุรุษหยาบกระด้างไม่รู้หนังสือ ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องเข้าป่ามาเป็นโจร แม้แต่คนรู้หนังสือสักคนก็ไม่มี ทำการใดไม่สะดวกจริงๆ ข้าเห็นน้องชายมีการศึกษาอยู่บ้าง ทั้งยังซื่อตรงทรงคุณธรรม ไม่ทราบว่าจะยินยอมสาบานเป็นพี่น้องกับเราสองคนและตั้งรกรากที่นี่หรือไม่”
ซ่งเสวียนเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงจับเขาขึ้นเขามา
นั่นเพราะบนเขาขาดอาจารย์
ซ่งเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
หากเป็นเมื่อก่อนใช่ว่าเขาจะรั้งอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็เคยเป็นนักต้มตุ๋นที่คอยทำนายชะตาไปเรื่อยผู้หนึ่ง เมื่อเทียบกับอาจารย์ในหมู่โจรป่าแล้วย่อมไม่อาจเทียบได้ว่าฐานะใดสูงต่ำกว่ากัน
ไม่ทำนายชะตาอยู่ในเมืองอันติ้ง แต่มาให้คำแนะนำส่งเดชกับคนในค่ายโจรก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
เพียงแต่ตอนนี้ในค่ายโจรขังจีอวิ๋นซีเอาไว้ ซ่งเสวียนจึงคิดไม่ตก เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าเหตุใดจีอวิ๋นซีถึงถูกขังอยู่ในค่ายโจรป่าแห่งนี้ หากจู่ๆ วังหลวงคิดชำระแค้นขึ้นมา เกรงว่าเขาที่เพิ่งเป็นอาจารย์หัวสุนัข* ก็อาจโดนตัดหัวไปด้วย
สายตาของซ่งเสวียนฉายแววลังเล เขาคิดในใจว่าหากอ่านความทรงจำหัวหน้าใหญ่ผู้นี้ได้ก็คงจะดี
น่าเสียดายที่เมื่อก่อนเขาใช้การทำนายชะตามาเป็นข้ออ้างในการสัมผัสคน แต่บัดนี้กลับไม่มีเหตุผลใดที่ฟังขึ้น…เว้นเสียแต่จะเรียกตนเองเป็นพวกตัดแขนเสื้อ** ทั้งยังต้องแสดงท่าทางหื่นกระหายจนยากจะทานทน
เมื่อเห็นซ่งเสวียนเอาแต่นิ่งเงียบ รองหัวหน้าก็เริ่มทนไม่ไหว “มากเรื่องเสียจริง เจ้าสงสัยประการใดมิสู้ถามออกมาตามตรง”
ในใจซ่งเสวียนมีข้อสงสัยอื่นอยู่จริงๆ จึงไม่กล้าพูดจาหุนหันพลันแล่น “เรื่องราวใหญ่โต ให้ข้าน้อยได้คิดสักคืนแล้วค่อยให้คำตอบได้หรือไม่”
รองหัวหน้ายิ่งไม่พอใจ “ค่ายโจรของข้ามิใช่ตลาดสด เจ้ายังเลือกนั่นเลือกนี่อีกรึ”
ซ่งเสวียนรีบเอ่ย “ใช่ว่าข้าน้อยไม่พอใจกับข้อเสนอ เพียงแต่คนแก่และเด็กที่บ้านไร้คนดูแล พวกเขาอุตส่าห์ส่งเสียข้าน้อยเล่าเรียนตั้งหลายปี แต่ข้าน้อยกลับไม่อาจหาเงินตอบแทน เท่านี้ก็รู้สึกผิดมากแล้ว บัดนี้ยังต้องจากบ้านไปอีก ข้าน้อยยากจะสงบจิตใจได้จริงๆ”
คำพูดเช่นนี้กลับทำให้รองหัวหน้าลังเลขึ้นมาบ้าง สุดท้ายหัวหน้าใหญ่จึงเป็นผู้กล่าว “ช่างเถิด เอาตามที่เจ้าว่า พรุ่งนี้เรามาตกลงกันใหม่”
พูดจบก็ฝากคนจัดแจงห้องใหม่ให้ซ่งเสวียน
ในใจซ่งเสวียนยังอยากรู้ว่าจีอวิ๋นซีอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลใดจึงรีบปฏิเสธ “ข้าน้อยยังไม่ได้เข้าร่วมกับค่ายนี้ มิกล้ารบกวนพี่ชายทุกท่าน นอนในห้องเก็บฟืนเหมือนเดิมก็ได้แล้ว”
หัวหน้าใหญ่ตบบ่าเขา “เห็นคนอย่างข้าเป็นพวกใจแคบหรือ เจ้าเป็นแขกของค่ายโจรเรา ห้องหับเพียงห้องเดียวรบกวนอันใดกัน”
ซ่งเสวียนรีบปฏิเสธ “ข้าน้อยไม่ได้เกรงใจ เพียงแต่มีปัญหาเรื่องการนอนแปลกที่อยู่บ้าง บัดนี้นอนในห้องเก็บฟืนมาหนึ่งคืนก็เกิดความเคยชินเสียแล้ว เกรงว่าเปลี่ยนห้องใหม่จะหลับไม่สนิท”
ฟ้าดินเมตตา ในห้องเก็บฟืนแม้เตียงสักหลังยังไม่มี
หัวหน้าใหญ่เผยสีหน้าประหลาดออกมา คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีอุปนิสัยพิลึกเช่นนี้ สองคนปฏิเสธกันไปมาอยู่สักพัก สุดท้ายซ่งเสวียนก็ได้กลับไปที่ห้องเก็บฟืนเหมือนเดิม
ระหว่างทางอู๋ซื่อทอดถอนใจ “ไยเจ้าไม่รู้จักรับน้ำใจคน หัวหน้าใหญ่ของเราบอกว่าอยากจะสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้า นั่นมันโชคใหญ่ของเจ้าเชียวนา หากเจ้าตกลงก็จะกลายเป็นหัวหน้าสามของค่ายเรา ทั่วรัศมีสามร้อยหลี่มีใครบ้างไม่เคารพ เจ้านี่ก็เหลือเกินจริงๆ เอาแต่จะมานอนห้องเก็บฟืนท่าเดียว ต้อยต่ำไปถึงกระดูกทั้งเนื้อทั้งตัวแล้ว”
ซ่งเสวียนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ที่บ้านมีข้าเป็นคนหนุ่มเพียงคนเดียว ภาระหน้าที่มากมาย ไหนเลยคิดจะทิ้งก็ทิ้งได้”
อู๋ซื่อบ่นพึมพำแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนดีนัก แต่ลองคิดดูอีกทีเถิด มาเป็นหัวหน้าสามของค่ายเรา อย่างน้อยเรื่องเงินทองก็ไม่ขาดแคลน เจ้าส่งเงินกลับบ้านมากหน่อยก็นับว่ากตัญญูแล้ว”
ซ่งเสวียนพยักหน้าติดๆ กัน หลังขอบคุณในความปรารถนาดีของอีกฝ่ายก็กลับไปที่ห้องเก็บฟืน เผชิญหน้ากับฟางเต็มห้องและจีอวิ๋นซีผู้นั่งอยู่มุมห้องอีกครั้ง
เวลานี้จีอวิ๋นซีหลับไปแล้ว ขนตาขยับไหวตามจังหวะการหายใจ เมื่อแววตาเย็นเยียบถูกซ่อนอยู่ใต้เปลือกตา ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูละมุนละไมขึ้นหลายส่วน
ซ่งเสวียนกลั้นหายใจย่องเข้าใกล้เสียงเบา เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปคิดจะลองแตะผิวขาวอ่อนนุ่มนั้นดู
พึ่บ…
ชั่วขณะที่ซ่งเสวียนสัมผัสถูกใบหน้าของจีอวิ๋นซี อีกฝ่ายก็ลืมตาโพลง กระโดดพรวดขึ้นมาเหมือนคนไวต่อสัมผัส แต่เพราะขาได้รับบาดเจ็บจึงล้มลงกับพื้นก่อนจะยืนได้มั่นคง กระนั้นจีอวิ๋นซียังคงมองมือที่ยื่นออกมาของซ่งเสวียนด้วยสายตาหวาดระแวง
ซ่งเสวียนจนใจได้แต่ผายมือออกแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีอาวุธ “ข้าน้อยเพียงเห็นคุณชายไม่ขยับจึงอยากอังดูลมหายใจเท่านั้น”
สีหน้าของจีอวิ๋นซีจึงค่อยคลายลง
ซ่งเสวียนขยับเข้าไปสองก้าว ค้อมกายอุ้มจีอวิ๋นซีขึ้นมาอีกครั้งแล้วค่อยๆ วางลงบนฟาง เสร็จแล้วถึงกล่าวขออภัยเสียงเบา “ล่วงเกินแล้ว”
ไม่รู้ว่าจีอวิ๋นซีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ใบหน้าดูตะลึงงันอยู่บ้าง “ไม่เป็นไร”
ซ่งเสวียนนั่งข้างจีอวิ๋นซี ทว่าจิตใจกลับไม่สงบ
เมื่อครู่ขณะสัมผัสถูกจีอวิ๋นซี ชิ้นส่วนความทรงจำในฝันของอีกฝ่ายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา
แม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจของซ่งเสวียน
ชิ้นส่วนความทรงจำนั้นล้วนเป็นภาพการถูกรังแกเมื่อครั้งจีอวิ๋นซีเป็นเด็กน้อยอยู่ในวังลึก เสื้อผ้าและน้ำดื่มถูกทำให้สกปรก ถูกผลักตกลงมาจากภูเขาจำลอง หรือกระทั่งเอางูหนอนหนูมดมาทำให้เขาตกใจกลัวจนเกิดแผลใจ จากนั้นอีกฝ่ายก็ดูชมอย่างสนุกสนานอยู่บนความทุกข์ของเขา
กล้าพูดได้ว่าซ่งเสวียนไม่เคยคิดว่าจะมีคนทำกับเด็กคนหนึ่งเช่นนี้
โดยเฉพาะกับเด็กที่เป็นเชื้อพระวงศ์ เดิมทีควรได้สวมอาภรณ์ชั้นดี กินอาหารรสเลิศ มีแต่คนคอยทะนุถนอมปกป้อง ไม่ควรถูกรังแกมาจนเติบใหญ่
จู่ๆ ซ่งเสวียนก็รู้สึกว่าหน้าอกของตนบีบรัดจนเจ็บโดยไม่รู้สาเหตุ
เขาหันไปมองจีอวิ๋นซี เห็นอีกฝ่ายหลุบตาลงเล็กน้อย ใบหน้าด้านข้างยิ่งดูอ่อนละมุน งามประณีตดุจปั้นกระเบื้องสลักหยกให้เป็นตุ๊กตามนุษย์ก็ไม่ปาน
เด็กเช่นนี้…
ซ่งเสวียนอดทอดถอนใจไม่ได้ เกรงว่าเขาคงต้องลงน้ำโคลน* ไปพร้อมกับอีกฝ่ายเสียแล้ว
คิดดังนั้นเขาก็ถามเรื่องไร้สาระประโยคหนึ่งออกมา “คุณชาย อยากออกไปหรือไม่”
* กาดำหัวเราะหมูดำ ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ตำหนิผู้อื่นในสิ่งที่ตัวเองก็เป็นอยู่เหมือนกัน
* หัวสุนัข เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงคนที่ฉลาดแกมโกง หรืออาจจะหมายถึงสิ่งที่ไม่มีค่า ไม่สำคัญ
** ตัดแขนเสื้อ หมายถึงชายที่ชมชอบเพศเดียวกัน มีที่มาจากพระเจ้าฮั่นอายตี้กับชายรับใช้ชื่อต่งเสียนในประวัติศาสตร์สมัยฮั่น ขณะที่ทั้งสองนอนหลับกลางวันด้วยกัน พระเจ้าฮั่นอายตี้ตื่นบรรทมก่อน แต่แขนเสื้อถูกต่งเสียนนอนทับอยู่ จึงทรงตัดแขนเสื้อตัวเองทิ้งเพราะไม่อยากกวนต่งเสียนให้ตื่น
* น้ำโคลน เป็นคำที่ใช้อุปมาถึงเรื่องราวยุ่งยาก วุ่นวาย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.