ทดลองอ่านเรื่อง ราชครูนักต้มตุ๋น เล่ม 1
ผู้เขียน : สิงซั่งเซียง (刑上香)
แปลโดย : ศีตกาล
ผลงานเรื่อง : 大国师,大骗子
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การฆาตกรรม การทารุณกรรมเด็ก การสังหารหมู่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
และมีการกล่าวถึงการข่มขืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
แผนการ
จีอวิ๋นซีเงยหน้าขึ้นมอง เห็นได้ชัดว่ากำลังตอบคำถามโง่เง่าของเขาด้วยความเงียบ
ซ่งเสวียนอดทึ้งผมไม่ได้ “บอกมาเถิดว่าท่านตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ไม่แน่…ข้าอาจจะช่วยท่านได้”
อีกฝ่ายมองเขาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดหยอกเย้าอย่างหาได้ยากยิ่ง “เจ้าทำนายได้ไม่ใช่หรือ”
ซ่งเสวียนนึกสนุก “หากข้าทำนายได้แม่นยำปานนั้น ก่อนอื่นข้าคงทำนายข้อสอบขึ้นเป็นขุนนาง เลื่อนตำแหน่งร่ำรวยแต่งภรรยาไปแล้ว จะมาทำนายชะตาให้ท่านอยู่เช่นนี้หรือ”
จีอวิ๋นซีคลี่ยิ้มบาง “ไม่มีเหตุใหญ่โตอะไร ก็แค่เรื่องอัปยศในครอบครัวเท่านั้น”
ซ่งเสวียนเอ่ยในใจว่าเรื่องของราชวงศ์ช่างวุ่นวายจริงดังคาด
“ข้าออกเดินทางครั้งนี้ เดิมทีจะรีบกลับบ้าน แต่พี่ชายไม่อยากให้ข้ากลับไปแบ่งสมบัติครอบครัว จงใจให้คนมาดักโจมตีระหว่างทาง ที่อาจารย์ทำนายได้ มือสังหารในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ นั่นคือคนที่เขาจ้างมา
จากนั้นข้าคิดจะเดินทางเล็กเพื่อเลี่ยงเขา แต่ไม่รู้ผู้ใดเผยข่าวคราว องครักษ์บาดเจ็บล้มตายเกินกว่าครึ่ง ข้าเองก็พลัดหลงกับพวกเขา โชคดีได้ถุงผ้าไหมช่วยรับธนูแทนข้าจึงรอดพ้นจากความตาย หลบเลี่ยงเข้าไปในเมืองฉางหนิง”
ซ่งเสวียนคิดในใจ ไม่ยักรู้ว่าถุงผ้าไหมนั่นจะป้องกันภัยให้เขาได้จริง หากรู้ล่วงหน้าข้าจะทำเอาไว้กองใหญ่ ให้องครักษ์เหล่านั้นพกติดตัวให้หมด
จีอวิ๋นซีเล่าต่อ “นายอำเภอเมืองฉางหนิงสนิทชิดเชื้อเป็นการส่วนตัวกับครอบครัวข้า เดิมทีข้าให้ทหารของจวนว่าการช่วยพากลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับเจอโจรป่ากลุ่มนี้เข้า”
จีอวิ๋นซีพูดจาคลุมเครือ แต่ซ่งเสวียนพอเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เขานึกเฉลียวใจมาสักพักแล้ว โจรป่ากลุ่มนี้คงไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของจีอวิ๋นซี ไม่อย่างนั้นต่อให้กล้าหาญราวกับกินดีเสือดาว* ปานใดก็คงไม่บังอาจลงมือกับอีกฝ่าย
แต่เหตุใดพวกเขาถึงกล้าจู่โจมทหารของทางการบนถนนใหญ่ ทั้งยังมิใช่เพื่อปล้นชิงทรัพย์สินเงินทอง กลับเพียงลักพาตัวคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งมาราวกับเป็นเรื่องสนุกสนาน แล้วสุดท้ายยังไม่ได้ค่าไถ่มาอีก
ซ่งเสวียนถาม “หรือโจรป่าเหล่านี้กับจวนว่าการจะเกี่ยวข้องกันแต่แรกแล้ว?”
จีอวิ๋นซีเหลือบมองราวกับไม่ประหลาดใจที่เขาถาม “น่าจะเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคนของจวนว่าการจะถูกพี่ชายข้าซื้อไปนานแล้ว”
มิเช่นนั้นที่นี่จะมีโจรป่ากลุ่มใหญ่มารวมตัวกันรวดเร็วปานนี้ได้อย่างไร มิหนำซ้ำแต่ละคนยังขี่ม้าถือดาบ ท่าทางโอหังยิ่งนัก หากไม่มีจวนว่าการมาเกี่ยวข้อง โจรป่าอย่างพวกเขาไหนเลยจะมีทรัพยากรถึงเพียงนี้
ยังไม่พูดเรื่องที่ลักพาจีอวิ๋นซีผู้เป็นถึงองค์ชายอีก
เพียงแต่ซ่งเสวียนไม่อาจพูดตามตรง ได้แต่หัวเราะไปตามเรื่อง “พี่ชายของท่านนี่ก็เหลือเกิน ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับน้องชายตนได้”
“หากอยู่ในสถานะเดียวกัน ข้าก็คงทำเช่นนี้” จีอวิ๋นซีพลันเอ่ยขึ้นมา มุมปากของเขาอมยิ้ม หากแต่ถ้อยคำกลับทำให้คนฟังหนาวสะท้าน “เดิมก็เป็นพี่น้องที่ก่อร่างขึ้นมาจากซากศพ จะแสร้งรักใคร่กันลึกซึ้งไปไย”
ซ่งเสวียนไม่คิดว่าจีอวิ๋นซีผู้อ่อนแอปวกเปียกจะพูดคำเช่นนี้ออกมาจึงตอบรับไปส่งๆ ทว่าจีอวิ๋นซีกลับจ้องเขาเขม็ง
“เจ้าคิดว่าข้าโหดเหี้ยมหรือ”
“โหดเหี้ยมมากทีเดียว” ซ่งเสวียนคาบฟางแห้งด้วยท่าทางไม่จริงจัง “แต่ข้าน้อยไม่กล้ากล่าวโทษคุณชายหรอก กลัวว่าแม้แต่ข้าเองก็จะถูกคุณชายเชือดไปด้วย”
จีอวิ๋นซีหัวเราะออกมา “เหตุใดเจ้าเปลี่ยนมาซื่อตรงถึงเพียงนี้เล่า”
ซ่งเสวียนเหลือบมองเขา “เพราะคุณชายพูดมากเกินไป หากท่านพูดน้อยลงสักสองประโยค รับรองข้าว่าจะคืนซ่งเสวียนผู้สง่างามดั่งเทพเซียนให้กับท่าน”
ซ่งเสวียนพบว่าต่อให้จีอวิ๋นซีแสดงออกด้วยท่าทีสุขุมเย็นชาเพียงใด สุดท้ายก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง
การค้นพบนี้ทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก
คืนนั้นทั้งคู่ล้วนไม่ได้นอน จีอวิ๋นซีเอ่ย “ซ่งเสวียน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะตายอยู่ที่นี่”
ซ่งเสวียนหัวเราะพลางตอบ “คุณชายไม่มีทางตายอยู่ที่นี่แน่นอน”
วันรุ่งขึ้นอู๋ซื่อมาเชิญซ่งเสวียนออกไปอีก ครั้งนี้หัวหน้าทั้งสองรอเขาอยู่ที่โถงข้าง ต่างฝ่ายต่างยืนอยู่คนละฝั่งของแผนที่ ไม่รู้ว่ากำลังหารือสิ่งใดกันอยู่
ในห้องไม่มีผู้อื่น เมื่อเห็นซ่งเสวียนมา หัวหน้าใหญ่ก็ยื่นมือมาตบหลังเขา “น้องซ่งคิดใคร่ครวญได้ว่าอย่างไรบ้าง”
ซ่งเสวียนถูกตบหลังจนเซ หลังยืนได้มั่นคงก็ปรับสีหน้าให้จริงจัง เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หัวหน้าใหญ่ ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่ง จำเป็นต้องถามให้กระจ่างเสียก่อน”
“เจ้าว่ามา”
ซ่งเสวียนกล่าวเข้าประเด็น “หัวหน้าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องอันใดกับจวนว่าการเมืองฉางหนิงหรือ”
หัวหน้าใหญ่ยังไม่ทันตอบก็เห็นซ่งเสวียนชิงค้อมกายลงพร้อมเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง
“เวลานี้เรื่องราวสำคัญใหญ่โต อาจนำหายนะมาสู่ค่าย ขอหัวหน้าใหญ่บอกกล่าวตามจริง”
เดิมเขาก็เชี่ยวชาญการพูดจาให้เรื่องราวใหญ่โตกว่าความเป็นจริงอยู่แล้ว บัดนี้ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้าล้วนดูสมจริงเสียยิ่งกว่าอะไร ทำเอาหัวหน้าทั้งสองตกใจกันไปชั่วขณะ
สีหน้าของทั้งคู่แข็งค้าง หลังสบตากันพักหนึ่งหัวหน้าใหญ่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปาก “ข้ามีลู่ทางในจวนว่าการเมืองฉางหนิงจริง ปกติมักใช้มันเพื่อให้ได้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของพวกพ่อค้าร่ำรวย เวลาออกปล้นแต่ละครั้งจะได้ไม่กลับมามือเปล่า ช่วยให้พี่น้องในค่ายลำบากกันน้อยลง”
ซ่งเสวียนถามอีก “เช่นนั้นคนที่ถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืน…”
“เป็นบุตรชายพ่อค้าร่ำรวยตงซานฉิน ข้าได้ข่าวจึงไปจับเขากลับมา เดิมคิดจะเก็บไว้เรียกค่าไถ่ นึกไม่ถึงว่าพ่อค้านั่นจะเป็นพวกขี้เหนียว ไม่ยอมให้ขนหน้าแข้งร่วงสักเส้น”
ซ่งเสวียนสูดอากาศเย็นเข้าปอดแล้วเงยหน้าเอ่ยช้าๆ “หัวหน้าใหญ่ ท่านติดกับแล้ว”
หัวหน้าใหญ่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น สีหน้าก็พลันหมองลง ผิดกับรองหัวหน้าข้างกายที่ตะคอกออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าบัณฑิตตัวดี ไม่ยินยอมสาบานเป็นพี่น้องกับเราก็แล้วไปเถอะ เหตุใดยังต้องจงใจข่มขู่เกินจริงให้คนกลัว พูดเรื่องไม่เข้าท่าเช่นนี้ออกมาได้”
ซ่งเสวียนมองออกนานแล้วว่าใครคือผู้นำที่แท้จริงของค่ายโจรแห่งนี้ เขาไม่เก็บคำพูดของรองหัวหน้ามาใส่ใจ แต่จัดระเบียบถ้อยคำที่เตรียมมาทั้งคืนแล้วค่อยเอ่ย
“หัวหน้าใหญ่ ข้ามีโอกาสพูดคุยกับคุณชายที่อยู่ในห้องเก็บฟืนคนนั้น ได้ยินมาว่าเขาเป็นบุตรชายนอกสมรสของแม่ทัพหลินผู้พิทักษ์ทิศอุดร เพียงแต่นายหญิงสกุลหลินเป็นคนโหดร้าย เขาจึงไม่อาจเปิดเผยตัวตนต่อภายนอก เมื่อคืนคุณชายระบายความในใจกับข้า บอกว่ามารดาเขาป่วยตาย เดิมคิดจะไปหาบิดาที่ด่านชายแดนจึงได้ขอความช่วยเหลือจากจวนว่าการเมืองฉางหนิง คิดไม่ถึงว่าจะถูกจับมา”
“แม่ทัพหลินรึ” รองหัวหน้าอุทานด้วยความตกใจ
จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลก หลินฉางอัน แม่ทัพพิทักษ์อุดรคือเทพสังหารผู้เลื่องชื่อ ข่าวลือเกี่ยวกับบุรุษผู้นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ในมือเขามีทหารคนสนิทสองร้อยนาย ได้ยินว่าแต่ละนายสามารถรับมือกับศัตรูได้ถึงร้อยคน โจรป่ากลุ่มนี้จะล่วงเกินผู้ใดก็ได้ แต่ไม่มีทางยอมล่วงเกินเขาเด็ดขาด
“ใช่แล้ว” ซ่งเสวียนก้มหน้าเอ่ย “เดิมข้าเกิดความกังขาอยู่ในใจ ไม่เชื่อว่าหัวหน้าทั้งสองจะจับบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหลินมาเรียกค่าไถ่ เมื่อครู่จึงลองถามดู ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เกรงว่านี่จะเป็นแผนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวของเมืองฉางหนิง”
รองหัวหน้ารีบถาม “ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวอะไร”
หัวหน้าใหญ่กลับทำหน้าเครียดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ* “หากเราไม่ได้เงินค่าไถ่แล้วลงดาบสังหารเด็กนั่นไป เกรงว่าพอแม่ทัพพิทักษ์อุดรทราบข่าวจะต้องมากำราบโจรป่าอย่างพวกเราแน่ เช่นนี้จวนว่าการเมืองฉางหนิงก็จะได้รางวัลจากมารดาพยัคฆ์สกุลหลิน พวกเขาตักตวงผลประโยชน์ ส่วนความผิดก็โยนให้พวกเราแบกรับไว้ ไยจะมิใช่ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
รองหัวหน้าด่าทอยกใหญ่ “มารดามันเถิด ขุนนางพวกนี้เจ้าเล่ห์ไม่เว้นแต่ละคน!”
ซ่งเสวียนเองก็พยายามเค้นสมองอย่างหนักเช่นกัน
หากต้องการช่วยจีอวิ๋นซีให้พ้นภัย เขาก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย เกิดโจรป่ากลุ่มนี้รู้ว่าพวกตนไปล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ มีความผิดยากหลบหนี จะต้องเสี่ยงสังหารคนปิดปากแน่นอน
แต่หากบอกว่าจีอวิ๋นซีเป็นขุนนางธรรมดาก็อาจไม่เพียงพอทำให้พวกเขาตื่นตระหนก คิดไปคิดมามีเพียงแม่ทัพหลินเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด ทั้งได้ชื่อว่าหาญกล้าโหดเหี้ยมและเกรงกลัวภรรยาจนเป็นที่เลื่องลือ คำโป้ปดนี้จริงบ้างเท็จบ้าง เรียกได้ว่าไร้รอยแตกรั่ว
จวนว่าการเมืองฉางหนิงต้องมีผู้บงการอยู่แน่แท้ เพียงแต่ไม่ใช่นายหญิงสกุลหลิน หากเป็นเหล่าพระเชษฐาของจีอวิ๋นซี
หัวหน้าโจรเองก็ถูกวางแผนตลบหลัง ฝ่ายนั้นไม่ได้กลัวเลยว่าพวกเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของจีอวิ๋นซี ลักพาตัวผิดไปเป็นองค์ชายผู้หนึ่งก็ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องลงดาบสังหารเขาเสีย
เดิมแผนการทั้งหมดนี้คือวังวนปิด ใครจะคิดว่าจู่ๆ ตรงกลางกลับมีกิ่งก้านอย่างซ่งเสวียนงอกขึ้นมาหนึ่งคน ด้วยคำพูดไร้สาระของเขาทำให้แผนการเกิดช่องโหว่จนดึงตัวจีอวิ๋นซีออกมาได้
“ไม่ถูก!” รองหัวหน้าเกิดเอะใจขึ้นมา “เจ้าบอกว่าเขาคือบุตรนอกสมรสของแม่ทัพหลินเขาก็เป็นได้หรือ เช่นนั้นข้าคงเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้แล้ว! หากเขาเป็นบุตรของแม่ทัพหลินจริง เหตุใดจึงยอมให้พวกเราจับมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ”
ซ่งเสวียนลอบกล่าวในใจ หากเจ้าเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้จริง เกรงว่าคงต้องเรียกผู้อยู่ในห้องเก็บฟืนนั่นว่าน้องชายแล้ว
สุดท้ายเขาเอ่ยว่า “เรื่องนี้…ข้าน้อยเพิ่งรู้จักกับคุณชายหลินไม่นาน คิดดูแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องหลอกลวงข้า หากรองหัวหน้ายังมีข้อสงสัย มิสู้ไปถามด้วยตนเอง”
* มาจากสำนวน ‘กินหัวใจหมีดีเสือดาว’ ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่กล้าหาญ ไม่รักตัวกลัวตาย
* เก้าอี้ไท่ซือ เป็นเก้าอี้ขนาดค่อนข้างใหญ่เทอะทะ มีพนักพิงและที่วางแขน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.