บทนำ
“พี่!”
บานประตูถูกเปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้ากับน้ำเสียงที่หนักกว่าปกติอยู่หลายส่วน เขามั่นใจเหลือเกินว่าเจ้าหญิงสุดที่รักของบ้านกำลังไม่พอใจอย่างมาก
เขาลอบถอนหายใจ ก่อนละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยกยิ้มอย่างจนใจ “เป็นอะไร ไหนใครทำให้หงุดหงิด”
“พี่รับปากแล้วว่าจะซื้อมือถือใหม่ให้ฉัน!”
สีหน้าของน้องสาวเศร้าหมองอย่างที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเลี้ยงดูน้องสาวแบบตามใจมาตลอดก็เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าคับข้องใจของเธอ
“พี่ซื้อแล้ว วางไว้บนโต๊ะไง” เขาอธิบายอย่างอดทน
“มันใช้ไม่ได้ค่ะ! พี่ต้องซื้ออันที่ฉันใช้ได้ให้สิ!” สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นขึงขัง
เขาชะงักไปนิดหนึ่ง “มีตำหนิเหรอ เดี๋ยวพี่เอาไปเปลี่ยนให้ ไม่เห็นต้องโกรธเลย”
“ก็บอกว่าอันนั้นมันใช้ไม่ได้ไงคะ! พี่ต้องซื้ออันที่ฉันใช้ได้! ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ!”
น้องสาวเกรี้ยวกราดขึ้นมากะทันหันทำเอาเขาสะดุ้ง ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางนั้นดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
น้องสาวมีดวงตาหงส์คล้ายผู้เป็นแม่ เธอคิดเสมอว่าดวงตาของเธอนั้นเรียวเล็ก ไม่เหมือนกับเขาที่มีดวงตากลมโตเหมือนพ่อ เธอมักใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก่อนออกจากบ้านไปกับการแต่งตาให้ดูกลมโตขึ้นมาสักหน่อย
ทว่าตอนนี้เขาเห็นเพียงดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความโกรธและเย็นชาของน้องสาว นัยน์ตาดำสนิทที่เคยสุกใสกลับหม่นหมองราวหินสีเทา ดวงตาไร้เมกอัพของเธอเหมือนกับภาพวาดที่ไม่มีกรอบรูป รู้สึกว่าถ้าไม่ระวังรูปนั้นก็จะร่วงลงมา ทำให้เขารู้สึก…สยอง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร นั่นน้องสาวเขานะ อยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างเพื่อปลอบใจเธอ แต่กลับพูดไม่ออก
“ไปซื้ออันที่ฉันใช้ได้มานะ ฉันจะเอา ไม่ว่ายังไงพี่ก็ต้องซื้อให้ฉัน เพราะพี่เป็นหนี้ฉัน”
เธอเดินเข้ามาใกล้พลางกล่าวเน้นย้ำช้าๆ ทีละคำ ทีละประโยค
น้ำหอมที่โชยมาจากตัวเธอแรงจนรู้สึกฉุนจมูก แต่ท่ามกลางกลิ่นหวานฉุนชวนสำลัก เขากลับได้กลิ่นเหม็นเน่าที่เหมือนเคยได้กลิ่นจากที่ไหนสักที่…
เสียงของตกลงบนพื้นดังลั่น ทำเอาเขาสะดุ้งจนเกือบร่วงจากเก้าอี้ เขาลืมตารีบใช้มือยันโต๊ะยืนขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้งกว่าจะนึกได้ว่าตัวเองผล็อยหลับไป
เขาลูบหน้าตัวเอง จัดการหยิบโน้ตบุ๊กที่เกือบปัดตกพื้นมาวางให้เข้าที่แล้วหมุนตัวออกไปดูว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
“แม่ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่นเขาก็เห็นแม่นั่งอยู่บนพื้น จึงรีบเข้าไปประคองแขนเธอ สายตางุนงงจับจ้องคนใช้ชาวอินโดที่ยืนติดผนังด้วยสีหน้าหวาดกลัว “เสี่ยวลี่?”
เสี่ยวลี่พอถูกเขาเรียกก็ได้สติ รีบวิ่งเข้ามาช่วยประคอง เขาปล่อยมือให้เสี่ยวลี่ช่วยพยุงแม่ลุกขึ้น แล้วหันไปเจอกับใบหน้าเปื้อนยิ้มแสนสว่างไสวของน้องสาว
นั่นเป็นรูปที่ถ่ายตอนเธออายุได้ 16 ปี รูปที่เธอชอบมากที่สุด
เขาขมวดคิ้วมองไปยังกระถางธูปหน้าแท่นไว้ทุกข์ที่ถูกเผาจนดำลามลงมาถึงพื้นโต๊ะ กลิ่นไหม้ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง มือถือที่เขาเพิ่งซื้อมาวางไว้บนแท่นเมื่อวานหล่นแตกละเอียดอยู่บนพื้น
เขามองไปยังชายคนหนึ่งที่ยืนด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอยู่ด้านข้าง “น้าครับ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
น้าชายคลายเนกไท สีหน้ามีแววหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “เอ่อ…นั่น…ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะจุดธูปคำนับ อยู่ดีๆ มันก็ไหม้เลย…”
เขามองพื้นโต๊ะที่เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างสงสัย ไฟต้องแรงขนาดไหนนะ ถึงไหม้ได้ขนาดนี้ “ไหม้ได้ไงเนี่ย”
“อยู่…อยู่ดีๆ ก็…”
“เพราะว่าเธอไม่ชอบแน่ๆ เลย”
เขาหันกลับไปมอง แม่ได้สติแล้ว เธอมองมาที่เขาอย่างตำหนิพลางเอ่ยย้ำอีกครั้งว่า “แกต้องซื้อมือถือมาผิดแน่ๆ ได้ตั้งใจฟังที่น้องบอกบ้างมั้ย!”
“พี่!” น้าชายร้องเสียงหลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล แม่ของเขาหยุดนิ่งชั่วขณะเหมือนนึกได้ว่าตนใช้น้ำเสียงไม่ถูกนัก
ในช่วงเวลากระอักกระอ่วนนั้น เขาจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ผมอาจจะซื้อมาผิดแบบ ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจะไปซื้อมาใหม่”
แม่ไม่ได้ตอบรับอะไร เพียงพยักหน้าส่งๆ ให้ เขาจึงบอกให้เสี่ยวลี่คอยดูแลแม่พร้อมกล่าวทักทายน้าชายก่อนจะออกจากบ้าน
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตู น้าชายก็ตามมาพูดว่า
“ไหวเจิน แกรู้ใช่มั้ยว่าแม่แกไม่ได้…”
“ผมรู้ครับน้า ผมรู้” กู้ไหวเจินหันมายิ้มให้กับน้าชาย พอเห็นรอยยิ้มแหยๆ ของอีกฝ่าย เขาจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “ถ้าน้ามีเวลาว่างล่ะก็ อยู่กับแม่อีกสองวันเถอะครับ แล้วนี่หย้าหย้ากำลังคิดหางานใหม่อยู่หรือเปล่า ให้เธอพักสักสองสามเดือนแล้วขึ้นเหนือมาอยู่กับแม่ผมสิ ผมจะช่วยหางานดีๆ ให้”
“อื้ม ดี ไว้ฉันจะลองถามเธอดู” ภายใต้รอยยิ้มเก้ๆ กังๆ มีความยินดีปรากฏขึ้นมาหลายส่วน
กู้ไหวเจินจับมือกับน้าชาย พอเดินออกจากประตูไปก็หมุนตัวมุ่งหน้าไปทางโรงจอดรถ แล้วขับรถออกไปทันที
แต่ไหนแต่ไรเขามักอยากหนีไปจาก ‘บ้าน’ หลังนี้ กลับไปรังพักของตนเองอยู่เสมอ
ขณะที่กำลังขับรถลงเขา สายตาของกู้ไหวเจินดันเหลือบไปเห็นน้องสาวยืนอยู่ริมถนน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนในรูปภาพ
เขาตะลึงงัน หันศีรษะไปมอง แต่เสียงบีบแตรดึงให้เขารีบหันกลับมาที่ถนน รถคันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง ขณะที่รถกำลังจะเสยเข้ากับขอบทาง เขาก็หยุดมันได้ทันพอดี สมองว่างเปล่าไปหมด มือที่กำพวงมาลัยอยู่สั่นน้อยๆ กระทั่งมีใครคนหนึ่งเคาะกระจกรถถึงนึกได้ว่าต้องหายใจ จากนั้นเขาก็รีบลดกระจกลง
คนด้านนอกก้มศีรษะลงมาหา ใบหน้าที่ถมึงทึงแต่เดิมมีความอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ถนนบนเขา นายไม่ระวังหน่อยล่ะ”
เมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จัก กู้ไหวเจินก็กระตุกมุมปาก เงียบอยู่พักใหญ่กว่าจะเปิดปาก “ขอโทษที ฉันเหม่อ”
หัวใจยังคงเต้นอย่างหนักหน่วง ฝ่ายตรงข้ามจุดบุหรี่แล้วส่งให้ เขายื่นมือที่สั่นน้อยๆ ออกไปรับ สูดลมหายใจเข้าหนักๆ สองครั้งถึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง “ขอบใจ หมิงรุ่ย”
“กับฉันต้องเกรงใจอะไรเล่า” สวี่หมิงรุ่ยยกมือขึ้นจับศีรษะ ลังเลเล็กน้อยก่อนพูดว่า “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไร แค่เหม่อไปหน่อย ไม่ทันระวัง” เขาตอบกลั้วหัวเราะ ก่อนถามกลับราวต้องการเปลี่ยนเรื่อง “นายกลับมาจากเมืองนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกเลย”
“บอกแล้วเถอะ นายไม่ดูข้อความเองต่างหาก ฉันบอกไปตั้งกี่ครั้งแล้ว” สวี่หมิงรุ่ยกลอกตา “นายต้องไม่รู้แน่เลยว่าคืนนี้มีงานเลี้ยงรุ่น”
“คืนนี้?” เขาชะงัก หันไปทางสวี่หมิงรุ่ย
“ก็ใช่น่ะสิ ไปเจอทุกคนสักหน่อยสิ คราวนี้พวกที่อยู่เมืองนอกพากันกลับมาด้วยนะ นายก็ไปโชว์หน้าหน่อย” สวี่หมิงรุ่ยดูเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าพะอืดพะอม “แม่นายคงไม่ได้บอกให้นายไปนอนเฝ้าโลงน้องสาวทุกวันหรอกนะ?”
“เปล่า นายก็รู้นี่ว่าฉันไม่เคยอยู่ในสายตาเธอ แม่ไม่สนหรอกว่าฉันจะอยู่หรือเปล่า” เขาอัดควันเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยก้นบุหรี่ในมือลง คิดว่าไปงานสักครั้งก็ดีเหมือนกัน จะได้เปลี่ยนอารมณ์บ้าง
“ส่งโลเกชั่นกับเวลามาก็แล้วกัน เดี๋ยวจะไป” กู้ไหวเจินบอกกับเพื่อนเก่าที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนบ้านด้วยรอยยิ้ม
“นายจะกลับมาแถวนี้อีกมั้ย ถ้ายังไงหนึ่งทุ่มฉันไปรับ?” สวี่หมิงรุ่ยยกมือถือขึ้นมาส่งข้อความ
“ไม่ล่ะ ฉันตรงไปจากบ้านเลยดีกว่า เจอกันคืนนี้” เขาแกว่งมือถือเป็นสัญญาณว่าได้รับข้อความแล้ว
“อืม เจอกัน ขับรถระวังหน่อยล่ะ” สวี่หมิงรุ่ยถอยหลังหลบให้เขาขับรถออกไป ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถตัวเอง
กู้ไหวเจินส่งยิ้ม แล้วขับรถออกไปอย่างระมัดระวังด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติมาก เขามองตรงไปยังทางลงเขาด้านหน้า โฟกัสแค่เพียงถนนและขับลงไป แม้กระทั่งลมหายใจยังแผ่วเบา เขาพยายามทำสมองให้โล่งอย่างสุดความสามารถ ไม่นึกถึงสิ่งที่ตนเองเพิ่งเห็นมา
เมื่อขับพ้นทางลงเขา รถยนต์บนถนนใหญ่ก็ดูขวักไขว่ขึ้นมาทันตา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก พลันนึกถึงความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาหัวเราะให้ตัวเอง นึกๆ ดูก็รู้สึกตลกชะมัด เลยตัดสินใจที่จะลืมความฝันกับน้องสาวจอมดื้อเสีย เร่งความเร็วกลับบ้าน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไปเจอบรรดาเพื่อนเก่าบ้างก็ไม่มีอะไรเสียหาย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 1 ได้ในวันที่ 20 ม.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.