บทที่ 3
น้องสาว
“พี่…”
เวลาที่น้องสาวของเขาอารมณ์ดี เธอมักจะเรียกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนลงท้ายด้วยคีย์สูง น้องทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เป็นการแสดงว่าเขาได้สร้างความพอใจตามที่เธอต้องการ ทำให้เธอมีความสุข
“หืม?” กู้ไหวเจินขานรับ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปยังใบหน้าน้องสาว เธอยิ้มกว้าง
“ฉันได้รับมือถือแล้วนะคะ ขอบคุณค่ะพี่” น้องสาวถือมือถือเครื่องใหม่ไว้ในมือ พลิกกลับไปกลับมาก่อนถ่ายเซลฟี่อยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงเดินมาเอนตัวลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา แหงนมองมาด้วยสีหน้าสุดแสนน่ารัก “พี่ บนโต๊ะฉันมีนิตยสารอยู่เล่มหนึ่ง พี่เห็นบ้างมั้ย”
“เล่มไหน หน้าปกเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง” ปกติบนโต๊ะของน้องสาวจะมีนิตยสารแฟชั่นประจำซีซั่นวางอยู่สามสี่เล่ม เอาไว้ดูแคตตาล็อก ถ้าเจออะไรถูกใจก็จะวิ่งถือมาเซ้าซี้ว่าอยากได้
“ผู้หญิงค่ะ เล่มบนสุด” น้องสาวมีสีหน้าท้อแท้เกินจะอธิบายว่าดาราสาวบนหน้าปกคือใคร เธอยู่ปากงอนอย่างเด็กเอาแต่ใจ “พ่อของโย่วหลินซื้อกระเป๋าแอร์เมสเคลลี่ให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด มันคืออันเดียวกับที่ดาราคนนั้นถือบนหน้าปก เธอสะพายมาอวดฉันด้วยนะพี่ ฉันเลยอยากได้บ้าง”
เขาไม่ค่อยรู้เรื่องรุ่นกระเป๋า เดี๋ยวให้ผู้ช่วยไปจองไว้ก็พอ แต่ว่าแบรนด์นี้ไม่ใช่แบรนด์ที่แค่ควักเงินออกมาจ่ายก็ซื้อได้เลย เพราะว่าหลัวโย่วหล่าง พี่ชายของหลัวโย่วหลิน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเคยโวยวายกับเขาว่ากระเป๋าแบรนด์นี้ซื้อยากขนาดไหน เขาถึงกับต้องขอร้องให้ภรรยาลูกค้าคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าประจำของแบรนด์นี้ช่วยซื้อให้ตอนที่เดินทางไปทำงานที่ปารีส รออีกครึ่งปีกว่าจะได้ของ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเขาสั่งให้ซื้อกลับไปให้น้องสาวให้ได้ เขาคงไม่พยายามไปซื้อ
“อ่า เดี๋ยวพี่ให้คนไปซื้อให้ แต่คงจะซื้อมาเลยไม่ได้ แบรนด์นี้ต้องรอหน่อยรู้มั้ย” กู้ไหวเจินลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธน้อง
สีหน้าของน้องสาวอึมครึมขึ้นมาทันที “พี่ชายโย่วหลินยังซื้อมาได้เลย ทำไมพี่ต้องรอด้วย”
“โย่วหล่างรอตั้งครึ่งปีถึงจะได้ของ เขาแค่ไม่ได้บอกโย่วหลินเท่านั้นแหละ” กู้ไหวเจินอธิบายอย่างอดทน
“ฉันไม่สน! ฉันจะเอาตอนนี้!” น้องสาวแผดเสียงขึ้นมาทันใด สาดความโกรธขึ้งใส่เขาจนรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง
กู้ไหวเจินตกใจ นึกอยากถอยหลังแต่ทำไม่ได้ น้องสาวพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง ฉวยจับแขนเขาไว้แน่นแล้วตะโกนว่า “ฉันไม่มีอะไรแล้ว! แค่ความหวังอันน้อยนิดของฉัน พี่ยังทำให้มันเป็นจริงไม่ได้!? ไหนพี่รับปากกับพ่อแม่ว่าจะดูแลฉันไปตลอดชีวิต! แล้วพี่ทำกับฉันแบบนี้เหรอ!?”
กู้ไหวเจินพลันนึกได้ว่าน้องสาวจากไปแล้ว…
เขาอยากจะเอ่ยปากพูด แต่เหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ ทำได้เพียงจ้องมองน้องสาวที่ดวงตาเบิกกว้างและเต็มไปด้วยเส้นเลือดขยับเข้ามาใกล้พลางยื่นมือมากระชากคอเสื้อ แต่ขณะที่น้องกำลังดึงคอเสื้อเขานั้น เธอก็ร้องออกมาเสียงดัง
“อ๊า!!!”
น้องสาวกุมข้อมือ ถอยเท้าไปหลายก้าว ฝ่ามือเธอปรากฏรอยไหม้สีดำเหมือนถูกเผา เธอจ้องมองเขาอย่างตื่นกลัว “พี่พกอะไรติดตัวน่ะ!?”
กู้ไหวเจินมองน้องสาวที่ยืนห่างออกไปหลายก้าวก็รู้สึกโล่งอก ยกมือขึ้นลูบกระเป๋าเสื้ออย่างลุกลน สุดท้ายก็คลำเจอยันต์สีเหลืองที่ไหม้ไปครึ่งหนึ่ง
เมื่อเห็นยันต์ในมือเขา น้องสาวก็ถอยหลังไปอีกอย่างหวาดกลัว แล้วมองเขาด้วยสีหน้าคับข้องใจ “พี่ไม่ให้ฉันก็ช่างเถอะ ฉันจะไปเอาจากโย่วหลินแทน!”
กู้ไหวเจินไม่ทันได้รั้งเธอ เขาก็ล้มลงบนโซฟาที่นุ่มเหมือนดอกคอตตอน จนรู้สึกว่าตัวเองถูกดูดลงไปทั้งร่าง เขาโบกไม้โบกมือสู้จึงตื่นขึ้นมาได้ เหมือนนักเรียนที่แอบหลับในห้องแล้วถูกทำให้ตกใจตื่น เขายันกายขึ้นทันที สูดลมหายใจพร้อมยกมือขึ้นลูบใบหน้า ทั้งฝ่ามือเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
กู้ไหวเจินปิดหน้า นึกย้อนถึงใบหน้าน่ารักในตอนเด็กของน้องสาว คอยแหงนหน้าเรียกพี่ชายอย่างอ่อนหวาน ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่น้องสาวนิสัยเปลี่ยนเป็นแบบนี้…
ตั้งแต่จำความได้ แม่มีท่าทีเย็นชากับเขามาโดยตลอด แต่หากคิดดูดีๆ แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแย่ลงหลังจากที่แม่แท้งลูกโดยไม่ได้ตั้งใจตอนเขาอายุสิบสอง
ความจริงแล้วกู้ไหวเจินก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องมีท่าทีเมินเขาตลอดเวลา บางครั้งถึงกับรู้สึกว่าแม่มองเขาเป็นศัตรู กลับกันแม่แสดงความรักกับน้องสาวราวแก้วตาดวงใจ
หลังแท้งลูกคราวนั้นทำให้แม่ตามใจน้องสาวมากกว่าเดิม แต่เย็นชากับเขามากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งน้องสาวก็ค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาตามไปด้วย
เมื่อเขาเริ่มหาเงินได้ด้วยตัวเอง น้องสาวอยากได้อะไร เขาก็ให้เธอเสมอ เพราะนั่นจะทำให้เขาได้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของแม่ ขอแค่น้องสาวมีความสุข แม่ก็มีความสุขไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าน้องต้องการอะไร เขาจึงตามใจทุกครั้ง
แต่พ่อของเขาไม่เห็นด้วย และเอ่ยปากอยู่หลายครั้งว่าอย่าเอาใจน้องสาวขนาดนั้น ซ้ำยังบอกกล่าวให้แม่และน้องฟังอีกหลายประโยค
เขาถึงกับพิจารณาตัวเองว่าไม่ควรประจบแม่ด้วยการสปอยล์น้องสาว ในอนาคตเวลาน้องมีของที่อยากได้อีก มันจะปฏิเสธได้ยาก
บ้านพวกเขาฐานะดี แม้ไม่ขอให้น้องต้องประหยัด แต่การใช้เงินฟุ่มเฟือยก็เป็นสิ่งไม่ควรทำ น้องเพิ่งอายุแค่สิบเอ็ดขวบ ตอนอยากได้นาฬิกาข้อมือราคาหลายหมื่นหยวน พอซื้อมาใส่ได้ครึ่งเดือนก็ไม่ชอบแล้ว เพียงเพราะว่าเพื่อนมีคอลเล็กชั่นใหม่ เธอจึงอยากได้นาฬิกาของแบรนด์ที่แพงกว่าเพื่อให้เพื่อนเทียบไม่ติด เขาเลยต้องพูดอยู่หลายครั้งไม่ให้เธอสุรุ่ยสุร่ายจนเกินไป
เขาเพียงบอกกล่าวไม่กี่ประโยค แต่ไม่คิดว่าแม่จะมีปฏิกิริยาเหมือนกับว่าเขาดุด่าน้อง แม่โกรธจนหน้าขาวซีดเหมือนจะเป็นลม เปิดปากด่าเขาว่าไม่รู้จักบุญคุณ ไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้น้องแม้แต่น้อย ก่อนจะสำทับด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟังยิ่งกว่าเก่า เขาทำได้แค่พยายามลืมมันไป
เวลานั้นเขาตะลึงงันจนหนาวสั่นไปทั้งตัว ขนาดน้องสาวยังตกใจกับอาการโกรธที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่รอยยิ้มพอใจเพียงแวบหนึ่งของแม่นั้นกลับฝังลึกในความทรงจำ
พอพ่อได้ยินเสียงต่อว่าจึงรีบเข้ามาห้ามแม่ คืนนั้นพวกเขาก็ทะเลาะกันครั้งใหญ่
น้องสาวไม่เคยได้ยินพ่อแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอตกใจร้องไห้ตาแดง ก่อนวิ่งเข้ามาอาละวาดพังห้องเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ โวยวายว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขา
จากนั้นมาเขาไม่เคยตักเตือนสั่งสอนน้องสาวอีกเลย ปล่อยให้ท่าทีของแม่เป็นตัวตัดสินทุกอย่าง
พ่อตามเข้ามาทีหลัง ก่อนจะตบไหล่ของเขาเบาๆ อย่างเหนื่อยล้าพลางย้ำว่าอย่าใส่ใจคำพูดของแม่ เขายิ้มและตอบว่าไม่ได้ใส่ใจเลย แต่สีหน้าของพ่อนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาจึงเริ่มสงสัยว่าตนเป็นลูกของพ่อกับแม่จริงๆ หรือเปล่า
สวี่หมิงรุ่ยดูจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ของครอบครัวเขามากที่สุด ตอนอายุได้สิบเก้าอีกฝ่ายก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า
‘นายเคยคิดมั้ยว่านายอาจจะเป็นลูกของพ่อกับผู้หญิงคนอื่น’
เขาเหลือบมองสวี่หมิงรุ่ย ทว่าไร้ซึ่งความโกรธบนสีหน้า พอสวี่หมิงรุ่ยเห็นเขาไม่ได้โมโหจึงพูดต่อว่า ‘นายเหมือนพ่อขนาดนั้น ต้องเป็นลูกของพ่อแน่ๆ แต่ดูจากท่าทางของแม่ที่มีต่อนายแล้ว นายต้องไม่ใช่ลูกของเธอแน่ ไม่งั้นเธอจะมองนายเป็นศัตรูแบบนี้ได้ยังไง’
‘นายไม่รู้จักพ่อฉันเหรอ คิดว่าเขาจะออกไปหาผู้หญิงนอกบ้านรึไง’ เขาถามสวี่หมิงรุ่ยพร้อมรอยยิ้มขื่นๆ แม้จะไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน
‘เฮ้อ เรื่องนี้พูดยาก…ถ้าจัดการไม่ดีอาจถูกเล่นงานได้…แต่ขนาดร้านเหล้าพ่อนายยังไม่ไปเลย…’ สวี่หมิงรุ่ยครุ่นคิดข้างๆ เขาอยู่นานด้วยสีหน้ากังวล
‘นายไม่ลองตรวจดีเอ็นเอดูล่ะ?’ สวี่หมิงรุ่ยเงยหน้าถามขึ้น ‘ยังไงซะ ไม่ว่าพ่อนายจะมีผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ ลองทดสอบดูก็จะได้รู้ไง’
เขาค่อนข้างลังเล เคยคิดอยากจะถามพ่อออกไปตรงๆ แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ พ่อก็ไม่มีทางบอกเขาหรอก ดังนั้นจึงแอบเอาเส้นผมของแม่กับของตัวเองแยกบรรจุกันส่งให้สวี่หมิงรุ่ยที่รับประกันว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นให้เป็นคนเอาไปดีกว่า
แต่ผลที่ได้คือเขาเป็นลูกชายของแม่จริงๆ แต่เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อผลนี้ ไม่ดีใจ ไม่เศร้า มีแต่สวี่หมิงรุ่ยที่มีสีหน้าปั้นยาก
‘เป็นไรไป’
‘…เปล่า จดหมายนี้พ่อฉันเป็นคนเอามาให้ ฉันสงสัยว่าเขาได้ทำอะไรกับมันหรือเปล่า’ สวี่หมิงรุ่ยขมวดคิ้ว ใบหน้าดูว้าวุ่น ‘ไม่แน่ว่าพ่อฉันเห็นแล้วเอาไปบอกพ่อนาย…’
‘ช่างเถอะ มันไม่สำคัญหรอก’ กู้ไหวเจินตอบยิ้มๆ ยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อน ไม่ว่าผลรายงานนี้จะถูกเปลี่ยนหรือไม่ เขาไม่ได้ใส่ใจแล้ว
กู้ไหวเจินถอนหายใจแล้วเช็ดเหงื่อ ตัดสินใจเอาเรื่องของแม่และน้องสาวออกจากสมองไปก่อน เขาลุกเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด นึกลังเลว่าจะเข้าบริษัทหรือจะไปเจอสวี่หมิงรุ่ยดี ระหว่างที่กำลังใคร่ครวญอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาเอื้อมหยิบมาดู เป็นสายเรียกเข้าจากหลัวโย่วหล่าง
กู้ไหวเจินนิ่งค้าง นึกถึงความฝันเมื่อครู่แล้วรีบกดรับสายทันที
“โย่วหล่าง? ว่าไง”
“นายอยู่บ้านพ่อแม่หรือเปล่า”
“เปล่า ฉันอยู่บ้านตัวเอง”
“คือว่า…”
“เป็นอะไร” ได้ยินน้ำเสียงอึกอักของหลัวโย่วหล่างแล้ว กู้ไหวเจินจึงถามกึ่งร้อนใจ
“อยู่ดีๆ โย่วหลินก็ร้องไห้ บอกว่าจะไปคำนับศพน้องสาวนาย เหมือนจะฝันถึงเธอหรือไงนี่แหละ น้องร้องไห้มาครึ่งชั่วโมงแล้ว ฉันเลยจะพาเธอไปบ้านนาย ไม่รู้ว่าสะดวกหรือเปล่า” น้ำเสียงของหลัวโย่วหล่างค่อนข้างไม่แน่ใจ แต่กู้ไหวเจินรู้สึกถึงความเศร้าหมองที่คืบคลานขึ้นมาบนร่าง
“ได้สิ ฉันจะกลับขึ้นไปบนเขาเดี๋ยวนี้ ประมาณสี่สิบนาทีได้มั้ย” กู้ไหวเจินคลำร่างกายอย่างไม่รู้ตัว ก่อนมองหาเสื้อคลุมที่ถอดวางไว้บนโซฟา รีบคว้ายันต์ที่เหลือครึ่งแผ่นพับครึ่งใส่ในกระเป๋าเสื้อบริเวณหน้าอก ถึงค่อยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
“ตกลง ถ้างั้นฉันไปรอนายที่หน้าประตูบ้านแล้วกัน” หลัวโย่วหล่างผ่อนลมหายใจ พูดอะไรต่อนิดหน่อยถึงวางสาย กู้ไหวเจินนึกถึงความฝัน น้องสาวบอกว่าถ้าเขาไม่ยอมซื้อให้ เธอจะไปเอาจากโย่วหลิน
ความกลัวเกาะกินทั่วร่างกาย เขายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบวิ่งเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วมองหาหนังสือรุ่นตอนเรียนจบมัธยมปลายจากมุมตู้
“สือจิ้งเจ๋อ…สือจิ้งเจ๋อ…” กู้ไหวเจินไล่นิ้วมือไปทีละรูป ในที่สุดก็หยุดที่รูปของสือจิ้งเจ๋อ เขาพลิกไปอีกสองสามหน้าเพื่อหารูปหมู่และข้อความที่สือจิ้งเจ๋อเขียนไว้
“จำได้ว่ามีนี่นา…อยู่ตรงไหน…” กู้ไหวเจินพลิกหน้าหนังสือรุ่นอย่างบ้าคลั่งหน้าแล้วหน้าเล่า หลังพลิกหนังสือกลับไปกลับมาอยู่นาน สุดท้ายยันต์สามเหลี่ยมสีเหลืองเล็กๆ ก็ร่วงออกมา
กู้ไหวเจินวางหนังสือรุ่นทิ้งไป ก่อนจะหยิบยันต์ขึ้นมาดูพลางเอายันต์ในกระเป๋าเสื้อออกมาเทียบ สีของยันต์ในหนังสือจางไปบ้างแล้ว แต่ยังดูออกว่ายันต์ทั้งสองแผ่นมีลักษณะเหมือนกัน
ตอนที่สือหมิงให้ยันต์นี้มา เขาไม่ได้สนใจมากนัก กระทั่งถือยันต์นี้ไว้ในมือ เขาถึงได้นึกถึงวันจบการศึกษาขึ้นมา สือจิ้งเจ๋อเรียกเขาออกไปยังมุมไร้คนด้วยสีหน้าอึดอัดใจ เขากลัวว่าสือจิ้งเจ๋อจะสารภาพรักหรืออะไรทำนองนั้น เลยใช้เวลาคิดคำปฏิเสธแบบอ้อมๆ อยู่นาน ขณะนั้นสือจิ้งเจ๋อก็รีบแอบเอายันต์นี้ให้เขา
‘อันนี้…ให้นายพกไว้ติดตัวนะ กว่าจะขออาเล็กมาได้ มันมีประโยชน์มาก ปกติกว่าฉันจะได้มาก็ลำบาก’ สือจิ้งเจ๋อยิ้มเจื่อนอย่างกระดากอายเล็กๆ ของที่เพื่อนให้กันมักจะเป็นปากกาไม่ก็กระเป๋าสตางค์ ถ้าสนิทกันมากหน่อยก็มักจะให้นาฬิกาแบรนด์ดัง ซึ่งวันนั้นเขากำลังถือคัฟลิงก์ประดับเพชรที่สวี่หมิงรุ่ยมอบให้อยู่
กู้ไหวเจินชะงัก ก่อนรับยันต์สีเหลืองนั้นมาพร้อมเอ่ยขอบคุณแข็งขัน สือจิ้งเจ๋อจึงดูผ่อนคลาย พวกเขาต่างบอกลากัน แล้วก็เพิ่งได้กลับมาเจอกันอีกเมื่อคืนก่อนที่งานเลี้ยงรุ่น
เขาถือยันต์นั้น นึกย้อนไปเมื่อก่อน เขาเคยพกยันต์นี้ติดตัวอยู่ช่วงหนึ่ง มีครั้งหนึ่งฝนตกหนักทำให้ยันต์เปียก เขาเลยเอาไปวางผึ่งให้แห้งก่อนจะสอดเก็บไว้ในหนังสือรุ่น หลังจากนั้นก็ไม่ได้หยิบออกมาใช้อีกเลย
กู้ไหวเจินไม่มั่นใจว่ายันต์แผ่นนี้จะยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า อย่างไรก็ตามมันก็น่าจะใช้ได้มากกว่ายันต์ครึ่งแผ่นในมือ…ล่ะมั้ง
เขาคว้ายันต์ทั้งสองแผ่นตามด้วยเสื้อคลุมแล้วรีบออกจากบ้าน แอบหวังว่าน้องสาวจะกลัวยันต์แผ่นเก่าในมือด้วยเช่นกัน อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้หลัวโย่วหลินไม่ถูกก่อกวนอีกต่อไป
ขณะที่กู้ไหวเจินกำลังขึ้นรถ เขาก็นึกถึงสือหมิงขึ้นมา นึกถึงห้องไม้ห้องนั้นและกลิ่นหอมของกระดาษ
ไม่แน่…เขาอาจจะทำกระเป๋าใบนั้นได้…
กู้ไหวเจินคิดพร้อมกับออกรถ ตัดสินใจว่าคืนนี้จะกลับไปหาสือหมิงอีกสักรอบ คิดได้ดังนี้ก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นกระดาษใต้จมูก จิตใจค่อยๆ สงบลง
เขาสูดหายใจลึกๆ เคลื่อนรถออกจากโรงจอด ขับมุ่งหน้าขึ้นเขาไปบ้านพ่อกับแม่
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 4 ได้ในวันที่ 27 ม.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.