บทที่ 5
ศาลคนกระดาษ
เวลาสี่ทุ่มตรง กู้ไหวเจินยืนมองประตูไม้บานหนาของบ้านเลขที่ 44 ถนนหมิงเติงเป็นครั้งที่สอง เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อจมูกสัมผัสกลิ่นหอมของไม้ที่ลอยมา
เพราะมีประสบการณ์มาจากครั้งก่อน เขาจึงตรงไปเอื้อมมือผลักบานประตู หนนี้ดันอยู่ไม่กี่ครั้งก็ได้ยินเสียงฟันเฟืองหมุนคลิก ชายหนุ่มเอาถุงกระดาษมาถือไว้ข้างหน้า เฝ้ารอร่างสูงปรากฏกายเมื่อบานประตูแยกออก
“ต้องรบกวนอีกแล้วครับ” กู้ไหวเจินฉีกยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า
สือหมิงยังคงจ้องเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดิม แต่คราวนี้กู้ไหวเจินรู้ว่าเขากำลังมองอะไร เลยเงยหน้าขึ้นบ้าง โคมไฟน้ำมันดวงนั้นติดไฟอยู่
กู้ไหวเจินแหงนมองแล้วหันมาหาสือหมิง “ผมไม่ทันได้สังเกต แต่ที่นี่ไม่มีไฟริมทาง ที่ประตูทางเข้าสว่างอยู่ตลอดก็น่าจะเป็นเพราะโคมไฟนี่”
สือหมิงขมวดคิ้วแล้วโน้มกายไปดับมัน ทำเอากู้ไหวเจินถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างเกรงใจ
สือหมิงมองถุงกระดาษในมือเขาแล้วไม่พูดอะไร แค่หมุนตัว กวักมือให้เขาเข้าไปด้านใน
“ที่อยากรบกวนคุณวันนี้ ไม่รู้ว่าคุณพอจะทำกระเป๋าใบนี้ได้มั้ยครับ” กู้ไหวเจินวางถุงกระดาษลงบนโต๊ะทำงานของสือหมิง แล้วหยิบกระเป๋าที่ห่อด้วยถุงกันฝุ่นอย่างดีออกมา
สือหมิงแค่เหลือบมอง เขาหยิบถุงมือจากใต้โต๊ะทำงานขึ้นมาสวม ถึงค่อยรับถุุงกันฝุ่นนั้นไปหยิบกระเป๋าออกมา ชายหนุ่มจับกระเป๋าพลิกหน้าพลิกหลัง สุดท้ายก็เก็บกระเป๋าใส่ถุงอย่างระมัดระวัง
“อยากได้รุ่นนี้หรือแค่อยากได้แบบเดียวกันเป๊ะๆ?” สือหมิงถามพลางถอดถุงมือ
กู้ไหวเจินนิ่งคิด ลังเลก่อนจะตอบ “น่าจะรุ่นนี้ครับ”
สือหมิงจ้องหน้าเขาอีกพักหนึ่งก่อนจะพูด “กระเป๋าใบนี้ไม่ใช่ของน้องสาวคุณ?”
“อ่า ไม่ใช่ครับ…เป็นของเพื่อนสนิทเธอ” กู้ไหวเจินยิ้มฝืด “เมื่อคืนผมฝันเห็นเธออีกครั้ง น้องบอกว่าอยากได้กระเป๋า ผมบอกเธอว่ากระเป๋าใบนี้ต้องจองครึ่งปีถึงจะได้ของ ทำให้เธอโมโห แต่ว่า…” กู้ไหวเจินพลันนึกถึงยันต์ครึ่งแผ่นนั้น เขารีบหยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋า “ขอโทษครับ ดูเหมือนว่ามันจะโดนน้องสาวผมทำพังแล้ว”
พูดจบก็รู้สึกว่ามันดูตลก แต่สือหมิงไม่ขำ เขาแค่รับยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นไปดูแล้วทิ้งมันลงถังขยะ จากนั้นก็หยิบกระดาษสี่เหลี่ยมสีเหลืองขนาดประมาณ 10 x 10 เซนติเมตรออกมาจากลิ้นชัก บนกระดาษถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีทอง แวบแรกดูเหมือนคัมภีร์ทางศาสนา
ฝ่ามือของสือหมิงใหญ่มาก กู้ไหวเจินหันกลับมามองมือตัวเอง มืออีกฝ่ายน่าจะใหญ่กว่าคืบหนึ่งได้ แต่กระดาษสีเหลืองแผ่นเล็กๆ นั้นกลับดูยืดหยุ่นอยู่บนฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่ม พับซ้ำๆ กันก็ปรากฏเป็นคนกระดาษ ดูคล้ายผู้ชายกำยำไม่ก็องครักษ์
สือหมิงหมุนตัวไปหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากตู้ เปิดดูก็เห็นว่าด้านในถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ประกอบด้วยที่วางแผ่นหมึก ตัวปั๊ม พู่กันสามด้าม กล่องกลมจิ๋วและน้ำขวดเล็ก โดยที่ทุกอย่างมีขนาดเท่าๆ กัน วางอยู่กลางกล่องไม้ได้พอดิบพอดี
สือหมิงยกกล่องไม้กลมจิ๋ว เทน้ำหมึกสีแดงเข้มลงบนแผ่นหมึกและหยิบขวดน้ำมา ใช้ฝาขวดช่วยหยดน้ำลงไปสองสามหยด เอาตัวปั๊มบดลงไป สุดท้ายก็หยิบพู่กันด้ามที่เล็กที่สุดจุ่มลงบนหมึกสีแดงที่เตรียมไว้ วาดแทนดวงตาคนกระดาษ
กู้ไหวเจินมองการกระทำของชายหนุ่มตาไม่กะพริบ กระทั่งลมหายใจยังแผ่วเบา ท่าทางพลิ้วไหวเป็นธรรมชาติเหมือนจะทำให้อากาศเคลื่อนไหว กลิ่นหมึกและกลิ่นกระดาษโชยมาทักทายที่ปลายจมูก ให้ความสงบเสียจนรู้สึกว่าเวลาได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ ณ ตรงนี้
หลังจากแต่งแต้มดวงตาลงไปแล้ว คนกระดาษก็ดูราวกับมีชีวิต ฉลาดหลักแหลม ทำให้เกิดภาพลวงตา เหมือนว่ามันสามารถพุ่งทะยานขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
มิน่าล่ะ แค่จุดกลมเล็กๆ เพียงสองจุดยังต้องใช้ทักษะในการฝนหมึกเตรียมวาดขนาดนี้ กู้ไหวเจินอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความเทพ
เมื่อวาดเสร็จสือหมิงก็วางคนกระดาษไว้บนโต๊ะ เก็บอุปกรณ์ทั้งหลายกลับเข้าตู้ เพียงครู่เดียวดวงตาของคนกระดาษก็แห้งสนิท
“พกติดตัวไว้” สือหมิงส่งคนกระดาษให้เขา นัยน์ตาของกู้ไหวเจินเปล่งประกาย เอื้อมมือมาอย่างไม่เกรงใจพลางถือเล่นในมือ
“ขอบคุณครับ” กู้ไหวเจินเอ่ย จ้องคนกระดาษไม่เลิกราวกับมันเป็นแมวน้อยแรกเกิดที่น่ารักเกินห้ามใจ เขาจับเข้าที่แขนเล็กๆ นั่น เห็นได้ชัดว่ามันคือกระดาษแผ่นบาง หากมุมแหลมของแขนกลับดูแหลมคมนัก เขาลองเอานิ้วโป้งลูบนิดหนึ่ง ถึงกับโดนบาดจนเลือดซึม
ที่จริงแล้วมันไม่เจ็บ เขาไม่ได้กดปากแผลด้วยซ้ำ แต่เลือดกลับทะลักออกมาจากแผลเล็กบางนั่น เขาเหมือนถูกแช่แข็ง จ้องมองหยดเลือดที่ไหลออกมาอยู่อย่างนั้น
ด้านสือหมิง พอส่งคนกระดาษให้เขาแล้ว ชายหนุ่มก็หมุนตัวไปหยิบกระดาษลายหนังสีชมพูออกมาหนึ่งแผ่น หันกลับมาก็เจอเข้ากับกู้ไหวเจินที่ยืนมองนิ้วโป้งตัวเองนิ่ง ปล่อยหยดเลือดไหลลง
สือหมิงชะงัก ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะทำงานตรงเข้าไปหากู้ไหวเจิน เขาพุ่งตัวไปหยุดเลือดหยดนั้นที่กำลังหยดลงได้พอดี ขณะเดียวกันนั้นห้องทั้งห้องก็สั่นสะเทือน
กู้ไหวเจินสะดุ้งสุดตัว เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่แผ่นดินไหว เพราะพื้นไม่สั่นเลยสักนิด ผ่านไปสักพักถึงรู้ว่าสิ่งที่สั่นไหวอยู่นั้นคือข้าวของที่ทำจากกระดาษทั้งหมดในห้อง พูดให้ถูกก็คือกระดาษทุกแผ่น
หลังจากที่หยุดเลือดหยดนั้นได้ สือหมิงก็จับมือข้างที่บาดเจ็บของเขาเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็คว้าโต๊ะทำงานไว้แน่น
เสียงพื้นสะเทือน กระดาษทุกแผ่นเคลื่อนไหวก็หยุดลงในชั่วพริบตา ทุกสิ่งทุกอย่างสงบนิ่ง
กู้ไหวเจินไม่กล้าขยับ ขนาดลมหายใจยังแทบกลั้นไว้พลางมองสือหมิงด้วยใบหน้าทึ่มทื่อ แต่ที่น่าแปลกก็คือเขาไม่รู้สึกกลัวหรือหวาดหวั่นแต่อย่างใด
สือหมิงมองเขาอย่างทึ่งๆ อดถามไม่ได้ว่า “คุณไม่กลัว?”
“อืม ถ้าเอาความจริง น้องสาวผมน่ากลัวกว่าเยอะ” กู้ไหวเจินตอบด้วยความสัตย์จริง
สือหมิงดูอึ้ง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่พินิจอีกฝ่ายมากกว่าเดิม มือข้างขวายังคงกุมมือกู้ไหวเจินอยู่ ขณะที่มือข้างซ้ายเอื้อมไปหยิบคนกระดาษออกจากมือ แล้วกดนิ้วของกู้ไหวเจินลงบนคนกระดาษ ให้เลือดซึมลงบนหน้าท้องของมัน
“กดไว้” สือหมิงบอกพลางคลายมือ แล้วหันมาเอ่ยกับเขาอีกประโยคขณะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน “อย่าแตะมือมันอีกล่ะ”
“อ้อ ครับ” กู้ไหวเจินรีบพยักหน้าตอบรับ
พอเดินอ้อมโต๊ะทำงานกลับมา สือหมิงก็หยิบกล่องไม้ใส่ยาขึ้นมาจากใต้โต๊ะ สังเกตได้จากกากบาทสีแดงด้านบน
กู้ไหวเจินก้มลงมองใต้โต๊ะด้วยความสงสัยอย่างมาก รู้สึกเหมือนใต้โต๊ะทำงานตัวนั้นมีพื้นที่ว่างแปลกๆ ซ่อนอยู่ ถึงสามารถหยิบทุกสิ่งทุกอย่างออกมาได้เช่นนี้
สือหมิงเปิดกล่องยาพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนจากข้างโต๊ะ เขาชะงักไปเมื่อยกมือตนเองขึ้นดู
เขาเพิ่งจะใช้มือรองเลือดหยดนั้นแท้ๆ ทว่าตอนนี้รอยเลือดบนฝ่ามือสักนิดก็ไม่มี เขาเดินไปหากู้ไหวเจิน พลิกตรวจฝ่ามือและหลังมือของเขาซ้ำไปซ้ำมา ปรากฏว่าไม่มีรอยเลือดเช่นกัน
สือหมิงจึงก้มดูพื้นอีกครั้ง แน่นอนว่าบนพื้นก็สะอาดไร้ซึ่งคราบเลือด เขาคว้ามือกู้ไหวเจินขึ้นมาดูอีกครั้งอย่างหวังว่าจะเจอรอยเลือด แต่มองให้ตายยังไงก็มีแค่ตรงนิ้วโป้งที่กดบนตัวคนกระดาษเท่านั้นที่เหลือร่องรอยเลือดอยู่
สือหมิงวางมือ เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน “มานี่ซิ”
กู้ไหวเจินรีบเดินตาม จ้องมองสือหมิงหยิบขวดยาไร้ฉลากออกมาจากกล่อง เขาเอาคนกระดาษไป ก่อนส่งยามาให้ “ทาซะ หยุดเลือดก่อน”
“ขอบคุณครับ ขอโทษด้วยที่เพิ่มภาระให้คุณ” กู้ไหวเจินส่งยิ้มเป็นเชิงขออภัย ไม่ปฏิเสธขวดยาปริศนาที่ปกติตัวเองไม่มีทางแตะต้อง ทันทีที่เปิดฝาออก กลิ่นหอมสดชื่นคล้ายมิ้นต์ก็ปะทะจมูก เขาแตะมันนิดหนึ่ง ก่อนทาบนนิ้วโป้ง
เดิมทีมันเป็นแค่แผลกระดาษบาดเล็กๆ ไม่รู้ทำไมเลือดถึงไหลไม่หยุด ดีที่พอทายาแล้วมันช่วยหยุดเลือดได้
กู้ไหวเจินปิดฝาขวดยาส่งคืนแก่สือหมิง อีกฝ่ายยังอุตส่าห์ยื่นแผ่นพลาสเตอร์ยามาให้ ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ แต่พอเห็นสีหน้ายืนกรานของชายหนุ่มแล้ว เขาจึงจำต้องยอมรับมาติดบนนิ้วโป้ง
เห็นเขาจัดการบาดแผลเรียบร้อย สือหมิงถึงค่อยหยิบคนกระดาษที่ประทับหยดเลือดเอาไว้ขึ้นมาเพ่งพิจารณาอยู่พักใหญ่
กู้ไหวเจินเองก็สงสัย บนหน้าท้องของคนกระดาษตัวนั้นมีวงกลมๆ ของหยดเลือด ที่แปลกกว่านั้นคือคนกระดาษดูปราดเปรียวกว่าเดิม แล้วยัง…ไม่รู้ว่าตาฝาดไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าคนกระดาษดูมี…ความสุข?
สือหมิงวางมันลง มองที่กู้ไหวเจินพลางเอ่ยถาม “ครั้งที่แล้วคุณบอกว่าสือจิ้งเจ๋อส่งคุณมาที่นี่?”
“เอ้อ ใช่ครับ เขาเป็นเพื่อนของผมสมัยมัธยมปลาย” กู้ไหวเจินพยักหน้าพลางเสริมขึ้นว่า “จริงๆ เราไม่ได้สนิทกันมาก แต่ความสัมพันธ์ก็นับว่าไม่เลว”
“ถ้าอย่างนั้นเขาจะบอกคุณเรื่องผมทำไม” นัยน์ตาของสือหมิงเพ่งตรวจสอบเขาอย่างใกล้ชิด
กู้ไหวเจินไม่เข้าใจว่ามันมีปัญหาตรงไหน แม้ว่าท่าทีของอีกฝ่ายจะไม่ค่อยเกรงใจกัน แต่ใจเขากลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่ให้ความรู้สึกสบายถึงขั้นสงบ ดังนั้นเขาจึงคิดจะเล่าเรื่องวันนั้นโดยละเอียด
สือหมิงขมวดคิ้ว จ้องมองเขาอย่างถี่ถ้วนคล้ายกับต้องการจะมองให้เห็นอะไรบางอย่างผ่านร่างกายเขา ชายหนุ่มหยิบคนกระดาษตัวนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนกลับไปหยิบเอายันต์ครึ่งแผ่นนั้นออกมาจากถังขยะ พลิกกลับไปกลับมา ตรวจดูอยู่ครู่ใหญ่ๆ จากนั้นจึงคว้ามือถือเครื่องหนึ่งขึ้นมา
กู้ไหวเจินไม่ได้เห็นโทรศัพท์รุ่นเก่ามานานแล้ว สือหมิงกดปุ่มแค่ปุ่มเดียว น่าจะเป็นปุ่มที่ถูกตั้งค่าโทรด่วนไว้ การโทรถูกเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว
“เรียกเหล่าซานมา” สือหมิงบอกแกมสั่ง
“นายหมายความว่าไง”
“นายก็รู้ว่าฉันถามถึงอะไร”
“อย่างนี้สินะ?”
“ท่านเทพได้พูดอะไรอีกมั้ย”
สือหมิงพูดๆ หยุดๆ อยู่ไม่กี่ประโยค น้ำเสียงที่ใช้สุดแสนเย็นชา ก่อนจะวางสายทันที กู้ไหวเจินได้ยินเสียงคนปลายสายยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกตัดสาย
สือหมิงโยนมือถือทิ้ง ไม่พูดไม่จา ก้มหน้าครุ่นคิด ในห้วงเวลาแห่งความเงียบนั้นพลันมีเสียงเคาะประตูปัง ปัง ปังดังขึ้นสามครั้งจากด้านหลัง
กู้ไหวเจินตกใจหันไปมอง ม่านประตูด้านหลังยังคงถูกปิด เขาจำได้ว่าข้างในนั้นมีคนกระดาษขนาดใหญ่ยืนอยู่หนึ่งแถว
สือหมิงเงยหน้ามองนาฬิกาเรือนเก่าที่แขวนอยู่บนผนัง เข็มนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มห้าสิบห้านาที
กู้ไหวเจินมองตามสายตาเขาไป เห็นว่าใกล้จะห้าทุ่มเต็มทีจึงรีบเอ่ยปาก “ถ้าไม่สะดวกล่ะก็ ผมจะกลับเดี๋ยวนี้ล่ะ”
กู้ไหวเจินพูดจบก็ชำเลืองมองไปยังคนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มจะให้เขาจริงๆ หรือเปล่า ตอนนั้นเองสือหมิงเอ่ยปากพูด “น้องสาวคุณคนนั้นไม่ใช่น้องแท้ๆ”
“เอ๋?” กู้ไหวเจินชะงักไป ผ่านไปนานกว่าจะเอ่ยปากออกมาได้ ทว่าประโยคนั้นยังสับสนด้วยความตกใจ “คุณรู้ได้ยังไง ไม่สิ ตัวผมเองยังไม่แน่ใจเลย แต่ผลตรวจดีเอ็นเอบอกว่า…”
พูดไปได้ครึ่งทางก็หยุดลง เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร ได้แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มขื่นพลางเอ่ย “บางทีผมอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆ”
กู้ไหวเจินมองสือหมิง ดูลังเลที่จะถาม “คือคุณจะบอกว่าคุณดูออกว่าผมกับน้องสาวไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด?”
สือหมิงจ้องมองเขาเงียบๆ เหมือนทำแบบนี้จะช่วยให้ดูออกว่าตัวเขากับน้องสาวไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดจริงๆ กู้ไหวเจินก็ไม่ได้เร่งเร้า ได้แต่ยืนตรงนั้นให้อีกฝ่ายมอง กระนั้นเขาถูกชายหนุ่มจ้องอย่างไร้เหตุผลมานานแล้ว
เสียงเคาะประตูเร่งร้อนจากหลังม่านดังขึ้นมาอีก สือหมิงถอนหายใจ วางยันต์สีเหลืองในมือลง ก่อนเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปทางประตูใหญ่
กู้ไหวเจินนึกว่าชายหนุ่มต้องการส่งแขก เขาเหลือบมองคนกระดาษตัวนั้นอย่างอิดออด ในขณะที่เขาหมุนตัวจะก้าวเดินออกไป ก็พบว่าสือหมิงไม่ได้ต้องการไล่เขากลับ แต่กำลังปิดประตู
เมื่อประตูไม้ปิดเข้าหากันแล้ว กู้ไหวเจินถึงได้รู้ว่ากลอนประตูด้านบนเหมือนกับประตูบานอื่นในห้อง ที่ด้านบนมีแผ่นหมุนทองเหลืองฝังอยู่ ฟันเฟืองไม้สามตัวส่งเสียงคลิกขณะล็อกเข้าหากัน ดันกลอนประตูจนสุด ฟันเฟืองทั้งสามถูกสือหมิงกดลงข้างล่างแผ่นหมุน ฝังเข้าหากันพอดิบพอดี สมเป็นงานฝีมืออย่างประณีต
สือหมิงหมุนตัวกลับมา พบว่ากู้ไหวเจินยังคงยืนอยู่ที่เดิม จึงยื่นมือไปทางเขา “ขอโทรศัพท์หน่อย”
ผ่านไปครู่หนึ่งกู้ไหวเจินถึงส่งมือถือให้ สือหมิงถือโทรศัพท์ของเขา เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน แล้วหยิบกล่องไม้จากใต้โต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง พอเปิดออกก็เห็นว่าด้านในมีแผ่นเหล็กฝังอยู่
สือหมิงวางมือถือลงไป ปิดฝาแล้วกดล็อกไม้สีเข้มบนฝากล่อง จากนั้นโยนไปข้างโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ กู้ไหวเจินเพ่งมองด้วยความสงสัยจึงได้รู้ว่ามันคือปริศนาตัวล็อกไม้
(* ปริศนาตัวล็อกไม้ เป็นอุปกรณ์ของเล่นดั้งเดิม ผลิตในยุคจีนโบราณ มีตัวต่อทั้งหมด 6 ชิ้น)
สือหมิงเห็นเขามองอย่างตั้งใจจึงกล่าวว่า “คุณต้องเปิดให้ออก ถึงจะเอามือถือกลับออกมาได้”
กู้ไหวเจินไม่ทันได้ตอบ อีกฝ่ายก็เดินไปทางประตูไม้อีกบานแล้ว เขาตีความว่านี่คือคำอนุญาตให้จับต้องกล่องไม้ได้ จึงเดินไปหยิบกล่องไม้ขึ้นมาดูอย่างพิจารณา กล่องไม้นี้ทำมาจากไม้แผ่นยาว เขาลองกดดูอย่างนึกสนุก ได้ยินเสียงฟันเฟืองดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อหันไปมองก็พบว่าสือหมิงกำลังเปิดประตูไม้อีกบาน
เขาจำได้ สือจิ้งเจ๋อเคยบอกว่าสือหมิงจะเปิดร้านตอนห้าทุ่ม ที่ไหนได้ประตูเวลาเปิดร้านคือบานนี้ แต่ฝั่งนี้เหมือนหันหน้าเข้าหาป่าไผ่ซึ่งไม่น่าจะมีคนอาศัยอยู่ เป็นแค่พื้นที่รกร้าง
สือหมิงปลดล็อก ชายหนุ่มหันมาที่เขาก่อนจะเปิดบานประตู “คุณต้องอยู่ที่นี่จนหกโมงเช้าถึงจะกลับได้ รออยู่แค่ในนี้เท่านั้น ถ้าระหว่างนี้มีแขกมาล่ะก็ คุณห้ามเปิดปากพูดเด็ดขาด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร ทำได้มั้ย”
กู้ไหวเจินนิ่งไป ไม่รู้ทำไมถึงพยักหน้าตอบ “ได้ครับ”
ที่จริงเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่เปิดประตูออกไปเลย อยู่ดีๆ ก็ถูกคนที่เพิ่งเจอกันสองครั้งขังไว้ในร้าน โดนยึดมือถือไป แต่เขากลับยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ
กู้ไหวเจินค่อนข้างสับสน แต่ก็ยังมั่นใจที่จะอยู่
สือหมิงเห็นใบหน้าท่าทางอันจริงจังของเขาแล้วคิดว่าคงต้องหาเวลากลับวัดไป ‘คุย’ กับสือจิ้งเจ๋อสักหน่อย
เมื่อสือหมิงเปิดประตูบานใหญ่ก็มีลมพัดวูบเข้ามาในห้อง ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกอันน่าหวาดหวั่นก็แทรกซึมเข้ามาผ่านสายลม คนกระดาษบนโต๊ะคล้ายถูกลมพัด ปลิวข้ามโต๊ะมาแปะลงบนตัวเขา เขาเอื้อมหยิบคนกระดาษขึ้นมาอย่างนึกขัน หนีบมันไว้บนมือถึงค่อยรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นสลายไปแล้ว
กู้ไหวเจินมองที่คนกระดาษตัวเล็ก รู้สึกว่าดวงตากลมๆ นั้นมองมาที่เขาอย่างเป็นประกาย เขาหัวเราะ ตัดสินใจเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อ ไม่ว่าสือหมิงจะให้หรือไม่
สือหมิงกำลังจุดโคมไฟน้ำมันนอกประตู ซึ่งทางซ้ายและขวามีโคมไฟอยู่ทั้งสองฝั่ง เมื่อประตูไม้เปิดออกกว้างถึงได้เห็นว่าบนประตูถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงเป็นตัวอักษรอย่างบรรจง ด้านซ้ายล่างมีสัญลักษณ์สีทองเล็กๆ ดูสวยตระการตา
‘ศาลคนกระดาษ’
กู้ไหวเจินขยับปากอ่านเบาๆ ที่แท้ร้านนี้ก็มีชื่อเรียก
จุดโคมไฟเสร็จสือหมิงก็เดินกลับเข้ามา เอามือกดลงที่ขอบโต๊ะพลางใช้เท้าเหยียบที่ขาโต๊ะทั้งสองข้าง เดินมาอีกฝั่งหมุนโต๊ะเก้าสิบองศาด้วยมือเดียว ก่อนวางหันไปทางประตูใหญ่ จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกมา วางไว้ข้างหลังบริเวณที่เคยเป็นโต๊ะทำงาน เก้าอี้ที่ถูกดึงมาวางก่อนหน้านี้กู้ไหวเจินไม่เคยเห็นสือหมิงนั่งลงข้างๆ มันมาก่อนเลย
“นั่งตรงนี้ เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยหลังหกโมงเช้า คุณน่าจะเหนื่อยแล้ว นั่งหลับสักหน่อยดีกว่า”
กู้ไหวเจินอุ้มกล่องใบนั้นไว้ในมือพลางทรุดตัวลงนั่ง สือหมิงไม่ถามว่าคนกระดาษหายไปไหน เขาจึงปล่อยมือลงจากตัวล็อกไม้อย่างผ่อนคลาย
จริงๆ แล้วเขาอยากเอ่ยถามอีกหลายเรื่อง แต่สือหมิงได้เอากรรไกรโบราณเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มตัดกระดาษลายหนังสีชมพูที่เพิ่งเลือกไว้
กู้ไหวเจินดูเขาใช้กรรไกรบรรจงตัดกระดาษเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมอยู่เงียบๆ เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเขาพลางฟังเสียงตัดกระดาษไปด้วย ทำให้รู้สึกถึงความสงบชวนให้ใจเย็น
กู้ไหวเจินยกมุมปาก ก้มลงไปเล่นปริศนาตัวล็อกไม้ เหมือนที่นี่เป็นโลกอีกใบหนึ่ง เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับพ่อแม่ ไม่ต้องเข้าสังคมกับลูกค้า ไม่ต้องปลอบใจลูกน้อง แล้วก็ไม่ต้องคอยสุภาพกับเพื่อนร่วมชั้น แถมยังไม่ต้องกังวลถึงน้องสาวแสนเอาแต่ใจด้วย
กู้ไหวเจินคิด ถ้าสือหมิงไม่ว่าอะไร บางที…เขาอาจจะมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ
เขายกศีรษะมองไปข้างนอกห้อง โคมไฟทั้งสองดวงส่องสะท้อนไปตามถนนสายเล็กๆ ที่น่าแปลกก็คือบริเวณที่ควรจะเป็นป่าไผ่กลับไม่มีต้นไผ่เลยสักต้น
เขายกมือขึ้นลูบคนกระดาษในกระเป๋าเสื้อ กู้ไหวเจินพลันนึกสงสัย คนประเภทไหนกันนะ ถึงจะมาที่ร้านหลังห้าทุ่ม
กู้ไหวเจินทิ้งสายตาไว้ที่ถนนมืดๆ สายนั้น มองนานเข้าก็รู้สึกว่าถนนบิดตัว คดเคี้ยวไปมาคล้ายคลื่นน้ำวน ทำเขาวิงเวียนศีรษะ
“อย่าจ้องออกไปข้างนอก”
เสียงทุ้มต่ำของสือหมิงดังขึ้นข้างใบหู เขามองกลับไป ถนนสายนั้นก็เปลี่ยนคืนสู่สภาพเดิมแล้ว เขาหันมองสือหมิง อีกฝ่ายแสดงสีหน้าจนใจ ชี้มาที่กล่องในมือเขา
“ถ้าคุณเปิดได้ก่อนหกโมงเช้า ดอกไม้เมื่อคราวที่แล้วผมจะให้คุณ”
กู้ไหวเจินดวงตาเป็นประกาย เขายังจำดอกโบตั๋นแสนสวยเมื่อครั้งก่อนได้ จึงยกยิ้มให้สือหมิง ก่อนก้มหน้าลงไปแกะต่อ ตอนเด็กๆ เขาเคยเล่นมาก่อน แค่เปิดกล่องให้ได้ก่อนหกโมงเช้าจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก
กู้ไหวเจินยิ้ม คิดไปก่อนแล้วว่าจะวางดอกไม้นั่นตรงไหนดี
สือหมิงกวาดสายตาผ่านรอยยิ้มบนใบหน้ากู้ไหวเจิน ก่อนก้มลงทำกระเป๋าต่อ เขาเหลือบมองข้างนอกแวบหนึ่ง แอบหวังว่าคืนนี้จะไม่มีลูกค้า เขาไม่รู้ว่าท่านเทพจะส่งกู้ไหวเจินมาหาเขาที่นี่ทำไม ได้แต่หวังว่ามันจะไม่กลายเป็นปัญหาในอนาคต
หากเป็นเช่นนั้นเขาจะฆ่าสือจิ้งเจ๋อซะ สือหมิงคิดพลางตัดกระดาษในมือด้วยท่าทางอยากฆ่าคน ทว่ากระแสลมข้างนอกได้พัดวูบเข้ามา ดับแสงจากโคมไฟ แสงไฟสั่นไหวอยู่นิดหนึ่งแล้วค่อยลุกติดขึ้นมาใหม่
สือหมิงขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด “ลูกค้ามา จำไว้ ห้ามพูด”
กู้ไหวเจินกังวลขึ้นมาทันที ได้แต่พยักหน้ารับ สุดถนนที่มืดมัวปรากฏเงาโก้งโค้งของร่างหนึ่งขึ้นช้าๆ ค่อยๆ ก้าวเดินมาทางนี้
กู้ไหวเจินแค่รู้สึกกังวล ไม่ได้ตื่นกลัวแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะไม่มีอะไรน่ากลัวไปมากกว่าน้องสาวของเขาแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยังมีชีวิตหรือตอนที่จากไปแล้ว
หน้าอกอุ่นร้อนขึ้นมาเล็กน้อย พอก้มลงมองก็เห็นว่าคนกระดาษตัวนั้นกำลังโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อช้าๆ เหมือนกำลังแอบดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก
กู้ไหวเจินเกือบจะหลุดหัวเราะ เขารีบยกมือขึ้นปิดปาก โดนสือหมิงถลึงตาใส่ไปหนึ่งหน
กู้ไหวเจินรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างตรงนี้เหมือนกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น ร่างของเขาอยู่ในสถานที่แปลกประหลาด แต่เขากลับไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย
กู้ไหวเจินลูบคนกระดาษ ครุ่นคิดก่อนลูบมือลงบนโต๊ะทำงานตัวหนา มองดูเก้าอี้ไม้แกะสลักที่ตัวเองนั่ง มองตู้ไม้ข้างหลังและคานไม้ข้างบน
เขาเข้าใจทันทีว่าทำไมถึงไม่รู้สึกกลัว สิ่งของทุกอย่างในห้องนี้ล้วนแผ่รังสีความสงบอ่อนโยนออกมา ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
สุดท้ายกู้ไหวเจินก็หันมองสือหมิงที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าตัดกระดาษอย่างตั้งใจ ไม่แม้แต่จะหยุดการกระทำเพราะลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกนั่นเลย ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายเขาก็คงยังทำงานในมือต่อไปแน่ๆ
กู้ไหวเจินจับคนกระดาษจอมซนวางกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วก็เล่นกล่องไม้นั้นต่อ เขารู้แค่ว่าตนปลอดภัยมากในห้องแห่งนี้ ข้างกายคนคนนี้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 6 ได้ในวันที่ 01 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.