บทที่ 6
แขกผู้มาเยือน
กู้ไหวเจินตั้งใจเล่นตัวล็อกไม้ในมือ พยายามไม่สนใจลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆ อย่างสุดความสามารถ แต่พอลูกค้าก้าวเข้าประตูมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย จึงพบว่าลูกค้าที่เดินเข้ามามีสองคนด้วยกัน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปี กำลังใช้มือจับประคองร่างคุณยายเอาไว้
เด็กสาวหน้าตาสะสวย ดวงตากลมโตที่คล้ายจะสามารถสื่อสารคำพูดได้ของเธอทอประกายมองมาที่เขา ดวงหน้าขาวกระจ่างเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
กู้ไหวเจินตะลึง เขาเคยเจอสาวสวยมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นใบหน้าที่งดงามขนาดนี้มาก่อน บริษัทของเขามีโปรแกรมวาดภาพ เขาจึงคุ้นเคยกับสัดส่วนสมมาตรของใบหน้า โครงหน้าของเด็กสาวคนนี้ได้สัดส่วนทองคำ สวยงามหมดจดราวกับไม่ใช่มนุษย์
เขาอาจจะจ้องนานเกินไป สีหน้าอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวจึงแปรเปลี่ยนเป็นเขินอายก่อนก้มหน้างุด ทางคุณยายก็หัวเราะหึๆ แล้วหันไปเอ่ยกับสือหมิงด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แทบไม่เคยเห็นคนแปลกหน้าที่นี่เลยนะ”
กู้ไหวเจินได้สติว่าตนเองได้เสียมารยาทมากไปแล้วจึงรีบหลบสายตา แต่สือหมิงก็ไม่ได้ตอบอะไรคุณยายกลับไป แค่วางกระดาษลายหนังสีชมพูที่กำลังติดกาวในมือลงพลางเอ่ยถาม “วันนี้ต้องการอะไรครับ”
คุณยายยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะ ส่งยิ้มจนตาหยี “อยากตัดชุดให้หนูสาม นายพอจะทำให้ได้มั้ย”
สาวน้อยจับมือคุณยายไว้อย่างรักใคร่ รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏบนดวงหน้า
สือหมิงเหลือบมองเด็กสาวในชุดเดรสแขนกุดสีชมพู พอเห็นเขามองมา เธอก็รีบเหยียดตัวยืนตรงพร้อมส่งยิ้มเบิกบาน
“ชุดนี้เพิ่งใส่ได้ไม่ถึงสามเดือนเลยนี่ครับ” สือหมิงกล่าวเรียบๆ พลางหยิบนิตยสารแฟชั่นสองสามเล่มขึ้นมาวางบนโต๊ะ “คุณยายอย่าตามใจเธอนักเลย”
“หนูสามฉลาดมาก เธอทำให้แม่สามีฉันมีความสุข แค่ตัดชุดให้เธอสักสองสามชุดจะเป็นไรไป” คุณยายมองเขาด้วยแววตาตำหนิ
สือหมิงไม่เข้าใจหล่อน แต่ไม่ได้ต่อความ เขาแค่ติดกาวกระเป๋าในมือต่อ คุณยายเองก็เหมือนจะไม่ใส่ใจท่าทีของเขานัก หล่อนหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดไปไม่กี่หน้า จู่ๆ ก็ส่งมันไปข้างหน้ากู้ไหวเจิน หล่อนพูดพลางยิ้มตาหยี “เจ้าหนู เลือกให้สาวใช้ฉันสักชุดสิ สายตาเราน่าจะดีกว่าเจ้าก้อนหินนี่นะ”
กู้ไหวเจินจำคำของสือหมิงได้จึงไม่กล้าปริปากตอบ เหลือบมองไปที่ชายหนุ่ม ไม่เห็นเขามีปฏิกิริยาอะไร จึงรับนิตยสารเล่มนั้นมาเปิด เลือกชุดเดรสสีแดงกุหลาบให้แก่เด็กสาว คอเสื้อติดโบสีดำ แขนเสื้อมีลายดอกไม้ห้าดอก เหมือนกับลวดลายตกแต่งบนกระโปรงทรงยาวที่มีระบายเป็นชั้นๆ ดูเรียบร้อยกว่าเดรสที่เธอกำลังสวมใส่
กู้ไหวเจินพูดไม่ได้ จึงยกนิตยสารอีกเล่มที่หน้าปกเป็นสีขาวสว่างขึ้นมา วางซ้อนลงกับเดรสชุดนั้นเพื่อเปรียบเทียบ
สือหมิงมองดูแล้วเอ่ยแทนเขา “ชุดสีนี้ช่วยขับผิวขาวของเธอ”
เด็กสาวเพ่งพิศ ดูพอใจอยู่ไม่น้อย หันไปพยักหน้ากับคุณยายอย่างเริงร่า คุณยายเห็นเธอชอบใจก็บอกสือหมิงว่า “งั้นเอาชุดนี้ละกัน ดูนายยุ่งๆ อีกสองวันฉันค่อยกลับมารับ”
เด็กสาวเหลือบมองกระเป๋าสีชมพูที่สือหมิงกำลังประกอบอยู่หลายครั้งจนคุณยายสังเกตเห็น หล่อนแย้มยิ้มเอ่ยถาม “กระเป๋าใบนี้เดี๋ยวขายให้ฉันได้มั้ย”
กู้ไหวเจินอึ้ง ค่อนข้างหวั่นวิตก ถ้าสือหมิงขายกระเป๋าใบนี้ กลับบ้านไปเขาต้องถูกน้องสาวเล่นงานแน่ๆ
โชคดีที่สือหมิงส่ายหน้าและตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่ได้ครับ”
“งั้นทำเหมือนกันอีกใบสิ คราวหน้าฉันมาเอา” คุณยายพูดอย่างอารมณ์ดี
สือหมิงยังคงส่ายศีรษะ “รุ่นนี้ไม่ได้ครับ ปีนี้ผมทำได้แค่ใบเดียว ถ้าอยากได้ต้องรอปีหน้า”
กู้ไหวเจินฟังแล้วรู้สึกประหลาด กระเป๋ารุ่นนี้มันลิมิเต็ดแม้กระทั่งในโลกหลังความตายด้วยเหรอ
สาวน้อยไม่อยากยอมแพ้ ดึงแขนคุณยายไปเขย่าเบาๆ คุณยายหัวเราะพูดว่า “เสี่ยวสือ ช่วยคิดหาหนทางหน่อยน่า”
“ก็อย่าตามใจสิครับ ตามใจกันแบบนี้นานๆ เดี๋ยวก็ปีนป่ายหัวคุณยายพอดี” สือหมิงพูดอย่างเย็นชา มือยังคงทำงานไม่หยุด
เด็กสาวบึนปาก คุณยายดูเอาอกเอาใจเธอมากๆ เมื่ออยากจะเอ่ยอะไรเพิ่มเติม กู้ไหวเจินเลยเอานิตยสารเล่มหนึ่งออกมาจากกอง พลิกไปไม่กี่แผ่นก็เจอเข้ากับหน้ากระดาษที่คุ้นเคย เขาจึงยื่นมันไปข้างหน้า
มันคือกระเป๋าหนังแกะใบเล็กของชาแนลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เด็กสาววัยรุ่น น้องสาวของเขาก็เคยอยากได้ พอซื้อให้ใบหนึ่งก็อยากได้อีกใบแต่คนละสี เขาไปซื้อรอบหนึ่ง แล้วก็ให้ผู้ช่วยไปซื้ออีกสองรอบกว่าจะได้สีที่น้องต้องการ เขาก็เลยตราตรึงกับหน้ากระดาษในนิตยสารเล่มนี้อย่างมาก
เด็กสาวมองดูกระเป๋าหนังแกะใบเล็กสีชมพูแล้วเขย่าแขนคุณยายอย่างถูกใจ คุณยายลูบหลังมือของเธอก่อนมองสือหมิง “ใบนั้นได้หรือเปล่า เด็กร้านนายเป็นคนเลือก น่าจะทำได้ใช่มั้ย”
สือหมิงมองแล้วพยักหน้า “คราวหน้ามาเอา”
เด็กสาวพุ่งกอดคุณยายอย่างมีความสุข หนุนศีรษะลงบนบ่าของหล่อนอย่างเด็กที่ถูกตามใจ กู้ไหวเจินถึงค่อยโล่งอก
ดูแล้วคุณยายรักและเอ็นดูเด็กสาวมากเหลือเกิน กู้ไหวเจินรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นท่าทีของแม่ดูแลน้องสาวผ่านการตามใจที่ไร้การควบคุมนั่น คุณยายสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาจึงส่งยิ้มให้อย่างใจดี ดวงตาพลันวาววาบ ก่อนชี้มาที่หน้าอกเขา “เจ้าหนู อันนั้นขายมั้ย”
กู้ไหวเจินชะงัก ไม่เข้าใจว่าคุณยายหมายถึงอะไร แต่สือหมิงก็เอ่ยตอบแทนเขาไปแล้ว “ไม่ขายครับ”
“อ่า ฉันไม่ได้ถามนายน่า” คุณยายมองค้อน หยิบเหรียญเงินออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “สิ่งนี้ช่วยให้โชคดีมั่งคั่ง ยายขอแลกมันกับคนกระดาษตัวนั้น”
กู้ไหวเจินเพิ่งจะเข้าใจว่าสิ่งที่คุณยายต้องการคือคนกระดาษ เขายกมือขึ้นกดที่กระเป๋าเสื้อโดยไม่รู้ตัว รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
คุณยายไม่ยอมแพ้ ดันเหรียญขึ้นมาข้างหน้า “มันนำพาความมั่งคั่งมาให้จริงๆ นะ เจ้าหนู ถ้าพกไว้ติดตัว เงินจะไหลมาเทมาอย่างกับสายน้ำเชียวล่ะ”
กู้ไหวเจินชำเลืองมอง มันเป็นเหรียญเงินของยุคเซวียนถ่งปีที่สามในสมัยราชวงศ์ชิง อย่าว่าแต่จะนำพาความมั่งคั่งมาให้เลย ถ้ามันเป็นของแท้ล่ะก็ ราคาในตลาดคงประมาณสี่หมื่นถึงหกหมื่นหยวนได้
คุณยายเห็นเขามอง เลยจับเหรียญพลิกกลับด้าน ข้างหลังปั๊มลายมังกรหนวดยาว กู้ไหวเจินถอนหายใจอีกครั้งพลางครุ่นคิด แบบนี้ราคาในตลาดน่าจะประมาณสิบห้าล้านหยวนเลยทีเดียว แต่เขายังคงส่ายหน้า
สือหมิงทนไม่ไหว เปิดปากเอ่ย “เขามีสายเลือดมั่งคั่ง ไม่ร้อนเงินหรอกครับ”
กู้ไหวเจินไม่เข้าใจ อะไรคือมีสายเลือดมั่งคั่ง ปกติต้องเรียกว่าคนมีวาสนาพารวยไม่ใช่เหรอ เขามองสือหมิงอย่างไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายเมินเฉย
เห็นได้ชัดว่าคุณยายยังคงไม่ยอมแพ้ หล่อนเก็บเหรียญกลับไปในแขนเสื้อ แล้วถอดปิ่นปักผมดอกเถาฮวาบนศีรษะออก ขนาดของมันเล็กประมาณสามเซนติเมตร หล่อนกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ปิ่นปักผมดอกเถาฮวาอันนี้น่ะ…”
ไม่ทันกล่าวจบ คุณยายเหลือบเห็นสือหมิงเข้า ก็รู้สึกเหมือนไม่ควรพูดต่อ ปักปิ่นกลับไว้ที่เดิมพลางใช้ความคิด ก่อนจะถอดกำไลหยกบนข้อมือ ส่งมาตรงหน้า “สิ่งนี้ช่วยป้องกันภูตผีวิญญาณร้าย จะช่วยปกป้องนายให้ราบรื่นปลอดภัยไปทั้งชีวิต”
กู้ไหวเจินยิ้มฝืด มองที่สือหมิงอย่างขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มหยุดการกระทำในมือ จ้องมองกำไลหยกอยู่นานถึงเอ่ยว่า “จะเอาอันที่อยู่กับเขาไม่ได้ครับ ผมจะให้เขาพับอีกอันให้ ส่งพร้อมกระเป๋าและเสื้อผ้านะครับ”
คราวนี้คุณยายเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง สีหน้ามีแววเหม่อลอยเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด ขณะเดียวกันก็เอื้อมมือขยับปิ่นให้ตรง หล่อนมองคนกระดาษตัวจิ๋วด้วยท่าทีอิดออด กู้ไหวเจินสัมผัสได้ว่ากระเป๋าตรงหน้าอกอุ่นร้อนขึ้นมาเล็กน้อย พอก้มลงเห็นเจ้าคนกระดาษโผล่หัวออกมา เขาก็รีบเอามือดันมันกลับเข้าไปพร้อมหัวเราะแก้เก้อ
คุณยายทอดถอนใจ พูดอย่างปลงๆ “เอาเถอะ ก็คงต้องรอเจ้าหนูพับให้ ยายอยากได้น่ารักๆ แบบเรานะ”
สือหมิงวางกระเป๋าในมือลง แล้วหยิบกระดาษสีขาวขนาด 10 x 10 เซนติเมตรจากลิ้นชักข้างหลัง ด้านบนกระดาษไม่มีอักขระ ไม่มีตัวอักษร เป็นเพียงกระดาษขาวธรรมดา
“ทำกับผม” สือหมิงสบตาเขาอย่างจริงจัง “ระวังด้วย อย่าให้กระดาษบาด”
กู้ไหวเจินพยักหน้างงๆ รับกระดาษแผ่นนั้นมา จากนั้นสังเกตท่าทางของสือหมิง แล้วพับกระดาษตามอย่างงุ่มง่าม แถมต้องคอยระวังไม่ให้กระดาษบาดมือ เขาพอคาดเดาได้ว่าที่สือหมิงตักเตือนเป็นพิเศษเพราะไม่อยากให้เขาเลือดไหลอีก เขาจำได้ดีว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเมื่อเลือดของเขาไหลออกมาหยดหนึ่ง
เพื่อสอนเขาพับการกระทำของสือหมิงจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ลื่นไหลรวดเร็วเหมือนตอนที่พับให้เขา กู้ไหวเจินงุ่มง่ามในช่วงแรก เล็งมุมอยู่นาน เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันตรง แต่ไม่รู้ทำไมพับไปเรื่อยๆ ถึงได้เอียง แต่สือหมิงก็ไม่รอให้เขาทำให้ตรง เริ่มขั้นตอนถัดไปแล้ว เขาได้แต่ทำตาม ใช้เวลาร่วมสิบนาทีในการพับคนกระดาษที่สือหมิงพับเสร็จก่อนด้วยเวลาแค่สองนาทีให้แล้วเสร็จ
ทันทีที่พับเสร็จเรียบร้อย สือหมิงกลัวว่ากู้ไหวเจินจะทำบาดมือตัวเองอีก เลยรีบหยิบคนกระดาษจากมือเขาไป ถือมันพิจารณาดูอยู่ครู่ใหญ่ๆ จึงค่อยวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบเครื่องเขียนเมื่อก่อนหน้านี้ออกมา หมึกบนแท่นยังไม่แห้ง สือหมิงเอาพู่กันจุ่มบนแท่นก่อนส่งให้กู้ไหวเจิน แล้ววางคนกระดาษข้างหน้าเขา บอกด้วยเสียงราบเรียบ “วาดตาให้เขาสิ”
กู้ไหวเจินไม่เคยจับพู่กันมาก่อน แม้ว่าตอนเด็กจะเคยเรียนวิชาการคัดลายมือมาหลายครั้ง แต่ก็มักจะใช้ปากกาหมึกซึมของตัวเองเขียนซะส่วนใหญ่ นอกจากเพื่อนร่วมชั้นที่รักการคัดลายมือจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครใช้พู่กันเขียนตัวอักษรเลย
เขาจับพู่กัน มองสือหมิงอย่างไร้ทางเลือก สือหมิงที่เห็นท่าจับพู่กันของเขาแล้วดูออกว่าวาดไม่เป็นจึงยกพู่กันอีกด้ามขึ้นมา สาธิตให้ดู “จับแบบนี้”
กู้ไหวเจินเลียนแบบอย่างเงอะงะ ไม่เข้าใจว่าพู่กันแบบนี้จะจับให้มั่นคงได้ยังไง สือหมิงทิ้งพู่กันในมือ ก่อนจับมือเขามาปรับอยู่หลายตำแหน่งจนรู้สึกว่าใช้ได้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างปลง “จับอย่างนี้แล้วกัน แค่วาดดวงตาเฉยๆ”
กู้ไหวเจินถลึงตามองเขาเป็นเชิงว่าถ้าวาดเบี้ยวไม่รับผิดชอบด้วยนะ สือหมิงเข้าใจที่อีกฝ่ายสื่อ ตอบเสียงเรียบ “วาดเถอะ เบี้ยวก็ไม่เป็นไร ตั้งใจวาดก็พอแล้ว”
กู้ไหวเจินจนใจ ลงมือวาดดวงตาสองข้างลงบนใบหน้าของคนกระดาษที่ตัวเองพับด้วยความระมัดระวัง แต่เพราะพู่กันนิ่มมาก เลยทำให้ดวงตาของคนกระดาษที่เขาวาดใหญ่กว่าที่สือหมิงวาดให้ตั้งหนึ่งเท่า
เขาคืนพู่กันให้สือหมิงอย่างกระอักกระอ่วน สือหมิงรับพู่กันไปแล้วมองนิ่งอยู่นาน ก่อนจะผงกศีรษะ ส่งให้คุณยายดูบ้าง คุณยายรับไปด้วยความดีใจ เพ่งมองพักใหญ่ สุดท้ายก็ส่งคืนสือหมิง “ไว้คราวหน้ามารับของพร้อมกันนะ”
สือหมิงส่ายหน้า “อันนี้ใช้เวลาสามเดือนครับ”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอ…” คุณยายมองทางกู้ไหวเจินด้วยสายตาดื้อดึง กู้ไหวเจินไม่ค่อยแน่ใจว่าครั้งนี้คุณยายมองเขาหรือมองคนกระดาษในกระเป๋าเสื้อ จึงได้แต่ส่งยิ้มให้หล่อน
“ถ้างั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน อีกสามเดือนฉันค่อยมารับพร้อมกันทีเดียว” คุณยายกล่าว หมุนตัวเตรียมจากไป เด็กสาวเห็นดังนั้นก็เขย่าแขนคุณยายอีกครั้งพลางมองหล่อนด้วยใบหน้าอ้อนวอน
คุณยายถอนใจ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากสาวน้อยด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร หันกลับมาพูดกับสือหมิง “เสี่ยวสือ ดูยัยหนูสิ เธอน่าจะพูดได้แล้วใช่มั้ย”
สือหมิงตอบโดยไม่เงยหน้า “ยังเร็วไปครับ”
“โอย ครั้งที่แล้วกับครั้งที่แล้วแล้วนายก็พูดอย่างนี้ ยังเร็วเกินไปแล้วมันต้องรออีกนานแค่ไหนเล่า” คุณยายถาม แม้ถ้อยคำจะฟังดูตำหนิ ทว่าน้ำเสียงกลับเกรงอกเกรงใจอย่างมาก
“จนกว่าเธอจะรู้หน้าที่ตัวเอง” สือหมิงเอ่ยตอบเย็นชา
“ปกติแม่สามีฉันก็ชอบเอาใจยัยหนูพวกนี้อยู่แล้ว นี่จะโทษฉันเหรอ” คุณยายกล่าวฮึดฮัด
“มันไม่ใช่ปัญหาของคุณครับ” สือหมิงส่ายหน้า ยังคงก้มติดกาวกระเป๋าในมือ
คุณยายหันมองสาวน้อยข้างกายอย่างไม่รู้ตัว เห็นเด็กสาวจ้องสือหมิงด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง หล่อนขมวดคิ้วเป็นปม สะบัดมือเด็กสาวออกไปข้างๆ แล้วตะโกนว่า “ยังไม่ทำตัวดีๆ อีก!”
เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว รีบก้มหน้างุด เหยียดตัวยืนตรงไม่กล้าขยับ คุณยายถลึงตาใส่เธอ ก่อนหันไปหาสือหมิงด้วยท่าทีขอโทษขอโพย “เสี่ยวสือ วางใจเถอะ กลับไปฉันจะสั่งสอนให้ดีเชียว ไม่ให้เสียชื่อนายแน่”
“อื้ม” สือหมิงตอบรับ เงยหน้ามองเด็กสาวแวบหนึ่ง แม้อีกฝ่ายจะก้มหน้าคล้ายเชื่อฟัง แต่เขารับรู้ได้ถึงความขุ่นเคืองใจที่แผ่ออกมา
สือหมิงยกมือไปทางคนกระดาษที่กู้ไหวเจินทำ “อีกครึ่งเดือนค่อยมาเอาก็ได้ครับ อยากได้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
คุณยายชำเลืองมองเด็กสาวนิดหนึ่ง แล้วหันมองกู้ไหวเจิน หล่อนถอนหายใจอีกเฮือก “ช่างเถอะ ผู้หญิงแล้วกัน ถ้าเอาหนุ่มหล่อมาสามสาวที่บ้านไม่ทะเลาะกันตายเลยรึ”
เด็กสาวได้ยินก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม คราวนี้เธอไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่นิดเดียว
“ครับ ครั้งนี้ผมจะทำสาวน้อยนิสัยดี รู้จักกาลเทศะให้คุณยาย” สือหมิงตอบเสียงราบเรียบ ใช้สายตาเย็นชาชำเลืองมองเด็กสาว “ถ้าหนูสามของคุณยายไม่พอใจ ก็ส่งกลับมาหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
สาวน้อยเริ่มตัวสั่น เงยหน้ามองคุณยายอย่างวิตกกังวล ดวงตาแดงก่ำ
คุณยายใจอ่อนยวบลงทันใด ลูบมือปลอบประโลมเด็กสาว “เสี่ยวสือพูดเล่น เราก็คิดจริงจังไปได้ ยายจะทำแบบนั้นที่ไหนกันเล่า แค่หนูเป็นเด็กดี ยายก็รักหนูจะแย่”
ดวงตาแดงก่ำของเด็กสาวดูน่าสงสาร เธอดึงแขนคุณยายอย่างเด็กเอาแต่ใจ
คุณยายเอื้อมมือลูบผมเด็กสาวพลางมองสือหมิง “วางใจเถอะ แต่ละคนก็เป็นเด็กดีกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรหรอก”
สือหมิงไม่ต่อความ เพียงพยักหน้าเล็กน้อย “อีกครึ่งเดือนค่อยกลับมานะครับ”
“ขอบใจมาก” คุณยายเอ่ยตอบยิ้มแย้ม เสมองกู้ไหวเจิน “เจ้าหนูนี่เป็นดาวนำโชคของฉันจริงๆ เลย อันนี้ยายให้นะจ๊ะ”
หล่อนล้วงใบไม้สีเขียวสดออกจากแขนเสื้อมาวางลงบนโต๊ะ แล้วจึงพาเด็กสาวหมุนตัวจากไป
กู้ไหวเจินมองใบไม้ใบนั้นแล้วมองสือหมิงอย่างไม่เข้าใจ
สือหมิงคว้าใบไม้นั่นมา มุมปากโค้งขึ้นดูคล้ายรอยยิ้ม เขาหันไปหยิบถุงกระดาษหนาถุงหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก แล้วเอากำไลหยกกับใบไม้ใส่เข้าไป พับปิดผนึกส่งให้กู้ไหวเจิน
“กำไลเอากลับไปให้น้องสาวนายสวม ถ้าจะฝังศพก็ฝังมันไปพร้อมกับเธอ แต่ถ้าจะเผา ก่อนเข้าเตาเผาให้ถอดออกมา ส่วนใบไม้นั่นให้ใส่ไว้ในปากของเธอ สัปเหร่อเขารู้ จะไม่เคลื่อนย้ายมันแน่”
กู้ไหวเจินรับถุงใบนั้นมาพร้อมพยักหน้างงๆ นึกได้ว่าตัวเองสามารถพูดได้แล้วจึงเอ่ยถาม “ของนี่…ให้ผมด้วยเหรอ ทั้งชุดกับกระเป๋าคุณก็ไม่เอาเงิน…แถมกระเป๋ายังเป็นเพราะผมช่วยเธอเลือกอีก…”
กู้ไหวเจินยิ่งพูดยิ่งรู้สึกปั่นป่วนใจ สือหมิงส่ายศีรษะ “ไม่มีปัญหา ได้ไอ้นี่มาถือว่าคุ้ม”
“แต่ว่า…คุณให้ผมแล้ว ก็ไม่นับว่าคุ้มมั้ยครับ” กู้ไหวเจินพูดเสียงแผ่ว
สือหมิงเองก็นิ่งไป สุดท้ายก็ประกอบกระเป๋าในมือต่อ “…งั้นอันนี้จะคิดเงินคุณแพงหน่อย”
“อ้อ ครับ คุณเรียกมาได้เลย” กู้ไหวเจินคิด พูดเสริมขึ้นอีกประโยค “ผมไม่ร้อนเงิน”
“ผมรู้” สือหมิงตอบ ทำงานไม่หยุดมือ กะว่าคืนนี้จะทำกระเป๋าใบนี้ให้เสร็จ
กู้ไหวเจินขอบคุณเขาในใจ เดิมทีมีหลายอย่างที่อยากเอ่ยถาม แต่พอเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายแล้ว ก็ได้แต่ก้มลงไปเล่นตัวล็อกไม้ในมือต่อ
ไว้ค่อยถามตอนเช้าก่อนกลับก็ได้มั้ง หรือจะชวนเขากินข้าวเช้าด้วยกันดี?
คิดมาถึงตรงนี้กู้ไหวเจินก็โพล่งขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้เช้ากินข้าวด้วยกันมั้ย”
สือหมิงเหลือบมองเขา กู้ไหวเจินรีบเอ่ยต่อ “ถ้าไม่สะดวก…”
“ไม่ได้ไม่สะดวก ถ้าถึงตอนนั้นแล้วคุณไม่เหนื่อยน่ะนะ” พูดจบก็ก้มลงไปทำงานต่อ
“ผมอดนอนบ่อย ไม่ต้องห่วง” กู้ไหวเจินหัวเราะพลางเล่นตัวล็อกไม้ เรียบเรียงเรื่องที่อยากถาม พรุ่งนี้เช้าจะคุยกับเขาสักหน่อย
อย่างน้อยๆ เขาก็พูดมากขึ้นแล้ว…
กู้ไหวเจินคิดแล้วก็หลุดหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องสือหมิงที่กำลังพับกระดาษลายหนังในมือด้วยความตั้งใจและประณีต รูปร่างของมันค่อยๆ กลายเป็นรูปทรงกระเป๋าบ้างแล้ว
กู้ไหวเจินคิดว่าครั้งนี้น้องสาวต้องพอใจแน่ ถ้าไม่ล่ะก็เห็นทีคงต้องไปถามสือจิ้งเจ๋อว่าที่ไหนมีคนปราบผี…
กู้ไหวเจินคิดมาถึงตรงนี้ก็นึกไปถึงคุณแม่ เขาถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว ดันกล่องตัวล็อกไม้ไปมา
สือหมิงได้ยินเสียงถอนใจของเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง เดาว่าครอบครัวของอีกฝ่ายอาจมีเรื่องยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรืออีกครอบครัวที่ไม่เกี่ยวกันเลยก็ตาม
พรุ่งนี้คงต้องกลับวัดไปคุยกับเหล่าซานหน่อยแล้ว
การเคลื่อนไหวในมือของสือหมิงไม่ได้ช้าลงเพราะความคิดที่วิ่งวนในใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองคนต่างทำเรื่องของตัวเองไป ในห้องเงียบเสียจนนอกจากเสียงตัดกระดาษกับเสียงดันตัวล็อกไม้แล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
เวลาที่สือหมิงทำงาน บริเวณรอบๆ ตัวเขาไม่เคยมีคนอยู่ด้วยมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิดปกติอะไร งานในมือก็ยังคงทำได้อย่างราบรื่น ต่อให้กู้ไหวเจินเงยหน้าจ้องมองเขาอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือไม่ชอบใจ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกพอใจแปลกๆ
ที่ไหนได้ มีคนอยู่ด้วยมันเป็นความรู้สึกแบบนี้หรอกเหรอ…
สือหมิงคิดเงียบๆ ตั้งใจทำกระเป๋ามากกว่าเดิม หวังว่าน้องสาวเจ้าปัญหาของกู้ไหวเจินจะหยุดการกระทำเสียที ถ้าเธอยังไม่พอใจ กำไลหยกวงนั้นของคุณยายน่าจะควบคุมเธอได้ แต่ถ้าไม่…คงต้องเชิญท่านเทพมาแล้วล่ะ
สือหมิงตัดสินใจ ไม่สนว่าการเชิญท่านเทพมานั้นจะยากขนาดไหน
เวลาผ่านไป ไม่มีลูกค้าเข้าร้านมาอีก ทั้งสองคนต่างอยู่ในความเงียบอย่างนั้นจนกระทั่งฟ้าสาง
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ศาลคนกระดาษ ฉบับเต็ม
Comments
comments
No tags for this post.