บทที่ 1
‘หุบเขาเทพเซียน’ ตั้งอยู่ ณ สุดหล้า สุดหล้าที่ว่านี้แบ่งออกเป็นเขตเส้นขอบฟ้ากับปลายแหลมสมุทร ดินแดนลึกลับแห่งนี้ดำรงอยู่มานานนับร้อยปี และเก็บซ่อนความลี้ลับของมนุษย์ยาเอาไว้
ว่ากันว่าเมื่อร้อยปีก่อนราชสกุลเคยมีธรรมเนียมเลี้ยงมนุษย์ยาด้วยการรวบรวมเด็กชายหญิงที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงมาหลอมรวมกับยาสมุนไพรนับร้อยชนิดแล้วกินเข้าไป พิษทั้งหลายจึงไม่อาจทำอันตรายผู้กินมนุษย์ยาได้ ซ้ำยังมีชีวิตยืนยาวไม่แก่เฒ่า ผิวพรรณขาวละมุนไม่เหี่ยวย่น และยืดอายุต่อไปได้
ขุนนางใหญ่หลายคนในรัชกาลต่อมาจึงทูลทัดทานอย่างแข็งขันถึงขั้นยอมตายเพื่อคัดค้านธรรมเนียมอันชั่วร้ายนี้ จนในที่สุดธรรมเนียมนี้ก็ได้ถูกยกเลิกไป
หลังจากนั้นมนุษย์ยาที่ยังเหลือรอดจึงถูกส่งไปอยู่ ณ สุดหล้า วิธีเลี้ยงดูและสถานที่ที่กักตัวพวกเขาซึ่งมีบันทึกไว้ในปูมประวัติศาสตร์ถูกทำลายไปจนสิ้น นับจากนั้นมาก็ไม่มีใครทราบว่าสุดหล้าอยู่ที่ใด รู้เพียงว่ามนุษย์ยาแต่ละคนซึ่งอยู่ที่นั่น ไม่เพียงมีพละกำลังกล้าแข็งในระดับต้นๆ ของผู้มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ และเนื่องจากร่างกายค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ จึงมีหน้าตางดงามหมดจดโดดเด่นราวกับเซียน
ด้วยเหตุนี้สุดหล้าจึงถูกเรียกขานด้วยอีกนามหนึ่งว่า ‘หุบเขาเทพเซียน’ มนุษย์ยาซึ่งอยู่ที่นั่นเป็นหนุ่มสาวและไม่มีวันแก่เฒ่า ซ้ำยังมีหน้าตาราวกับเทพเซียน
ในยุทธภพเคยมีเรื่องเล่าขานกันว่าเมื่อราวสามปีก่อนมีมนุษย์ยาผู้หนึ่งออกมาจากหุบเขาเทพเซียน เกือบจะถูกหลันชิ่งประมุขสำนักมารจับตัวได้ ผู้คนต่างหวาดกลัวหลันชิ่งผู้โหดเหี้ยมซึ่งเชี่ยวชาญการใช้พิษ เขาเป็นคนชั่วร้ายไร้ความปรานี ผู้คนต่างกลัวว่าหากเขาได้ตัวมนุษย์ยาไปสักคนหนึ่ง ทั่วหล้าจะไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขไปอีกนับร้อยปี จึงบุกเข้าโอบล้อมโจมตีและฆ่าฟันทั้งหลันชิ่งและมนุษย์ยาบนเขาลั่นชางให้ตายไปพร้อมๆ กันเพื่อขจัดภัยร้ายของยุทธภพให้สิ้นซาก
ภายหลังหลันชิ่งหนีไปได้ มนุษย์ยาตกหน้าผาลึกหมื่นจั้ง ตาย ยับยั้งความใฝ่ฝันที่จะครอบครองยุทธภพของหลันชิ่งลงได้ชั่วคราว
มนุษย์ยาซึ่งไร้ความผิดกลับต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
บางคนบอกว่ามนุษย์ยาผู้นั้นชื่อจ้าวเสี่ยวชุน บังเอิญมาพบกับประมุขสำนักมารซึ่งกำลังถูกโจมตีที่ปราสาทเขาเพลินภิรมย์บนเขาลั่นชางเข้าพอดี จึงโชคร้ายติดร่างแหไปด้วย และบางคนก็ว่าจ้าวเสี่ยวชุนผู้นั้นเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุค ไม่หวั่นเกรงแม้ศัตรูที่แข็งแกร่ง นำยาครอบจักรวาลมามอบให้แก่หลันชิ่งที่ถูกพิษ ณ ปราสาทเขาเพลินภิรมย์
หลังจากนั้นยังมีคนพูดอีกว่าเพื่อเห็นแก่ธรรมะของคนทั่วหล้า จ้าวเสี่ยวชุนผู้นี้ยอมโดดลงจากหน้าผาจบชีวิตตัวเองเพื่อไม่ให้ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของประมุขสำนักมาร กลายเป็นเครื่องมือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ยุทธภพ
หลังจากหนีรอดจากเขาลั่นชางไปได้ ชาวยุทธ์พากันบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ในที่สุดสำนักมารจึงกลายเป็นใหญ่ในยุทธภพ เรื่องราวในตอนนั้นไม่มีใครหยิบยกขึ้นมาพูดอีก แม้ผู้คนจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่ยากจะลืมเลือนมีเพียงรอยยิ้มหยิ่งทะนงและเสียงหัวเราะอันเปิดเผยร่าเริงของชายหนุ่มก่อนที่จะตกหน้าผาลงไป ในตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น
ชายหนุ่มพูดว่า ‘ชีวิตนี้ของข้าจ้าวเสี่ยวชุนเงยหน้าไม่หวั่นเกรงฟ้า ก้มหน้าไม่ละอายต่อดิน ต่อให้วันนี้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ก็ยังจะหยิ่งผยองแบบนี้ อวดดีแบบนี้’
หลายปีต่อมาเมิ่งฉานเซิงผู้เขียนประวัติศาสตร์ยุทธภพบังเอิญได้พบกับหลันชิ่งซึ่งลงจากตำแหน่งประมุขสำนักมารแล้ว
หลันชิ่งได้บอกว่า ‘เจ้าโง่นั่นก็แค่หมดกำลัง ถึงได้ลื่นล้มแล้วตกลงไป’
‘ตายรึ หากตายง่ายดายปานนั้นก็ไม่ต้องเรียกว่าจ้าวเสี่ยวชุนแล้ว’ ใบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์ของหลันชิ่งยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้หวั่นไหว ‘คนชั่วช้าอย่างนั้นน่ะ…ไม่รู้จักตายหรอก…’
เมิ่งฉานเซิงฟังแล้วถึงกับตะลึง
ในยุคนี้คนที่สมกับคำว่า ‘คนชั่วช้า’ หากบอกว่าอดีตประมุขสำนักมารที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงลำดับสอง ก็เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นคนชั่วช้าที่เขาพูดถึงแท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่ เรื่องนี้เมิ่งฉานเซิงที่น่าสงสารก็ยังสงสัยใคร่รู้
จ้าวเสี่ยวชุนที่แท้เป็นคนอย่างไรกันนะ
ถึงฤดูฝนต้นเหมย สายฝนตกพรำๆ ยาวนานนับสิบวัน
รถม้าประดับเครื่องยศสีขาวแล่นทะยานท่ามกลางสายฝนเข้าไปในเมืองแล้วหยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง สารถีเลิกม่านรถขึ้นแล้วยืนคอยรอรับผู้เป็นนายที่อยู่ด้านในรถ กางร่มน้ำมันคันหนึ่งไว้รอเหนือศีรษะตรงปากประตู ปล่อยให้ตัวเองเปียกฝนจนชุ่มแต่ไม่ยอมขยับตัวไปไหนแม้แต่น้อย
“เสี่ยวชุน ถึงแล้ว ตื่นเถอะ” มีเสียงชายหนุ่มดังออกมาจากด้านในรถ เสียงนั้นไม่สูงไม่ต่ำ จะบอกว่าเย็นชาก็ไม่ใช่ จะว่าอบอุ่นอ่อนโยนก็ไม่เชิง
“อ้อ…ข้านอนในรถก็ได้…ไม่กินอะไรแล้วล่ะ…” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวชุนพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“คืนนี้เราพักที่นี่ นอนในรถไม่ได้หรอก รีบลงมาเร็ว” ชายในชุดสีขาวคนหนึ่งก้าวออกจากรถ เดิมทีจะก้าวถึงพื้นอยู่แล้ว แต่เห็นว่าด้านหน้าโรงเตี๊ยมมีแต่โคลนตมเละเทะไปหมดก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ยืนบนบันไดรถแล้วเตะเท้าเบาๆ ร่างก็โผขึ้นอย่างสง่างามราวกับห่านป่า พุ่งตรงเข้าไปในโรงเตี๊ยมโดยไม่ทันได้เปียกฝนเลยแม้แต่น้อย
ท่าทางอันพลิ้วไหวเรียกความสนใจและเสียงชื่นชมจากบรรดาแขกเหรื่อของโรงเตี๊ยมได้ไม่น้อย
เสี่ยวชุนที่กำลังนอนหลับอยู่ในรถม้า พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็พลิกตัวไปมา พยายามจะตะกายลุกขึ้นจนกลิ้งไปมาหลายรอบ พยายามอยู่นานจนสุดท้ายก็ตะกายจากเบาะขนกระต่ายแสนนุ่มลุกขึ้นมาได้
“เฮ้อ…วันนี้เจ้ามีธุระรึ…อวิ๋นชิง…” เสี่ยวชุนที่ง่วงงุนขยี้ตาอันพร่ามัวพร้อมทั้งหาวหวอดติดๆ กันอีกหลายที ตอนนี้เขาคิดแต่เพียงว่าจะรีบปีนกลับขึ้นไปนอนบนเตียงไวๆ ถึงขนาดที่แม้จะเดินย่ำลงไปในโคลนหลายก้าวจนรองเท้าเปียกแฉะแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
พอเสี่ยวชุนถามแล้วไม่มีใครตอบก็ค่อยรู้ตัวว่าอีกฝ่ายใช้กำลังภายในโผทะยานเข้าไปในโรงเตี๊ยมนานแล้ว
เขารู้แต่แรกแล้วว่าคนผู้นี้คงไม่ยอมเปื้อนโคลนแม้แต่น้อย เสี่ยวชุนเบิกตาที่ง่วงงุน หัวเราะออกมาทีหนึ่งแล้วหันไปบอกขอบใจสารถีที่ช่วยกางร่มให้ท่ามกลางฝนต้นเหมยที่ตกกระหน่ำ ขยับแข้งขาที่ถูกนอนทับจนเป็นเหน็บไปหมดก่อนเดินตามเข้าไปในโรงเตี๊ยม
นั่งอยู่ครู่หนึ่งชาร้อนๆ ก็ถูกยกมา เสี่ยวชุนถามอีกว่า “วันนี้มีธุระหรือ ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับไปเยี่ยมอาจารย์กับข้าที่หุบเขาก่อนเสียอีก”
หลันชิ่งศิษย์พี่ใหญ่ของเสี่ยวชุนธาตุไฟเข้าแทรก จึงแสดงอาการคลุ้มคลั่งเป็นครั้งคราว เสี่ยวชุนคิดค้นยาที่ช่วยทะลวงเส้นลมปราณให้ไหลเวียนได้สะดวกขึ้นอย่างยากลำบาก คราวนี้อวิ๋นชิงจึงเดินทางเพื่อนำยาไปมอบให้หลันชิ่งพร้อมกับเสี่ยวชุน
แต่ยานี้ช่วยให้ผู้ที่กินมีสติแจ่มใสได้เพียงสามปีเท่านั้น หลังจากนั้นจะเป็นหรือตายคงต้องแล้วแต่โชคชะตาจะนำพา
หลังส่งมอบยาให้ที่ศูนย์กลางใหญ่ของสำนักมารและลงจากเขาเยี่ยนตั้งแล้ว เสี่ยวชุนบอกว่าจะพาอวิ๋นชิงกลับหุบเขาเทพเซียน
ข้อแรกคืออยากจะพาภรรยาผู้งดงามไปพบอาจารย์ ข้อสองก็เพื่อจะขอร้องให้อาจารย์หาทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่
เสี่ยวชุนไม่ได้บอกเหตุผลข้อสองกับอวิ๋นชิง บอกไปแค่เพียงข้อแรกเท่านั้น อวิ๋นชิงเองก็รับปากแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้จึงได้หยุดพักที่นี่
“อืม” อวิ๋นชิงตอบกลับเรียบๆ “มีบางเรื่องต้องจัดการน่ะ เลยต้องหยุดพักที่นี่คืนหนึ่ง”
“เช่นนั้นก็อย่าหักโหมนัก” เสี่ยวชุนว่า
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยวุ่นวายกับธุระของอวิ๋นชิง เรื่องในราชสำนักนั้นน่ารำคาญจะตาย ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นชิงต้องขยันอะไรอย่างนี้
เสี่ยวชุนบีบนวดแขนตัวเองที่ปวดเมื่อย ทุบกระดูกหัวเข่าที่ปวดร้าว สูดลมหายใจลึกๆ จนเต็มปอดแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นแล้วก็กินยาเล็กน้อย ตามด้วยดื่มน้ำร้อนอึกใหญ่
เดิมทีอวิ๋นชิงกำลังก้มหน้าครุ่นคิด พอเหลือบมาเห็นท่าทางของเสี่ยวชุนซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สบาย ประกายอันเย็นชาก็วาบขึ้นมาในดวงตาทันที น้ำเสียงก็ยิ่งแปร่ง
อวิ๋นชิงพูดขึ้น “ทำไมถึงเอาแต่นอนหลับมาตลอดทางล่ะ ตั้งแต่ลงจากเขาเยี่ยนตั้งเจ้าก็เอาแต่หลับตลอดเวลา เป็นอะไรหรือเปล่า หรือตอนที่เจ้าเอายาขึ้นไปให้ เจ้าสารเลวหลันชิ่งทำร้ายเจ้า? มันทำร้ายเจ้าแต่เจ้าไม่บอกข้า? ไม่รู้ว่าจะทำดีกับมันถึงขั้นนั้นไปทำไม เจ้าสารเลวนั่นทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่หน เจ้ายังไม่ได้รับบทเรียนบ้างเลยหรือ”
ได้ยินอวิ๋นชิงก่นด่าด้วยความโกรธแล้ว เสี่ยวชุนก็หลุดขำ “เจ้าอย่าคิดเลยเถิด เขาไม่ได้ทำร้ายข้า แต่เป็นเพราะถูกความชื้นจากฝนที่ตกมาหลายวัน ข้าถึงได้รู้สึกติดๆ ขัดๆ ตรงนั้นตรงนี้ไปทั่วตัว เคลื่อนไหวไม่ค่อยคล่อง”
อันที่จริงคนผู้นี้ห่วงใยเขาแต่ไม่แสดงออก คนอื่นแสดงความเป็นห่วงด้วยคำพูดจาที่อบอุ่นอ่อนโยน ส่วนอวิ๋นชิงกลับใช้ถ้อยคำเย็นชา ทว่าความเดือดเนื้อร้อนใจและขุ่นเคืองที่อยู่ในใจล้วนแสดงออกมาทางสีหน้าหมดสิ้น
“อากาศชื้นเพราะฝนตกมาหลายวันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าเจ็บปวดรวดร้าวจนติดขัดไปทั้งตัวด้วยเล่า” อวิ๋นชิงฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ
เสี่ยวชุนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะคิกๆ แล้วว่า “เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยตกจากหน้าผามา ทั่วร่างแตกหักป่นปี้แทบไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้ก็ยังคงมีอาการบาดเจ็บอยู่ แม้ไม่ได้ร้ายแรงก็ตาม แต่ยามฝนตกหรือหิมะตกเมื่อไร อากาศเย็นชื้นแทรกซึมเข้าร่าง กระดูกก็จะเกิดเจ็บร้าวขึ้นมา แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้กินยาก็หาย”
อวิ๋นชิงพอได้ยินคำว่า ‘ทั่วร่างแตกหักป่นปี้แทบไม่เหลือชิ้นดี’ หัวใจก็ปวดร้าวเหมือนถูกบีบ
เขาทำท่าจะพูดอะไรอีก แต่เสี่ยวชุนกลับไวกว่า ตัดบทไม่ให้พูดต่อ ไม่ปล่อยให้อวิ๋นชิงจดจ่ออยู่กับเรื่องตรงนั้นหักตรงนี้ป่นอีก “จะว่าไปฝนก็ตกมาสิบกว่าวันแล้ว ไม่รู้ว่าจะหยุดตกเมื่อใด แวะพักโรงเตี๊ยมนี้ก่อนก็ดี”
เสี่ยวชุนจ้องมองอวิ๋นชิง ริมฝีปากหยักขึ้น ยิ้มจนตาหยี สีหน้าท่าทางเบิกบานใจ ทั้งๆ ที่เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ไปหมด แต่พอยิ้มแล้วกลับชื่นบานเหมือนสายลมในวสันตฤดู พัดเอาบรรยากาศอึมครึมช่วงฤดูฝนต้นเหมยให้กระจัดกระจายไป
เสี่ยวชุนพูดอีก “หลายวันมานี้ฝนตก เสื้อผ้านี่จากแห้งก็เปียกชื้นไปหมดแล้ว รู้สึกเนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะจะแย่ ข้ายังรู้สึก เจ้าก็ต้องรู้สึกเหมือนกันแน่! เราให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมห้องดีกว่า ต้มน้ำไว้ให้เจ้าอาบก่อน ข้าจะช่วยเจ้าถอดเสื้อ จะได้อาบน้ำสบายๆ ดีหรือไม่”
เสี่ยวชุนพูดจบก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตา ยิ้มไปพูดไปด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
คาดไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงจะตอบกลับมาอย่างหน้าตาย “เจ้าจะอาบให้ข้ารึ ก็ดีสิ เจ้าไม่เคยอาบให้ข้ามาก่อนเลยนี่”
เสี่ยวชุนได้ฟังดังนั้นก็เกือบจะตกเก้าอี้ อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง “อวิ๋นชิง ข้าล้อเจ้าเล่น!”
“ล้อเล่นอะไรกันเล่า” อวิ๋นชิงนิ่วหน้า ปกติเขาเป็นคนฟังเรื่องล้อเล่นไม่ออกอยู่แล้ว ไม่ว่าเสี่ยวชุนจะพูดอะไรก็ล้วนฟังแล้วจดจำฝังใจ “อีกประเดี๋ยวเจ้าช่วยอาบน้ำให้ข้าก็แล้วกัน”
เสี่ยวชุนใบหน้าแดงซ่านทันทีแล้วบ่นกระปอดกระแปด “ไม่ดีล่ะมั้ง อีกอย่างตัวข้าก็สกปรก เจ้าไม่รังเกียจรึ ข้าว่าให้เจ้าอาบน้ำเองให้เรียบร้อยก่อน แล้วข้าค่อยให้เสี่ยวเอ้อร์ตักน้ำให้ใหม่”
“เจ้าไม่สกปรก แล้วก็ไม่เหม็นสักหน่อย” อวิ๋นชิงดึงผมปอยหนึ่งของเสี่ยวชุนมาดมดูแล้วว่า “ตัวเจ้าหอมกลิ่นยามาแต่ไหนแต่ไร” นี่เป็นกลิ่นพิเศษของมนุษย์ยา เป็นกลิ่นสมุนไพรหอมสดชื่นกรุ่นกำจาย
“เอ่อ…” คนหนึ่งหน้าแดงหูแดงไปหมด ทว่าอีกคนกลับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดจาเหมือนเกี้ยวพาราสี ขณะที่ทั้งสองกำลังใกล้ชิดกัน ข้างๆ ก็มีเสียงกระแอมดังขัดจังหวะขึ้นมา
เสี่ยวชุนรีบนั่งตัวตรงแล้วส่งยิ้มเอาใจไปให้เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูกระอักกระอ่วนพลางพูดว่า “จัดห้องใหญ่ให้สักห้องหนึ่งเถิด แล้วช่วยต้มน้ำร้อนให้ด้วย…”
ยังพูดไม่ทันจบก็เห็นเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นหันไปมองอวิ๋นชิง สองตาจ้องเขม็งเหมือนถูกตรึงไว้ไม่ให้หันไปทางอื่น ถลึงตาเบิกกว้างจนแทบจะหลุดจากเบ้า
“งาม…งาม…งามเหลือเกิน…” เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างตะกุกตะกัก ซ้ำยังทำท่าปาดน้ำลายอย่างแรงอีกด้วย
เสี่ยวชุนเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ตัวเขาเองก็ยังต้องพยักหน้าหงึกๆ แสดงความเห็นพ้อง “เป็นคนงามจริงๆ นั่นแหละ ใครเห็นก็ว่าอย่างนี้”
แต่อวิ๋นชิงกลับแสดงท่าทางต่างจากเสี่ยวชุน พอเห็นเสี่ยวเอ้อร์ทำหน้ากรุ้มกริ่ม น้ำลายไหลย้อย เขาก็รู้สึกคลื่นเหียน สีหน้าบูดบึ้ง ประกอบกับถูกขัดจังหวะขณะพูดคุยกับเสี่ยวชุนจึงรู้สึกไม่พอใจมาก ปลายนิ้วที่วางบนหัวเข่าพลันขยับเล็กน้อย เข็มดอกท้อหลายเล่มก็พุ่งแหวกอากาศออกมาทันที
เสี่ยวชุนสายตาเฉียบแหลม เดินลมปราณแล้วยื่นมือออกไปขวางอาวุธลับที่ร้ายกาจโดยไม่ทันคิด แต่กลับนึกขึ้นได้ว่าปราณของตนอ่อนแอจากการบาดเจ็บสาหัส กำลังภายในยังไม่ฟื้นตัว ไม่อาจสกัดอาวุธลับได้
เนื่องจากทั้งสามคนอยู่ใกล้กัน จู่ๆ มีการลงมือเช่นนี้เป็นใครก็ยั้งมือไม่ทัน เข็มเหล่านั้นจึงพุ่ง ‘สวบๆๆ’ ฝังเข้าไปในกระดูกข้อมือของเสี่ยวชุน เสี่ยวชุนเจ็บจนต้องร้องออกมาเสียงโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด
“โอ๊ยยย!”
สีหน้าของอวิ๋นชิงซึ่งตอนแรกเย็นชาไร้ความรู้สึกประหนึ่งน้ำแข็งพลันเผือดสีลงทันที เขาหน้าซีด คว้าข้อมือเสี่ยวชุนแล้วรีบเดินกำลังภายในรีดเค้นเอาเข็มดอกท้อออกมา แต่ไม่ทันคิดว่าจับแรงไปหน่อยทำให้เสี่ยวชุนเจ็บจนถึงกับมีเหงื่อเย็นผุดซึม
อวิ๋นชิงตกใจรีบปล่อยมือ ใบหน้าบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเสี่ยวชุนเสียอีก ในใจทั้งเจ็บปวดทั้งเป็นห่วง
“จ้าวเสี่ยวชุน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!” อวิ๋นชิงพูดพลางกัดฟันกรอด น้ำเสียงเต็มไปด้วยอาการขึ้งโกรธ แต่ที่ชัดเจนไม่อาจปิดบังคือความตื่นตกใจ
“เจ้าซัดเข็มมาโดนข้า…” เสี่ยวชุนหันไปมองอวิ๋นชิงที่กำลังโกรธด้วยสีหน้าน่าสงสารจับใจ
“ใครให้เจ้าสอดมือมายุ่งเล่า กลายเป็นว่าข้าทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บไปซะนี่!” อวิ๋นชิงตอบอย่างเคืองๆ เจ้านี่ไม่เคยได้รับบทเรียนเอาซะเลย กลัวเจ็บแต่ก็ชอบยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง กี่ครั้งแล้วที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวโดยไม่ได้ตั้งใจก็ไม่รู้จักได้บทเรียนซะบ้าง ยังชอบดันทุรังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
“แต่ไม่ยุ่งก็ไม่ได้นี่” เสี่ยวชุนฉีกยิ้มแล้วว่า “เข็มนี่มีพิษ คนทั่วไปที่ไหนจะรับมือได้ ข้าไม่เหมือนคนอื่น พิษทั้งหลายไม่อาจกล้ำกราย ถูกเข็มซัดใส่ไม่กี่เล่มไม่เป็นอะไรนักหรอก”
“เจ้า…” อวิ๋นชิงโกรธจนพูดไม่ออก คว้าแขนเสี่ยวชุนแล้วพาเดินขึ้นบันไดไป
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นถึงกับตัวสั่น ในหัวมีคำพูดว่า ‘เข็มนี่มีพิษ…พิษทั้งหลายไม่อาจกล้ำกราย’ สะท้อนไปมาไม่หยุด เขาเดินตัวสั่นเทิ้มตามขึ้นไป เหงื่อกาฬไหลพลั่กๆ ทั่วร่าง แต่ก็ต้องเดินขาสั่นนำแขกทั้งสองไปที่ห้องพัก
หลังจากพูดกำชับเบาๆ สองสามคำ เสี่ยวชุนก็ให้เสี่ยวเอ้อร์ลงไปได้ ประตูถูกปิดสนิท กั้นเสียงเด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยมที่ร้องโหวกเหวก เสียงตะโกนสั่งของลูกค้า และเสียงจานชามกระทบกันที่ดังสับสนไว้ด้านนอก ในห้องจึงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝนโปรยปรายข้างนอกที่ตกกระทบกระดาษกรุหน้าต่างแผ่นบางแว่วมาเพียงแผ่วเบา
“มานี่ซิ” น้ำเสียงอวิ๋นชิงฟังดูขรึมเล็กน้อย เสี่ยวชุนได้ยินแล้วถึงกับสะดุ้ง
พอหันไปมองก็เห็นว่าคนงามกำลังก้มหน้าเปิดห่อสัมภาระอยู่บนตั่งแล้วคุ้ยหายารักษาบาดแผลที่อยู่ในกองขวดยาหลากสี เส้นผมดำขลับค่อยๆ สยายลงประบ่าราวกับน้ำตก เผยให้เห็นลำคอขาวผ่อง
กระทั่งคนงามเลือกขวดยาได้แล้วก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ดูเย็นชางดงามประหนึ่งภาพวาด ดวงตางามแม้จะแฝงความขุ่นเคืองไว้แต่กลับยิ่งสะกดสายตา
เพียงเหลือบมองชั่วประเดี๋ยวเสี่ยวชุนก็ถึงกับหายใจติดขัด หัวใจเต้นรัว
อวิ๋นชิงขมวดคิ้วพลางจ้องมองเสี่ยวชุน ไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังไม่เดินมาหา
เสี่ยวชุนก็เอาแต่จ้องอวิ๋นชิง จ้องไปจ้องมาใบหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นทุกที
“ยังไม่มาอีก?” อวิ๋นชิงขึ้นเสียง
“มา…มาแล้ว…” เสี่ยวชุนตื่นจากภวังค์ รีบสาวเท้าเดินไปหา
อวิ๋นชิงคว้ามือเสี่ยวชุนไว้ เอาหินแม่เหล็กมาประกบพร้อมถ่ายทอดกำลังภายใน ไม่ช้าก็ถอนเข็มพิษที่ฝังอยู่ในกระดูกข้อมือออกมาได้ เสี่ยวชุนเจ็บจนต้องกัดฟันร้องโอดครวญ ดวงตาพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา
พอใส่ยาเสร็จแล้วเสี่ยวชุนจะดึงมือกลับ แต่อวิ๋นชิงกลับจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“อะไรอีกเล่า” เสี่ยวชุนหันไปหัวเราะใส่อวิ๋นชิงอย่างงงๆ พลางถาม ยื้อยุดฉุดกันไปมาอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมปล่อย ดึงอยู่สองสามทีก็ต้องยอมแพ้ อย่างไรเสียถ้าอวิ๋นชิงจับได้แล้วก็มักจะหนีไม่พ้น ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์
“ยังจะมาหัวเราะอีก เจ้ายังหัวเราะได้อีกรึ! อย่างไรเจ้าก็ไม่ควรทำให้ข้าต้องทำร้ายเจ้า!” อวิ๋นชิงเค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมา
คนผู้นี้จะทำให้อวิ๋นชิงโกรธจนแทบคลั่งทุกครั้งที่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บ พอเห็นนิ่วหน้าร้องโอดครวญ หัวใจเขาเองก็เหมือนถูกบีบเค้นจนเต้นรัวแทบจะหลุดจากอก แต่ไหนแต่ไรเขาล้วนไม่เจตนาทำร้ายเสี่ยวชุน แต่กลายเป็นว่าทำให้เสี่ยวชุนต้องเจ็บตัวหลายครั้งหลายครา
“เข็มดอกท้อโหดเหี้ยมและมีพิษร้ายแรง คนทั่วไปทนรับไม่ไหวแน่ จะไม่เข้าไปขวางไว้ได้อย่างไร” เสี่ยวชุนมองไปยังอวิ๋นชิงนิ่งๆ ตาไม่กะพริบ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า!” อวิ๋นชิงต่อว่า
เสี่ยวชุนครุ่นคิดแล้วถอนหายใจ บอกว่า “ลองคิดอีกที! หากมีใครจะมาฆ่าข้า เจ้าจะทำอย่างไร”
ในใจเสี่ยวชุนรู้ดีว่าที่อวิ๋นชิงมีนิสัยอย่างนี้ก็เพราะไม่มีใครสั่งสอนอบรมมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้โตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ อวิ๋นชิงเป็นคนเย็นชา ในใจไม่เคยคำนึงถึงผู้ใด ความเป็นความตายของคนพวกนี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขา คิดๆ แล้วเสี่ยวชุนก็อดนึกสงสารอวิ๋นชิงไม่ได้
“ข้าตงฟางอวิ๋นชิงเคยลั่นวาจาไว้ ใครกล้าทำร้ายเจ้า…จ้าวเสี่ยวชุนแม้เพียงขนสักเส้น ข้าจะตัดแขนขา ถลกหนังมันออกมา จับมันยัดใส่โอ่งแช่น้ำเกลือจนตาย” ดวงตาอวิ๋นชิงราวกับมีเปลวไฟลุกไหม้โชติช่วง น้ำเสียงเอาจริงเอาจังจนไม่อาจตั้งคำถาม
ในใจเสี่ยวชุนสั่นสะท้าน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ผู้คนทั่วหล้าล้วนเป็นคน ไม่ควรจะมีเพียงข้าที่แตะต้องไม่ได้ พวกเขาต่างก็มีลูกชายลูกสาว มีคนที่รักใคร่เอ็นดู ถ้าพวกเขาเห็นว่าญาติพี่น้องของตนถูกทำร้าย จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าเจ้ารึ”
“เจ้าก็ส่วนเจ้า คนอื่นก็ส่วนคนอื่น ข้าก็ส่วนข้า จะเอามาเหมารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไร” อวิ๋นชิงรู้สึกเหมือนมีอะไรมาติดขัดในใจ เขาจ้องมองเสี่ยวชุน “หรือว่าในสายตาเจ้า ข้าก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป?”
พอได้ยินเสี่ยวชุนพูดแทนคนอื่น อวิ๋นชิงก็ถึงกับขึ้นเสียง เห็นได้ชัดว่าโกรธเคือง หากใครๆ ก็ล้วนไม่มีความแตกต่าง ถ้าเช่นนั้นในสายตาเสี่ยวชุน เขาจะไปมีความสำคัญอะไร เขารู้ว่าเสี่ยวชุนมักเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่เคยใส่ใจเขา ในใจเฝ้าแต่คำนึงถึงคนอื่น ไม่เห็นว่าเขามีความสลักสำคัญอะไร
“อ้าวๆๆ อย่าเพิ่งโกรธสิ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” เสี่ยวชุนคิดไม่ถึงว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งยุ่งจึงเริ่มทุกข์ร้อน
“ต่อให้คนทั่วหล้าล้วนเหมือนกันก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ในโลกนี้คนที่ห่วงใยข้ามีแต่เจ้า คนที่สงสารข้าก็มีแต่เจ้า นอกจากเจ้าแล้วใครกันจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้ข้า ไยข้าต้องสนใจคนพวกนั้นด้วย” อวิ๋นชิงพูด “คนที่ข้าใส่ใจ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่เจ้าเท่านั้น!”
เสี่ยวชุนได้ฟังก็นิ่งอึ้งตกตะลึงไปพักใหญ่ นานครู่หนึ่งจึงได้สติ ยิ้มแล้วค่อยๆ พูดว่า “ข้ารู้แล้ว อย่าโกรธเลยนะ”
“จะว่าไป” เสี่ยวชุนพูดอีก “ก็เพียงแค่คำว่าคนงามมิใช่หรือ หรือเจ้าไม่ชอบฟัง?” นี่เป็นคำชม เสี่ยวชุนรู้สึกว่าแม้อวิ๋นชิงจะเป็นชาย แต่ก็เป็นคนงามล้ำเลิศ ในใต้หล้าไม่มีใครเทียบได้
อวิ๋นชิงหันไปมองเสี่ยวชุน ระบายความโกรธที่เก็บไว้ในใจออกมา พูดด้วยความรังเกียจ “เมื่อก่อนในคุกใต้ดินที่ไม่เห็นแสงตะวัน เจ้าพวกผู้คุมสารเลวนั่นก็เรียกข้าอย่างนี้ พวกมันเอามือมาแตะต้องข้า ยัดปากข้า…”
หัวคิ้วอวิ๋นชิงขมวดมุ่น รู้สึกคลื่นเหียน เสี่ยวชุนเห็นดังนั้นก็รู้สึกหดหู่จนทนไม่ไหว จึงตบหลังปลอบโยนอวิ๋นชิงเบาๆ แล้วว่า “เลิกคิดเถอะ เลิกคิดได้แล้ว ลืมเรื่องพวกนั้นซะให้หมด ปล่อยให้มันผ่านไป”
“จะไม่ให้คิดได้หรือ จะให้ลืมได้อย่างไร!” อวิ๋นชิงเอามือปิดปาก สีหน้าทุกข์ทน “หลังจากเราบุกยึดคุกได้สำเร็จ ข้าก็สั่งให้คนไปตัดนิ้วของเจ้าสารเลวพวกนั้นซะ”
เสี่ยวชุนจึงว่า “มิน่าเล่า เมื่อก่อนตอนที่ข้าเรียกเจ้าว่าคนงาม เจ้าถึงได้โกรธนักโกรธหนา”
อวิ๋นชิงจึงว่า “ถ้าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ยาที่ร้อยพิษไม่กล้ำกราย คงตายไปหลายสิบรอบแล้ว”
“แต่สุดท้ายก็ไม่ตายนี่นา ฟ้ากำหนดให้เจ้าต้องทนข้าต่อไป” เสี่ยวชุนหัวเราะคิกคัก ท่าทางไม่แยแสสักนิด
“ข้าเถียงสู้เจ้าไม่ได้หรอก!” อวิ๋นชิงเบือนหน้าหนี
“เช่นนั้นต่อไปข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าคนงามอีกแล้ว” เสี่ยวชุนว่า “เจ้าจะได้ไม่คิดถึงเรื่องพวกนั้นอีก” ไม่เอาคำว่าคนงามมาใช้ก็เก็บไว้ชื่นชมในใจ ต่อไปเขาไม่พูดออกมา แต่จะร่ำร้องเรียกอยู่แค่ในใจก็แล้วกัน
“หึ!” อวิ๋นชิงทำเสียงเยาะ “ก็แล้วแต่เจ้า” ที่จริงเขาไม่ถือสาอะไรหากเสี่ยวชุนจะเรียกเขาว่าคนงาม เวลาเสี่ยวชุนเรียกเขาว่าคนงาม หางตาที่ประดับรอยยิ้มก็จะได้มองแต่เขา ไม่ไปมองใคร เขาชอบให้เป็นอย่างนั้น
เสี่ยวชุนคอยปลอบประโลมด้วยถ้อยคำอบอุ่นอ่อนหวานหลายรอบจนอวิ๋นชิงคลายโทสะลงได้มาก แต่พอเห็นเสี่ยวชุนทั้งเจ้าเล่ห์ลื่นไหลทั้งชอบทำให้เขาต้องปวดหัวอย่างนี้ อวิ๋นชิงก็อยากจะเค้นคออีกฝ่ายให้ตายคามือ
เจ้าคนนี้ บางครั้งเขาก็อยากจะปล่อยให้ตายๆ ไปซะ จะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงจนหัวใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขตลอดเวลา แต่เมื่อหวนนึกถึงตอนที่ตนเองเคยสูญเสียอีกฝ่ายไป รสชาติความเจ็บปวดทุกข์ระทมใจเช่นนั้นช่างเกินจะทานทนไหว
เมื่อฉุกคิดถึงช่วงสองปีกว่าที่ต้องพรากจากกันขึ้นมาอวิ๋นชิงก็ตระหนก คว้าตัวเสี่ยวชุนมากอดไว้ในอ้อมอก ให้แน่ใจว่าเขายังอยู่จริงๆ ไม่ใช่เพียงภาพซึ่งปรากฏชั่วครู่แล้วหายวับอย่างไร้ร่องรอยไปในชั่วพริบตา
“เป็นอะไรไป” เสี่ยวชุนจู่ๆ ถูกอวิ๋นชิงดึงตัวมากอดก็ตกใจเล็กน้อย จึงถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” อวิ๋นชิงตอบเบาๆ “เจ้าอย่าเถียงกับข้าเรื่องคนอื่นอีกเลย ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า” อวิ๋นชิงเกยคางบนศีรษะเสี่ยวชุน ความรู้สึกปั่นป่วนที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นนั้นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
“ไม่เถียงก็ไม่เถียง เจ้าบอกไม่อยากทะเลาะกัน ข้าก็จะไม่ทะเลาะ” เสี่ยวชุนซบนิ่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นชิง
พวกเขาทั้งสองต้องพรากจากกันราวกับอยู่คนละโลกมาหลายครั้งหลายครา ความรักซึ่งยากจะได้มานี้จึงล้ำค่า เสี่ยวชุนไม่อยากให้อวิ๋นชิงทุกข์ใจเลย
อวิ๋นชิงโอบกอดเสี่ยวชุนไว้แน่น ไม่สนใจสิ่งใดอีก เดิมทีอยากจะกอดไว้อย่างนี้ไปตราบนานเท่านาน ทว่ากลับรู้สึกผิดปกติ พอสังเกตดูดีๆ จึงค่อยพบว่าเนื้อตัวเสี่ยวชุนเย็นเฉียบลงทุกที เย็นราวกับสายฝนที่ตกอยู่ด้านนอกเลยทีเดียว
อวิ๋นชิงแอบโคจรลมปราณ ขณะเดียวกันก็นวดฝ่ามือเสี่ยวชุนไปด้วยเพื่อส่งผ่านกระแสพลังปราณอ่อนโยนเข้าไปในฝ่ามือ พลังปราณนั้นแล่นจากชีพจรไปตามกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น โคจรวนเวียนอยู่ในร่างกายของเสี่ยวชุน
“ทำไมร่างกายของเจ้าจึงเย็นเฉียบอย่างนี้ โรคขี้หนาวยังไม่หายอีกหรือ เจ้าเป็นถึงยอดแห่งผู้มีวิชาแพทย์กลับไม่รู้จักดูแลตัวเอง!” อวิ๋นชิงขมวดคิ้วพลางพูดอย่างเคืองๆ
เสี่ยวชุนได้แต่ตอบว่า “ถ้าเจ้าถูกแช่แข็งอยู่ในน้ำแข็งพันปีนานนับเดือนเหมือนคนตายแล้วถูกช่วยออกมาจากโลงศพก็คงเป็นเหมือนข้านี่แหละ อีกอย่างมนุษย์ยาก็ตัวเย็นอยู่แล้ว ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย พละกำลังก็จะถดถอย ตัวก็จะยิ่งเย็นลงอีก ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญหรือน่าเป็นห่วงอะไรนักหรอก”
“เอาแต่บอกว่าไม่สำคัญอยู่นั่นแหละ ถ้าเกิดอะไรคอขาดบาดตายขึ้นมาจะทำอย่างไร!” อวิ๋นชิงเป็นห่วง รีบพูดว่า “ไม่ได้การ ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวง ข้าจะรีบตามหมอหลวงมารักษาเจ้า”
“ข้าเองก็เป็นหมอ จะตามหมอมาทำไมอีกเล่า! ข้าว่าวิชาแพทย์ของพวกเขาไม่ถึงครึ่งของข้าด้วยซ้ำ”
เสี่ยวชุนได้ยินว่าอวิ๋นชิงจะตามหมอมาก็ทำหน้าเครียดทันที
เสี่ยวชุนพูดขึ้นอีก “เจ็บป่วยเล็กน้อยแค่นี้ข้าไม่เป็นอะไรมากนักหรอก สภาพชีพจรของพวกมนุษย์ยาอย่างข้าไม่เหมือนคนทั่วไป พวกตาแก่ในเมืองหลวงที่วันๆ เอาแต่มุดหัวอยู่กับหนังสือ เขียนใบสั่งยาตามตำราแพทย์ จะมาตรวจชีพจรได้แม่นยำหรือ อีกอย่างข้าเป็นหมอเทวดา หมอเทวดายังต้องหาหมอหลวงมารักษา เกิดเรื่องนี้แพร่ออกไปข้าจะพบหน้าผู้คนได้หรือ”
“รักษาตัวเองไม่ได้ ความเป็นหมอเทวดาของเจ้าจะไปมีประโยชน์อะไร เสียเปล่าแท้ๆ” อวิ๋นชิงบีบมือแรงขึ้นจนเสี่ยวชุนร้องโอ๊ย
“ก็ได้ๆ ข้าจะต้มยากระตุ้นเลือดขจัดความเย็นมากินสักหลายๆ หม้อ! กินให้มันร้อนทั้งวันจนเจ้าเอาข้าไปกอดรับไออุ่นแทนเตามือได้เลย ดีหรือไม่” เสี่ยวชุนรีบบอก เขากลัวจริงๆ ว่าอวิ๋นชิงจะเรียกหมอมาตรวจร่างกาย แค่อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ยังรักษาไม่ได้ คงถูกผู้คนหัวเราะเยาะเข้าให้
อวิ๋นชิงยังอยากอ้าปากโต้กลับไป เสี่ยวชุนจึงแกล้งกระแอมกระไอเบาๆ ทำท่าทางเหมือนหนาว จงใจหันไปซบอ้อมกอดอวิ๋นชิง โบกมือไปมาต่อหน้าพลางร้องโอดครวญ “เฮ้อ วันนี้ทำไมหนาวนักนะ ช่วยนวดมือให้หน่อยสิ”
เสี่ยวชุนไม่อยากจะทะเลาะกับอวิ๋นชิงอีก เขารู้ดีว่าตัวเองกับอวิ๋นชิงโกรธกันง่าย หากไม่ยั้งไว้บ้างคงต้องโกรธจนทะเลาะกัน แล้วอวิ๋นชิงก็จะไม่มีความสุข
อวิ๋นชิงถูกเสี่ยวชุนเอาศีรษะมาซุกกับอกอย่างแรงจนเจ็บ กลับได้แต่ทำเสียงหึพลางกอดเสี่ยวชุนไว้แน่น ในใจรู้สึกทั้งรักทั้งสงสารเขาเหลือเกิน อวิ๋นชิงจึงจับมือเสี่ยวชุนไว้แล้วนวดให้อุ่นร้อน
เสี่ยวชุนรู้สึกสบายจนต้องถอนหายใจออกมา ทิ้งตัวแอบอิงอวิ๋นชิงอย่างเกียจคร้านแล้วบอกว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว” จากนั้นก็ไม่ขยับตัวอีก
อวิ๋นชิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เขารู้ว่าเสี่ยวชุนอยากจะพักผ่อนจริงๆ
เสี่ยวชุนอมยิ้มแล้วหลับตาลง อันที่จริงในใจเสี่ยวชุนก็ไม่ยินยอมที่จะให้อวิ๋นชิงสิ้นเปลืองพลังปราณเพื่ออุ่นมือให้ เมื่อก่อนมีหลายครั้งที่เขาไม่อยากจะให้อวิ๋นชิงทำอย่างนี้จึงหาเตามือมาใช้ แต่ครั้งก่อนหน้านี้สาวใช้ในวังอ๋องไม่ทันระวังทำเตามือร้อนมากเกินไป ทำให้ลวกมือเขาจนเป็นแผลพุพองปื้นใหญ่ อวิ๋นชิงโกรธจัดจนเกือบจะชักกระบี่ออกมาฆ่าคนเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เสี่ยวชุนจึงต้องโยนเตามือพวกนั้นทิ้งไปแล้วยอมซุกในอ้อมกอดของอวิ๋นชิงแทน
พอร่างกายอุ่นก็เริ่มจะเคลิ้มหลับ เสี่ยวชุนถูกอวิ๋นชิงพยุงไปที่เตียงในสภาพงัวเงีย เสื้อผ้าถูกคลายออกส่งเสียงดังสวบสาบ เขาคิดว่าพออวิ๋นชิงช่วยเปลื้องผ้าออกแล้วก็จะปล่อยให้เขาหลับดีๆ จึงทำเสียงหึ พึมพำสองสามคำแต่ก็ไม่ได้ดิ้นหนี ปล่อยให้อีกฝ่ายจับตัวพลิกไปพลิกมาตามอำเภอใจ
พอเนื้อหนังสัมผัสกันอวิ๋นชิงก็สั่นสะท้านน้อยๆ ความเย็นจัดนี้ออกจะไม่ปกตินัก มนุษย์ยาจัดเป็นพวกธาตุเย็น มีแต่ต้องอาศัยเลือดวิเศษจึงจะต้านทานความหนาวเหน็บนั้นได้ ตอนนั้นเสี่ยวชุนไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ถึงกับยอมตายเพื่อจะมอบเลือดวิเศษในหัวใจให้แก่เขา วันนี้ร่างกายจึงเสียหายถึงเพียงนี้
อวิ๋นชิงสัมผัสคนที่หรี่ตาสะลึมสะลือนอนหลับสบาย ในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะสำคัญยิ่งไปกว่าคนผู้นี้ สิ่งดีงามที่เสี่ยวชุนทำให้ เขาจะจดจำไว้ชั่วชีวิต และจะคอยโอบกอดถ่ายทอดพลังปราณให้เช่นนี้ตลอดไป จะไม่ยอมปล่อยให้เสี่ยวชุนต้องหนาวเหน็บจนตาย
ร่างกายอบอุ่นช่างน่าดึงดูด เสี่ยวชุนเกี่ยวขาก่ายร่างอวิ๋นชิง เบียดร่างเข้าชิดใกล้สนิทแนบแน่น ไม่เหลือช่องว่างระหว่างกันอีกต่อไป
อวิ๋นชิงไม่คิดว่าจู่ๆ เสี่ยวชุนจะมากอดก่ายเช่นนี้ ส่วนหนึ่งในกายที่แต่เดิมสงบนิ่งอยู่ก็เหมือนถูกกระตุ้นจนร้อนผ่าว แต่เสี่ยวชุนเพียงแค่ถอนหายใจอย่างพึงพอใจ ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป
อวิ๋นชิงก้มลงจุมพิตดวงตาของเสี่ยวชุน แต่เสี่ยวชุนหลับสนิทไปแล้ว ไม่ได้รับรู้การกระทำของอวิ๋นชิงเลย
เพราะสัมผัสที่อบอุ่นเช่นนี้ ไม่ช้าเนื้อหนังที่ใกล้ชิดกันก็ไม่เพียงพอเสียแล้ว ลมหายใจของอวิ๋นชิงถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นชิงจูบสัมผัสผิวกายทุกส่วนของเสี่ยวชุนด้วยลมหายใจที่อุ่นชื้น
“อวิ๋นชิง ข้าจะนอน” เสี่ยวชุนขยี้ตา เส้นผมของอวิ๋นชิงปัดไปมาบนใบหน้าและลำคอเขาอย่างอ่อนโยน ทำให้รู้สึกจั๊กจี้จนต้องหดคอ
“จะนอนก็นอนไปสิ ข้าก็ไม่ได้ห้ามเจ้าเสียหน่อย” อวิ๋นชิงขบเม้มริมฝีปากเสี่ยวชุนแผ่วเบา ยิ่งทำให้รู้สึกหวามไหว
เสี่ยวชุนทนไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมา “จั๊กจี้น่า”
เมื่อเสี่ยวชุนเผยอปาก อวิ๋นชิงก็ถือโอกาสสอดลิ้นเข้าไป หยอกเย้าด้วยปลายลิ้น สัมผัสอันสากหยาบชวนให้สั่นสะท้าน เสี่ยวชุนทนไม่ไหวจนต้องร้องครางออกมา
เพียงแค่เสียงครางแหบต่ำที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินก็ทำให้ความเร่าร้อนลุกโพลงขึ้นในร่างอวิ๋นชิง ความรุ่มร้อนบริเวณท้องน้อยของอวิ๋นชิงพลุ่งพล่าน เขากดเสี่ยวชุนลง
เสี่ยวชุนไขว่คว้าสติสัมปชัญญะที่เตลิดไปไกล ต้องพยายามแทบแย่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ ออกแรงจะผลักอวิ๋นชิงออกไปแต่จนปัญญาที่ถูกจับตัวไว้แน่น หนำซ้ำตัวเองก็กำลังง่วงงุนไร้เรี่ยวแรง พอขยับส่วนล่างเพื่อจะหนีก็กลับกลายเป็นยิ่งบดเบียด นี่ยิ่งเหมือนน้ำมันราดลงบนกองไฟ อวิ๋นชิงทนไม่ไหวอีกต่อไป คว้ามือเสี่ยวชุนไปแตะร่างกายใต้ท้องน้อยของตนเพื่อให้เสี่ยวชุนช่วยคลายกำหนัด
เมื่อแตะถูกส่วนที่แข็งขึงในกางเกงตัวในของอวิ๋นชิง เสี่ยวชุนที่กำลังล่องลอยก็ถึงกับหน้าร้อนผ่าว
“อวิ๋น…อวิ๋นชิง…ยังไม่ได้อาบน้ำเลย…สกปรกอย่างนี้เจ้าไม่รังเกียจรึ” เสี่ยวชุนกระแอม ถูกยั่วอย่างนี้ไหนเลยจะหลับลง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“บอกแล้วนี่ว่าเจ้าไม่สกปรก” อวิ๋นชิงตอบเรียบๆ ล้วงมือเข้าไปใต้กางเกงตัวในของเสี่ยวชุน
“อืม…” เสี่ยวชุนแอ่นเอวขึ้น เสียงที่พูดถึงกับสะดุดไป อวิ๋นชิงเคลื่อนขยับเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาจนเขาหัวหมุน มือที่สั่นเทาของตนลูบจับให้อวิ๋นชิงได้ไม่กี่ครั้งก็ทนความร้อนผ่าวนั้นไม่ไหวจนต้องชักมือออกมา
อันที่จริงเสี่ยวชุนชอบที่จะลูบไล้เอวของอวิ๋นชิง คนผู้นี้สวมชุดผ้าไหมสีขาวได้น่ามองเหลือเกิน เอวที่ดูเหมือนจะบอบบางอ้อนแอ้น แต่อันที่จริงแล้วกลับยืดหยุ่นเพรียวงามสมส่วน ผิวที่นุ่มละมุนยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เพียงลูบไล้ไม่กี่ครั้งก็หลงใหลจนยากจะรามือ
หากไม่กลัวว่าอวิ๋นชิงจะโกรธ เสี่ยวชุนก็อยากจะบอกให้ฟังว่าเขาเป็นคนที่ ‘งดงามชวนตะลึงตั้งแต่เกิด’ แต่ก็รู้ว่าหากพูดไปตนจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ อวิ๋นชิงไม่ชอบให้ใครมาจุกจิกจู้จี้เกี่ยวกับหน้าตาของเขา โดยเฉพาะการพูดจาประจบเอาใจ
ชั่วขณะที่จิตใจกำลังล่องลอย เสี่ยวชุนรู้สึกเหมือนถูกยกขาขึ้นสูง จึงพยายามดิ้นแล้วเตะถีบไปสองที แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งนิ้วขาวเรียวยาวของอีกฝ่ายที่กำลังปาดป้ายยาขี้ผึ้งเย็นๆ เข้าไป
“เมื่อเช้าเราทำกันบนรถม้าแล้วไม่ใช่หรือ” เสี่ยวชุนบ่นเบาๆ น้ำเสียงแหบพร่า “ทำวันละหลายครั้งอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน พรุ่งนี้เจ้าต้องตื่นแต่เช้า วันนี้ละเว้นข้าไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้” อวิ๋นชิงสะกดลมหายใจ ตอบด้วยเสียงลมหายใจสะดุดเบาๆ เขาต้องการเสี่ยวชุน ต้องการอยู่ทุกเวลา อยากจะแน่ใจว่าคนผู้นี้ยังอยู่ข้างกาย อยากแน่ใจว่าเป็นเสี่ยวชุนจริงๆ
“วิปริตนี่นา…ทำคนเขาจนเหนื่อยแล้วยังไม่ยอมให้หลับให้นอน…” เสี่ยวชุนบ่นพึมพำ เนื่องจากฝนตกต่อเนื่องมาหลายวันจึงรู้สึกปวดในกระดูกไปหมด จะขัดขืนก็ไม่มีเรี่ยวแรง
“อยู่ข้างล่างจะไปเหนื่อยได้อย่างไร เจ้าไม่อยากก็บอกมา!”
นอกหน้าต่างมีลมพัดจนแสงเทียนบนโต๊ะวูบไหว แสงสลัวส่องลอดม่านกั้นรอบเตียงเข้ามาจางๆ อวิ๋นชิงค่อยๆ แทรกกายเข้าไปในตัวเสี่ยวชุน และเพราะได้ทำไปเมื่อเช้าแล้ว คราวนี้จึงสอดเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แทรกกายเข้าไปลึกสุดโดยไม่มีอะไรกั้นขวางแล้วค่อยเคลื่อนขยับเบาๆ
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันอ่อนโยนดุจสายน้ำฤดูวสันต์ของเสี่ยวชุนเบิกกว้างเล็กน้อย ใบหน้างดงามที่ดูดื้อรั้นแฝงด้วยความรู้สึกรัญจวนใจอย่างยากจะควบคุมตัวเอง เส้นผมของเขาแผ่สยายยุ่งเหยิงอยู่บนผ้าปูที่นอน จังหวะกระแทกกระทั้นก่อเกิดความเสียวซ่านจนร่างเขาสั่นสะท้านน้อยๆ สองแก้มแดงระเรื่อ เสียงครางต่ำอย่างแหบแห้งดังลอดออกมา
“ก็…อืม…ร้องจนเหนื่อย…ร้องอยู่ตลอด…จนปากคอแห้งแล้วก็ยังไม่ได้พักดื่มชานี่นา…” เสี่ยวชุนบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุด “อา…อย่าดันตรงนั้น…เบาหน่อย…”
ในสายตาอวิ๋นชิง เสียงบ่นกล่าวโทษของเสี่ยวชุนนั้นถูกมองเป็นอย่างอื่น เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงยิ่งทำอย่างว่องไวและเร่าร้อนขึ้นเสียจนเสี่ยวชุนต้องจิกผ้าปูที่นอนไว้แน่น หอบหายใจไม่หยุด
“ค่อย…ค่อยๆ…ค่อยๆ หน่อยสิ…” ในดวงตาเสี่ยวชุนมีน้ำตาเอ่อคลอ ความรุนแรงที่ทั้งยากจะรับไหวและสุขสมเข้าจู่โจมอย่างบ้าคลั่งจนต้านทานไม่ไหว
“เจ็บมากรึ” เสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของอวิ๋นชิงถามขึ้น
“อืม” เสี่ยวชุนถอนใจตอบเบาๆ
อวิ๋นชิงกระแทกกระทั้นรุนแรงอีกสองสามครั้ง ทำเอาเสี่ยวชุนต้องกัดฟันหลับตาปี๋ จากนั้นอีกฝ่ายจึงค่อยผ่อนให้เนิบช้า แทรกเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสี่ยวชุนผ่อนคลาย
อวิ๋นชิงดึงท่อนขาเสี่ยวชุนขึ้นชิดอก ค่อยๆ แทรกกายเข้าไปจนสุดแล้วถอนออกอีกครั้งอย่างช้าๆ จนเกือบจะออกมา จากนั้นก็สอดเข้าไปลึกสุด วนเวียนอย่างไม่ยอมละวางถึงจุดที่เสี่ยวชุนต้องร้องคราง เสียดสีรุนแรงภายในนั้นจนถึงส่วนที่อ่อนไหวที่สุด
ทุกครั้งที่สัมผัสถูกถึงตรงนั้น เสี่ยวชุนทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องแหงนหน้าขึ้นเปล่งเสียงร้อง “อ๊า!”
อวิ๋นชิงก้มหน้าลงขบลำคอเรียวงามของเสี่ยวชุน โลมเลียเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา ส่วนล่างยังเคลื่อนขยับไม่หยุดราวกับจะแหวกร่างเสี่ยวชุนออกมาลิ้มชิมรสให้ทั่ว เขาปรารถนาให้ลมหายใจของตนประพรมไปทั่วร่าง ทั่วแขนขา แทรกเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูก ประทับไว้ชั่วชีวิตไม่เลือนหาย
การทรมานนี้ทั้งเนิบช้าและเนิ่นนานจนเสี่ยวชุนร้องครางเบาๆ เสียงร้องอู้อี้ขึ้นจมูกราวกับจะร้องอุทธรณ์ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับและอดทนต่อการแสดงความรักอันลึกซึ้งของอวิ๋นชิง
หัวใจอวิ๋นชิงสั่นสะท้าน ยิ่งเคลื่อนไหวหนักหน่วงก็ยิ่งยากจะสะกดกลั้น
ทันใดนั้นนอกห้องก็มีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะและเสียงเสี่ยวเอ้อร์ร้องบอก “คุณชาย ข้าน้อยเอาน้ำร้อนกับอาหารมาส่งขอรับ”
เสี่ยวชุนตื่นจากอารมณ์พิศวาส ผงกศีรษะขึ้นหันไปมองทางประตู พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อวิ๋นชิง หยุดก่อน มีคนมาข้างนอก”
“จะหยุดได้อย่างไร” อวิ๋นชิงที่ยังจมอยู่ในห้วงปรารถนายิ่งกระแทกกระทั้นหนักหน่วงอย่างไม่ค่อยพอใจ มือหนึ่งกุมตัวตนที่แข็งขึงของเสี่ยวชุนไว้แล้วขยับ
“อ๊า! เจ้านี่มัน ยังมาจับตรงนั้นอีก”
เสี่ยวชุนนัยน์ตาพร่าลาย พยายามดิ้นหนีไม่หยุด
“อวิ๋นชิง อย่าจับตรงนั้น…” เขาไม่ชอบที่สุดเมื่อถูกจับส่วนที่อ่อนไหวไว้ขณะร่วมรัก เขาจะทนไม่ไหวแล้ว หัวหมุน ตาลาย ควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ ร้องออกมาเสียงดังกว่าเดิมอย่างน่าอับอาย
“ข้าชอบให้เจ้าเรียกชื่อ เรียกสิ…เรียกชื่อข้า…” อวิ๋นชิงหายใจกระหืดกระหอบพลางบอก
มือที่ลูบไล้ตัวตนของเสี่ยวชุนกลับไม่ยอมรามือ ลูบขึ้นลูบลง เขาชอบสีหน้าท่าทางของเสี่ยวชุนเวลาแสดงอาการหวั่นไหวกับเขา ชอบเวลาที่เสี่ยวชุนสะบัดศีรษะไปมาอย่างสุดจะทน ร่างกายแอ่นบิดสั่นสะท้านไม่หยุด เพราะเวลาเช่นนี้ในหัวใจและสายตาของเสี่ยวชุนจะมีแต่เขาเพียงคนเดียว ไม่มีช่องว่างให้เรื่องอื่นเข้ามาได้
เสี่ยวชุนหอบหายใจเฮือกใหญ่ น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ดังอู้อี้ขึ้นจมูก “อวิ๋นชิง…เสี่ยวเอ้อร์อยู่ข้างนอก…”
“ต่อไปอวิ๋นชิงจะไม่ยอมให้พูดคำว่าเสี่ยวเอ้อร์อีกแล้วนะ!” อวิ๋นชิงทำเสียงขู่
เห็นชัดๆ ว่ากำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สวาท เสี่ยวชุนกลับเสียสมาธิ อวิ๋นชิงแทรกนิ้วเข้าไปในจุดนั้นอย่างไม่พอใจ โยกคลอนเสี่ยวชุนไปมาแล้วงอนิ้วกดคลึงภายในที่อุ่นร้อนซึ่งเกร็งกระตุกไม่หยุด ฉกฉวยเอาหัวจิตหัวใจเสี่ยวชุนกลับมาเป็นของเขา
“อ๊า…อย่าสอดนิ้วตรงนั้น มันแน่น แน่นเกินไป เดี๋ยวฉีกกันพอดี…” พอถูกกระตุ้นอย่างนี้เสี่ยวชุนก็แอ่นร่างเสียวสะท้าน เสียงร้องครางหลุดจากปากอีกครั้งทันทีอย่างกลั้นไม่อยู่
ในห้องเต็มไปด้วยความรัญจวนใจ ร่างของเสี่ยวชุนปวกเปียกจนไม่อาจควบคุมได้ เขาได้แต่โอนอ่อนไปตามการกระทำของอวิ๋นชิง ร้องบอกอีกฝ่ายอย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง
“ไม่หรอกน่า” อวิ๋นชิงกระซิบ “ยาที่เจ้าปรุงดีมากนะ เจ้าไม่ฉีกไม่ขาดหรอก”
ทำไมเขาถึงได้เก่งกาจปานนี้ สามารถปรุงยาเช่นนี้ออกมาได้ อวิ๋นชิงเลยมีข้ออ้างเอายานี้มาใช้กับตัวเขา เสี่ยวชุนคิดขณะที่สติกำลังล่องลอย
นอกห้อง เสียงถ้วยชามทั้งกองหล่นลงพื้นแตกดังเปรื่องตอนที่เสี่ยวชุนได้ยินเสียงเสี่ยวเอ้อร์พูดตะกุกตะกักว่า “คุณ…คุณชายกำลังยุ่ง ข้าน้อยรอ…รออีกสักครู่ค่อยกลับมานะขอรับ!” หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นชิงกำลังกอดเขาไว้แน่น เขาคงวิ่งเอาหัวชนกำแพงให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว
เสียงร้องครวญครางเปี่ยมด้วยอารมณ์พิศวาสหลุดออกไปจนคนอื่นได้ยิน ชื่อเสียงของเขาป่นปี้หมดแล้ว!
น่าขายหน้าจริงๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments