X
    Categories: everYทดลองอ่านยุทธจักรเริงรมย์

ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล เล่ม 2 บทที่ 3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 3

 

พอหาที่ซ่อนตัวเป็นถ้ำในภูเขาอันเงียบสงบได้ เสี่ยวชุนก็วางร่างสาวน้อยที่หมดสติเพราะเสียเลือดมากเกินไปลงบนกองหญ้าแห้งที่ปูไว้สำหรับรองนอน

บาดแผลบนตัวหญิงสาวนับว่าสาหัสอยู่ แต่มีเขาหมอเทวดาอยู่ที่นี่ด้วยย่อมต้องโชคดี ไม่มีทางถึงคราวชะตาขาดแน่นอน

เสี่ยวชุนล้วงเอาขวดยาหลากสีออกมาจากอกเสื้อ ครวญเพลงเบาๆ ขณะปั้นยา สุดท้ายยังเติม ‘โลหิตวิตก’ ซึ่งเป็นโอสถวิเศษรักษาบาดแผล มีหนึ่งเดียวทั้งในสวรรค์และบนพิภพ ใช้ห้ามเลือดและละลายลิ่มเลือด เดินทางท่องไปทั่วยุทธภพต้องมีพกไว้ติดกาย จากนั้นก็รอให้สาวน้อยฟื้นขึ้นมาอย่างอดทน บอกวิธีทายาภายนอกและกินยาแล้วเดินออกไปข้างนอก

เมื่อถึงเวลาที่คำนวณไว้เขาก็กลับมา หญิงสาวชุดดำกินยาและทายาเสร็จแล้ว กำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟที่ก่อขึ้น ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้ว

“เจ้าช่วยข้าทำไม” หญิงสาวเขี่ยกองไฟ ขณะที่พูดก็จงใจเอียงคอดูซื่อๆ น่ารักไร้เดียงสา

แต่ก็เพราะท่าทางแบบนี้ เสี่ยวชุนจึงรู้สึกว่านางช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน

เสี่ยวชุนเดินไปนั่งลงข้างกองไฟ ยักไหล่แล้วว่า “ก็เจ้าขอให้ข้าช่วย ข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร”

“เจ้าจะไม่ช่วยก็ได้นี่ ไม่มีใครบอกสักหน่อยว่าเจ้าต้องช่วย” นางพูดจากับเสี่ยวชุนเหมือนอ้อมค้อมไปมา พูดไปปากก็มู่ทู่ไปด้วย

เสี่ยวชุนยิ้มแล้วว่า “แต่จะไม่ช่วยก็เห็นทีว่าจะยากหน่อย นิสัยหมอแก้ยาก เห็นคนบาดเจ็บ คนป่วย คนเป็นลม หรือคนตาย ขอเพียงร่างกายยังอุ่น ไม่ถึงฆาตดี จะไม่เอาตัวมารักษาให้หายดีจนลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นก็คงจะไม่ได้หรอก”

“แม้แต่คนตายก็รักษาจนฟื้นได้ด้วยหรือ” หญิงสาวไม่เชื่อเด็ดขาด สองตากลมโตมีชีวิตชีวาจ้องมองดูจนเบิกกว้าง “ข้าเคยได้ยินว่าในโลกนี้มีแค่สามคนที่ทำได้ คนหนึ่งหนีไม่พ้นความตาย กลับไปหาพญายมแล้ว คนหนึ่งเป็นหมอที่เร้นกายในที่ห่างไกลนับร้อยลี้ ไม่เผยตัวออกมา อีกคนคือจ้าวเสี่ยวชุนที่ผู้คนกล่าวขานว่ารักษาเก่งกาจ แม้แต่คนตายก็ฟื้นได้ เพียงยกมือคนเจ็บก็กลับมามีชีวิต เจ้าเป็นคนไหนกันล่ะ”

“พูดได้ดีๆ ข้าไร้ความสามารถ ข้าคือจ้าวเสี่ยวชุนผู้นั้นแหละ” เสี่ยวชุนประสานมือคารวะพลางยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ เขาไม่ใช่ ‘คนที่ตายไปแล้ว’ หรือ ‘คนที่เร้นกาย’ อันที่จริงเสี่ยวชุนคุ้นเคยดีกับคนที่เร้นกาย เพราะเขาผู้นั้นและเสี่ยวชุนอาศัยอยู่ในหุบเขาเทพเซียนเหมือนกัน คนผู้นั้นคืออาจารย์ของเขาเอง

จู่ๆ สาวน้อยผู้นั้นก็มองดูเขาด้วยสายตาลี้ลับอยู่ครู่ใหญ่ราวกับคิดถึงอะไรบางอย่าง ประเดี๋ยวเอียงคอ ประเดี๋ยวส่ายศีรษะ สุดท้ายก็เผยไรฟันขาวออกมาเป็นรอยยิ้มไร้พิษสง

“ที่แท้เจ้าก็คือจ้าวเสี่ยวชุนจริงๆ ไม่คิดว่าข้าจะบังเอิญมาพบเจ้าได้ ทั้งยังได้เจ้ามาช่วยชีวิตไว้” น้ำเสียงนางฟังดูเหมือนไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่าอารมณ์ที่เผยออกมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจนี้ก็ถูกกลบเกลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว

“เจ้ารู้จักข้ารึ” เสี่ยวชุนหันไปกวาดตามองสาวน้อยผู้นี้หลายครั้ง

หญิงสาวพยักหน้า

คราวนี้เสี่ยวชุนรู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยต่อ “เห็นแก่ที่ข้าช่วยเจ้าไว้ ช่วยตอบคำถามข้าสักสองสามข้อเถอะ”

ไม่รอให้หญิงสาวพูด เสี่ยวชุนก็พูดขึ้นก่อน “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร เป็นชายหรือหญิง ทำไมตอนข้าตรวจชีพจรเจ้าถึงได้แปลกประหลาดอย่างนั้น เห็นชัดๆ ว่า…” เสี่ยวชุนเหลือบมองหน้าอกของหญิงสาวแวบหนึ่ง ไม่ใช่ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม มีแต่เพียงความสงสัย “แต่ชีพจรกลับไม่ใช่…”

สาวน้อยถลึงตามองเสี่ยวชุนแล้วรีบยกมือขึ้นบังหน้าอก ท่าทางเป็นหญิงทุกกระเบียดนิ้ว “ยุ่งอะไรกับเรื่องข้าอายุเท่าไร เป็นชายหรือเป็นหญิง เจ้านี่แปลกคนจริงๆ ไยไม่ถามว่าเหตุใดข้าจึงถูกสำนักภูษานิลตามไล่ล่าสังหาร เอาแต่คิดคำถามไร้มารยาทขั้นนี้ได้”

“สำหรับข้า การถูกสำนักภูษานิลตามล่าไม่เห็นมีอะไรน่าถาม ประมุขสำนักมารแซ่หลันนั่นเห็นอะไรขัดตาก็ฆ่า ถึงไม่ขัดตาก็ฆ่า อากาศดีเจอคนก็ฆ่า อากาศแย่ไม่สบอารมณ์ก็ฆ่า ข้าไม่เห็นจะนึกสนใจเรื่องพรรค์นั้นเลย” เสี่ยวชุนพูดเจื้อยแจ้ว สองตาเป็นประกายจ้องมองหญิงสาวแล้วถามอย่างสนอกสนใจ “บอกมาเถอะ เจ้าใช้วิชาหดกระดูกแปลงโฉมกับตัวเองใช่หรือไม่ ข้าเคยเห็นเขาใช้มาก่อน เก่งกาจจนบรรลุขั้นสุดยอดเชียวล่ะ เห็นชัดๆ ว่าเป็นชายร่างใหญ่แต่กลับหดตัวลงได้จนมีรูปร่างเท่าหญิงสาว นอกจากนี้ยามเดินเหินก็ยังยักย้ายส่ายสะโพกไปมา แม้แต่หน้าตายังละม้ายหญิงสาวจนแยกแทบไม่ออก เจ้าเคยร่ำเรียนอยู่สำนักเดียวกับเขาหรือไม่ วิชาที่ว่านี้ไปร่ำเรียนมาจากที่ใดกัน หากข้าคิดอยากเรียนบ้างควรไปกราบอาจารย์ท่านไหนดีจึงจะสำเร็จ เรียนวิชานี้คงยากมากสินะ การหดกระดูกหดเส้นเอ็น คนธรรมดาย่อมทนไม่ไหวแน่ๆ!”

หญิงสาวฟังข้อสังเกตอันกระตือรือร้นของเสี่ยวชุนจนได้แต่นิ่งอึ้งตะลึงงัน

“เจ้าอายุเท่าไร” เสี่ยวชุนพูดอีก “จากชีพจรของเจ้า ข้าว่าน่าจะราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดกระมัง!”

สาวน้อยเบ้ปาก สีหน้าเหมือนมองดูพวกอันธพาลกระจอกแล้วตอบว่า “ใช่ ข้าอายุยี่สิบเจ็ด พี่ชายน้อยพอใจหรือยัง”

“ยี่สิบเจ็ดยังมีหน้ามาเรียกข้าว่าพี่ชายน้อย!” เสี่ยวชุนหัวเราะร่า

หญิงสาวทำเสียงหึ น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจ “จะบอกให้ อย่านึกว่าเจ้าช่วยข้าไว้แล้วได้คืบจะเอาศอก รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าคือหนึ่งในแปดเซียนชุดดำแห่งสำนักภูษานิล ‘เซียนหนอนพิษว่อหลิง’ หากล่วงเกินข้า เจ้าได้เดือดร้อนแน่”

“โอ้!” เสี่ยวชุนแกล้งเลียนท่าทางของหลิงเซียน ทำเสียงหึขึ้นจมูกบ้าง “เจ้าเห็นข้าทำท่าเหมือนกลัวเจ้าบ้างหรือไม่เล่า”

หลิงเซียนถลึงตาใส่เสี่ยวชุน

เสี่ยวชุนพูดแฝงความนัย “เจ้าเป็นชายหรือมิใช่”

หลิงเซียนก็ตอบอย่างคลุมเครือเช่นกัน “ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า”

เสี่ยวชุนหัวเราะเสียงลั่น “ข้าก็คิดไว้แล้วว่าเด็กสาวอายุสิบกว่าปีจะมีฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร นอกจากนี้ตอนที่เจ้าเรียกข้า คำก็พี่ชายน้อย สองคำก็พี่ชายน้อยทีไร ทำเอาข้าขนลุกซู่ทุกที”

หลิงเซียนโกรธเสี่ยวชุนจนตาแทบถลน เสี่ยวชุนรู้สึกว่าหากพูดต่อจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ จึงเก็บสีหน้าขี้เล่นไว้แล้วนั่งเขี่ยกองไฟอยู่ข้างๆ

“อันที่จริงข้าก็รู้สึกอึดอัดใจ” ผ่านไปนานพักใหญ่โดยไม่มีการพูดคุยกัน จากนั้นเสี่ยวชุนจึงค่อยพูดขึ้นทำลายความเงียบ “ข้ารับปากใครคนหนึ่งไว้ว่าจะไม่ก่อเรื่อง ข้าต้องรอเขาอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่อเดินทางกลับบ้านด้วยกัน แต่เพราะคำเรียกว่าพี่ชายน้อยของเจ้าเลยทำให้ไขว้เขว ตอนนี้ถ้าคนผู้นั้นกลับมาไม่พบข้าก็ไม่รู้ว่าจะโกรธสักแค่ไหน”

หลิงเซียนนิ่งเงียบแล้วพูดขึ้นช้าๆ “เจ้าช่างดีจริง มีคนให้รอ และคนคนนั้นก็รอเจ้าอยู่”

“อืม” เสี่ยวชุนรับคำเรียบๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก

หลิงเซียนเหลือบมองเสี่ยวชุนสองสามครั้ง ความอิจฉาค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า แต่ทันใดก็กลบเกลื่อนไว้ได้จนไม่เหลือร่องรอย

จ้าวเสี่ยวชุน มนุษย์ยาผู้ที่ร้อยพิษไม่กล้ำกราย ใบหน้าไม่แก่ชราไปตามวัย ประมุขสำนักภูษานิลถึงกับให้ความสนใจในตัวเขา ตวนอ๋องตงฟางอวิ๋นชิงเองก็รักใคร่เขา โอรสลับที่ไม่ได้รับพระราชทานชื่ออย่างเป็นทางการของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน บุตรสุดที่รักแห่งสวรรค์ที่มั่งคั่งและสูงศักดิ์

เหตุใดคนผู้นี้จึงได้ครอบครองสิ่งต่างๆ ที่ตนเองไม่อาจมี หลิงเซียนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย

“จ้าวเสี่ยวชุน…” หลิงเซียนชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าอยากเรียนวิชาหดกระดูกหรือ”

เสี่ยวชุนได้ยินดังนั้นดวงตาก็เบิกกว้างวิบวับ ดูงดงามจนอาจเทียบได้กับดาวประกายพรึก ประกายในนั้นสาดแสงเจิดจ้า

“เจ้ายอมสอนให้ข้ารึ” เสี่ยวชุนถามอย่างระมัดระวัง

“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ชั่วชีวิตนี้ของข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ แค่สอนวิชาหดกระดูกให้เจ้าก็ไม่นับว่าหนักหนาอะไร อีกอย่างวิชานี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรด้วย” หลิงเซียนยิ้ม รอยยิ้มนั้นมีชีวิตชีวาราวกับเป็นยิ้มของเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้า

“ข้าจะเรียน!” เสี่ยวชุนทำท่ากำหมัดอย่างมุ่งมั่น อยากรู้นานแล้วว่าวิชาหดกระดูกนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เห็นศิษย์พี่เคยแสดงให้ดูสองสามครั้ง ช่างน่าสนใจยิ่งนัก พูดแล้วก็อยากเรียนขึ้นมาเลยทีเดียว

หลิงเซียนยกมือขึ้นมาดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออกแล้วบอกว่า “มองดูให้ดี ตั้งแต่ข้าฝึกสำเร็จ หน้ากากนี้ก็ไม่เคยเปิดออกให้คนทั่วไปได้เห็นมาก่อน”

ร่างกายของหลิงเซียนขยายออกขณะที่เสี่ยวชุนกำลังจ้องมองอยู่ เสี่ยวชุนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบๆ เหมือนถูกยืดออก เสียงเสื้อผ้าปริขาด จากนั้นก็ได้เห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวของต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่ขยายใหญ่ขึ้นเป็นต้นไม้สูงชะลูดต่อหน้าต่อตา

พอคืนร่างแล้วหลิงเซียนก็ปาดเหงื่อแล้วเงยหน้าขึ้น เขาเป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาราวกับดวงดาวที่อยู่แสนไกล รูปร่างซูบผอม เสี่ยวชุนคิดไว้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนประหลาด คิดไม่ถึงว่าจะดูดีเช่นนี้

“อะไร ดูประหลาดมากหรือ” หลิงเซียนลูบหน้า

“ไม่หรอก สมองข้าสับสน นี่แตกต่างจากรูปร่างหน้าตาเจ้าก่อนหน้านี้จนเทียบไม่ได้” เสี่ยวชุนหัวหมุนไปหมด

หลิงเซียนกลอกตาใส่เสี่ยวชุน เอาไม้เขี่ยหน้ากากหนังมนุษย์ที่อยู่ข้างกองไฟขึ้นมาโยนให้เสี่ยวชุน

เสี่ยวชุนรีบคว้าไว้ ไฟลนหน้ากากอยู่นานจนร้อนแทบลวก

“ยกนี่ให้เจ้า” หลิงเซียนบอก “แล้วข้าจะสอนคาถาให้ สอนแค่รอบเดียว จำได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าก็แล้วกัน”

เสี่ยวชุนรีบพยักหน้าตอบรับ

“สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกธรรมชาติ วิวัฒน์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ฝืนธรรมชาติกลับคืนความหนุ่มสาว กุศลนานาที่สั่งสม จงเปลี่ยนสู่ผลอันเกินคณา หันศูนย์กลางทั้งห้าขึ้นสู่สรวงสวรรค์…”

เสี่ยวชุนตั้งอกตั้งใจจดจำทุกถ้อยคำที่หลิงเซียนพูดตามจังหวะการขยับของริมฝีปาก

เมื่อใดที่ได้พบสิ่งที่น่าสนใจเขาย่อมจะโถมเข้าใส่เต็มตัว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะถาม

ขณะที่หลิงเซียนสอนเสี่ยวชุนเดินกำลังภายใน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนจนยากจะคาดเดา หากเป็นยามปกติเสี่ยวชุนย่อมจะจับสังเกตได้ แต่เสียดายที่บัดนี้เสี่ยวชุนจดจ่ออยู่แต่กับการฝึกวิชาหดกระดูก จิตใจล่องลอยไปไกล ย่อมไม่อาจรู้ว่าหลิงเซียนกำลังวางแผนจะทำอะไร

ราตรีมืดมิดยืดยาวออกไปราวกับไร้ที่สิ้นสุด ในถ้ำที่อบอุ่นด้วยกองไฟมีเสียงเสี่ยวชุนท่องบ่นเบาๆ ตามคำบอกของหลิงเซียน ในราวป่ามีเสียงสุนัขป่าเห่าหอนคู่เคียงไปกับเสียงแมลงกรีดปีก ในราตรีมืดมิดเช่นนี้เงียบสงัดจนน่าตกใจ

ครึ่งราตรีผ่านพ้น หลังจากเสี่ยวชุนท่องคาถาจนคล่องก็เริ่มฝึกหัดวิชาหดกระดูกอย่างตื่นเต้น

เมื่อคาถาถูกนำมาใช้ประกอบกับการเดินกำลังภายใน ทันใดนั้นเสี่ยวชุนก็รู้สึกราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นพล่านในร่างกายเป็นระลอก สั่นสะเทือนจนเขาทนไม่ไหว ต้องกัดฟันส่งเสียงร้องครางออกมา

จากนั้นอวัยวะภายในก็เริ่มถูกบีบอัดจนหดตัวอย่างน่าประหลาด ทั่วร่างเริ่มยืดขยายออกไปจนถึงปลายแขนขา ปลายนิ้ว และปลายเส้นผม รู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่ามีกำแพงไร้รูปบีบอัดเข้ามาจากทั้งบนล่างซ้ายขวาหน้าหลังจนทนไม่ไหว เสี่ยวชุนร้องโอดครวญแล้วค่อยๆ ขดตัวงอ ความเจ็บปวดแสนสาหัสเกิดขึ้นทั่วร่างราวกับถูกเฉือนเนื้อขูดกระดูกก็ไม่ปาน เป็นความเจ็บปวดที่ยากจะทานทน

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม เสี่ยวชุนลืมตาขึ้นพลางหอบหายใจ สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือหลิงเซียนที่มีหน้าตาเป็นชายแต่แสร้งทำสีหน้าชมดชม้อยเหมือนหญิง ภาพที่ขัดตาเช่นนี้เสี่ยวชุนเห็นแล้วทั่วร่างถึงกับสั่นสะท้านราวกับหนาวยะเยือก

“ทำไมเจ้าไม่…ไม่บอกว่าจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้” เสี่ยวชุนนิ่วหน้าพลางพูดบ่น หายใจไม่สม่ำเสมอ

“ไม่ไหวเลย แค่เจ็บปวดเล็กน้อยก็ทนไม่ได้” หลิงเซียนพูดด้วยรอยยิ้มยั่ว

“ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่กลัวอะไร แค่กลัวเจ็บเท่านั้นเอง ถ้าเจ้าบอกแต่แรกข้าก็คงไม่ฝึกหรอก!” เสี่ยวชุนตะคอก ไม่อายสักนิดที่พูดอย่างนี้ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นชาย แต่เขาพูดความจริงนี่นา

“ความเจ็บปวดแค่เล็กน้อยก็ทนไม่ไหวเชียวหรือ” หลิงเซียนรู้สึกว่าน่าขันจึงปิดปากหัวเราะไม่หยุด ลืมไปว่าตนคืนร่างแล้ว ใครมาเห็นเขายังแสร้งทำท่าทางชมดชม้อยย่อมรู้สึกประหลาด

เสี่ยวชุนตัวสั่นอีกครั้ง รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ

เมื่อความเจ็บปวดผ่านไปแล้วเสี่ยวชุนก็ลุกขึ้นยืน มองดูมือเล็กๆ ของตัวเองที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อ และขากางเกงหลวมโพรกที่ยาวระพื้น จึงกัดฟันถามว่า “ดูเหมือนตัวจะหดลงนิดหน่อยเท่านั้น เปลี่ยนไปแค่ไหนกัน”

จากนั้นเสี่ยวชุนก็ลูบคลำใบหน้า ตอนนี้จึงได้พบว่าวิชาหดกระดูกของหลิงเซียนนั้นล้ำเลิศเพียงใด เพราะแม้แต่ใบหน้าและน้ำเสียงก็อ่อนวัยลงด้วย

เขาค้นพบอย่างน่าตกใจว่าหากจะเรียกวิชานี้ว่าวิชาหดกระดูก สู้เรียกว่าเคล็ดวิชาคงความงามยังจะเหมาะกว่า สามารถเปลี่ยนจากคนแก่ให้เป็นเด็ก ทำให้ความงามได้หวนคืนมาปรากฏอีกครั้ง

คิดถึงตรงนี้เสี่ยวชุนก็เหม่อลอยครุ่นคิด วิชาพรรค์นี้ไม่รู้ว่าจะเอามาใช้ในทางการแพทย์ได้หรือไม่ ต้องใช้เข็มสักกี่เล่ม ยาสักกี่ขนานจึงจะทำให้คนชรากลับเป็นคนวัยฉกรรจ์ คนวัยฉกรรจ์กลับเป็นหนุ่มสาว และคนหนุ่มสาวกลับไปเป็นเด็ก…

บ้าจริง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกนับจากนี้ไป ช่างน่าตื่นตกใจจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงที่แม้แต่ปู่ของปู่ของปู่ของเขาก็คงกระโดดออกมาจากหลุมศพ!

เสี่ยวชุนลูบใบหน้าตนเองอีกครั้ง อืม…ดูเหมือนว่านอกจากสมองที่ไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นเด็ก ทุกอย่างดูเหมือนจะเล็กลงหมด

อืม…ตรงข้างล่างนั่นก็คง…เล็กลงสินะ…

ว่าแล้วก็ลูบดู

โอ๊ะ…

เล็กลงจริงๆ ด้วย…

ชักจะเศร้าแล้วสิ

หลิงเซียนมองดูท่าทางของเสี่ยวชุนอย่างชิงชังแล้วว่า “รูปร่างเจ้าตอนนี้คงราวๆ สิบสี่ปี อย่างมากสุดก็ไม่เกินสิบห้า ดูไม่ต่างจากข้าตอนใช้วิชาก่อนหน้านี้เท่าไร”

“ไม่รู้ว่าถ้าฝึกต่อไปตัวจะหดจนกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาได้หรือไม่” เสี่ยวชุนมองมือมองเท้าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วถามขึ้นอย่างกวนๆ

หลิงเซียนเหยียดปาก ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก ทันใดนั้นเสี่ยวชุนก็หันขวับ เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวในราวป่า

“มีคนมาไม่น้อยเลย” เสี่ยวชุนหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าไม่คิดจะประมือกับใคร เตรียมของไว้น้อย ตอนประมือกับยอดฝีมือก่อนหน้านี้ก็ใช้ไปจนหมดแล้ว ตอนนี้แย่แน่”

หลิงเซียนชักกระบี่ออกมาทันทีแล้วดับไฟ สีหน้าซีดขาว พูดว่า “ข้าให้พวกเขาพาตัวกลับไปไม่ได้ เจ้าต้องช่วยข้า”

เสี่ยวชุนเหลือบมองหลิงเซียน จากนั้นก็พูดว่า “วางใจเถอะ ช่วยคนแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด”

หลังจากครุ่นคิดแล้วเขาก็หยิบหน้ากากหนังมนุษย์ที่หลิงเซียนเพิ่งมอบให้เมื่อครู่เอามาแนบหน้า จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าผู้หญิงที่หลิงเซียนกองทิ้งไว้บนพื้นมาสวม ปล่อยผมสยายออก รู้สึกว่าน่าจะดูเหมือนหลิงเซียนตอนแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นหญิงสักเจ็ดแปดส่วน

เสี่ยวชุนยิ้มแล้วว่า “ข้าไปล่อพวกเขาก่อน ส่วนอันนี้ให้เจ้า” จากนั้นเขาก็โยนขวดยาขวดหนึ่งให้หลิงเซียนแล้วบอกว่า “นี่คือยาครอบจักรวาล ใช้ถอนพิษได้ทุกชนิด คิดเองก็แล้วกันว่าจะแบ่งใช้อย่างไร ตอนออกไปก็ระวังตัวด้วย”

เสี่ยวชุนพูดจบก็ทะยานออกจากปากถ้ำไป แม้จะปล่อยผมซ้ำยังแต่งกายเป็นหญิง แต่ขณะชูมือหรือเตะเท้าก็ยังเผยให้เห็นท่วงท่าพลิ้วไหวสง่างาม หลิงเซียนเฝ้ามองดูจนเหม่อลอย

ตอนนี้เองเสี่ยวชุนก็ได้ยินหลิงเซียนตะโกนเรียก “จ้าวเสี่ยวชุน!”

“มีอะไรหรือ” เสี่ยวชุนคิดว่าเกิดอะไรขึ้นอีกจึงหันกลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าจะรู้สึกเจ็บร้อนขึ้นที่หัวไหล่ซ้าย มีอะไรบางอย่างแทงทะลุเสื้อผ้าเข้ามาฝังใต้ผิวหนัง เขาเจ็บจนสะดุ้ง

เขาเอียงคอลูบจับหลังอย่างสงสัย คิดว่าเมื่อครู่มีสะเก็ดไฟที่ยังไม่มอดดีปลิวมาถูกหัวไหล่ เสื้อผ้ายังไหม้จนทะลุเป็นรู แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในถ้ำอีกครั้งกลับได้เห็นหลิงเซียนกำลังเผยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ หยักมุมปากขึ้นพลางจ้องมองเขาอยู่

หลิงเซียนพูดขึ้นเรียบๆ “มีวาสนาคงได้พบกันอีก”

เสี่ยวชุนพยักหน้า ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัยแล้วรีบจากไป ทว่ายิ่งเดินไปก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่บอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหนกันแน่

ว่อหลิงเซียนผู้นี้ออกจะเป็นคนแปลกอยู่บ้าง ทว่าดูไปแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เสี่ยวชุนคิดว่าอีกฝ่ายคงชอบแต่งกายเป็นหญิง แต่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรล่วงเกินหลันชิ่งไว้จึงได้ถูกตามล่าเช่นนี้

อวิ๋นชิงของเขาเมื่อก่อนก็เคยถูกหลันชิ่งบีบคั้นจนถึงขั้นจนตรอก โชคดีที่ในที่สุดก็พบกับเขาจึงได้ช่วยถอนพิษให้

วันนี้ได้พบหลิงเซียน เสี่ยวชุนก็รู้สึกสนิทสนม ประกอบกับหลิงเซียนไม่พูดพล่ามอะไรมากก็สอนวิชาหดกระดูกให้เขา เสี่ยวชุนรู้เพียงว่าคนผู้นี้นับว่าดีต่อเขาแค่นั้นเอง

เมื่อได้พบกันย่อมนับว่ามีวาสนาต่อกัน หากทำอะไรให้อีกฝ่ายได้เท่าไรก็เท่านั้น ว่อหลิงเซียนผู้นั้นจะหนีรอดไปได้หรือไม่ก็แล้วแต่โชคชะตาของเขาเองก็แล้วกัน

 

จันทรามืดมิด สายลมพัดสูง หมอกปกคลุม หากจะฆ่าคน ดีที่สุดต้องฆ่าตอนกลางคืน

เสี่ยวชุนตั้งใจที่จะทำเสียงดังในเขตชายป่า เดี๋ยวถีบเตะกิ่งไม้จนหัก เดี๋ยวก็เตะก้อนหิน ซึ่งเป็นไปดังคาด ด้านหลังเริ่มมีเสียงสวบสาบดังขึ้น

เขาเคยประมือกับคนของสำนักภูษานิลมาสองสามครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม บอกได้ว่าง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ เขาจงใจวิ่งวนลัดเลาะไปตามต้นไม้ทั่วป่าที่มืดมิด พอกะดูว่าหลิงเซียนน่าจะไปได้ไกลแล้วจึงค่อยระบายลมหายใจที่อัดอั้นอยู่ในช่องอกออกมา

ในช่องอกช่องท้องของเขาสั่นสะท้าน ไม่เข้าทีเสียแล้ว ดูท่าว่าคงฝืนเรียนวิชาหดกระดูกจนเกินกำลังไปหน่อย แต่คนพวกนี้ก็ต้องได้รับการสั่งสอน เสี่ยวชุนไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้

“ร่างกายนี้คงทนตรากตรำมากนักไม่ได้” เสี่ยวชุนบ่นอุบ

กลับไปต้องหายาจำพวกเห็ดหลิงจือร้อยปีกับโสมคนพันปีที่คลังยาสำนักแพทย์หลวงมาบำรุงเสียหน่อยแล้ว

เดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ ประสบเหตุจนต้องกระอักเลือด ถ้าไม่บาดเจ็บสะบักสะบอมจนกระดูกหักไปทั่วร่างก็หมดสติจนเกือบถึงตาย หากไม่ระวังรักษาร่างกายให้ดี ถึงเวลาที่อายุมากเท่าอาจารย์อาจจะต้องคลานขึ้นไปนอนหลับอุตุบนเตียงยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก

พอเริ่มรู้สึกท้อแท้ ฝีก้าวของเสี่ยวชุนก็ช้าลงไปด้วย แต่เมื่อเห็นคนไล่ตามมาจะฆ่า ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรับมือยอดฝีมือพวกนี้ไหวหรือไม่

ตอนนี้อวิ๋นชิงคงจะกลับถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ถ้าเห็นว่าทางนั้นวุ่นวายไปหมดจะต้องออกมาตามหาเขาแน่

เสี่ยวชุนไม่รู้ว่าตัวเองจะรับมือไหวจนถึงตอนที่อวิ๋นชิงมาหรือไม่ คราวที่แล้วตกหลุมพรางในวังจิ้งอ๋องจนเกือบจะถูกหั่นร่างเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว ก็ได้อวิ๋นชิงนี่แหละที่นำทหารมาพาตัวเขาออกไปได้

แต่ทุกครั้งจะโชคดีได้เช่นนี้ตลอดหรือ เขาหัวเราะหึออกมา

ในป่าเริ่มมีลมฝนพัดโปรยปราย พายุฝนที่โหมกระหน่ำบ่งบอกชัดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก

ขณะที่เปียกปอน หัวไหล่ด้านซ้ายก็ร้อนรุ่มอย่างน่าประหลาด ความเจ็บปวดรุนแรงประดังขึ้นมาอีก เสี่ยวชุนเจ็บจนเดินโซเซแล้วล้มลงบนพื้นโคลน

ความร้อนแผดเผาราวกับจะทำให้ตัวเขาหลอมละลาย จากตรงหัวไหล่ค่อยๆ แผ่ออกไปจนปกคลุมทั่วร่าง เขาแทบจะขยับไม่ได้ ในหูมีเสียงดังก้อง แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นต่อหน้า ทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“ย่ามันเถอะ…เกิดอะไรขึ้นกันแน่…” เสี่ยวชุนกัดฟันกรอด

ทันใดนั้นก็นึกถึงสายตาเจ้าเล่ห์ของหลิงเซียนตอนที่จากกันขึ้นมาได้ เสี่ยวชุนตื่นตระหนก หรือว่าตอนนั้นหัวไหล่ไม่ได้ถูกสะเก็ดไฟที่ยังไม่มอดกระเด็นมาไหม้ แต่เพราะสัมผัสถูกอะไรบางอย่างต่างหาก

“ย่ามันเถอะ อย่าบอกนะว่าไปถูกพิษอำมหิตเข้า…”

เสี่ยวชุนครุ่นคิดพิจารณา หลิงเซียนใจดียอมสอนวิชาหดกระดูก อาจทำไปเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยเหลือก็เป็นได้ แต่หลังจากนั้นเมื่อบุญคุณความแค้นหักกลบลบหนี้กันพอดี สิ่งที่เกิดต่อจากนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมของชาวยุทธ์แล้ว

แต่เสี่ยวชุนไม่เข้าใจว่าหลิงเซียนจะวางแผนเล่นงานเขาเพื่ออะไร

เขาสวมเสื้อผ้าของหลิงเซียน ใช้หน้ากากหนังมนุษย์แปลงโฉมแล้วจากมา เดิมทีก็เพราะอยากจะช่วย แล้วหลิงเซียนจะมาซ้ำเติมเขาให้ลำบากทำไมกัน

หรือว่าที่ถ่ายทอดวิชาหดกระดูกให้นั้นอีกฝ่ายไม่ได้เต็มใจ จึงแอบหาทางลอบทำร้าย เพื่อว่าแม้จะถ่ายทอดวิชาให้แล้ว เขาก็จะไม่มีโอกาสได้ใช้

“ย่ามันเถอะ!” เสี่ยวชุนกัดฟันกรอด

เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วล้วงยาครอบจักรวาลออกมาสองสามเม็ดทันที รีบเดินกำลังภายในกระตุ้นฤทธิ์ยา แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวางยาอะไร แต่ยาครอบจักรวาลมีคุณอนันต์และไร้อันตราย ไม่แน่อาจช่วยถอนพิษได้

ขณะที่ละล้าละลัง คนชุดดำก็ตามมาทัน เสี่ยวชุนเดินอย่างยากลำบากพลางประคองตัวด้วยกิ่งไม้ รู้สึกหัวหมุนตาลาย สุดท้ายก็ตระหนักว่าตนเองเดินย่ำมาถึงขอบผา

“มาเจอหน้าผาอีกจนได้! โชคร้ายอะไรอย่างนี้ ไม่เหลือทางรอดไว้ให้ข้าบ้างเลย โธ่ สวรรค์ ท่านมีความแค้นกับข้าหรือ” เสี่ยวชุนสั่นสะท้าน ร่ำร้องอุทธรณ์ขึ้นมาทันที

เขาเบิกตากว้าง ชะโงกมองลงไปอย่างไม่อยากยอมแพ้ ตอนนี้เห็นแต่เพียงท้องฟ้ามืดมิด สายฝนตกกระหน่ำ ใต้หน้าผามืดสนิทดูลึกจนสุดประมาณ

สายลมพัดโหมกระหน่ำปะทะใบหน้าพร้อมกับสายฝนที่เย็นเฉียบประหนึ่งน้ำแข็ง เสี่ยวชุนสั่นเทิ้มด้วยความหนาวเหน็บ

เมื่อหันกลับไปมอง คนชุดดำผู้หนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ดวงตาดำสนิทเป็นประกายจ้องมองมาที่เขา

แม้แต่เวลาให้หอบหายใจก็ไม่มี เสียงอาวุธซัดแหวกอากาศดังมา เสี่ยวชุนรีบถอยกรูดไปยืนโงนเงนอยู่ริมผา

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีเมตตายอมอ่อนข้อให้แน่ จากนั้นคมดาบเรียวดุจใบไม้หลายเล่มก็พุ่งเข้ามาหา แสดงว่าไม่มีทางไว้ชีวิตอย่างแน่นอน

“ช้าก่อน เจ้าจะฆ่าข้าไปทำไม!” เสี่ยวชุนรีบพูดขึ้น

คนชุดดำผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “ว่อหลิงเซียน เจ้าขโมยหนอนพิษถงมิ่งของท่านประมุขติดตัวเมื่อหลบหนีออกมา ท่านประมุขโกรธมาก เจ้ายังจะกล้าถามอีก”

ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูด เพลงดาบหลายกระบวนท่าที่จู่โจมเข้ามาอย่างรุนแรงก็พัดกวาดใบไม้รอบด้านจนปลิวกระจัดกระจาย พุ่งไปถูกตรงไหนก็เกิดบาดแผลตรงนั้น เสี่ยวชุนชักกระบี่ที่เหน็บเอวออกมาฝืนเดินลมปราณพลางกัดฟันรับมืออย่างยากเย็น แต่ก็ยังเพลี่ยงพล้ำไปหลายกระบวนท่าติดๆ กัน

ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ กำลังภายในของเขาก็แทบไม่เหลือแล้ว เมื่อก่อนยังรับมือลูกไม้ตื้นๆ ระดับนี้ได้โดยแทบไม่เปลืองแรง แต่บัดนี้แม้กระเสือกกระสนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีก็ยังเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้

อย่างไรก็ตามเสี่ยวชุนรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูรีบร้อนอย่างผิดปกติ ว่ากันตามเหตุผล หากคนผู้นี้ตามหาเขาจนพบ ทั้งตัวเขาเองก็ได้แปลงโฉมให้เป็นหลิงเซียนแล้ว ตอนนี้สิ่งที่น่าจะทำคือการจับตัวเขากลับไปมิใช่หรือ

อย่างน้อยการที่ศิษย์พี่ใหญ่วางยาพิษหอมหวนร้อยลี้กับหลิงเซียนแทนที่จะเป็นพิษร้ายแรงจำพวกยางน่องก็หมายความว่าศิษย์พี่ใหญ่ยังต้องการใช้ประโยชน์จากหลิงเซียนอยู่

แต่พอพบตัวเขาซึ่งแปลงโฉมเป็นหลิงเซียนแล้วกลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่าข้า อย่างมากก็ให้ข้ามอบหนอนพิษถงมิ่งคืนไปก็ได้นี่นา!” เสี่ยวชุนแสร้งทำน้ำเสียงตื่นตระหนกเพื่อลองหยั่งถามคนผู้นั้น

แล้วก็เป็นไปตามคาด ทันใดนั้นคมดาบพลิ้วไหวดุจใบไม้ก็พุ่งมาที่อก เสี่ยวชุนรีบพลิกกายหลบ เมื่อลงมาถึงพื้น เท้ากลับย่ำลงบนโคลนเละ อีกฝ่ายพุ่งเข้าหาอย่างไม่ออมมือแม้แต่น้อย ซัดฝ่ามือร้ายกาจออกมาติดๆ กันหลายครั้ง เสี่ยวชุนหลบพ้น แต่เพราะยืนได้ไม่มั่นคงจึงลื่นล้มหงายหลัง แล้วพลัดตกจากหน้าผาร่วงลงสู่เบื้องล่าง

“ย่ามันเถอะ!” เสี่ยวชุนตะโกนกร้าว

ตกหน้าผา ตกหน้าผาอีกแล้วหรือ! จะตายอย่างนี้ไม่ได้นะ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด นี่เป็นเรื่องภายในสำนักของศิษย์พี่ใหญ่ เขามาข้องเกี่ยวโดยไม่ได้ตั้งใจ ไหนเลยจะรู้ว่าจะบังเอิญมาพบกับศิษย์ทรยศเข้าให้

อีกอย่างอวิ๋นชิงก็ยังรอเขาอยู่ด้วย!

เสี่ยวชุนพลิกกระบี่มังกรครวญตวัดใส่ข้อมือของคนชุดดำที่กำลังหัวเราะอย่างชั่วร้าย

คนผู้นั้นไม่คิดว่าเสี่ยวชุนยังมีกำลังเหลือพอที่จะตอบโต้จึงเผลอไผลไปชั่วขณะหนึ่งจนถูกเขาดึงลงไป

เสี่ยวชุนยืมแรงมาเหวี่ยงตัวกลับ เตะหน้าผาหลายครั้งหวังจะอาศัยจังหวะนี้กระโดดขึ้นมา แต่ข้อหนึ่งเพราะฝนตกจนเป็นโคลนลื่น และข้อสองขาไม่มีแรง ชั่วพริบตาก็สูญเสียแรงฉุดดึงขึ้นข้างบน จึงร่วงตกหน้าผาไปพร้อมกับคนชุดดำผู้นั้น

“ว่อหลิงเซียน!” คนชุดดำร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“ข้าไม่ใช่ว่อหลิงเซียน บ้าเอ๊ย ข้าชื่อจ้าวเสี่ยวชุน!” คนเราพอตกอยู่ในอันตรายก็สูญเสียความมีเหตุมีผลไปสิ้น เสี่ยวชุนร้องตะโกนตอบกลับไป

“เจ้ากล้าหลอกข้ารึ!” เห็นชัดๆ ว่าอยู่ในช่วงความเป็นความตายแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ต้องไปพบพญายม แต่ทั้งสองคนกลับยังต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ

“ก็ไม่รู้จักดูให้แน่ก่อนเองนี่!”

กระบี่ฟาดฟันไปมา อาวุธลับกระจายว่อน เสี่ยวชุนไขว่คว้าเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่ตรงขอบผาเพื่อรั้งตัวไว้ไม่ให้ร่วงลงไปพลางหลบหลีกการจู่โจมของคนชุดดำ

เสียงลมพัดหวือๆ ดังผ่านหู สายฝนซัดสาดจนเปียกชุ่มโชกไปทั้งร่าง ทันใดนั้นเสี่ยวชุนก็ฉุกคิดถึงอวิ๋นชิงขึ้นมา นึกถึงเรื่องที่สัญญาไว้ คิดถึงตอนนั้นที่เกิดเรื่อง อวิ๋นชิงถึงกับทำเรื่องโง่งมจนเกือบจะแทงตัวเองลงไปอยู่ในปรโลกพร้อมกับเขาเสียแล้ว

พอนึกถึงใบหน้าที่เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็ง หวนนึกถึงรอยยิ้มงดงามที่นานๆ ทีจะเผยออกมาสักครั้ง ความคิดคำนึงต่างๆ ก็ผุดขึ้น เขาตัดใจไม่ได้ ไม่อาจละวางและไม่อาจทิ้งให้อวิ๋นชิงต้องใช้ชีวิตต่อไปเพียงลำพัง

ตรงไหล่เจ็บปวดร้อนผ่าวรุนแรงเหมือนมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง ไหลไปตามเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดแล้วมุ่งสู่อวัยวะภายใน ราวกับถูกกองเพลิงโอบล้อมอยู่เป็นชั้นๆ เวลานี้เองลมปราณทั้งสี่สายอันน่าประหลาดที่จู่ๆ ผุดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่ทราบพลันแทรกเข้าไปในจุดชี่ไห่ ของเขาที่ว่างเปล่า สั่นสะเทือนอวัยวะภายในอย่างรุนแรง

เสี่ยวชุนไม่เคยรู้สึกถึงกำลังภายในที่สั่นสะเทือนอวัยวะภายในอย่างรุนแรงเช่นนี้มาก่อน เหมือนกับถูกซัดด้วยพลังฝ่ามือของยอดฝีมือเข้าอย่างจัง พลังที่ว่านี้เสียดแทงทะลุทะลวงไปทั่วร่าง

เสี่ยวชุนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีก ทนไม่ไหวจนต้องแหงนหน้ากรีดร้องด้วยหวังว่าจะช่วยระบายกำลังภายในประหลาดที่หลั่งไหลไม่ขาดสายออกไปจากร่างกายได้บ้าง

อาวุธวิเศษทั้งกระบี่มังกรครวญและกระบี่หงส์รำพันได้รับกำลังภายในบริสุทธิ์จากผู้เป็นเจ้าของ จึงเปล่งเสียงร้องก้องกังวานดุจนกกระเรียนสะเทือนเลื่อนลั่นทั้งป่าเขาตามไปด้วย

คนชุดดำถูกกำลังภายในพลานุภาพมหาศาลซัดอย่างไม่ทันตั้งตัวจนกระอักเลือด เส้นเลือดขาดกระจุย ดวงตาระเบิดทั้งสองข้างจนตาย

เสี่ยวชุนพยายามซัดกระบี่ทั้งสองเล่มให้ปักเข้าไปด้านข้างหน้าผาอย่างสุดกำลัง จับด้ามกระบี่ไว้แน่นพลางร้องคำราม พยายามหยุดการร่วงตกลงไปอย่างสุดชีวิต

ทว่าในยามที่ต้องเผชิญกับการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงนี้เอง สติสัมปชัญญะกลับทรยศเขา ค่อยๆ เลือนรางห่างหายไป

เขาเห็นขอบผาที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ เลือนหาย จากนั้นตาทั้งสองข้างก็เห็นเพียงวงแสงสีขาวประหนึ่งกระไอหมอกปกคลุม ปราณที่รวมตัวในอวัยวะภายในกระจายออกอีกครั้ง พุ่งไปตามเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด

สุดท้ายก็ ‘พลั่ก!’ กระทบพื้นอย่างแรง เสียงตกกระแทกดังสะเทือนเลื่อนลั่น ความรู้สึกวิงเวียนคลื่นเหียนเกิดขึ้นอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกระดูกแตกดังเข้ามาในหูเสี่ยวชุน

ตัวเขาเองก็มาถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน ไม่อาจรับทั้งหมดนี้ได้อีกต่อไปแล้ว พอปลดเปลื้องสติรับรู้ หัวสมองก็ว่างก่อนจะหมดสติไป

สายฝน…ตกเปาะแปะลงมาไม่หยุด

หนาวจัง

ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ เสี่ยวชุนก็นึกถึงป้ายหินแผ่นหนึ่งซึ่งอยู่ที่หุบเขาเทพเซียน บนนั้นสลักไว้ว่า ‘ผู้ข้ามผ่านสิ้นชีวี’

ป้ายหินหันหน้าเข้าหรือออกจากหุบเขา เขาก็จำไม่ได้เสียแล้ว

ผู้ที่สิ้นชีวีคือผู้ที่เข้าไปในหุบเขาหรือออกจากหุบเขา เขาก็นึกไม่ออก

แล้ววันนี้เขามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร

ในห้วงคิดมีภาพเงาร่างหนึ่งในชุดผ้าไหมสีขาวผุดขึ้นมา ใบหน้าที่งดงามโดดเด่นประดับด้วยรอยยิ้มซึ่งไม่รู้ว่ายิ้มด้วยเหตุใดหันมามองเขา ดวงตาเจิดจ้าราวกับจันทร์กระจ่างจ้องมองเขานิ่งอยู่ ดูแล้วทั้งอ้างว้างทั้งโดดเดี่ยว

คิดถึงมือคู่นั้นที่คอยเอื้อมมาโอบกอด ให้ความอบอุ่นเมื่อเขาหนาวเหน็บ…

ปากเสี่ยวชุนพึมพำ “ต้องกลับไปให้ได้…”

มีคนคนหนึ่ง…กำลังรอเขาอยู่…

ต้องกลับไปให้ได้…

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

Jamsai Editor: