บทที่ 4
ในที่สุดฝนซึ่งตกกระหน่ำติดต่อกันหลายวันก็หยุดลง ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสง เพิ่งจะช่วงสายเท่านั้นแสงแดดก็สาดส่องเจิดจ้าจนโคลนเลนที่ก้นผาแห้งแข็ง
แสงแดดแยงตาจนเสี่ยวชุนตื่น เปลือกตาและนิ้วมือเพิ่งขยับเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง ไม่เพียงท้ายทอยที่ปวดตุบๆ ข้อต่อทั่วร่างก็ราวกับถูกเล่นงานด้วยวิชาฝ่ามือแยกเอ็นแบ่งกระดูก เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัวจนเขาอยากจะร้องออกมาดังๆ
ไม่รู้ว่าร่างกายถูกกระแทกตรงไหนบ้าง ทั้งหักทั้งบอบช้ำไปทั่วจนเขาแทบทนไม่ไหว
เขาต้องพยายามสุดชีวิตกว่าจะพลิกตัวได้ จากนั้นก็กลิ้งตกลงมาจากอะไรบางอย่าง แล้วกลิ้งอีกหลายตลบจนไปหยุดในที่ไกลๆ นอนนิ่งหอบหายใจอยู่บนผืนทรายสีเหลือง
พอรู้สึกสบายขึ้นแล้วก็หันหน้ามองออกไป จึงพบว่าสิ่งที่หนุนอยู่ใต้ตัวเขาที่แท้ก็คือ ‘ร่างคน’ สวมเสื้อดำกางเกงดำ เส้นผมสีดำ มีเลือดไหลเป็นทางออกมาจากดวงตาสีดำ แขนขาหักจนดูบิดเบี้ยว ร่างแข็งทื่อ คาดว่าคงตายนานแล้ว
ในหัวเต็มไปด้วยความมึนงงสับสน เสี่ยวชุนเริ่มคิดว่านี่มันอะไรกัน เหตุใดตนจึงได้มาอยู่ที่นี่ ทั่วร่างเจ็บปวดแสนสาหัส
เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลือไปกับการพลิกร่างเมื่อครู่นี้ แสงแดดแผดจ้าจนพานจะเป็นลม พอจะคิดอะไรสักเรื่อง ในหัวก็เหมือนมีใครมารัวกลองเสียงดัง พยายามจะคิดหลายรอบแล้วก็ไม่สำเร็จ เขาจึงเลิกคิดต่อ นอนอยู่ข้างๆ ศพที่แข็งทื่อมาหลายชั่วยามแล้ว นอนอาบแดดด้วยกันใต้แสงตะวันเจิดจ้า ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ก่อนที่เสี่ยวชุนจะกรำแดดเหมือนปลาตากแห้งจนเป็นลมไปอีกรอบก็มีเสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงแว่วมาแต่ไกล
มีคนมาแล้ว! ดวงตาเสี่ยวชุนเปล่งประกายเล็กน้อย เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก รู้ว่าคราวนี้มีคนมาช่วยแล้ว
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกที ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวชุนอ้าปากพยายามจะร้องตะโกน แต่ไม่คิดว่าพอเปล่งเสียงออกมากลับพบว่าบาดเจ็บจนมีแต่เสียงแผ่วเบาเหมือนแมวครางเท่านั้น
“มี…มีคนมาแล้ว…”
บ้าเอ๊ย เสียงเบาอย่างนี้ ไม่แน่ว่าทำเสียงเหมือนแมวร้องเหมียวๆ อาจจะดังกว่าด้วยซ้ำ
คนผ่านทางค่อยๆ ชักม้าเดินมา พบว่าในพงหญ้ามีการเคลื่อนไหวก็รีบรั้งบังเหียน ม้าที่ถูกรั้งสายบังเหียนทำเสียงพ่นลมออกจมูกแล้วเดินย่ำอยู่กับที่สองก้าว
เสี่ยวชุนถอนหายใจอย่างโล่งอก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหูดี เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเขาจึงพลิกร่างลงจากหลังม้า ฝ่าพงหญ้าที่รกเรื้อมาตรงที่เขาอยู่
จากนั้นเสี่ยวชุนก็ได้ยินเสียงหอบหายใจ ต่อมาใต้ดวงตะวันร้อนแรง ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งกายเรียบร้อยแบบชาวยุทธ์ก็คุกเข่าลงข้างกายเสี่ยวชุน
“น้องสาว เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!” ชายหนุ่มกระซิบถาม
ชายผู้นั้นจมูกไม่เบี้ยวปากไม่เฉ สองตาวาววามเจิดจ้ามีประกายสดใส ดูเป็นคนซื่อสัตย์ เด็ดเดี่ยว น่าจะเป็นคนดี แต่เสี่ยวชุนยังสงสัย เหตุใดคนผู้นี้จึงเรียกเขาว่า ‘น้องสาว’
เสี่ยวชุนรู้สึกได้รางๆ ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแต่ก็นึกไม่ออก
ทว่าเวลานี้ยังมีเรื่องที่สำคัญอยู่ตรงหน้า เขาเผยอปากอย่างยากเย็น พยายามฉีกยิ้มทั้งๆ ที่สีหน้าอ่อนล้า แล้วพูดออกมาสองสามคำด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่ชาย ขอน้ำสักหน่อยเถอะ…” กรำแดดใต้แสงตะวันร้อนแรงมานาน เขากระหายจนลำคอแห้งผากไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มรีบปลดถุงใส่น้ำที่แขวนไว้ข้างอานม้าลงมา พอเห็นเสี่ยวชุนขยับเขยื้อนไม่ได้ก็กระซิบบอก “เสียมารยาทแล้ว!” แล้วรีบประคองเสี่ยวชุนมาพิงไหล่ก่อนจะป้อนน้ำให้
เสี่ยวชุนกระหายยิ่งนัก คว้าถุงน้ำไว้ด้วยมือที่สั่นระริก แต่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มือไปบาดเจ็บอะไรมา พยายามยกมือหลายรอบ มือก็ตกลงมา สุดท้ายต้องให้อีกฝ่ายช่วย น้ำจึงไหลลงคอได้สะดวก เวลานี้เองที่เสี่ยวชุนรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ
ชายผู้นั้นหันมองซ้ายขวาครู่หนึ่งก็พบว่าไม่ห่างกันนักมีศพอยู่ศพหนึ่งจึงพึมพำออกมา “คนชุดดำของสำนักภูษานิล…”
“พี่ชายชื่อหานหานแห่งสำนักเขาหานซาน” เมื่อหานหานแจ้งชื่อสำนักแล้วก็พูดต่อ “น้องสาว เหตุใดเจ้ามาอยู่ลำพังตรงนี้ ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ คงไม่ใช่บังเอิญประสบเหตุร้ายเข้าหรอกนะ”
ในป่าเขารกร้างเช่นนี้ หญิงสาวอายุสิบกว่าปีได้รับบาดเจ็บ ท่าทางสะบักสะบอม จะตายมิตายแหล่ หานหานเห็นสภาพดังนี้ก็อดรนทนไม่ไหว
เสี่ยวชุนนิ่วหน้า ในที่สุดก็คิดถึงปัญหาที่ไม่ทันได้ขบคิดให้ดีตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา
ได้ดื่มน้ำก็รู้สึกดีขึ้นมาก เสี่ยวชุนมีกำลังใจกลับคืนมาจึงค่อยๆ ตอบ “จำไม่ได้แล้ว”
“หืม?” เห็นได้ชัดว่าหานหานรู้สึกแปลกใจ
“พอข้าตื่นขึ้นมาก็อยู่ตรงนี้แล้ว ข้างๆ มีศพนอนอยู่…จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้” เสี่ยวชุนมองดูหานหาน ค่อยๆ บอกเล่าอย่างจริงจัง
“เอ๋?” หานหานร้องอย่างประหลาดใจ
“ข้า…” เสี่ยวชุนยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับรู้สึกว่าตรงไหล่แสบร้อนราวกับมีเปลวไฟวาบขึ้นแผดเผา เขาร้องครวญพลางกัดฟันทน ทว่าในอกกลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงขึ้น จากนั้นก็มีเลือดซึมออกมาจากมุมปาก
หานหานเห็นอาการเช่นนี้ก็ตื่นตกใจ เขารีบสกัดจุดตายที่หน้าอกเสี่ยวชุนแล้วส่งลมปราณเข้าไปหมุนเวียนสำรวจดูร่างกายของเสี่ยวชุนอย่างละเอียด ด้วยอยากจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่คาดคิดว่าขณะที่สำรวจเข้าไป ทันใดนั้นกลับถูกปราณในร่างกายอีกฝ่ายตีกลับอย่างรุนแรง แรงกระแทกนั้นรุนแรงเสียจนหานหานถึงกับหน้าซีด
เมื่อรู้ว่าเจอพลังแข็งแกร่งที่สู้ไม่ได้ หานหานก็รีบยั้งมือไว้
ตอนแรกหานหานแสดงสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็นิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียด ถอนหายใจพลางถามอย่างอดไม่ได้ “น้องสาว กำลังภายในของเจ้าช่างลึกล้ำนัก อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ฝึกฝนได้ถึงขั้นนี้แล้ว นับถือจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้าบาดเจ็บหนัก ปราณซัดกระแทกกันจนกระจัดกระจาย หากไม่รีบสะกดปราณให้สงบลง เกรงว่าจะต้านทานได้ไม่พ้นวันนี้”
“เสียมารยาทแล้ว” ขณะที่พูดหานหานก็ไม่อยู่เฉย ตรงเข้ามาอุ้มเสี่ยวชุนพาขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าพาจากมา ไม่ให้แม้แต่โอกาสเสี่ยวชุนได้ปฏิเสธ ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเสี่ยวชุนอยากไปกับเขาหรือไม่
ตามนิสัยของจอมยุทธ์ในยุทธภพ การช่วยผู้อ่อนแอให้พ้นอันตราย รักษาชีวิตให้ผ่านพ้นความเป็นความตายเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ช่วยก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เสี่ยวชุนพยายามขยับสองมือที่ตกห้อยลงอย่างยากเย็น พอเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าผาที่ตั้งตระหง่านสูงชัน ทันใดนั้นในใจก็เกิดความรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาพูดขึ้น “ท่านจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญ ข้าบอกว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำ ท่านก็เชื่อ ทั้งยังช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น แต่ท่านไม่คิดหรือว่าหากข้าเป็นคนเลว แล้วฉวยโอกาสที่ท่านช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเอาดาบมาแทงท่านจะทำอย่างไร”
หานหานมองดูหญิงสาวในอ้อมอกด้วยความประหลาดใจแล้วว่า “ถ้าเจ้าเป็นคนแบบที่พูดมาจริงๆ แล้วจะเตือนให้ข้ารู้ก่อนทำไม”
เสี่ยวชุนหัวเราะร่า จากนั้นก็เกิดรู้สึกเจ็บหน้าอกจนเริ่มไอ “เจ้าหนุ่ม…ไม่คิดว่าพอบอกออกไปแล้วกลับทำให้เจ้าลดกำแพงป้องกันตัวลงเสียอย่างนั้น ยิ่งลงมือง่ายขึ้นอีก…”
“ดูจากอายุเจ้า ข้าน่าจะโตกว่าเจ้าอย่างน้อยๆ ก็สิบปี…เจ้าเรียกข้าว่าเจ้าหนุ่ม มันจะไม่…” หานหานท่องยุทธภพมานานหลายปี ยังไม่เคยมีหญิงสาวคนใดเรียกเขาว่าเจ้าหนุ่มมาก่อนจึงรู้สึกแปลกใจยิ่ง
เขาควบม้าห้อตะบึงราวกับเหินบิน ขี่ไปได้พักใหญ่ก็เริ่มมองหาบึงน้ำสักแห่ง
ช่วงฝนต้นเหมยเพิ่งผ่านพ้นไป หิมะและน้ำแข็งบนเขาสูงละลายไหลลงมาเป็นลำธาร กลายเป็นบึงน้ำเขียวใสกระจ่าง หานหานอุ้มเสี่ยวชุนเดินลุยน้ำลงไป เมื่อความเย็นจากน้ำแข็งที่ละลายสัมผัสข้อเท้าก็แผ่ซ่านเข้าไปในอกและปะทะกับหยางในร่างกาย เสี่ยวชุนทนไม่ไหวจึงเริ่มตัวสั่น รู้สึกไม่สบาย
เสี่ยวชุนรู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ ร้อนขึ้น ร้อนจนแทบลวก ความรู้สึกร้อนราวกับเหล็กที่หลอมละลายค่อยๆ ระบายออกจากไหล่ซ้าย ไหลเวียนกระจายไปตามเส้นลมปราณทั่วร่าง เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นปลาย่างที่อยู่เหนือกองไฟ กำลังถูกย่างจนเริ่มเกรียม
หานหานอุ้มเสี่ยวชุนเดินไปตลอดทาง รับรู้ได้ว่าร่างกายเสี่ยวชุนไม่ปกติ เขามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยทั่วร่าง ไม่เพียงที่ใบหน้า แม้แต่ลำคอและแขนส่วนที่เผยออกมานอกเสื้อผ้าก็แดงก่ำ แม้จะเดินลุยอยู่ในน้ำเย็น แต่ความร้อนก็ไม่ลดน้อยถอยลงเลย
ตั้งแต่เด็กหานหานได้รับอิทธิพลเรื่องการฝึกวรยุทธ์จากผู้ใหญ่ในตระกูล และได้มีประสบการณ์ท่องยุทธภพมาช่วงหนึ่ง พอเห็นสภาพของเสี่ยวชุนในตอนนี้จึงคาดเดาว่าการที่พลังยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่สอดคล้องกับอายุอาจเป็นเพราะมีคนบังคับผลักดันพลังยุทธ์ภายนอกเข้าไปในร่าง จึงได้รับกำลังภายในที่ลึกล้ำ หากกำลังภายในที่ว่านี้รวมตัวอยู่ในร่างกายอย่างนิ่งสงบก็คงไม่เป็นไร แต่หากได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือธาตุไฟเข้าแทรก พลังอันมหาศาลนั้นจะทะลักออกมาจากกรอบที่ขังไว้ โจมตีทะลุทะลวงเส้นเลือด ร่างกายที่ยังเยาว์และอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้มีหรือจะทนไหว
หานหานพูดกับเสี่ยวชุนว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่ในช่วงความเป็นความตาย ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ข้าอยากช่วยเจ้า แม้เจ้าจะอายุยังน้อยแต่ก็เป็นหญิงคนหนึ่ง เรื่องวันนี้ข้าไม่อาจเพิกเฉย หากเจ้าต้องการให้ข้ารับผิดชอบ ข้าจะไม่พูดมากแม้เพียงประโยคเดียว”
เห็นหานหานท่าทางไม่สบายใจ สีหน้าเคร่งเครียด พูดจาสารภาพชัดถ้อยชัดคำอย่างจริงจัง เสี่ยวชุนก็รู้สึกว่าน่าขัน แม้จะรู้สึกไม่สบายมาก แต่ก็อดทำตาปริบๆ แล้วถามกลับอย่างหยอกเย้าเล่นไม่ได้ “รับผิดชอบ?…เจ้าช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้า ทำไมต้องรับผิดชอบ…”
หานหานงุนงงอยู่นานกว่าจะเข้าใจว่าน้องสาวคนนี้จงใจจะเย้าเขาเล่น ในใจคิดเพียงอยากช่วยคน ไหนเลยจะรู้ว่าตนจะถูกล้อเลียนเช่นนี้ ใบหน้าพลันแดงก่ำ ลืมแม้แต่จะผ่อนแรงขณะแก้สายคาดเอวให้นาง
เสี่ยวชุนแม้จะยังพูดจาได้คล่อง แต่เนื่องจากยังบาดเจ็บอยู่ พอหานหานดึงสายคาดเอวก็ได้ยินเขาทำเสียงหึ ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด กัดฟันกลืนเสียงโอดครวญลงไป
ท่าทางเช่นนี้ดูไปแล้วก็น่าสงสาร คนที่อยู่ในอ้อมอกแม้อายุยังน้อย แต่อย่างไรก็เป็นหญิงสาวอายุสิบสี่สิบห้า ดูนิสัยแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าเพิ่งออกมาท่องยุทธภพ ยังไม่รู้อะไรควรไม่ควร จึงได้ผิดใจกับพวกสำนักภูษานิลจนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นนี้ คิดถึงตรงนี้แล้วหานหานก็ต้องก่นด่าว่า ‘ไม่รู้หนักเบา’ เสียบ้างเลย
ตัวเขาโตเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ทำไมมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อยคนนี้ ตอนนี้ช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เรื่องอื่นทิ้งไว้ก่อนยังไม่ต้องสนใจ
หานหานพูดต่อ “หากต้องการจะให้ปราณกลับคืนสู่ร่างกายเจ้า จำต้องเปลื้องผ้าออกให้ผิวสัมผัสกัน ยืมพลังจากน้ำให้ช่วยดึงความร้อนออกไป หากสวมเสื้อผ้า ไอร้อนจะไม่กระจายออก เกรงว่าจะย้อนกลับมาทำให้เกิดการบาดเจ็บได้”
“อ้อ ด้วยเหตุนี้เจ้าก็เลยต้องถอดเสื้อผ้าข้าออก ไม่นับว่าเสียมารยาทสักหน่อย!” เสี่ยวชุนยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนแรง
เส้นเลือดที่ขมับหานหานกระตุก เกือบจะมือไม้อ่อนจนทำเสี่ยวชุนตกลงไปในบึงน้ำเย็นเสียแล้ว เสี่ยวชุนที่เสียหลักลื่นโอนเอนไปข้างๆ หวีดร้องออกมาเบาๆ หานหานจึงค่อยดึงร่างเขากลับมา
เวลานี้เหมือนมีอะไรบางอย่างร่วงลงไปในบึงน้ำตามเสื้อผ้าที่ถูกถอดออก หานหานไม่สนใจจะมองหาว่ามันคืออะไร จากนั้นก็ดึงเสื้อตัวในของเสี่ยวชุนออก
หลังจากนั้นสายตาของหานหานก็ไพล่ไปมองหน้าอกของเสี่ยวชุน ตอนแรกเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งจนแม้แต่ปากก็หุบไม่ลง เสี่ยวชุนมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปที่หน้าอกของตัวเองก็ตกใจจนร้องออกมา
“เอ๊ะ! เอ๋?” ไม่มีหรอกหรือ?!
เสี่ยวชุนลูบคลำหน้าอกที่แบนราบแล้วพูดเหมือนเพิ่งได้รู้ว่า “มิน่าเล่า คำเรียกว่าน้องสาวฟังแล้วแปร่งหู…ที่แท้ก็…”
เสี่ยวชุนเปลื้องกางเกงออกตรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ยิ้มแล้วว่า “ที่แท้ข้าก็เป็นชาย…ฮ่าๆ…”
หานหานโกรธจนแทบกระอักเลือด เป็นชายหรือเป็นหญิงก็ไม่แน่ชัด ยังปล่อยให้เขาพูดเรื่องรับผิดชอบไปจนหมดเปลือก นี่มัน…ใบหน้าอย่างนี้ ซ้ำยังสวมใส่เสื้อผ้าของหญิงสาว ใครได้พบเข้าครั้งแรกย่อมเห็นเป็นผู้หญิง ใครจะไปคิดเล่าว่าที่แท้ก็เป็นผู้ชาย!
หานหานสีหน้าเครียดคล้ำ พยายามสะกดความโกรธ เม้มปากแน่นไม่พูดอะไร เกรงว่าหากพูดอะไรกับเจ้าเด็กน้อยนี่อีกสักประโยค สุดท้ายแล้วตัวเขาจะไม่เหลือแม้แต่ปณิธานที่จะช่วยคน แล้วจับตัวเจ้าเด็กแสบขี้เล่นที่ลอยหน้าลอยตาอยู่นี้กดน้ำให้ตายๆ ไปซะเลย
ทันใดนั้นหานหานก็สำรวมจิตใจ อุ้มร่างเสี่ยวชุนแล้วนั่งลงในบึงน้ำเย็น
บัดนี้เสี่ยวชุนรูปร่างเล็กลงแล้ว น้ำในบึงสูงแค่อกหานหานแต่สูงถึงคางเสี่ยวชุน เมื่อสองมือของหานหานดันที่หน้าอกเขา ศีรษะก็โงนเงนจนใบหน้าเกือบจะจมลงมิด สำลักน้ำไปหลายอึก
หานหานประคองศีรษะเสี่ยวชุนให้ตั้งขึ้น เมื่อสองมือประทับได้มั่นคงแล้วก็เริ่มขับดันกำลังภายในเข้าไปในร่างเสี่ยวชุน
ในเวลาเดียวกันปราณในร่างเสี่ยวชุนก็กระจายออก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวก็อบอุ่น เมื่อกำลังภายในที่หานหานขับดันเข้าร่างไปกระทบก็ถูกดีดกลับจนสั่นสะเทือน
แต่หานหานไม่ยอมแพ้ เขายังคงลองดูอยู่อย่างนั้นอีกสิบกว่าหน ในที่สุดเมื่อความร้อนความเย็นเข้าแทนที่และกลืนกินกันเองจนหมด หานหานฝืนต้านพลังที่ตีกลับเพื่อทะลวงเส้นลมปราณให้เสี่ยวชุน จากนั้นก็ค่อยๆ ขับเคลื่อนไปทีละระลอก หลังผ่านไปหลายชั่วยามก็สามารถคุมสภาพที่ปั่นป่วนให้กลับมาเป็นปกติได้ในที่สุด
เมื่อทำงานใหญ่สำเร็จหานหานก็ดึงมือกลับอย่างอ่อนล้า ร่างโงนเงนไปมา
เสี่ยวชุนที่ได้รับการทะลวงเส้นลมปราณจนกลับมาเดินได้สะดวกก็ยังรับแทบไม่ไหว ร่างจึงกะปลกกะเปลี้ย ปากพะงาบๆ บ่นพึมพำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “…ให้ข้านึกออกก่อนเถอะว่าใครทำร้ายข้าจนตกหน้าผาลงมาอย่างนี้…ข้าจะต้องให้เขาได้ลองตกหน้าผาดูสักครั้ง…แบบไม่ให้มีร่างคนมารองรับ…ดูซิว่าจะตายหรือไม่…”
หานหานเหน็ดเหนื่อยเสียจนไม่ได้สนใจคำพูดพล่ามของเสี่ยวชุน เขาดึงตัวเสี่ยวชุนขึ้นมาอยู่ริมตลิ่ง จากนั้นก็กลับลงไปคลำหาของในบึง
เขาจำได้ว่าเมื่อครู่มีอะไรบางอย่างตกจากตัวเสี่ยวชุนลงไปในบึงน้ำตรงนี้นี่นา
“…” คลำหาจนเจอแล้วหานหานก็หยิบขึ้นมาดู สีหน้าที่แต่เดิมยังพอดูได้กลับขาวซีดไปในทันใด
เขารีบปราดเข้าไปอยู่ข้างกายเสี่ยวชุนทันที มือหนึ่งจับไหล่เสี่ยวชุนเขย่า อีกมือถือกระบี่สองเล่มที่รูปร่างคล้ายกันซึ่งสลักลวดลายมังกรและหงส์ ตะคอกถามอย่างบ้าคลั่ง ลืมสิ้นว่าตัวเองฝึกตนเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่และควรจะมีความสุขุมในฐานะที่ท่องยุทธภพมานาน “เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร จ้าวเสี่ยวชุนเป็นอะไรกับเจ้า! กระบี่มังกรและหงส์สองเล่มนี้เป็นของท่านปู่ข้า เจ้าไปได้มาได้อย่างไร! ตอนนั้นจ้าวเสี่ยวชุนตกลงแม่น้ำตายไปแล้วชัดๆ กระบี่สองเล่มนี้ก็หายสาบสูญตามตัวเขาไปด้วย แต่เจ้ากลับมีกระบี่ของปู่ข้า เจ้าเคยพบจ้าวเสี่ยวชุนหรืออย่างไร บัดนี้ตัวเขาไปอยู่ที่ไหนกัน!”
คำถามที่ระเบิดออกมาติดๆ กันตะคอกใส่หูเสี่ยวชุนจนแสบแก้วหูไปหมด หัวก็ปวดไปด้วย
เสี่ยวชุนรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งล้า แต่ที่รู้สึกมากไปกว่านั้นคือความเจ็บปวดแสนสาหัสซึ่งเกิดจากอาการชี่พร่องและเลือดพลุ่งพล่านในอก
เสี่ยวชุนฝืนยิ้มพลางพูดล้อท่าทางยิ้มกริ่ม “อยู่กับตัวข้าก็ย่อมต้องเป็นของข้าสิ…เด็กดี…มา มาเรียกข้าว่าปู่ซิ…”
“เจ้า!”
หานหานโกรธแทบเต้น แต่แล้วก็เห็นเสี่ยวชุนเอนมาข้างหน้าอย่างแรงแล้วกระอักเลือดออกมา
ทั้งศีรษะทั้งใบหน้าหานหานเต็มไปด้วยเลือดทันที เขาได้แต่นิ่งอึ้งตะลึงงัน
“ย่ามันเถอะ…เจ็บ…” เสี่ยวชุนลมหายใจแผ่วระโหย สูญเสียพละกำลังจนไม่อาจครองสติไว้ได้อีก ถึงกับหมดสติไป
หานหานตกใจจนอึ้งไปครู่หนึ่ง “นี่มันคำพูดติดปากของจ้าวเสี่ยวชุนนี่นา!”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเสี่ยวชุนก็หลับสนิทไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย
บางครั้งเขาได้ยินเสียงนกร้องที่นอกหน้าต่าง บางครั้งก็รู้สึกว่าแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาในห้องนั้นแสบตา แต่เขายังคงหลับตาสนิท สติสัมปชัญญะฟื้นคืนกลับมาเล็กน้อยแล้วก็เลือนหายไปอีก
ขณะอยู่ในห้วงนิทรา ในฝันมีแต่ความว่างเปล่า แม้จะนิ่งสงบแต่เห็นได้ชัดว่าโศกเศร้าเสียใจ
ทันใดนั้นก็มีภาพร่างในชุดสีขาวล่องลอยผ่านไป เสี่ยวชุนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วยื่นมือออกไปคว้า
คิดว่าคว้าได้แล้วก็ลืมตาขึ้นทันที จึงพบว่าสิ่งที่คว้าไว้ในมือก็แค่ผ้าม่านสีขาวที่บังเอิญถูกลมพัดมาระใบหน้าเขาเท่านั้น
จากนั้นความเจ็บร้าวที่คุ้นเคยก็ผุดขึ้นในหัว เงาร่างที่ผ่านไปในความฝันค่อยๆ เลือนหาย ไม่พบเห็นอีกเลย
เสี่ยวชุนทุบศีรษะตัวเองแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนจึงนั่งมึนงงอยู่บนเตียงนานครู่ใหญ่พลางประเมินสภาพแวดล้อม จากนั้นฉวยเอาเสื้อผ้าตัวหนึ่งมาสวม แต่ไม่เห็นมีรองเท้าจึงเดินออกมาเท้าเปล่า
เขาจดจำเรื่องราวก่อนจะตกหน้าผาลงมาไม่ได้ จำได้เพียงว่ามีคนผู้หนึ่งชื่อหานหานช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ใด แต่คาดเดาว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นบ้านของคนผู้นั้น
เพราะไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานาน ท้องเสี่ยวชุนก็ถึงกับส่งเสียงร้องจ๊อกๆ
เขาเดินเตร็ดเตร่ในบ้านของผู้อื่นในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เดิมทีคิดว่าน่าจะหาใครมาถามได้บ้างว่าจะไปหาของกินจากที่ไหนมาให้คนที่น่าสงสารอย่างเขาได้กินสักชาม แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นยังไงกัน ถึงได้ปล่อยให้คนแปลกหน้าอย่างเขาเดินเพ่นพ่านไปทั่ว ไม่มีคนงานหรือสาวใช้สักคนมาสอบถามด้วยความใส่ใจเลย
“คนไปไหนกันหมดนะ” เสี่ยวชุนสงสัย ได้แต่เกาศีรษะแกรกๆ
เขาเดินไปถึงห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวางโอ่โถง เงยหน้าขึ้นก็เห็นตัวอักษรที่ตวัดเขียนด้วยลายเส้นเปี่ยมพลังว่า ‘สำนักเขาหานซาน’ แต่เขาไม่ได้รู้สึกสนใจทั้งห้องโถงใหญ่โตและป้ายสำนักในบ้านของผู้อื่น เขาเอี้ยวคอพลางขยับจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่น แล้วเดินยิ้มกริ่มตามกลิ่นไปยังต้นตอ
ในห้องครัวก็ไม่มีคน น่าจะเป็นเวลาบ่ายแล้ว พวกแม่ครัวคงไปพูดคุยพักผ่อนกันหมด
เสี่ยวชุนเจอหมั่นโถวสองสามลูกในลังถึง จึงเอาลูกหนึ่งยัดใส่ปาก ยัดอีกสองลูกไว้ในอกเสื้อ หยิบสุราดอกกุ้ยที่มีกลิ่นหอมหวนไปกาหนึ่งด้วย แล้วนั่งลงกินที่ขั้นบันไดห้องครัวอย่างเอร็ดอร่อย
ทันใดนั้นไม่ไกลนักก็มีเสียงโห่ร้องอันรื่นเริงดังขึ้นเกรียวกราว เสี่ยวชุนผุดลุกขึ้นทันที สองตาเป็นประกาย หันไปมองทางด้านนั้น
ด้านหน้าดูคึกคักไปด้วยเสียงตีฆ้องกลองและเสียงโห่ร้องปรบมืออึกทึกครึกโครม เขาถึงกับเลิกคิ้ว ปากเคี้ยวหมั่นโถวหยับๆ พลางมุ่งตรงไปด้านนั้นอย่างนึกสนุก
สำนักเขาหานซานนี้มีอาณาเขตกว้างขวาง ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยทางเดินสลับซับซ้อน เข้าไปในลานแห่งหนึ่งก็ทะลุไปเจอลานอีกแห่ง ชวนให้งงงวยยิ่งนัก เสี่ยวชุนเดินวนเวียนจนหัวหมุนไปหมด
เขาเดินทะลุลานเล็กๆ ทั้งสามแห่งที่ตกแต่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผ่านทางเดินมีหลังคาคลุมหกแห่ง สุดท้ายจึงได้เห็นสวนป่ากว้างใหญ่ประดับประดาไปด้วยหมู่ก้อนหินรูปร่างประหลาด ยอดเขาจำลองงดงามแปลกตา
สวนแห่งนี้ดูงดงามเป็นพิเศษ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดตั้งอยู่ริมทะเลสาบสีเขียวเข้ม ริมตลิ่งมีต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้ม มีอาคารและศาลาตั้งอยู่สองสามหลัง มีผู้คนมาชุมนุมกันไม่น้อย ภูเขาจำลองลูกหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบงดงามที่สุด
ท่ามกลางก้อนหินและน้ำตก หินงอกหินย้อยสลับซับซ้อนตะปุ่มตะป่ำ ต้นไม้สูงเสียดฟ้าหลายต้นเอนอิงพิงกัน มีขั้นบันไดทอดยาวต่อเนื่อง ลดเลี้ยวคดเคี้ยวไปมา สลับซับซ้อนราวกับเขาวงกตจนดูไม่ออกว่าควรจะเข้าตรงไหนออกตรงไหน ดูกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ชวนให้พิศวงยิ่งนัก
เสี่ยวชุนเดินเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชน อยากจะหาที่นั่งเหมาะๆ สักแห่ง
ทันใดนั้นก็เห็นเรือสำราญลำหนึ่งค่อยๆ แล่นมาจอดที่กลางทะเลสาบ ซึ่งย่อมต้องมาจอดใกล้กับภูเขาจำลองกลางน้ำมากที่สุด
เสี่ยวชุนสูดลมหายใจจนรู้สึกว่าในอกปลอดโปร่งโล่งสบาย แล้วจึงขับพลังกระโดดข้ามทะเลสาบ ปลายเท้าแตะผิวน้ำเบาๆ ข้ามไปอย่างไร้ร่องรอย วิชาตัวเบาสูงส่งจนคนที่อยู่ตรงนั้นต่างอดแปลกใจไม่ได้
ขณะที่เท้ากำลังจะแตะดาดฟ้าเรือ ไม่รู้ว่าลมปราณภายในหดหายกลับคืนสู่จุดชี่ไห่ได้อย่างไร ร่างของเสี่ยวชุนจึงเอียงวูบแล้วร่วงลงมาทันที
“แม่นาง ระวังด้วย!” ศิษย์คนหนึ่งของสำนักเขาหานซานรีบทะยานเข้าไปจะช่วยสาวงามทันที เสี่ยวชุนตกใจ รีบกระทืบเท้ากับกราบเรือแล้วพลิกร่างกลางอากาศ กลับตัวลงด้านข้างก่อนจะตกลงไปในเรือเล็ก
เขากัดฟันสะกดกลั้นความเจ็บปวด แล้วพลิกตัวลุกขึ้นยิ้มให้พลางโบกมือ “ข้าไม่ใช่ผู้หญิง!”
ศิษย์ท่าทางทึ่มๆ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครายังคงเดินเข้าไปหา ผู้คนที่ริมทะเลสาบและบนเรือส่งเสียงโห่ร้องเกรียวกราวจนเสี่ยวชุนต้องเหลียวไปมองตาม
แล้วก็เห็นว่าเหนือเสาหินมีร่างสองร่างกำลังโฉบไปมา ร่างหนึ่งสีดำ อีกร่างสีน้ำเงิน ไอกระบี่รุนแรง โผกลับไปกลับมาระหว่างทางเดินเลียบภูเขาจำลอง โฉบกลับไปกลับมาระหว่างทางเดินบนเขา เดี๋ยวไปปรากฏกายด้านนี้ เดี๋ยวก็ผลุบเข้าไปในถ้ำ แล้วโผล่ออกมาจากอีกด้าน
ทันใดนั้นร่างสีดำก็พลิกกายออกอาวุธ ร่างสีน้ำเงินหันมาสกัดจนกระบี่หล่น ถึงตอนนี้ดูเหมือนแพ้หรือชนะจะตัดสินได้แล้ว ทุกคนต่างผุดลุกขึ้นโห่ร้อง “เยี่ยม!”
เสียงโห่ร้องยังไม่ทันขาด ร่างสองร่างท่ามกลางภูเขาหินก็ผลัดกันรุกไล่ จู่ๆ ร่างสีดำก็หมดแรงแล้วร่วงหล่นลงจากหินผาสูงสิบกว่าจั้ง ร่างสีน้ำเงินรีบยั้งกระบี่ไว้ทันทีแล้วยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
แต่ชั่วพริบตานั้นเองร่างสีดำก็กระทืบเท้าแล้วเหินขึ้นฟ้าราวกับนกนางแอ่น ก่อนจะซัดฝ่ามือใส่หน้าอกของร่างสีน้ำเงิน
ร่างสีน้ำเงินได้รับบาดเจ็บหนักจนซวนเซ โงนเงนไปมาอยู่สองครั้งก็ร่วงตกจากก้อนหินลงสู่ทะเลสาบใส ผิวน้ำแตกกระจายเป็นฟอง น้ำกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่นต่อๆ กัน
เสี่ยวชุนมองเห็นภาพทั้งหมดอย่างชัดเจนกับตาตัวเองจึงเข้าใจทั้งหมด ที่แท้นอกจากนี่จะเป็นการประลองยุทธ์แล้ว ยังมีการใช้อุบายด้วย ตอนที่ร่างสีดำนั้นซัดฝ่ามือออกไป มีรังสีอำมหิตวาบขึ้นเพียงแวบเดียว เห็นได้ชัดว่าซ่อนอาวุธลับไว้
สองคนที่อยู่ด้านบนนั้น คนที่สวมชุดสีน้ำเงินก็คือหานหาน หานหานผู้นั้นช่างเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น หุนหันพลันแล่นตรงไปตรงมา มาพบกับคู่ต่อสู้ที่มากอุบายเช่นนี้ เกรงว่านอกจากจะต้องเสียเปรียบแล้วคงไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก
เสี่ยวชุนเข้าไปเบียดเสียดกับผู้คนด้านหน้าเรือสำราญคอยดูเรื่องสนุก ชายแก่ที่เป็นชาวยุทธ์แต่งกายทะมัดทะแมงหลายคนหันมามองเสี่ยวชุนด้วยความสงสัย แต่พอเห็นว่าเป็นหญิงแต่งกายปอนๆ ผมเผ้ากระเซิงก็หมดความสนใจแล้วหันกลับไปดูการประลองยุทธ์ต่อ มองดูจอมยุทธ์หนุ่มชุดดำที่ชนะคู่ต่อสู้หลายคนติดๆ กันด้วยความชื่นชม
ศิษย์สองสามคนรีบลงเรือเล็กไปพาตัวหานหานกลับมา เสี่ยวชุนไม่สนใจไยดีสายตาผู้คนรอบข้าง เดินฝ่าฝูงชนเข้าไป ก้าวพรวดๆ ไปอยู่ต่อหน้าหานหาน ยิ้มร่าพลางมองดูเขา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” หานหานต่อสู้มาหลายชั่วยามจนหมดเรี่ยวแรง แต่พอเห็นว่าคนที่สลบไสลไปเป็นเดือนฟื้นขึ้นมาในวันนี้ก็ตกใจจนยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงพลางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าตอนยืดตัว เอวที่บาดเจ็บอยู่ก็ลั่น ‘กร๊อบ’ เจ็บเสียจนเหงื่อเย็นซึมออกมา
เสี่ยวชุนแทบไม่ต้องคิด รีบล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ
แต่การกระทำนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจ
เขาจะเอามือล้วงเข้าไปในอกเสื้อทำไมกัน
คลำไปคลำมา นอกจากหมั่นโถวที่ยังร้อนสองลูกแล้วก็ยังมีขวดยาหลากสีอีกหลายขวด
เขาหยิบออกมาดูทีละขวด สุดท้ายก็พบว่าใต้ขวดมีตัวอักษรเล็กๆ เขียนไว้ จึงเลือกหยิบยารักษาบาดแผลออกมาแล้วป้อนใส่ปากหานหานเสียเลย
หานหานสำลักแล้วไอโขลก ยิ่งไอก็ยิ่งหนักขึ้นทุกทีจนหน้าแดง ซ้ำยังรู้สึกพะอืดพะอมอีกด้วย
ตอนนี้เสี่ยวชุนจึงตัดสินใจทุบหลังหานหานอย่างแรง เมื่อจู่ๆ ถูกทุบอย่างไม่ทันตั้งตัว หานหานก็กระอักเลือดออกมา สาดกระจายเต็มหน้าเต็มตาเสี่ยวชุน
“นายน้อย!” พวกศิษย์ในสำนักต่างร้องเรียกอย่างตกอกตกใจ
เหล่าศิษย์สำนักเขาหานซานเดิมทีละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างๆ เวลานี้เมื่อเห็นนายน้อยถูกทำร้ายบาดเจ็บ ต่างคนจึงต่างเข้าไปล้อมเสี่ยวชุน สีหน้าถมึงทึง แต่ขณะที่กำลังจะลงมือจับตัวคนร้ายก็กลับเห็นคนร้ายที่ว่าค่อยๆ ทุบหลังให้หานหานด้วยท่าทางผ่อนคลาย พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ไม่เป็นไรแล้ว…ไม่เป็นไรแล้วล่ะ กระอักลิ่มเลือดออกมาได้ก็หายแล้ว”
เวลานี้พวกที่เข้ามารุมล้อมจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้พวกเขาเข้าใจอีกฝ่ายผิดไป
“จ้าวเสี่ยวชุนก็มีขวดยาแบบนี้…” หานหานได้สติกลับมา มองดูใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า “เจ้ากับจ้าวเสี่ยวชุนที่แท้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน”
คนผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กหนุ่มแปลกหน้า แต่หานหานกลับรู้สึกว่าสีหน้ายามเจรจา ท่าทางขี้เล่นอย่างนี้ช่างเหมือนกับจ้าวเสี่ยวชุนราวกับแกะ
เสี่ยวชุนครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มสดใสพลางว่า “เจ้าถามข้า ข้าก็ตอบไม่ได้ หรือเราอาจจะเกิดจากแม่เดียวกันก็เป็นได้”
รอยยิ้มนี้ของเสี่ยวชุน นอกจากหานหานที่ไม่มีท่าทีใดๆ แล้ว เหล่าศิษย์ของสำนักเขาหานซานที่วันๆ เอาแต่ฝึกยุทธ์จนแทบไม่ได้ลงจากเขาต่างก็ตะลึงมองจนเหม่อลอย
พวกเขาไม่เคยเห็นสาวน้อยน่ารักตัวเป็นๆ มายืนต่อหน้าอย่างนี้มาก่อน
วันนี้ได้เห็นใบหน้าอ่อนหวานน่ารักประดับด้วยรอยยิ้มสดใส บนใบหน้านี้ยังมีดวงตาวาววามเจิดจ้าสะกดสายตา แค่ดวงตาวาววับนั่นก็ไม่กระไรนักหรอก แต่ยังมีคิ้วโค้งเรียวยาวดุจใบหลิว รอยยิ้มแบบทีเล่นทีจริงประดับบนปากเล็กๆ รูปกระจับ ทั้งหมดนี้ช่างดูน่ารักอ่อนหวาน แม้จะสวมใส่เพียงเสื้อผ้าธรรมดา แต่กลับไม่อาจปิดบังลักษณะโดดเด่นของความน่ารักได้ ความงามอันโดดเด่นนั้นซ่านซึมออกมาราวกับสายน้ำ เป็นความอ่อนโยนที่น่าใฝ่ฝันหายิ่งนัก
คนเหล่านั้นต่างตะลึงมองจนเป็นเบื้อใบ้อย่างลุ่มหลง
เสี่ยวชุนกลับไม่รู้ตัวเลยว่ารอบข้างมีอะไรผิดแปลกไป จึงเพียงแต่ประคองหานหานที่กำลังเหงื่อโซมกายลุกขึ้นแล้วพาเดินเข้าข้างใน
พวกศิษย์ที่อยู่ข้างกายหานหานรีบตรงเข้ามาช่วยประคอง จากนั้นเสี่ยวชุนก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดอย่างตะกุกตะกัก “เจ้า…เจ้า…ก็เข้าไปนั่งด้วยกันสิ…”
เสี่ยวชุนย่อมจะต้องพยักหน้าตอบรับแล้วเดินไปยังที่นั่งใหญ่ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นที่นั่งของเจ้าบ้านในเรือสำราญ ก่อนจะเข้าไปนั่งกับหานหาน
แต่เขาเป็นคนไม่เรียบร้อย จะนั่งหรือยืนก็ไม่รู้จักกาลเทศะ ก้นยังไม่ทันแตะเก้าอี้ดีก็เอนร่างแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบขอบเก้าอี้ ชะเง้อไปถามหานหานว่า “แล้วนี่มาทำอะไรกันล่ะ มาประลองยุทธ์ มาต่อสู้กันเช่นนั้นหรือ สู้ได้ทีละคนใช่หรือไม่ สนุกตรงไหนกัน ให้ขึ้นไปสู้กันทีละสองสามคนไม่สนุกกว่าหรือ”
“เป็นการประลองอย่างเป็นทางการ เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ หรืออย่างไร” หานหานเหลือบมองเสี่ยวชุนก็รู้สึกว่าเจ้าคนนี้ไม่เอาจริงเอาจังเสียเลย แต่พอคิดถึงอาการบาดเจ็บของเขาก็อดถามไม่ได้ “เจ้าออกมาทำไม ตื่นแล้วก็ควรพักผ่อน อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสมาก ข้าเชิญหมอมาหลายคนล้วนไม่อาจรักษาให้หายขาดได้” ในน้ำเสียงที่พูดมีแววรู้สึกผิดอยู่ด้วย
เสี่ยวชุนตกตะลึง จากนั้นจึงเผยยิ้ม “เพราะข้าหิวน่ะสิก็เลยต้องตื่น ที่เจ็บป่วยนี้ไม่ได้เป็นเพราะเจ้า แค่เจ้ามาช่วยชีวิตน้อยๆ ของข้าได้ทันท่วงที ข้าก็ซาบซึ้งมากแล้ว”
เสี่ยวชุนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าบัดนี้ศิษย์รุ่นใหญ่ของสำนักเขาหานซานหลายคนกำลังส่งสายตาแสดงความชื่นชมมาให้ เขาเปลี่ยนเอาขาอีกข้างมาไขว้ นั่งเอียงกระเท่เร่ รู้สึกว่าร้อนจนเหงื่อออกไปทั้งตัว จึงแหวกคอเสื้อให้ลมพัด ด้วยเหตุนี้จึงเผยให้เห็นหน้าอกที่ขาวผ่องเนียนละเอียดอ่อนนุ่ม
จากนั้นเขาก็ล้วงเอาหมั่นโถวสองลูกที่ยัดใส่อกเสื้อจนตุงออกมากัดคำใหญ่พลางดื่มสุราต่อหน้าต่อตาทุกคนที่ร้องครวญตีอกชกหัว
“เป็นชาย? เป็นชายหรือนี่!” มีบางคนวิ่งไปที่กราบเรือแล้วทำท่าจะโดดน้ำ
หานหานเครียดจนหน้าคล้ำ เห็นเหล่าศิษย์ของสำนักเสียหน้าก็พูดอะไรไม่ออก
“หือ?” เสี่ยวชุนรู้สึกว่าหานหานทำหน้าแปลกๆ จึงยื่นหมั่นโถวให้ “เจ้าหิวรึ เอาไปลูกนึงสิ ข้าแอบเอามาจากห้องครัว!” เขายิ้ม ท่าทางลับๆ ล่อๆ “ข้าเห็นว่าไม่มีคนก็เลยเอามาหลายลูกหน่อย…”
ยังมีศิษย์เส้าหลินอีกคนทะยานขึ้นไปบนเสาหิน สวมจีวรสีเหลือง มีสายประคำเส้นใหญ่คล้องคอ ควงกระบองยาวหวือๆ แต่สู้กันไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกคนชุดดำผู้นั้นตีจนร่วงลงมา
ห่างออกไปไม่ไกลเสี่ยวชุนเห็นชายชราเคราขาวสองคนแทะเมล็ดแตงโมพลางจิบน้ำชา ท่าทางราวกับกำลังพูดคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศกับเรื่องในครอบครัว แต่หากตั้งใจฟังให้ดี เนื้อหาบทสนทนากลับเป็นว่าเส้าหลินเป็นอย่างนั้น สำนักมารเป็นอย่างนี้ ความสามารถที่แท้จริงของยอดฝีมือที่สำนักฝูหวาส่งมาในปีนี้ การชุมนุมใหญ่ยุทธภพเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การชุมนุมชาวยุทธ์คราวนี้แม้จะมีการกำหนดไว้เป็นการภายใน แต่สุดท้ายก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นอย่างนี้อย่างนั้น…
เสี่ยวชุนเบนสายตาไปยังลานประลอง
งานชุมนุมชาวยุทธ์นี่มันอะไรกันเขาไม่รู้หรอก รู้เพียงว่าคนเหล่านี้มีวิชายุทธ์ยอดเยี่ยม คนที่คอยชมอยู่รอบข้างต่างสนุกกับการชมการต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นบนเรือสำราญยังมีของกินรสเลิศ และยังมีชาหอมกับสุราดีให้ลิ้มลอง เรื่องสนุกในชีวิตคนเราย่อมไม่พ้นเรื่องพวกนี้ ช่างน่ารื่นรมย์จริงๆ
ดูการประลองไปหลายยก เสี่ยวชุนก็คิดว่าตนจะชื่อแซ่ใดไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ใครๆ ที่เกิดจากท้องแม่ก็ล้วนมาจากความว่างเปล่า ตายไปก็ว่างเปล่า ในเมื่อมาจากความว่างเปล่า ตอนไปก็ย่อมจะว่างเปล่า ตอนนี้ในหัวมีแต่ความว่างเปล่าจะเป็นเรื่องเสียหายอันใดเล่า
เรื่องฐานะของเขาและขวดแปลกๆ ที่ติดตัวมา เสี่ยวชุนเพียงแค่คิดว่าน่าสนใจดี แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกว่านั้น
ก่อนที่เขาจะสูญเสียความทรงจำคงจะประกอบอาชีพเป็นหมอกระมัง ไม่เช่นนั้นจะมีขวดยาติดตัวมากมายอย่างนี้หรือ แล้วยังรู้ทันทีว่าหานหานถูกพิษของยาชา ทำให้ร่วงตกน้ำได้รับบาดเจ็บภายใน เพียงลงมือทุบก็เอาลิ่มเลือดที่ตกค้างในร่างกายหานหานออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เสี่ยวชุนมองดูมือของตัวเองอย่างเหม่อลอยพลางพลิกกลับไปกลับมา หรือว่าก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำตนอาจจะเป็นหมอจริงๆ ก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังวินิจฉัยโรคได้แม่นยำอย่างน่าประหลาด เก่งกาจพอๆ กับหมอเทวดาทีเดียว
แต่เรื่องเหล่านี้กลับไม่สำคัญ เขารู้สึกว่าบัดนี้เมื่อไม่มีเรื่องมีราวก็รู้สึกปลอดโปร่ง ผ่อนคลายสบายใจเป็นที่สุด
ขณะกำลังครุ่นคิด ในน้ำเขียวใสก็ปรากฏคำว่า ‘มู่เซียงแห่งปราสาทเขาเพลินภิรมย์’ ผุดขึ้นมา
เสี่ยวชุนบังเอิญเหลือบเห็นมือที่จับไม้ค้ำยันของหานหานสั่นสะท้านเล็กน้อย สีหน้าเขาดูตื่นเต้น สายตาก็มองตรงไปยังลานประลองอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา
คนบนลานประลองกำลังต่อสู้กัน เสี่ยวชุนมองดูอย่างเพลิดเพลิน แต่อาจเพราะมู่เซียงผู้นี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง คนชุดดำจึงต้องต่อสู้หลายยกจนดูกะปลกกะเปลี้ย ถึงกับเซไปครู่หนึ่ง มู่เซียงไม่เพียงไม่ฉวยโอกาสโจมตีเผด็จศึก กลับกันยังอุตส่าห์ยื่นมือไปช่วยประคอง อีกฝ่ายไม่รู้คุณ หวดทั้งกระบี่ซัดทั้งฝ่ามือโต้กลับ
เสี่ยวชุนหรี่ตาเพ่งมองก็พบรังสีอำมหิตของอาวุธลับที่ซัดออกมาเมื่อคนชุดดำเพลี่ยงพล้ำ คนผู้นั้นใช้อาวุธลับได้อย่างเชี่ยวชาญ หลังจากประมือกันแล้วจึงไม่อาจสังเกตเห็น ต้องรอจนยาชาค่อยๆ ออกฤทธิ์จึงทำให้คิดไปว่าที่พ่ายแพ้เป็นเพราะหมดแรงจากการต่อสู้
แต่ไหนแต่ไรมาเสี่ยวชุนก็ไม่ชอบเห็นใครใช้ลูกไม้สกปรก แพ้อย่างใสสะอาดเสียยังดีกว่า แต่มาใช้ลูกไม้ต่ำช้าพรรค์นี้เพื่อให้ตนชนะ คนชุดดำผู้นั้นช่างน่ารังเกียจจริงๆ
เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังจะลงมืออีกครั้งก็ไม่ได้คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตัวเองว่าจะรับไหวหรือไม่ เขาบิหมั่นโถวออกมาคำหนึ่ง ขับเคลื่อนพลังปราณเข้าไปในนั้น ก้อนหมั่นโถวที่เล็กจนแทบจะมองไม่เห็นก็พุ่งข้ามน้ำลอยขึ้นไปบนฟ้า กระแทกเข้ากับมือข้างที่ถืออาวุธลับของคนชุดดำ
พอลงมือไปแล้วลมปราณและเลือดในอกก็ปั่นป่วน เสี่ยวชุนเอามือกดหน้าอกไว้ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน แต่แล้วก็ได้เห็นอีกฝ่ายมองมาอย่างฉุนเฉียวเมื่ออาวุธลับร่วงหล่นจากมืออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลงมือจู่โจมมู่เซียงต่อเนื่องอย่างไม่ยั้งมือ
เสี่ยวชุนเหลือบมองหานหาน เห็นอีกฝ่ายตื่นเต้นบีบที่เท้าแขนเก้าอี้ไม้สาลี่ไว้แน่นจนแทบจะแหลกคามือ คนผู้นี้สนใจมู่เซียงแห่งปราสาทเขาเพลินภิรมย์มากถึงเพียงนี้เชียว จึงคิดในใจว่าจะปล่อยให้คนที่ผู้มีพระคุณห่วงใยถูกคนชั่วทำร้ายได้อย่างไรกัน ทันใดนั้นจึงฝืนซัดหมั่นโถวลูกใหญ่ออกไปประหนึ่งเป็นอาวุธลับ
“โอ๊ย!” มีเสียงร้องดังมาจากลานประลอง
ทันใดนั้นก็เห็นร่างในชุดดำที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงทุบตาซ้ายของตัวเองแล้วทรุดลงคุกเข่า เสียงร้องนั้นสั่นสะท้านอย่างน่ากลัว
ยาชาในตัวมู่เซียงออกฤทธิ์นานแล้ว เสี่ยวชุนเข้าไปช่วยไม่ทันจึงได้แต่มองดูมู่เซียงร่วงลงน้ำดังตูมจนเปียกโชกไปทั้งตัว
“เจ้าทำอะไร” หานหานหันขวับมาทันที มองเสี่ยวชุนด้วยสีหน้าถมึงทึง จากนั้นก็พบว่าสีหน้าเสี่ยวชุนซีดขาว ทั้งยังมีเหงื่อเย็นไหลออกมา สีหน้าของหานหานพลันเผือดลงเช่นกัน
เสี่ยวชุนฝืนยิ้มแล้วพลิกข้อมือหานหานขึ้นมา เผยให้เห็นรอยสีดำที่เล็กกว่ารูเข็ม แล้วชี้ไปที่ลานประลอง พยายามบอกอย่างยากเย็นว่า “ถูกของสิ่งนี้เข้าก็จะตัวชา…มีอาการหมดเรี่ยวแรง…เจ้าคนข้างบนนั่น…เล่นสกปรก…”
หานหานได้ยินเข้าก็ผุดลุกขึ้นทันที สีหน้าเครียดคล้ำยิ่ง
มู่เซียงถูกศิษย์ของสำนักพาตัวกลับมา หานหานเดินไปดูก่อนจะหันมามองเสี่ยวชุน ทันใดนั้นก็ออกคำสั่งให้ศิษย์พาตัวเสี่ยวชุนกลับไปส่งที่ห้องแล้วรีบเชิญหมอมาตรวจดูอาการ
ตัวเขารีบเดินเข้าไปข้างกายมู่เซียง ยื่นมือไปดึงตัวสหายที่กลับมาหลังจากพ่ายแพ้การประลองพร้อมรอยยิ้มขื่น แล้วกระซิบบอกที่ข้างหู
สีหน้ามู่เซียงมีแววงุนงงสงสัย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอย่างเข้าใจ หันไปมองเสี่ยวชุนแล้วพยักหน้าทักทาย
เสี่ยวชุนหอบหายใจ แต่ทว่าศีรษะเพิ่งผงกขึ้นมาจะพยักหน้าตอบ ภาพตรงหน้าก็ดำมืดไป ศีรษะเอียงไปข้างหลัง หมดสติไปแล้ว
“แม่นาง…ไม่ใช่สิ…น้องชาย…” เสียงร้องโวยวายดังขึ้น น้ำเสียงฟังดูร้อนใจ คร่ำครวญราวกับสูญเสียบิดามารดา ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกโศกเศร้า
“อดทนไว้…อดทนไว้นะ…อย่าตาย…อย่าตายนะ…”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน สำนักภูษานิล ฉบับเต็ม
Comments
comments