X
    Categories: everYทดลองอ่านหนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 1-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1

ผู้เขียน :  อีสือซื่อโจว (一十四洲)

แปลโดย : เซี่ยงฉี

ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

บทที่ 1

ชางลั่ง

ท้องฟ้ามืดครึ้มกดทับทะมึนอยู่บนยอดผา สอดรับกับเสียงคลื่นซัดไม่ขาดหู

เส้นทางบนภูเขามีเงาร่างสองสาย เสียงแว่วดังมาแต่ไกล “คุณชาย พวกเรามีหอบุปผากลับไม่ไปเที่ยวเล่นให้สำราญ จะดั้นด้นมาเยือนถิ่นรกร้างกันดารราวกับมีโรคระบาดแห่งนี้เพื่อสิ่งใดกัน”

คนที่พูดเป็นเด็กรับใช้หน้าตาคมคาย เสียดายที่เขาไม่มีน้ำเสียงหรือท่าทางเกรงใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังพูดจาตรงไปตรงมาด้วยเสียงที่แหบราวกับเป็ดตัวผู้

คุณชายรูปงามสวมใส่อาภรณ์หรูหราหุบพัดจีบในมือแล้วทำท่าจะตีเจ้าเด็กรับใช้ด้วยด้ามพัดเลี่ยมทอง เสียดายที่อีกฝ่ายเอียงศีรษะหลบ ข้อมือขาวผ่องบอบบางของคุณชายจึงถูกลูกหลงอย่างไร้ความผิด พู่ห้อยประดับด้ามพัดที่หนักอึ้งตีใส่อย่างแรง

“เจ้าเด็กไม่รู้ประสีประสา” คุณชายมิได้มีโทสะแม้แต่น้อย ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มจางๆ ที่ดูไม่จริงจังนัก “ย่อมต้องมีของดี อาหุย ข้าเคยทำร้ายเจ้าหรือไร”

“ท่านทำไม่น้อยเลยขอรับ” เวินหุยตอบตามความจริง “น่าสงสารอาหุยคนนี้ ช่วยคุณชายแบกหม้อ[1]* ตั้งแต่เล็ก ถูกฮูหยินกับคุณหนูผลัดกันดุด่า สู้อดทนกล้ำกลืน คุณชาย ท่านลอบมาที่ผาชางลั่ง ข้าก็ติดตามมาโดยไม่ได้ปริปากใดๆ ได้ยินว่าที่นี่ไม่สู้ปลอดภัย ขืนไม่ทันระวังให้ดีอาจถึงแก่ชีวิตได้”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงมีเภทภัย”

เวินหุยสั่นศีรษะ “ข้ามิทราบ”

คุณชายลดเสียงลงกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ข้าได้ยินว่าเพราะมีปีศาจทะเลอาละวาด”

“หา!” เวินหุยถูกขู่จนกระโดดโหยง โบกมือเป็นพัลวัน ทำท่าจะหมุนตัวจากไป “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปหาที่ตายเองเถอะ! ข้าจะกลับเมืองเยวี่ยเฉิงก่อนแล้ว ข้ายังไม่ได้สู่ขอเสี่ยวเถาเลย ยังหวงแหนชีวิตอยู่มาก”

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” คราวนี้ด้ามพัดฟาดใส่เวินหุยเข้าจริงๆ พอตีเสร็จคุณชายก็สะบัดมือกางพัดพึ่บแล้วเดินหน้าต่อ ท่วงท่าของเขาองอาจ ที่เอวแขวนประดับหยกสีขาว แขนเสื้อกว้างราวเมฆพลิ้ว ผมดำสยายเต็มศีรษะรับกับสีของขุนเขาทะมึนรอบด้าน นอกจากกลิ่นอายผู้สูงศักดิ์แล้วยังมีกลิ่นอายล่องลอยดั่งเซียน

เวินหุยร้องเฮ้อในใจ คุณชายของตนเป็นคุณชายคลุ้มคลั่งผู้ลือชื่อทั่วเมืองเยวี่ยเฉิง มิใช่สมองมีปัญหาประการใด หากแต่การกระทำมักพิสดารไม่แยแสกฎเกณฑ์ของโลก ด้วยเหตุนี้จึงถูกบิดามารดาและพี่ชายใหญ่พี่หญิงรองบิดหูสั่งสอนอยู่เสมอ ถูกกักตัวไว้ในห้องให้แต่งเนื้อแต่งตัวสางผมให้เรียบร้อยเป็นการลงโทษให้ฝึกจรรยามารยาทตามจารีต

ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าดวงตาของเวินหุยเป็นโรคประหลาดอันใด ตลอดเวลาหลายปีเขาไม่เพียงไม่รู้สึกว่าคุณชายบ้า กลับยังรู้สึกว่าคนผู้นี้เกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายเซียนที่ไม่เข้ากับโลกีย์ คล้ายจะโบยบินขึ้นฟ้าได้ตลอดเวลา

คุณชายเอ่ยปากอย่างยิ้มแย้ม “ข้ายังได้ยินมาว่าหมู่บ้านชางลั่งที่อยู่ใต้ผาชางลั่งแห่งนี้กำลังทุกข์ร้อนกับการอาละวาดของปีศาจทะเลจึงใช้วิธีโบราณอัญเชิญเซียนซึ่งจะมาถึงในอีกไม่ช้า”

เวินหุยที่กำลังคิดฟุ้งซ่านถึง ‘กลิ่นอายเซียน’ จู่ๆ พลันได้ยินเช่นนี้ก็สะดุ้งในใจและไม่มีความคิดจะถากถางว่าคุณชายฟังข่าวเรื่อยเปื่อยข้างถนน พูดจาเลอะเทอะเสียแล้ว

“เอ้อ คุณชาย ท่านคิดว่าอย่างไร”

“แน่นอนว่าต้องรอท่านเซียนมาถึง คุกเข่าสามครั้งโขกศีรษะเก้าครา ตีโพยตีพายร้องขอให้รับข้าเป็นศิษย์ ท่องไปทั่วทั้งสี่สมุทร” คุณชายพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ท่าทางเย่อหยิ่งราวกับเป็นศิษย์ของเซียนแล้วกระนั้น น่าเสียดายที่ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็กลับสู่สภาพเดิม เท้าสะดุดจนเซ ต้องให้เด็กรับใช้คอยพยุง

เวินหุยได้ยินเช่นนี้ก็ไม่กล้าส่งเสียงอีก คุณชายของตนเกิดมาพร้อมเคราะห์ติดตัว ดื่มน้ำก็สำลัก กินเนื้อก็กัดถูกปาก เดินบนที่ราบแท้ๆ ยังขาพลิก สุนัขแมวพากันรังเกียจ ส่วนตนกลับชะตาประหลาดตั้งแต่เล็ก พบเรื่องใดมักกลับร้ายกลายเป็นดี ตัวอย่างเช่นถูกสุนัขไล่กัดพร้อมกับคุณชาย ทางที่เลือกวิ่งหนีมักราบรื่นที่สุด เพราะเหตุนี้จึงมักถูกฮูหยินล้อเลียนว่า ‘ดวงดีช่วยหักล้างดวงแย่ของเจ้าเด็กตัวซวยที่ไม่ว่าเจออะไรก็ขัดลาภไปหมดได้พอดี’

สองนายบ่าวแวะพักที่เรือนของครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านชางลั่งตรงเชิงเขา พักทีก็อยู่นานถึงสามวัน

ผาชางลั่งตั้งอยู่ชายขอบเมืองนี้ ติดกับทะเลใหญ่ ชาวบ้านในหมู่บ้านชางลั่งยังชีพด้วยการหาปลา ทุกคนมีเรี่ยวแรงดี แม้แต่สตรีที่ยังไม่ออกเรือนของครอบครัวนี้ก็ยังแข็งแรงกว่าสองคนที่มาจากในเมืองเสียอีก

เวินหุยแลดูสตรีที่เงื้อแขนผ่าฟืนในลานเรือน มีดในมือคมกริบเป็นพิเศษ ส่องประกายแวววาว อานุภาพดุดัน ผ่าฟืนได้เหมือนหั่นผัก ดูแล้วน่าตกใจ “แข็งแรงปานนี้ คนเดียวยังผ่าฟืนได้เท่าข้าสองคน ดูท่าแล้วแต่งกับสตรีเช่นเสี่ยวเถายังดีกว่า”

“พูดอะไรกัน” คุณชายโต้กลับอย่างเชื่องช้า “คนที่นี่อาศัยฟ้ายังชีพ แม่นางผู้นั้นฉับไวมีเรี่ยวแรงไม่แน่ว่าอาจจับปลาเก่งด้วย คนในหมู่บ้านต้องแย่งกันมาสู่ขอจนประตูเรือนสึกเป็นแน่”

สตรีผู้นั้นได้ยินแล้วจึงหันมาทางหน้าต่างส่งยิ้มให้ เผยท่าทางสมถะน่ารักไร้เดียงสา

“แม่นาง ท่านหมั้นหมายกับผู้อื่นแล้วหรือ” คุณชายถาม

สตรีผู้นั้นก้มหน้าหัวร่อ “หมั้นแล้ว”

“เป็นคนดีหรือไม่ วันข้างหน้าข้าจะเป็นศิษย์ท่านเซียน หากเขารังแกท่านจงบอกข้า ข้าจะช่วยเอาคืน!” คุณชายโบกพัดกล่าว

เวินหุยมองท่าทางของคุณชายบ้านตนเอง แม้จะมาถึงหมู่บ้านกันดารห่างไกลเพียงนี้ก็ยังหน้าไม่อาย พออ้าปากก็พูดจาเจ้าชู้ใส่สตรีดีงาม จึงอดเบะปากเบือนหน้าหนีไม่ได้

“เป็นคนดี” นางก้มหน้าตอบเสียงเบา แต่ครู่เดียวก็เงยหน้าอีก “คืนนี้เป็นเวลาที่ปีศาจทะเลจะออกมา คุณชายเฉินโปรดระวังอย่าไปริมทะเล”

คุณชายรับคำของนางแล้วถือโอกาสถกหัวข้อปีศาจทะเล จนทราบว่ากว่าครึ่งปีมานี้ในวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน ปีศาจทะเลจะปรากฏตัว ตอนปรากฏตัวคลื่นลมในท้องทะเลจะบ้าคลั่ง น้ำทะเลมีแต่หลากไม่มีลด มิรู้ทำลายวิถีทำมาหาเลี้ยงชีพของผู้คนไปมากน้อยเท่าใด

“ผู้นำหมู่บ้านเราเชิญท่านเซียนมา คาดว่าใกล้จะถึงแล้วล่ะ” หลังผ่าฟืนเสร็จนางก็หอบฟืนไว้กับอกแล้วจากไป

“คุณชาย ร้ายกาจนัก” เวินหุยชูนิ้วโป้งให้คุณชายของตน “ท่านพูดได้แม่นจริงๆ ด้วย ไปฟังมาจากที่ใด”

“หมอดูเฒ่าขาเป๋ที่มุมถนน คนที่คราวก่อนทำนายผิดถูกคนเชือดหมูแซ่หวังคว้ามีดไล่ฟันไปแปดถนนนั่นปะไร” คุณชายเล่าเป็นตุเป็นตะ

เวินหุย “…”

 

คุณชายแซ่เฉินท่านนี้ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลงใต้ต้นไม้ หลับตาไม่รู้ว่าหลับหรือตื่น พอลืมตาอีกทีก็เกือบพลบค่ำแล้ว

ขอบฟ้าสีออกแดงอยู่บ้าง ดวงตะวันยามพลบโผล่หน้าออกมาอย่างเสียไม่ได้ ลมทะเลเริ่มเย็นและมีเสียงคลื่นซัดสาด คลื่นใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าซัดใส่โขดหินจนฟองขาวกระเซ็นสูงเป็นจั้ง[2]*

“โอ้” เวินหุยอ้าปากค้าง มองดูความปั่นป่วนของท้องทะเลและหนวดขนาดเขื่องที่ฟาดใส่โขดหิน “นี่คือปีศาจทะเลหรือ น่าขยะแขยงเสียจริง”

ทางฟากตะวันออกแว่วเสียงเด็กกรีดร้องร่ำไห้จากบ้านใดก็ไม่รู้ ฟังแล้วสยองยิ่งนัก

พริบตานี้เรือนทุกหลังล้วนปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา แสงไฟสว่างโร่ ต่างเฝ้ารอด้วยความหวาดหวั่นขอให้ผ่านช่วงเวลานี้โดยปลอดภัย และหวังว่า ‘ท่านเซียน’ ที่ผู้นำหมู่บ้านพูดถึงจะมาถึงโดยเร็ว

“คุณชาย ท่านว่าท่านเซียนจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าโลกของเซียนเองก็กำลังสับสนวุ่นวายนัก”

คุณชายโบกพัดเบาๆ ชายตามองเวินหุยแวบหนึ่ง “เจ้าไปฟังคำพูดเหลวไหลมาจากที่ใด”

“ซินแสเล่านิทานในย่านสิบสี่น่ะ พักนี้ท่านมัวแต่วุ่นวายไม่เป็นเรื่องเป็นราวกับเจ้าเฒ่าขาเป๋ ไม่ได้ไปฟังซินแสเล่านิทานนานแล้ว” เวินหุยหัวร่อแหะๆ กล่าวว่า “วันนั้นคุณหนูใช้ข้าไปซื้อปิ่นมุก พอดีได้ฟังท่อนหนึ่ง ‘ในวังฝูเทียนไม่มีผู้ใดเป็นใหญ่ หลันซานจวินจึงมีความคิดที่จะเป็นเอง’ บอกว่าพวกเขาเหล่าเซียนเป็นมังกรไร้เศียร ผู้ใดมีฝีมือหน่อยก็พากันตั้งตัวเป็นใหญ่ ท่านเพิ่งร้องจบก็ถึงตาข้าขึ้นแสดง…ซินแสโจวช่างปากคอเราะราย!”

ดูท่าคุณชายจะสนใจขึ้นมาบ้าง “นี่น่าสนใจอยู่นะ เจ้าเล่าให้ฟังโดยละเอียดที”

ครานี้เวินหุยจึงเลียนแบบคนเล่านิทาน เคาะแผ่นไม้ ทำมือทำไม้ประกอบ คุยโวไม่หยุด

“ซินแสเล่าไว้ดังนี้ แต่โบราณมาวิถีเซียนวิถีมนุษย์ต่างไม่ข้องเกี่ยวและแตกต่างกัน ผู้เคยผ่านวิถีแห่งกลอุบายคือเจ้าแผ่นดินในแดนมนุษย์ หากก้าวขึ้นสู่วิถีเชื่อมฟ้าคือราชันของเหล่าเซียน เมื่อพิจารณาจากทั่วทั้งแปดทิศาแล้ว การปีนถึงจุดสูงสุดคงไม่เกินกว่าสองผู้นี้”

“เรื่องนี้ซินแสเคยเล่าไว้นานแล้ว” คุณชายกล่าว “แล้วอย่างไรต่อ”

“ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าห้าร้อยปีมานี้แดนมนุษย์มีการแบ่งแยกแผ่นดินนานแล้ว ทุกเมืองทุกแคว้นต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ เหล่าผู้กล้ายึดครองแดนดิน ถึงขั้นไม่มีผู้ใดสามารถเรียกขานคำเดียวผู้คนตอบรับทั่วหล้าได้ วิถีแห่งกลอุบายย่อมไม่มีผู้ใดก้าวเข้าไป ทว่าวิถีเซียนมิใช่เช่นนี้ นับแต่ราชันเทพเยี่ยนเอาชนะสามจวินสิบสี่โหว[3]** ได้ภายในสิบปี ก้าวเข้าวิถีเชื่อมฟ้า ขึ้นสู่ภูเขาฮว่านตั้ง ทุกอย่างก็สงบราบคาบ ไม่มีมารอสูรภูตผีเกะกะอาละวาดอีก”

เวินหุยพลันหักมุม “แต่บัดนี้สภาพการณ์ไม่เหมือนเดิม วังฝูเทียนบนภูเขาฮว่านตั้งซึ่งเป็นที่ประทับของราชันเทพเยี่ยนถึงกับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นานกว่าสิบปีแล้ว! เหล่าเซียนพากันคาดเดาว่าแม้ราชันเทพเยี่ยนจะมีอัจฉริยภาพเป็นเลิศ แต่รากฐานไม่แน่นพอ หรืออาจเพราะฟ้าริษยาจนธาตุไฟเข้าแทรก สิ้นสูญบนเขาฮว่านตั้งไปแล้ว”

เด็กรับใช้กำลังเล่าอย่างออกรส พลันเห็นคุณชายของตนมองไกลออกไปในท้องทะเลด้วยท่าทางจดจ่อ “คุณชาย?”

“อาหุย” คุณชายเกือบตาค้าง ลืมกระทั่งการเสแสร้งโบกพัดไปเสียสนิท “มันมาทางเราแล้ว!”

เวินหุยเงยหน้ามอง กลิ่นคาวปะทะหน้าพร้อมกับลมทะเล เห็นหนวดใหญ่มหึมายืดขึ้นสูงลิ่วจากผิวทะเลฟาดใส่ทางพวกเขาอย่างดุร้าย!

คุณชายรีบใช้ไม้ตายประจำตัวที่ฝึกฝนจากการวิ่งหนีสุนัขไล่กวดตามตรอก ฉุดเด็กรับใช้ของตนเองขึ้น ชักเท้าวิ่งไปนอกเรือนทันที หยกประดับที่ห้อยกับเอวกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งไม่เป็นจังหวะ “จะให้มันฟาดพังเรือนของแม่นางผู้นั้นไม่ได้!”

“ท่านยังมีแก่ใจนึกถึงนางอีก” เสียงของเวินหุยดังก้องในหมู่บ้านเล็กๆ “ฮูหยินพูดถูก เทพโรคระบาดเยี่ยงท่านต้องลั่นกุญแจขังไว้ในห้อง ปล่อยออกมาไม่ได้แม้แต่วันเดียว”

“เช่นนั้นบ้านข้าคงต้องเจอภัยทางน้ำแล้วน่ะสิ” คุณชายโต้กลับอย่างเต็มกำลัง

เวินหุยใช้ความเยือกเย็นที่เหลืออยู่เพียงสายเดียวท่ามกลางความหวาดหวั่นลนลานนั้นขบคิด…มีเหตุผล

เนื่องจากคุณชายของตนเป็นตัวเคราะห์ร้ายอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ในรัศมีหนึ่งหลี่[4]* หากมีสุนัขดุเป็นต้องเห่าหอนไม่หยุด หากมียุงแมลงเป็นต้องมารุมกัด หากออกจากบ้านเดินทางไกลส่วนมากจะเจอฝนตกหนัก ทำเอายามที่บรรดาคุณชายคนอื่นๆ ในเมืองเยวี่ยเฉิงนัดกันชมบุปผาดูต้นหลิวมักเย้ากันว่า ‘ห้ามเชิญคุณชายรองสกุลเฉินเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นภายในสามวันเหล่าบุปผาบานสะพรั่งจะโรยรา ต้นหลิวเขียวสดจะเหี่ยวแห้ง’

ยังดีที่เรือนหลังนี้อยู่ชายขอบหมู่บ้าน ทั้งสองเพิ่งวิ่งออกมาหนวดเส้นนั้นก็ฟาดลงอย่างไร้ไมตรี เวินหุยรีบกระชากคุณชายหมอบกับพื้นทันที แล้วกลิ้งตัวหลายตลบ หลบพ้นการโดนฟาดอย่างเฉียดฉิว

พวกเขาลุกขึ้นแล้วพลันเปลี่ยนทิศทางวิ่งหนีไปอีกทิศ ร่างของปีศาจทะเลค่อยๆ เคลื่อนมาชิดฝั่ง หนวดข้างตัวม้วนเข้า หนวดอีกหลายเส้นชูขึ้นสูงเตรียมฟาดลงมาทุกเมื่อ

หนวดนั้นใหญ่ขนาดเท่าท่อนไม้ ดูลื่นเหนียวยามอยู่ใต้แสงจันทร์ เปื้อนดินทรายบนฝั่ง มันโค้งงอขึ้น ตั้งท่าจะฟาดใส่ทั้งสองแล้ว

เวินหุยหลับตาปี๋ ครานี้แย่แล้ว

กลับได้ยินเสียงของสตรีที่รุดมาตะโกนลั่นว่า “วิ่งเร็ว!” นางเงื้อขวานผ่าฟืนจามใส่หนวด เสียงนั้นราวกับศาสตรากระทบกัน ประกายไฟแลบแปลบปลาบ แต่ไม่อาจทำให้ปีศาจทะเลบาดเจ็บแม้แต่น้อย

คุณชายกลับปล่อยมือเด็กรับใช้ออก ส่วนตนเองก็มุ่งไปหาความตายที่ริมทะเล “ให้มันเข้าหาข้า พวกเจ้าหนีเร็ว”

หนวดยักษ์ที่พันกันต่างถูกเขาชักนำมาทางเดียว ม้วนใส่ทุกทิศทาง พริบตาเดียวก็กลบร่างคุณชายที่สวมชุดหรูหราจนไม่เห็นแม้แต่เงา

“เฉินเวยเฉิน ท่าน…” คราวนี้เวินหุยตะโกนลั่น ไม่สนแม้กระทั่งคำเรียกที่แสดงถึงความเคารพนับถือแล้ว เขาแย่งขวานจากมือของนางแล้ววิ่งเข้าใส่หนวดยักษ์เหมือนเอาไข่กระทบหิน[5]**

เวลานี้เองกลับเห็นประกายกระบี่สายหนึ่งวาววับดุจสายลมดุจหิมะแต่ไกล ประกายยะเยียบแหวกขอบฟ้าหนักอึ้ง พริบตาเดียวก็ถึงริมหาด ฟันใส่ทางขวาง

ปีศาจทะเลชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ร่างของมันถูกปราณกระบี่วาดผ่าน หนวดหลายเส้นถูกตัดขาดร่วงหล่นลงกับพื้น เผยให้เห็นคุณชายที่ยังไม่ถูกรัดจนแหลกกลางดงหนวด คุณชายที่ชื่อเฉินเวยเฉินท่านนี้ยืนอยู่ที่เดิม ยกมือปาดเลือดบนใบหน้าที่ถูกเศษหินบาดเมื่อครู่ แลดูเงาร่างที่อยู่ตรงขอบฟ้า จุปากอย่างอัศจรรย์ใจ “เคราะห์ร้ายมานานถึงเพียงนี้เพิ่งเจอโชคดีเป็นครั้งแรก”

ปีศาจทะเลไม่ทันระวังถูกฟันบาดเจ็บ หนวดที่เหลือจู่โจมใส่คนที่อยู่ตรงขอบฟ้าทันที เห็นได้ชัดว่ามันมิใช่สัตว์ประหลาดในแดนมนุษย์ ยามหนวดเคลื่อนไหวก่อเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม ผิวทะเลปั่นป่วนคลื่นใหญ่ครืนครั่นลูกแล้วลูกเล่า

เซียนผู้นั้นย่อมสะบัดกระบี่รับเป็นธรรมดา

พริบตาเดียวท้องทะเลก็เต็มไปด้วยประกายกระบี่เย็นเยือก เสียงลมพัดหวืดหวือ เงาร่างของเซียนกระโจนอย่างสง่าบนท้องทะเล ประชันกับจันทราริมขอบฟ้า

เฉินเวยเฉินกลับก้าวไปทางท้องทะเลบ้าคลั่งหลายก้าว คลื่นซัดเอาสิ่งของสีขาวเป็นประกายลอยขึ้นลอยลงมาจนถึงมือเขา

ของสิ่งนั้นมีขนาดราวฝ่ามือ เปลือกนอกดูแล้วนวลเนียนดุจไขที่แข็งตัว มีลายสีเทาจางๆ กลิ่นหอมประหลาดจรุงใจ

เขากลับไปถึงข้างกายเวินหุย

เด็กรับใช้เงื้อขวานร่า ทำท่าราวกับจะฆ่าเจ้านายตนให้ตาย “มีผู้ใดวิ่งเอาชีวิตไปหาความตายเช่นนี้”

แต่ถึงอย่างไรเวินหุยก็หมดเรี่ยวแรงและทำใจมิได้ ขวานในมือควงได้ครึ่งวงก็ลดลงตามเดิม

จู่ๆ ตัวประหลาดในทะเลก็บ้าคลั่ง ก่อเกิดคลื่นซัดโถมสูงเสียดฟ้าฟาดใส่ริมฝั่งที่คนทั้งสองอยู่เหมือนภูเขาโถมทับ ปากกว้างมหึมาตะกละตะกลามราวเทาเที่ย[6]* ที่หมายกลืนกินทั้งภูผา

นี่เป็นมหันตภัยที่มิอาจหลบพ้น

ฉับพลันกลับเห็นประกายกระบี่สดใสแทงสวบผ่านไป กลิ่นอายเย็นเยียบพลุ่งพล่านจากโคนคลื่น

“คืนนี้ข้าน่าจะใช้โชคดีทั้งชีวิตจนหมดสิ้นแล้ว” ภายใต้สภาพเช่นนี้คุณชายคลี่พัดปิดหน้าทอดถอนใจ “ไม่รู้วันหน้าจะเคราะห์ร้ายอีกกี่มากน้อย ถึงจะหักกลบลบหนี้ได้”

เขามองไปทางนั้น เห็นไอขาวค่อยแกร่งขึ้น น้ำทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง ไอหนาวกระจายใส่

คลื่นยักษ์ที่ซัดถึงจุดสูงสุดแข็งตัวค้างเติ่งขึ้นลงมิได้

กระบี่นี้ถึงกับทำให้คลื่นยักษ์เกลื่อนฟ้าผนึกตัวเป็นน้ำแข็งและหิมะ

เฉินเวยเฉินยืนอยู่ตรงจุดที่คลื่นจะฟาดลงแต่ไม่ตกลงนั่นเอง พอเงยหน้าก็เห็นน้ำแข็งทั่วฟ้า ไอเย็นเสียดผิวเสียดกระดูก

บนหาดหิมะมีคนผู้หนึ่งร่อนลง ชุดขาวพลิ้วสง่า เขาสอดกระบี่เข้าฝักเสียงดังเคร้ง กำลังเดินมาทางนี้

 

[1]* แบกหม้อ มาจากสำนวน ‘แบกหม้อดำ’ หมายถึงแบกรับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ

[2]* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

[3]** สามจวินสิบสี่โหว เป็นการจัดลำดับศักดิ์ของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนและผู้บำเพ็ญมารโดยใช้วิชายุทธ์ แบ่งเป็นตำแหน่งจวิน 3 คน และตำแหน่งโหว 14 คน

[4]* หลี่ (ลี้) เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

[5]** เอาไข่กระทบหิน เป็นการเปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่ประเมินกำลังของตนเอง และนำภัยมาสู่ตัว

[6]* เทาเที่ย คือหนึ่งในสี่ยอดสัตว์ร้ายบรรพกาล มีใบหน้าเป็นคนร่างกายเป็นแพะ ดวงตาอยู่ใต้รักแร้ เขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมนุษย์ ถูกใช้เป็นลวดลายที่พบได้บ่อยบนเครื่องสำริดโดยเฉพาะกระถางสามขา เทาเที่ยขึ้นชื่อว่าเป็นจอมตะกละจึงถูกนำมาเปรียบเปรยถึงคนที่ตะกละตะกลามหรือละโมบโลภมาก

บทที่ 2

น้ำแข็งหิมะ

“ค่ำนี้ราตรีใดได้ยลโฉมคนงาม” คุณชายหุบพัดถอนใจ “ชีวิตนี้มีโชคดีไม่เพียงพออยู่แล้ว คงต้องเบิกโชคชาติหน้ามาใช้ก่อน”

ไม่มีใครรับลูก คุณชายมองข้างกายก็เห็นเด็กรับใช้ของตนยืนทึ่มทื่อจ้องมองท่วงท่าของคนที่อยู่บนหาดผู้นั้นตาไม่กะพริบ จึงใช้ด้ามพัดเคาะศีรษะเขา “ตั้งสติหน่อย”

ขณะพูดอยู่คนผู้นั้นก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว

คนประเสริฐ กระบี่ก็ประเสริฐ

เฉินเวยเฉินคิด หนึ่งเดียวที่ไม่ประเสริฐคือเงาร่างเบื้องหน้านี้มีกลิ่นอายฆ่าฟันเย็นเยียบทั้งตัว เสียทีที่มีใบหน้ารูปลักษณ์งามล้ำหมดจด

“ขอบพระคุณท่านเซียนที่ช่วยชีวิต ข้าน้อยเป็นคนธรรมดา ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนได้ มิสู้…”

ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบท

“เอามา”

น้ำเสียงสมกับตัวราวกับหิมะใหม่ที่เกาะบนดอกเหมย เฉินเวยเฉินมีความคิดเจ้าชู้กรุ้มกริ่มที่ไม่เข้ากับสภาพความเป็นจริงอยู่เต็มสมอง เอาแต่ดื่มด่ำกับน้ำเสียงไพเราะ กว่าจะได้สติกลับมาจึงเพิ่งตระหนักว่าตนไม่รู้เลยว่า ‘คนงาม’ พูดว่ากระไร

“ข้าใจลอยไปชั่วขณะจึงฟังไม่ถนัด ท่านเซียนจะ…จะพูดอีกครั้งได้หรือไม่” เขากล่าวอย่างขัดเขิน

เวินหุยที่อยู่ข้างๆ แทบอยากมุดหายไปในหาดทรายให้รู้แล้วรู้รอด เขาติดตามคุณชายมา มีอยู่สิ่งเดียวที่ไม่เคยขาดเลยก็คือการขายหน้า

“เอามา” คนผู้นั้นพูดซ้ำเหมือนไม่สบอารมณ์ สายตาหยุดที่สิ่งของขาวนวลเป็นประกายในมือของเฉินเวยเฉิน

ขณะที่เวินหุยกำลังคิดว่าคุณชายของตนที่อยู่ต่อหน้าคนงามคงใช้สองมือประคองส่งของให้แต่โดยดี กลับเห็นท่าทีของเฉินเวยเฉินเปลี่ยนจากก่อนหน้านี้กลายเป็นอันธพาลข้างถนน

“ไม่ให้” เฉินเวยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงถือดี “นี่เป็นข้าเก็บได้”

น้ำเสียงคนผู้นั้นเย็นชา “ข้าเป็นผู้ฆ่าปีศาจทะเล”

“ข้าเห็นกับตาว่ามันขึ้นมาจากทะเล เป็นสิ่งไม่มีเจ้าของ”

“สิ่งนี้มีชื่อว่าจี้เมี่ยเซียง ชั่วร้ายสุดแสน” คนผู้นั้นบอกกับเฉินเวยเฉินว่า “หากพกติดตัวไว้เป็นเวลานานจะรบกวนโชคจนยุ่งเหยิง เคราะห์ร้ายจะพัวพัน ไม่ได้ตายดี”

“ขออภัย” เฉินเวยเฉินคิ้วตาโค้งเล็กน้อย ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ข้ามีเคราะห์ร้ายพัวพันตั้งแต่เกิด หากจะเพิ่มอีกนิดก็ไม่ต่างกันหรอก”

คนผู้นั้นแลดูเขา มุ่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้า…”

ไม่ทันสิ้นเสียงก็เห็นเงาดำสายหนึ่งโฉบผ่านเฉินเวยเฉินไปพร้อมกับกลิ่นอายชั่วร้าย

เฉินเวยเฉินร้องโหยหวนคราหนึ่ง หลับตาแน่น แต่กลับมิได้รับบาดเจ็บตามที่คิด เพราะคนชุดขาวเบื้องหน้าใช้ฝักกระบี่ต้านไว้ สิ่งนั้นกลิ้งหลุนๆ กับพื้นหลายตลบ เป็นแมวดำอ้วนตัวหนึ่งชูหางใส่เฉินเวยเฉิน ขนหางตั้งชัน

เฉินเวยเฉิน “…”

มีเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไกลออกไป “ชิงหยวน (กลมใส) เซี่ยชิงหยวน…เจ้าจะวิ่งเร็วปานนี้ไปทำอะไร ผู้พี่เกือบตามไม่ทันแล้ว”

ดูท่าชื่อที่เรียกคงเป็นชื่อแมว

“ชิงหยวน…ชื่อดีๆ เสียเปล่าหมด” เฉินเวยเฉินถือดีที่มีคนงามกลิ่นอายเย็นชาทั้งตัวอยู่ข้างๆ แมวตัวนั้นไม่กล้าจู่โจมเขาอีก เขาจึงวิจารณ์มันตั้งแต่หัวจรดหาง “ขาสั้น ตัวอ้วน คอหด น่าจะเรียกว่าเฮยหยวน (กลมดำ) มากกว่า”

ที่วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาแต่ไกลเป็นนักพรตชุดสีเทาคนหนึ่งที่ในมือถือแส้จามรี พอเข้ามาใกล้แล้วมองเห็นผิวน้ำก็ร้องอุทานเฮือกออกมาด้วยความตกใจ

“ทำให้น้ำทะเลในรัศมีสิบหลี่เป็นน้ำแข็งได้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเจ้าปีศาจนี่จะบรรลุขั้นฟ้าระดับสอง! ผู้ถือพรตมิอาจปราบได้แล้ว”

เฉินเวยเฉินแลไป เห็นใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของนักพรตคมคายน่าชมดู

…มิใช่ปีศาจแมวกระมัง เขาพึมพำในใจ พลันนึกถึงคำว่า ‘ผู้พี่’ ขึ้นมา

นักพรตเห็นสตรีที่สวมใส่อาภรณ์เช่นชาวบ้านก็ประสานมือคารวะ “แม่นาง ต้องขออภัยด้วย ปีศาจนี่มิใช่ผู้ถือพรตจะต่อกรได้ รบกวนช่วยเรียนท่านผู้นำหมู่บ้านด้วย ผู้ถือพรตจะไปหาผู้มากฝีมือที่อยู่ในขั้นฟ้าระดับสองเดี๋ยวนี้…”

ที่แท้นี่ก็คือเซียนที่คนในหมู่บ้านใช้วิธีโบราณอัญเชิญมา

“…ท่านเซียน” นางชี้ไปที่ริมทะเล “มีคนฆ่าปีศาจไปแล้ว”

“หืม?” นักพรตก้าวไปทางชายหาดอย่างสงสัย กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เอ๊ะ เหตุใดในน้ำแข็งจึงมีเจตจำนงกระบี่”

มองดูอีกทีก็เห็นสามคนใต้คลื่นน้ำแข็งกับแมวตัวหนึ่ง

พอนักพรตหนุ่มเห็นคนชุดขาวก็ตะลึงค้าง

เฉินเวยเฉินได้ที อาศัยว่ามีผู้หนุนหลังเหมือนจิ้งจอกอาศัยบารมีพยัคฆ์[1]* จึงคลี่พัดโบกพลางมองดูความคืบหน้าของสถานการณ์

“เยี่ย…เยี่ย…เยี่ย…”

คำว่า ‘เยี่ย’ ถูกเอ่ยซ้ำอยู่เนิ่นนานแต่กลับไม่มีคำถัดไป

เฉินเวยเฉินใช้ศอกสะกิดแขนคนผู้นั้นอย่างไร้ความเกรงอกเกรงใจ “นี่ ท่านเซียนท่านแซ่เยี่ยหรือ หรือว่าเป็นตามที่ตำนานเล่าขาน…”

ฉากนี้ดูเหมือนมีผลกระตุ้นต่อนักพรตหนุ่ม ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้

“เจ้ากระบี่เยี่ย”

คนผู้นั้นท่าทางไม่เปลี่ยน กล่าวเรียบๆ ว่า “หลางหรันโหว”

“เจ้ากระบี่ ท่านถึงกับยังจำข้าได้” นักพรตดีใจ คว้าแมวดำบนพื้นอุ้มไว้ในอ้อมอก ลูบขนแมวแรงๆ หลายคราเพื่อสงบจิตสงบใจ “ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ”

“คุณชาย” เวินหุยประชิดเข้ามา พูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ข้าได้ยินเขาพูดว่าหลางหรันโหว”

“ข้าก็ได้ยิน” คุณชายพยักหน้า “ข้ายังได้ยินว่าเจ้ากระบี่เยี่ยด้วย”

“คุณชาย จบสิ้นแล้ว ต่อให้รวมกับชาติหน้าก็ไม่พอใช้” เวินหุยตบอกเบาๆ ให้หายใจหายคอได้ “คืนนี้ท่านใช้โชคแปดชั่วคนจนหมดสิ้นไปแล้ว”

“เฒ่าขาเป๋บอกว่าตามดวงข้าแล้ว ถึงอย่างไรอีกปีเดียวก็ต้องตาย แต่คืนนี้มีวาสนาพบกับท่านเซียนที่ผาชางลั่ง ไม่ผิดจริงด้วย” คุณชายกล่าว “กลับไปบอกบิดาข้า ช่วยรับเฒ่าขาเป๋ไปที่เรือน ดูแลให้อยู่อาศัยดื่มกินดีๆ ตลอดชีวิต”

พวกเขากำลังกระซิบกระซาบกัน คนชุดขาวกลับหันมาถามเฉินเวยเฉิน “เจ้าจะทำอันใด”

เฉินเวยเฉินทำท่าครุ่นคิดแล้วตอบ “เยี่ยจิ่วหยา ท่านรับข้าเป็นศิษย์ สอนข้าบำเพ็ญเซียน ข้าจะมอบจี้เมี่ยเซียงให้ท่าน”

แววตาเยี่ยจิ่วหยาดูเย็นชา “เจ้ารู้ชื่อข้า?”

“แน่นอน” เขาหัวร่อ “พวกท่านที่เป็นเซียน นอกจากหนึ่งราชันสามจวินสิบสี่โหว ยังมีเยี่ยจิ่วหยาอีกหนึ่ง ผู้คนต่างยกย่องว่า ‘เจ้าสำนักเจี้ยนเก๋อ (หอกระบี่) เป็นจวินที่มิใช่จวิน’ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก คนเล่านิทานทั่วหล้าผู้ใดบ้างไม่เล่าเรื่องของท่าน”

“คุณชายท่านนี้” หลางหรันโหวหรือนักพรตเซี่ยหลางปลอบแมวดำที่มีท่าทางมุ่งร้ายต่อเฉินเวยเฉินแล้วก็เอ่ยกับเขาว่า “ขออภัยที่พูดตรงๆ น้องสาวข้าความรู้สึกไวต่อโชคเป็นพิเศษ จี้เมี่ยเซียงเกี่ยวข้องกับโชคและเปลี่ยนชะตา แม้แต่ข้ายังไม่กล้าแตะ หากอยู่ในมือท่าน ช้าเร็วย่อมต้องตายโหง รีบมอบให้เจ้ากระบี่เยี่ยจะดีกว่า”

เฉินเวยเฉินยังคงแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย ถึงกับให้ความรู้สึกว่าดวงหน้างดงามมีเสน่ห์ไม่มีที่สิ้นสุด

“นักพรตท่านนี้ คำกล่าวเช่นนี้ข้าเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง” เขากล่าว “มิสู้ให้ท่านลองคำนวณทำนายดวงข้าดูก่อนดีหรือไม่”

เซี่ยหลางจึงขอให้บอกวันและเวลาเกิด กวาดตาพิจารณาอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ จากนั้นจึงหลับตา ปากบ่นพึมพำไม่ทราบว่าพร่ำอันใด

พอลืมตาก็เปรยอย่างลังเลว่า “ไฉนจึงเป็นเช่นนี้”

เฉินเวยเฉินอมยิ้ม “ข้าหรือ”

เซี่ยหลางแววตาสับสนส่ายศีรษะ

เฉินเวยเฉินท่าทางยังผ่อนคลายดังเดิม “ตั้งแต่เล็กจนโต คราใดก็ตามที่เชิญอาจารย์ทำนายชะตามา ล้วนมีผลลัพธ์หนึ่งเดียว บอกว่าข้าผู้เป็นคุณชายชีวิตไม่ยืนยาว”

ว่าแล้วเขาก็นำจี้เมี่ยเซียงโบกไปมาหน้าเยี่ยจิ่วหยา ยิ้มตาหยี “เจ้ากระบี่เยี่ย ท่านพาข้าไปบำเพ็ญเซียนปีเดียวก็พอ ได้หรือไม่ ข้าจะไม่ทำร้ายท่านนานเกินไป ข้าแซ่เฉิน นามว่าเวยเฉิน คำว่าเวยเฉินที่มาจาก ‘เหวยเหวยคุนหลุน เหมียวเหมี่ยวเวยเฉิน’[2]* ซินแสหมอดูบอกว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะมีอายุไม่เกินยี่สิบเอ็ดปี ปีนี้ข้าอายุสิบเก้า ใดๆ ในโลกข้าล้วนเห็นมาหมดแล้ว ก่อนตายจึงอยากไปดูโลกอื่นบ้าง หนึ่งปีให้หลังข้าจะให้สิ่งนี้แก่ท่าน รักษาสัจจะไม่คืนคำ ว่าอย่างไร”

นักพรตเห็นเขาไม่มีวี่แววเศร้าโศกแม้แต่น้อยจึงเก็บอาการและสีหน้าเมื่อครู่ เกาหูแมวดำในอ้อมอก กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณชายท่านนี้น่าสนใจ การบำเพ็ญเซียนทุกข์ยากลำบาก บัดนี้ความตายใกล้เข้ามา ท่านไม่เสพสุขกับสตรีเนื้ออุ่นอยู่ที่เรือน กินดีดื่มดี กลับอยากไปลำบากบำเพ็ญวิถีเซียน”

“ไม่ปิดบังท่านนักพรต ความมั่งมีสูงส่งในแดนมนุษย์ ความจริงก็ไร้ความหมายอยู่แล้ว”

คุณชายรวบพัดหุบลง ลวดลายด้ามพัดเลี่ยมทองงดงามเป็นที่สุด หาได้มีความรู้สึกหยาบชุ่ยที่ทำเพื่อความหรูหราดาษดื่นเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับเพิ่มกลิ่นอายหล่อเหลางามสง่ามากขึ้น

“ข้านั้นหรือ เบื้องบนมีพี่ชาย เบื้องล่างมีน้องสาว ไร้บิดามารดาให้ต้องเลี้ยงดู อนาคตเบื้องหน้าก็ไร้สิ่งให้ผูกพัน เพียงเหลือความปรารถนาเล็กน้อย…ตั้งแต่เล็กจนโตเคยฟังซินแสเล่านิทานเทพอสูรพุทธะปีศาจจนเกิดความอยากรู้และเลื่อมใส อยากไปดูแดนเซียน” เขาคลึงจี้เมี่ยเซียงที่กลมเกลี้ยงนวลเนียนใต้แสงจันทร์ในมือ ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “กำลังคิดอยู่ว่าของนี่ส่งมาถึงมือตน และได้เห็นท่านทั้งสองที่มีอยู่แต่ในนิทาน นับว่าเป็นเวลาเหมาะเจาะ เป็นโชคชะตาโดยแท้ จึงจำใจต้องเล่นลวดลายอย่างไร้เหตุผลสักครา ขอท่านทั้งสองโปรดอภัย”

วิถีเซียนและวิถีมนุษย์นั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ศิษย์สายตรงของสำนักเซียนเชื่อในโชคชะตาเคารพลิขิตฟ้า เพียงฆ่ามารกำจัดอสูรไม่แทรกแซงก้าวก่ายกิจมนุษย์และย่อมไม่อาจทำร้ายชีวิตปุถุชน

หากเฉินเวยเฉินตั้งใจจะยึดของสิ่งนี้ไว้กับตนและเยี่ยจิ่วหยาใช้กำลังแย่งชิงมา เช่นนั้นก็นับเป็นการละเมิดวิถีแห่งธรรมและขัดต่อความปรองดองของฟ้า เว้นแต่จะรอจนคนผู้นี้เสียชีวิตเอง…แต่หากคุณชายผู้นี้เกิดมอบของตกทอดให้ผู้อื่นก่อนตายก็จะเป็นความยุ่งยากอีกอย่าง

“วันนี้ได้พบเซี่ยหลาง นับว่าเจ้ามีวาสนาเซียน” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเนิบๆ “ข้าบำเพ็ญกระบี่ ไม่นับเป็นคนวิถีเซียน มิสามารถชักนำเจ้า”

เขามองดูเซี่ยหลาง “หลางหรันโหว ขอรบกวนแล้ว”

“ให้ข้ารับศิษย์หรือ” เซี่ยหลางกลอกตาไปมา เอ่ยออกมาด้วยความยินดีที่ฉายชัดทั่วไปหน้า “ทำให้เจ้ากระบี่ติดค้างน้ำใจข้า นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่หาได้ยาก คุณชายเฉินท่านนี้ปลงตกต่อความเป็นความตาย ดูท่าจะมีรากปัญญาอยู่บ้าง”

เวินหุยกะพริบตาปริบๆ เห็นเซี่ยหลางวางแมวลง นิ้วมือขวาทั้งห้าแตะเบาๆ ที่หน้าผากของเฉินเวยเฉิน

แววตาของเฉินเวยเฉินพลันว่างเปล่า

เซี่ยหลางเริ่มถามคำถาม

คำถามตอนแรกเริ่มล้วนเป็นประเภท ‘อันใดคือความว่างเปล่า’ ‘อันใดคือการจดจ่อหนึ่งเดียว’ ‘อันใดคือการคล้อยตามธรรมชาติ’ เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างนึกในใจว่าตนยังฟังรู้เรื่องและพอจะตอบได้บ้าง แต่ภายหลังกลับถามเรื่อง ‘เต๋าเกิดธรรม’ ‘อ่อนหยุ่นคือความแข็งแห่งเต๋า’ คราวนี้ฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว

เพียงแต่ปลายนิ้วของเซี่ยหลางที่แตะอยู่นั้นกลับคล้ายว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา ทุกครั้งที่ตั้งคำถามคุณชายของตนก็ตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

จนกระทั่งเซี่ยหลางถามเป็นร้อยคำถามจึงค่อยปล่อยมือ แววตาของเฉินเวยเฉินก็กลับมากระจ่างใสเป็นปกติ

เขาเห็นเซี่ยหลางกำลังจ้องมาที่ตนด้วยสีหน้าประหลาด

“คุณชายเฉิน ข้ามีคำพูดที่ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่”

เวินหุยที่อยู่ข้างๆ กุมขมับด้วยความจนใจ พอได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าโชคดีเพียงหนึ่งเดียวในคืนนี้ของคุณชายของตนกำลังจะหายไป

เฉินเวยเฉินตอบ “…เชิญกล่าว”

“ท่านทั้งมีวาสนาในวิถีเซียนและไม่ขาดสัณฐานกระดูก แต่กลับไร้ซึ่งรากปัญญาตื่นรู้ ชั่วชีวิตนี้มิอาจบรรลุเต๋าได้” เซี่ยหลางมุ่นคิ้วทำสีหน้าลำบากใจ แลดูเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่เยี่ย นี่ควรทำอย่างไรดี”

 

[1]* จิ้งจอกอาศัยบารมีพยัคฆ์ เป็นสำนวนเปรียบเทียบคนที่ใช้อำนาจของผู้อื่นหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่มากดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น

[2]* ‘เหวยเหวยคุนหลุน เหมียวเหมี่ยวเวยเฉิน’ แปลว่าคุนหลุนสูงเสียดฟ้า ฝุ่นผงต่ำต้อย โดยคำว่าเวยเฉิน (微尘) แปลว่าฝุ่นผง

บทที่ 3

ชาติปางก่อน

“ท่านนักพรต ข้าไม่เข้าใจ” เด็กรับใช้เริ่มแก้ต่างแทนผู้เป็นนาย “ในเมื่อท่านบอกว่าคุณชายมีสัณฐานกระดูก แล้วไยจึงว่าเขาไร้รากปัญญาเล่า”

“ปุถุชนเช่นพวกท่านมักพูดกันว่า ‘คนงามงามที่กระดูก มิใช่เนื้อหนัง’ แต่สำหรับพวกเราชาวเซียนแล้ว ‘กระดูกคือรากฐานของรูปลักษณ์’ ” เซี่ยหลางเกาคางแมวพลางอธิบายว่า “เส้นปราณโปร่งโล่ง ลักษณะกระดูกโปร่งงามก็คือสัณฐานกระดูกที่ดี ทว่ารากปัญญานั้นไม่เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ แท้จริงแล้วคือการตื่นรู้”

นักพรตหนุ่มพูดต่อ

“รากปัญญามีสามจิต ได้แก่ จิตสังหาร จิตดอกบัว และจิตสัมผัสวิเศษ สัมผัสวิเศษเข้าสู่เต๋าได้ จิตดอกบัวสามารถตื่นรู้ในพุทธะ จิตสังหารจะกลายเป็นมารอสูร แต่ขณะนี้เซียนกับมารแยกจากกัน พุทธะเร้นกาย ต่อให้มีจิตสังหารก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นมาร มีจิตดอกบัวก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพุทธะ ตัวอย่างเช่นเจ้ากระบี่เยี่ยเข้าสู่มรรคากระบี่ด้วยจิตสังหาร อีกตัวอย่างก็เช่นลู่หลันซาน หนึ่งในสามจวินที่รักษาจิตดอกบัวจึงมีวิถีเที่ยงธรรม ล้วนจัดเป็นประเภทนี้”

“ดังนั้นจิตทั้งสามนี้คุณชายของเราไม่มีสักอย่างเลยหรือ” เด็กรับใช้โกรธมาก จ้องเฉินเวยเฉินปราดหนึ่งด้วยเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า[1]* แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเพียงยิ้มมองมาทางนี้ พัดในมือโบกไปโบกมา ภาพฟังเสียงคลื่นที่อยู่บนหน้าพัดมีมิติสูงล้ำราวกับสามารถโบกจนเกิดบุปผาได้

“เปล่าเลยๆ นี่ล่ะก็คือความยุ่งยาก หากเป็นคนธรรมดาสัมผัสวิเศษจะทำให้เฉลียวฉลาด จิตดอกบัวทำให้มีเมตตากรุณา จิตสังหารมักนำมาซึ่งข้อพิพาท…จิตทั้งสามนี้มีกันทุกคน เพียงแต่ตื้นลึกต่างกัน จิตทั้งสามของคนธรรมดานั้นสับสนปนเปกันจึงทำให้เลอะเลือนและไหลตามกระแส ก่อให้เกิดชีวิตหลายร้อยรูปแบบในแดนมนุษย์ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนบ่มเพาะจิตเดียว สภาพจิตแจ่มใสประภัสสร ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุเต๋าได้”

หากเซี่ยหลางมีเครา ป่านนี้คงกลัดกลุ้มจนทึ้งเคราไม่หยุด

“แต่คุณชายบ้านเจ้ากลับเกิดมาไม่เอนไม่เอียง ลึกตื้นเท่ากัน คนผู้นี้ต้องไม่ดีไม่ชั่ว ไม่ฉลาดไม่โง่เขลา นิสัยจิตใจเช่นนี้ไม่ว่าจะบำเพ็ญทางใดก็ล้วนไม่มีความก้าวหน้า…นับเป็นธาตุแท้ที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาสามัญมากไปกว่านี้อีกแล้ว” นักพรตคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสริมอย่างจริงจัง “ธรรมดาจนไม่ธรรมดา”

เฉินเวยเฉินไม่ฟังต่อ หันไปมองเยี่ยจิ่วหยาที่อยู่ข้างกาย ภายใต้สีหน้าท่าทางเย็นชาราวน้ำแข็งของคนผู้นี้ ยามนี้กลับมีกลิ่นอายของการครุ่นคิดปรากฏขึ้นมา

เขาไม่มองใคร เพียงมองจันทร์กระจ่างกลางทะเล

เซี่ยหลางที่อยู่ข้างๆ ยังพล่ามอยู่กับเวินหุยไม่รู้จบ คล้ายกับอาจารย์เฒ่าที่หลังเลิกเรียนมักไปพร่ำฟ้องบิดามารดาของลูกศิษย์ถึงพฤติกรรมหยิบโหย่งเสเพลของพวกเขา

“นี่เพราะฟ้าจะสะบั้นหนทางบำเพ็ญเซียนของเขา โทษข้ามิได้และโทษเจ้ากระบี่เยี่ยมิได้ ยังคงคืนจี้เมี่ยเซียงแต่เนิ่นๆ ดีกว่า”

ขณะที่เวินหุยกำลังจะโยกโย้ยื้อสุดฤทธิ์ กลับได้ยินเสียงเย็นเยียบดุจแสงจันทร์ของเยี่ยจิ่วหยา “หลางหรันโหวไม่ต้องพูดมากแล้ว”

คำพูดพล่ามไม่รู้จบหยุดลง นักพรตลอบเหลือบดูสีหน้าของเยี่ยจิ่วหยา พลันเปลี่ยนจากอาจารย์เฒ่าเป็นนักเรียนผู้รับการอบรม ยกแส้ขึ้นปิดบังหน้า “ขอรับ เจ้ากระบี่เยี่ย”

เยี่ยจิ่วหยากล่าว “มือ”

เฉินเวยเฉินยื่นมือขวาให้ นึกในใจว่าหวงวาจาดั่งทองคำดังคาด

ความรู้สึกหนาวเหน็บบังเกิดที่จุดสัมผัสกันและลามไปทั่ว กระจายไปตามเส้นปราณทั่วสรรพางค์กาย นำมาซึ่งความเจ็บแปลบเล็กน้อย

เยี่ยจิ่วหยาชักมือกลับ “เจ้าตัดสินใจจะบำเพ็ญเซียนหรือ”

เซี่ยหลางโผล่หน้าออกมาจากแส้จามรีถามว่า “เจ้ากระบี่ รากปัญญาเยี่ยงนี้ยังจะบำเพ็ญเซียนได้หรือ”

คราวนี้เยี่ยจิ่วหยาไม่มองอีกฝ่าย ตอบว่า “มีเพียงวิธีเดียว”

เฉินเวยเฉินจึงถากถางนักพรตอย่างได้ใจ “หลางหรันโหว ข้ามิได้จะว่าอะไรนะ สามจวินสิบสี่โหว แน่นอนว่าโหวสู้จวินไม่ได้ และจวินก็สู้เจ้ากระบี่เยี่ยมิได้ เชอะ”

เซี่ยหลางเพิ่งตัดสินหยกๆ ว่าเขาไม่อาจบำเพ็ญเซียนได้โดยเด็ดขาด บัดนี้กลับถูกตอกจนหน้าหงาย ได้แต่แค่นเสียงดังฮึ

เยี่ยจิ่วหยาพูดอีกว่า “แต่วิธีนี้ไม่ง่าย โอกาสริบหรี่”

“มิเป็นไร” เฉินเวยเฉินยิ้ม “ในเมื่อไร้ความปรารถนาย่อมไม่มีความสูญเสีย หากไม่สำเร็จก็ถือเสียว่าเสียเวลาไปหนึ่งปี ถึงอย่างไรสิบกว่าปีที่ผ่านมาของข้าก็เสียเวลาเปล่าอยู่แล้ว ไม่เสียหายอันใด”

นักพรตพิเคราะห์กวาดตาขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ พูดมากอย่างอดมิได้ว่า “น่าสนใจ” ออกมาสามคราติดกัน

เฉินเวยเฉินชำเลืองด้วยหางตา “ในคัมภีร์หนานหัวจิงซึ่งเป็นคัมภีร์พื้นฐานสำนักเต๋าของพวกท่านมิใช่เขียนไว้ว่า ‘ผู้ไร้ความสามารถไร้ความปรารถนา’ หรอกหรือ เหตุใดข้าซึ่งเป็นคนธรรมดาที่อยากทำตัวเช่นเรือที่มิได้ผูกโยง[2]* จึงถูกมองเป็นเรื่องประหลาดเล่า”

เซี่ยหลางอึ้งไปแล้วคารวะให้อย่างจริงใจ “คุณชายท่านนี้พูดถูก ผู้ถือพรตน้อมรับคำสั่งสอน”

เฉินเวยเฉินเพียงยิ้ม ค่อยๆ เก็บพัดที่มีภาพวาด ตลอดทั้งตัวโปร่งสง่าดุจตะวันจันทรา หากมิใช่สวมใส่เสื้อหนังเบาบาง รวมถึงคาดสายรัดเอวและเครื่องประดับหรูหราคงจะดูคล้ายเซียนยิ่งกว่านักพรตที่อยู่เบื้องหน้าเสียอีก

ระหว่างสนทนากันผู้นำหมู่บ้านที่ทราบข่าวก็พาชาวบ้านรุดมา ชูคบเพลิงต้อนรับ

เพียงพริบตาเสียงผู้คนก็ดังจอแจ ล้วนเป็นคำขอบคุณแสดงความตื้นตันจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร เยี่ยจิ่วหยากลิ่นอายทั้งตัวดุจน้ำแข็งยะเยือก บรรดาชาวบ้านไม่กล้าเข้าใกล้ เห็นข้างๆ มีนักพรตหนุ่มถือแส้จามรีจึงพากันขอบคุณ

ด้านผู้ฆ่าปีศาจทะเลตัวจริงไม่พูดไม่จา สตรีชาวบ้านที่เห็นเรื่องราวโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ช่วยบอกความจริง เซี่ยหลางจึงได้แต่ทนแบกรับเกียรตินี้อย่างฝืดฝืน คารวะทางซ้าย “ชมเชยเกินไปแล้ว ชมเชยเกินไปแล้ว” คารวะทางขวา “มิบังอาจ มิบังอาจ” รวมถึงประโยคว่า “ผู้ถือพรตตบะยังไม่แก่กล้า” แต่ยังคงหนีไม่พ้นถูกชาวบ้านรั้งไว้ด้วยไมตรีจิต ต้อนรับราวกับบูชาเทพเจ้า

จัดการกับท่านเซียนจนเรียบร้อย กว่าชาวบ้านจะสลายตัวก็ดึกดื่นค่อนคืน

 

ฤดูสารทไม่มีเสียงจักจั่นและไร้เสียงหรีดหริ่ง เด็กทางบ้านตะวันตกงอแงส่งเสียงโดยไม่ทราบสาเหตุ สตรีกล่อมเด็กอย่างเอาใจใส่ กระทั่งเสียงค่อยๆ เงียบลง รอบข้างเวิ้งว้างเหลือแต่เสียงคลื่น

เฉินเวยเฉินขอสุราที่ฝังใต้ต้นดอกกุ้ยไหหนึ่งมาจากสตรีชาวบ้าน ถือจอกกระเบื้องเคลือบสีขาวและโคมไฟไว้ในมือ ผลักประตูไม้ดังแอ๊ดมุ่งไปทางริมทะเล

ปราณกระบี่พุ่งเข้าทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง ผนึกตัวเร็วและละลายเร็ว เพียงช่วงสั้นๆ ที่คึกคักวุ่นวายน้ำแข็งก็ละลายหมดสิ้น น้ำทะเลม้วนเป็นเกลียวคลื่นซัดใส่หินบนหาดและผนังผา กลับเป็นภาพทิวทัศน์ของเกลียวคลื่นขาวดุจหิมะอีกฉาก

แสงจันทร์สาดส่องไปยังคนผู้หนึ่งบนโขดหิน ลมทะเลพัดโชยเสื้อขาวปานหิมะและเส้นผมดำขลับ เพิ่มความเดียวดายให้กับเงาหลังเพรียวโปร่งนั้นอีกสามส่วน

เฉินเวยเฉินมาถึงข้างกายเขา วางสุราลงแล้วนั่งกับพื้น

“วันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนแปด ตรงกับสารทไหว้พระจันทร์พอดี ในแดนมนุษย์เน้นที่การอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า ข้าเห็นข้างกายเจ้ากระบี่เยี่ยมิมีผู้ใดเลย มิสู้อยู่เป็นสหายข้าผ่านคืนนี้เถิด”

“เป็นสหายอย่างไร”

“เป็นสหายดื่มสุรากับข้า”

สุราถูกรินลงจอกเปล่าจนปริ่ม จอกกระเบื้องเคลือบสีขาวสะท้อนสุราใสมีสีค่อนข้างเหลือง แสงจันทร์สาดส่องระลอกกระเพื่อม รอกระทั่งกลิ่นอายสุรากำจาย สีสันยิ่งงดงาม กลิ่นหอมยิ่งจรุงใจ การเคลื่อนไหวของเขาแสนงามสง่าราวกับกำลังดื่มด่ำอมฤต

คุณชายผู้สวมชุดแพรหรูหราจิบก่อนคำหนึ่ง

สุราหมักเองในหมู่บ้าน เผ็ดร้อนปานเปลวเพลิง

“สุราดี” ดวงตาของคุณชายฉายแววชื่นชม

ผ่านไปครู่หนึ่งรอยยิ้มค่อยจางลง หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน กำลังข่มกลั้นความเจ็บปวด

เยี่ยจิ่วหยาแลดูเขา เห็นรอบตัวไม่มีสิ่งใดจึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”

เฉินเวยเฉินแหงนหน้ากรอกสุราเข้าไปอึกใหญ่ หายใจลึกหลายครั้ง มองดูจันทร์กระจ่างกลางทะเล เนิ่นนานจึงคล้ายค่อยยังชั่ว

“มิเป็นไร เป็นอาการป่วยไข้ตั้งแต่กำเนิด” เขาหลุบตา “ความยินดี ความโกรธ ความโศกเศร้า หรือความสนุก โลภะ โทสะ โมหะ คราใดที่เกิดอารมณ์เหล่านี้จะเจ็บปวดหัวใจและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากจิตใจไม่สงบลงจะไม่จางหาย เสียดายที่จิตใจคนเรามิใช่น้ำนิ่งและมักเกิดระลอกคลื่นขึ้น” คุณชายใต้แสงจันทร์ถากถางตนเอง “คาดว่าคงเพราะ ‘มรรคาสวรรค์’ ที่พวกท่านพูดถึงนั้นรังเกียจข้า ไม่เพียงมอบคราเคราะห์ให้ แม้แต่ทุกข์สุขที่เป็นธรรมดาของโลกก็ไม่ยอมให้ข้าแม้แต่น้อย เมื่อครู่เพียงคิดว่าท่านงดงาม กำลังจะรู้สึกยินดี อาการปวดหัวใจก็กำเริบ จึงได้แต่เก็บระงับความยินดี จะว่าไปแล้วชั่วชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยลิ้มรสความดีอกดีใจอย่างแท้จริงเลย”

“เจ้าสามารถบำเพ็ญวิถีฟ้าเบื้องบนลืมรัก” เยี่ยจิ่วหยากล่าวเรียบๆ

เฉินเวยเฉินยื่นจอกสุราให้เขา “เยี่ยจิ่วหยา ท่านช่างไม่เข้าใจบรรยากาศเอาเสียเลย ข้ากำลังเศร้าใจกับตนเอง ท่านกลับจะให้ข้าบำเพ็ญวิถีผีสางที่ฟังชื่อแล้วไร้สาระสิ้นดี”

เยี่ยจิ่วหยาไม่ปฏิเสธ เขารินสุราดื่ม

“ฟ้าเบื้องบนลืมรัก ไร้โศกไร้ยินดี ก็จะไม่ถูกโรคร้ายรังควาน”

เฉินเวยเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่บำเพ็ญ เยี่ยจิ่วหยา ท่านคงไม่ทราบกระมัง ในแดนมนุษย์มีคำพังเพยว่าดื่มพิษดับกระหาย[3]*”

เยี่ยจิ่วหยา “ข้ารู้เพียงแต่การชำระต้นตอทำให้ถูกต้อง”

เฉินเวยเฉินหัวร่อ “ท่านนี่นะ…”

แต่ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น ทั้งสองไม่พูดอีก

พวกเขาไม่เคยรู้จักกัน แต่คืนนี้กลับนั่งลงบนโขดหินเดียวกัน ต่างคนต่างดื่มสุรา ไม่ชนจอกและไม่สนทนา

ปีนี้วันนี้โลกโลกีย์กว้างไกลใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางผู้คนมหาศาลในทะเลมนุษย์ มิทราบมีสักกี่คนที่ยินดี สักกี่คนที่โศกศัลย์ สักกี่คนไร้โศกศัลย์ไร้ยินดี และมีอีกสักกี่คนที่มิอาจโศกศัลย์มิอาจยินดี

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดเฉินเวยเฉินรู้สึกได้ว่าเยี่ยจิ่วหยาค่อยๆ หยุดอากัปกิริยาทั้งปวง

เขาจิบสุราคำหนึ่ง สุรานี้ต่อให้เป็นในโลกหล้าก็ยังเป็นสุราประเภทร้อนแรง ตามหลักแล้วผู้อยู่ในวิถีเซียนชืดชาต่อทุกสิ่งไม่ควรมีของเช่นนี้ อีกอย่างดูแล้วเยี่ยจิ่วหยาน่าจะมิใช่ผู้ดื่มเป็นประจำ

เขาผินหน้าแลดู ก็เห็นคนผู้นี้จ้องจันทราบนทะเลนิ่งสนิทครู่ใหญ่

เฉินเวยเฉินหัวร่อร้องเรียก “เยี่ยจิ่วหยา”

เยี่ยจิ่วหยาหันมาทางเขา

เฉินเวยเฉินถาม “คิดอะไรอยู่”

เยี่ยจิ่วหยาตอบเรียบๆ “มิได้คิด”

“มิได้คิด ไยจึงมีท่าทางหดหู่” ดูเหมือนเฉินเวยเฉินจะนึกสนุก ยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย “ที่นี่ที่ใด”

“ผาชางลั่ง”

“วันนี้ท่านทำอะไร”

เยี่ยจิ่วหยามุ่นคิ้วไม่ตอบ ดูแล้วไม่สู้สบายใจจริงดังคาด

เฉินเวยเฉินช่วยตอบ “เจ้ากระบี่เยี่ยวันนี้รับปากข้าว่าจะพาข้าไปบำเพ็ญเซียน” พูดถึงตรงนี้ก็หัวร่อเอง ถามอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย จิตทั้งสามของข้าลึกตื้นเท่ากัน หลางหรันโหวยังไม่ยอมรับ ไฉนท่านจึงดึงดันว่าธาตุแท้เช่นนี้เหมาะกับการบำเพ็ญธรรมเล่า”

เยี่ยจิ่วหยายังคงไม่ตอบ เพียงมองดู สายตาคล้ายปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง เหมือนชมบุปผาผ่านน้ำ

เฉินเวยเฉินกระเถิบเข้าใกล้ จ้องประสานสายตาโดยไม่กะพริบ “ยังมีผู้อื่นที่มีธาตุแท้เช่นนี้ใช่หรือไม่”

ได้ยินเยี่ยจิ่วหยาตอบเบาๆ คำหนึ่ง เสียงเบามากจนแทบไม่ได้ยิน

เขาตอบว่ามี

เฉินเวยเฉินถาม “ผู้ใด”

เยี่ยจิ่วหยาแลดูอีกฝ่าย อาการเมามายเมื่อครู่สลายสิ้น ยังตื่นตัวและเย็นชา “เฉินเวยเฉิน เจ้ากำลังทำอะไร”

เฉินเวยเฉินยังหัวร่ออย่างไร้สาเหตุ “อยากลวงท่านตอนเมา เมื่อครู่ท่านคิดถึงคนอื่นหรือ นามว่าอะไร คงมิใช่คนรักในฝันกระมัง คนเช่นท่านมีคนรักในฝันด้วยหรือ”

เยี่ยจิ่วหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มิใช่”

เฉินเวยเฉินรินสุราให้ตนเองอีก รินจนหยดสุดท้ายจากไห เขาดื่มจนหมด มองดูเยี่ยจิ่วหยา

“เจ้ากระบี่เยี่ย อดีตมิอาจเรียกคืน” เฉินเวยเฉินยังยิ้มบอกว่า “มิสู้คว้าคนที่อยู่ต่อหน้าดีกว่า” พูดจบเหมือนนึกขึ้นได้จึงสั่นศีรษะ “ไม่ดี ข้าคิดผิด ท่านผู้นี้คงบำเพ็ญ ‘วิถีฟ้าลืมรัก’ อะไรนั่น ฟ้าลืมรักย่อมไม่มีอารมณ์รัก นี่ไม่เพียงไม่รำลึกอดีต กระทั่งอนาคตก็ไม่มุ่งหวังแล้ว”

เขาพูดพลางยิ้มแย้มว่า ‘อนาคตก็ไม่มุ่งหวัง’ เพิ่งขาดคำเทียนในโคมไฟที่เขาถือก็เผาไหม้เปลวสุดท้าย แสงไฟโลดเต้นแล้วดับลง

ทั้งสองสลายตัว ต่างคนต่างไป ทิ้งไว้เพียงจันทราและหมู่ดาว

 

เวินหุยตื่นเพราะเสียงกุกกักตอนเฉินเวยเฉินกลับห้อง

คุณชายเกาะกรอบประตูหน้าซีดเซียว ไหล่ยังสะท้านน้อยๆ คล้ายกำลังเจ็บปวด

เด็กรับใช้แทบจะกระโดดจากเตียงลงมาลากคุณชาย ร้องว่า “คุณชายโรคเก่ากำเริบอีกแล้วหรือ ไม่มีอาการมาหลายปี เพราะดื่มสุรากับคนงามกระมังถึงได้ยินดีปานนี้”

คุณชายทนกับความเจ็บปวด ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยินดีกับผีน่ะสิ ข้าเสียใจแทบตาย”

“เสียใจ?”

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะซักถามอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบว่าเหตุใดจึงเสียใจ เพียงได้ยินคุณชายที่รำคาญคำถามพึมพำก่อนหลับไปในที่สุดว่า “คงเป็นเรื่องเก่าแต่ชาติปางก่อนกระมัง”

 

[1]* เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า อุปมาถึงการคาดหวังในตัวคนคนหนึ่ง แต่คนคนนั้นกลับไม่ได้เก่งหรือดีอย่างที่เราคาดหวังเลยรู้สึกว่าไม่ได้ดั่งใจ

[2]* เรือที่มิได้ผูกโยง เป็นสำนวน อุปมาถึงชีวิตที่ร่อนเร่ไป ไร้การผูกมัด เต็มไปด้วยอิสระ

[3]* ดื่มพิษดับกระหาย เป็นสำนวน หมายถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่สนใจผลร้ายแรงที่จะตามมา

บทที่ 4

ไร้รัก

ตอนเฉินเวยเฉินไปจากชายหาดเป็นเวลาตะวันขึ้นพอดี เมฆลอยเกลื่อนฟ้า

เขาเดินไปบนเส้นทางภูเขาในป่าที่สายหมอกเริ่มจางพร้อมกับเยี่ยจิ่วหยา เซี่ยหลางและเวินหุยติดตามอยู่ข้างหลัง ความสัมพันธ์ของสองคนนี้พัฒนาจนเป็นมิตรภาพที่น่ายินดี คาดว่าคงเพราะชอบพูดเหมือนกัน

…เพียงแต่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังจากข้างหลังเป็นครั้งคราว

“ข้าขอถามนะหลางหรันโหว ท่านตามพวกเรามาด้วยเหตุใดหรือ”

“นั่นเพราะเจ้ากระบี่เยี่ย ในเมื่อได้พบแล้วข้าย่อมต้องตามติดตลอดทาง”

“ท่านกลับเหมือนคุณชายบ้านเรา เป็นพวกเกาะติดไม่ยอมปล่อย…ดีถึงเพียงนั้นจริงหรือ”

“เจ้ากระบี่เยี่ยเป็นคนระดับใด ข้าเพียงอยู่ข้างๆ เงียบๆ ต่อให้ไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยก็อิ่มตาตลอดทาง หากได้เห็นเขาออกกระบี่ ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างก็นับว่าโชคดีมหาศาล คุ้มค่ายิ่งกว่าท่องคัมภีร์หนานหัวจิงร้อยปีเสียอีก”

…ที่แท้ก็ลอบจับจ้องวิทยายุทธ์ของผู้อื่นนี่เอง

“เจ้ากระบี่เยี่ย” เฉินเวยเฉินทนไม่ไหวเอ่ยปากก่อน “วิถีเซียนของท่านได้รับการเทิดทูนจากผู้คนจริงๆ”

คนผู้นั้นยังคงมีสีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนราวกับไม่ได้ยิน

ได้ยินเวินหุยกระซิบอีกครั้งจากข้างหลังว่า “ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียว”

เสียงเซี่ยหลางยิ่งเบา “เจ้ากระบี่เยี่ยมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะเพลงกระบี่ กระบี่ของท่านต่างจากสำนักอื่น มรรคาไร้รักสะบั้นทุกสิ่งผูกพันและทำลายจิตมารได้! จิตมารคืออุปสรรคอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดในเส้นทางบำเพ็ญเซียน แต่ภายใต้พลังกระบี่ไร้รัก ฆ่าฟันสิ่งชั่วร้ายจนถอยห่าง เฮอะ มิอาจต้านทานได้โดยแท้”

“เช่นนั้น…ปีนี้เจ้ากระบี่เยี่ยอายุเท่าใด”

เฉินเวยเฉินดวงตาลุกวาว มองดูสีหน้าเยี่ยจิ่วหยาพลางเงี่ยหูฟัง

“ก็…” เซี่ยหลางกล่าวอย่างขวยเขินว่า “อายุพอๆ กับข้ากระมัง”

เมื่อเห็นสายตาดูแคลนจากเวินหุย เซี่ยหลางจึงรีบกล่าวเสริม

“ความจริงแล้วการบำเพ็ญเซียนเน้นที่การตื่นรู้ของรากปัญญาเป็นสำคัญ ครั้นเยาว์วัยเจ้ากระบี่เยี่ยอาศัยกำลังของตนเพียงผู้เดียวก็สามารถฟื้นฟูสำนักเจี้ยนเก๋อขึ้นมาได้ ส่วนราชันเทพที่จนบัดนี้ยังมิรู้เป็นหรือตายของพวกเรานั้น นับแต่แรกที่เข้าสู่วิถีเซียนก็สามารถใช้กระบี่เดียวเหนี่ยวรั้งธารสวรรค์ ชื่อเสียงลือเลื่องทั้งแผ่นดิน หลังจากนั้นชนะสามจวินสิบสี่โหวอย่างต่อเนื่อง ขึ้นสู่เขาฮว่านตั้งเดินบนเส้นทางเชื่อมสวรรค์ บรรลุจุดสูงสุดของวิถีเซียน นับเป็นความสามารถที่สวรรค์มอบให้โดยแท้”

“ถ้าเช่นนั้นราชันเทพของพวกท่านเปรียบเทียบกับเจ้ากระบี่แล้วเป็นอย่างไร”

“นี่มิอาจทราบได้ ทั้งสองมิได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ท่านผู้นั้นได้รับแต่งตั้งเป็นราชันแห่งวังฝูเทียนเขาฮว่านตั้ง เจ้ากระบี่เยี่ยยังเล็กอยู่เลยและยังมิได้ลงจากเขาเจี้ยนเก๋อ ภายหลังก็ไม่เคยได้ยินว่าทั้งสองท่านเคยพบกัน” เซี่ยหลางถอนใจราวกับยังไม่สาสมใจ ย้อนพูดถึงหัวข้อเมื่อครู่อีก “เห็นได้ว่าเรื่องการบำเพ็ญเซียนเป็นลิขิตฟ้า มิใช่กำลังมนุษย์ คนเช่นคุณชายบ้านเจ้านี้…เฮ้อ”

“…” เฉินเวยเฉินถูกแดกดันเย้ยหยันโดยไร้สาเหตุก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบสนองแบบใด

บังเอิญว่ายามนี้ไอชื้นบนเส้นทางภูเขายังคงไม่จางหาย คนที่สามารถเดินบนพื้นราบก็หกล้มได้เช่นเขายามนี้จึงยิ่งขวัญผวา สาวเท้าอย่างลำบาก เยี่ยจิ่วหยาที่อยู่ข้างๆ เหมือนไม่ได้ยิน ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยแม้แต่น้อย เขาจึงหันไปมองเวินหุยอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง

เด็กรับใช้จำต้องหยุดพูดคุยกระซิบกระซาบกับนักพรตเต๋า ตามขึ้นไปดูแลคุณชายของตนเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงซวยเกินไปจนพลั้งตกหน้าผาตาย

เฉินเวยเฉินถามเยี่ยจิ่วหยา “เจ้ากระบี่ หลังลงจากเขาแล้วท่านจะไปหนใด”

“แดนมนุษย์”

พอเวินหุยได้ยินก็หูไวมือไวรีบชิงพัดจีบมาจากมือของเฉินเวยเฉินทันทีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเผลอโบกพัดจนลืมดูทาง

แต่แม้จะไม่มีเครื่องมือที่ใช้สำหรับเสแสร้งทำท่าทำทางก็มิได้ทำให้ท่วงท่าดั่งงูเจ้าถิ่นของคุณชายแซ่เฉินลดทอนลง “ที่ใดของแดนมนุษย์หรือ…หากเป็นจงโจว ข้าคุ้นเคยดี”

“นครหลวงเก่าของจงโจว”

“เมืองผีจิ่นซิ่ว?”

เยี่ยจิ่วหยาส่งเสียง “อืม” เบาๆ

เซี่ยหลางโบกแส้จามรีคราหนึ่ง “ช่างบังเอิญยิ่ง ผู้ถือพรตจะได้ฝึกการจับผีที่นั่นด้วย”

เวินหุยตัวสั่นงันงก

แผ่นดินแห่งนี้แบ่งเป็นสิบสี่โจว และเป็นที่มาของโหวทั้งสิบสี่

จงโจวใหญ่ที่สุด ส่วนอีกสิบสามโจวเป็นเมืองบริวารซึ่งถูกคั่นด้วยทะเล

หากแดนมนุษย์มีฮ่องเต้องค์ใดยึดครองจงโจวไว้ในกำมือ ครอบครองทั่วหล้าด้วยวิถีแห่งกลอุบายได้ การเป็นใหญ่บนบัลลังก์มังกรย่อมสำเร็จในเร็ววัน

แต่ก็เป็นดังที่ซินแสโจวซึ่งเป็นคนเล่านิทานว่าไว้ แดนมนุษย์แตกแยกมานาน ต่างคนต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ ไม่มียอดคนผู้เปล่งวาจาเพียงคำเดียวทั่วหล้าก็พร้อมน้อมรับคำ ไฟสงครามลุกลามไปทั่ว โดยเฉพาะจงโจวซึ่งรุนแรงที่สุด นอกจากดินแดนที่เจริญที่สุดแห่งสุดท้ายของแคว้นหนานที่ถอยร่นจนถึงชายขอบแล้วก็ไม่มีที่ใดสงบสันติอีกต่อไป

“บิดาและมารดาของข้าเข้มงวดยิ่ง หากจะออกไปต้องโดนดุแน่” เฉินเวยเฉินกล่าว “แต่บัดนี้มีเจ้ากระบี่เยี่ยอยู่ด้วย คิดว่าน่าจะปล่อยข้าไปโดยราบรื่น”

 

คนทั้งสี่ลงจากภูเขา เนื่องจากเฉินเวยเฉินเพียงพาเด็กรับใช้ลอบออกมา ไม่มีรถม้าให้โดยสาร ตลอดทางกลับเมืองจึงเงียบเชียบ

ก่อนจากไปเขายังถูกฮูหยินสกุลเฉินกำชับแล้วกำชับอีก “ห้ามเพิ่มความยุ่งยากแก่ท่านเซียน ไม่ต้องคิดถึงบ้าน” สุดท้ายนางก็ดึงมือเวินหุยไปพร้อมเอ่ย “คอยดูเจ้าตัวร้ายให้ดีนะ”

ที่ใต้ต้นไม้ตรงปากประตูมีดรุณีน้อยคนหนึ่งพิงอยู่ นางแต่งกายเป็นหญิงรับใช้ ดวงตากลมโตมองไปมองมาบนตัวเวินหุย จนกระทั่งอีกฝ่ายใกล้เข้ามาก็แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่งแล้วเดินหนีไป

เวินหุยกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เสี่ยวเถา รอข้ากลับมานะ”

ดรุณีน้อยส่งเสียงร้องฮึผ่านกำแพง ผ่านไปครู่เดียวก็มีผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกท้อถูกโยนมาจากหลังกำแพง

เวินหุยเก็บมันขึ้นมา สีหน้าท่าทางดีใจจนราวกับจะเหาะขึ้นสวรรค์

เฉินเวยเฉินโบกพัดที่มีภาพวาด มองดูอยู่ข้างๆ อย่างอิจฉา เมากลับบ้านคราหนึ่งเปลี่ยนพัดอีกเล่ม หน้าพัดวาดเป็นภาพเก๋งงดงามท่ามกลางภูผาวารีในยามบ้านเมืองรุ่งเรือง ทว่าด้านหลังพัดกลับเขียนบทกวีฟู่[1]* ที่โศกสลดเอาไว้ พอเห็นท่าทางเช่นนั้นของเวินหุยเขาก็กำลังจะออกปากประชด แต่กลับถูกเยี่ยจิ่วหยาชายตาใส่ปราดหนึ่งจนต้องหุบปากและรีบตามไป

ตอนผ่านประตูเมือง บังเอิญเห็นเฒ่าขาเป๋ที่เป็นหมอดูพิงอยู่ที่มุมกำแพง กำลังโคลงศีรษะรับแสงตะวัน

เฉินเวยเฉินเหลือบดูเยี่ยจิ่วหยาทีหนึ่ง เห็นคนผู้นี้ไม่มีท่าทีรำคาญจึงก้าวเข้าไปทักว่า “เฒ่าเป๋ เฒ่าเป๋!”

เฒ่าขาเป๋ลืมตาขึ้นเล็กน้อย “คุณชายเฉินหรือ”

“ข้าผู้เป็นคุณชายจะไปแล้ว ยังไม่รู้จะกลับมาวันใด ท่านก็ไม่ต้องตากลมตากฝนแล้ว ไปพักที่เรือนข้ากินดื่มดีๆ ท่านยินยอมหรือไม่”

“ไม่ยอม” เฒ่าขาเป๋กล่าวเรียบๆ “เรือนท่านไหนเลยจะสุขสบายเหมือนข้างนอก”

“เดาไว้แล้วว่าท่านต้องไม่ยอม” เฉินเวยเฉินกล่าว “ข้าไปแล้วนะ ก่อนไปช่วยทำนายให้หน่อยได้หรือไม่”

เฒ่าขาเป๋หยิบกระบอกไม้ไผ่ผุๆ มาเขย่าคราหนึ่งแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “ขี้เกียจอธิบาย ท่านนำติดตัวไปก็พอ”

เฉินเวยเฉินยิ้มพลางหยิบไม้ติ้วขึ้นมาอันหนึ่งแล้วยัดใส่ห่อสัมภาระบนบ่าของเด็กรับใช้โดยไม่แม้แต่จะมองดู ซ้ำยังไม่บอกลา เพียงแค่หมุนตัวจากไป

“ข้าว่านะ” เซี่ยหลางสะกิดศอกเวินหุยเบาๆ “เขาไม่ถามว่าบำเพ็ญเซียนอย่างไร และไม่ถามว่าเจ้ากระบี่เยี่ยจะทำอะไร จู่ๆ ก็ติดตามมา มิหนำซ้ำก่อนจากยังไม่โศกเศร้า แม้แต่ติ้วเซียมซีก็ยังไม่ดู คุณชายบ้านเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่”

“คนบ้าอย่างไรเล่า” เวินหุยตอบ “เราสองคนเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ไม่เคยแยกกันเลยสักวัน ตั้งแต่เล็กเขาก็นิสัยผีสางเช่นนี้ แก้ไม่หายหรอก”

“วันเดือนปีเดียวกันหรือ…” เซี่ยหลางครุ่นคิด

เฉินเวยเฉินหันกลับมา เลิกคิ้วกล่าวว่า “นักพรตหมอดู ข้าดูแล้วท่านคงดีแต่ทักโน่นทายนี่ตามดวงเกิด เช่นนั้นลองทำนายอาหุยบ้านข้าดูสิ”

เมื่อถูกดูแคลนวิชานักพรตจึงโต้กลับอย่างเดือดดาล “ดวงชะตา! ดวงชะตาคนเราไม่ใช่แค่วันเดือนปีเกิด!”

เฉินเวยเฉินเห็นคนผู้นี้ยั่วโมโหง่ายก็หัวร่ออย่างเบิกบาน ไม่ทันระวังอาการโรคเก่าจึงกำเริบ ท่าทีฮึกเหิมพลันหายไปกว่าครึ่ง เดินตามไปแต่โดยดี

 

เยี่ยจิ่วหยาผู้นี้พูดแล้วทำเลย เขาเริ่มสอนเฉินเวยเฉินบำเพ็ญเซียนอย่างจริงจัง

ไอหนาวเย็นพุ่งทะลวงก่อกวนอยู่ในกระดูกทั่วร่าง เฉินเวยเฉินปวดจนแทบร้องโอดโอยออกมา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหัวสองหัวโผล่จากหน้าต่างของโรงเตี๊ยมเพื่อชมดูความครึกครื้น ให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าชังนัก

“เจ้า…เจ้ากระบี่เยี่ย” เขากล่าวเสียงสั่น “พอประมาณก็พอแล้ว แม้ข้าจะอยากบำเพ็ญเซียน แต่ก็ไม่รีบ”

“นี่เพียงเริ่มต้น” เยี่ยจิ่วหยาสีหน้าไร้ความรู้สึก “เป็นการผลัดเปลี่ยนกระดูกทั่วร่างเป็นกระดูกเซียน จะเป็นพื้นฐานการตื่นรู้ของเจ้าในวันข้างหน้า”

“ข้าต้องตื่นรู้อันใดหรือ”

“ลืม” น้ำเสียงของคนผู้นั้นเหมือนสีหน้า เยือกเย็นไร้ความรู้สึกดุจน้ำแข็ง แม้แต่เนื้อหาคำพูดก็เช่นเดียวกัน “ลืมรากปัญญาแลดวงชะตา ลืมอดีตแลอนาคต มีชีวิตอยู่อย่างเคว้งคว้างล่องลอยจึงจะไม่ถูกร้อยรัดด้วยมรรคาสวรรค์แลโชคชะตา”

“สรุปแล้วก็ยังจะให้ข้าลืมรักอยู่ดี” เฉินเวยเฉินเหงื่อผุดที่หน้าผากเอ่ยเสียงสั่นเครือ แต่พยายามตั้งสติอย่างดื้อรั้น “ท่านบอกว่าเรื่องนี้เคยมีตัวอย่างมาก่อน แต่ข้าไม่ต้องการทำตามตัวอย่างนี้เลย เซี่ยหลางบอกว่าจิตทั้งสามของข้าลึกเท่ากันตื้นเท่ากัน เช่นนั้นก็บำเพ็ญทั้งเซียนพุทธมารเลยเป็นอย่างไร”

ความเจ็บปวดรุนแรงผุดขึ้นจากส่วนลึกของกระดูก เบื้องหน้าเขาดำมืด ทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

จนกระทั่งเยี่ยจิ่วหยาปล่อยมือ เขาก็ราวกับได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินเวยเฉินลืมตา ปะกับสายตาของเยี่ยจิ่วหยาพอดี

“การบำเพ็ญเต๋าคือการบำเพ็ญจิต” คนผู้นั้นกล่าวเรียบๆ “ข้าเพียงผลัดเปลี่ยนกระดูกในเจ็ดวันให้เจ้า เส้นทางที่ลำบากยากเย็นและอุปสรรคนานัปการจากนี้ต่างไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว”

เฉินเวยเฉินจุปากถอนใจว่า “ท่านช่างไร้น้ำใจจริง ช่างเถิด เดิมทีท่านกับข้าแค่คบหากันเพียงเพราะจี้เมี่ยเซียงก้อนหนึ่งเท่านั้น”

 

จนกระทั่งความเจ็บปวดช่วงนี้ผ่านไป ยังอยู่ในสภาพกึ่งตายกึ่งเป็น

เวินหุยกดบ่าเฉินเวยเฉินเอาไว้ “คุณชาย เมื่อครู่ข้าให้เซี่ยหลางช่วยดูรากปัญญาให้ เขาถึงกับบอกว่าข้ามีจิตสัมผัสพิเศษใหญ่โตอะไรนั่น ทางที่ดีที่สุดให้รีบเข้าสำนักเต๋า แล้วเขายังเอาคัมภีร์หนานหัวจิงให้ข้าเล่มหนึ่งด้วย”

เฉินเวยเฉินรู้สึกอิจฉามาก “…ออกไป” พูดจบก็เปลี่ยนความคิด “ช่างเถอะ ไม่ต้องออกไป นำคัมภีร์มาให้ข้าดูหน่อย”

“คุณชายก็อยากบำเพ็ญเต๋าหรือ”

“คุณชายของเจ้าอยากบำเพ็ญทุกอย่าง” เฉินเวยเฉินตอบ “เยี่ยจิ่วหยานั่นน่าจะมีมารผจญอันใด วันๆ นึกถึงแต่ฟ้าเบื้องบนลืมรักไม่ยอมเลิก ข้าจะไม่คล้อยตามเขา”

 

[1]* บทกวีฟู่ เป็นบทกวีรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะของบทกวีผสมผสานกับการเขียนร้อยแก้ว

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: