X
    Categories: everYทดลองอ่านหนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก

ทดลองอ่าน หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1 บทที่ 5-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ทดลองอ่านเรื่อง หนึ่งกระบี่ฝืนมรรคาชะตารัก เล่ม 1

ผู้เขียน :  อีสือซื่อโจว (一十四洲)

แปลโดย : เซี่ยงฉี

ผลงานเรื่อง : 一剑九琊 (Yi Jian Jiu Ya)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

บทที่ 5

ค้างคืน

ออกจากเมืองเยวี่ยเฉิง ผ่านพื้นที่อันรุ่งเรืองสามสี่แห่งจนสุดท้ายก็มาถึงแดนดินอันรกร้าง

หออาคารพังล้ม สระและแท่นเต็มไปด้วยดินและฝุ่น ชายคาหักตกในโคลนตม

จนกระทั่งผ่านช่องเขาอันตรายตามธรรมชาติ ออกจากด่านป้องกันถึงพื้นที่นอกเขตแดนของแคว้นหนานก็ยิ่งรกร้างวังเวง ในระยะร้อยหลี่ไร้ผู้คน

ริมทางมีสุนัขที่ผอมแห้งเหมือนท่อนฟืนคาบกระดูกขาวเกลี้ยงเกลามาจากที่ใดไม่รู้ มันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ริมทาง ปากคาบไว้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ขึ้นเหนือไปอีกมีเมืองร้างแห่งหนึ่งเป็นเมืองใหญ่โต น่าเสียดายที่คูน้ำป้องกันเมืองแห้งขอดแล้ว

เฉินเวยเฉินวางคัมภีร์หนานหัวจิงในมือลง มองดูทิวทัศน์ผ่านช่องหน้าต่างรถม้า และกล่าวกับเด็กรับใช้อย่างอวดความรู้ว่า “นี่น่าจะเป็นเมืองซั่งจิ่น ยามราชวงศ์รุ่งเรืองถึงขีดสุด ความเจริญทัดเทียมเมืองเยวี่ยเฉิง เสียดายที่วอดวายเพราะไฟสงคราม”

ยามที่สัญจรอยู่ในเมืองก็เห็นแต่บ้านเรือนดำเมี่ยมเพราะเปลวเพลิง ข้างทางมีกระดูกมนุษย์ประปราย

“หนึ่งปีให้หลังข้าผู้เป็นคุณชายจะลงสู่ปรภพไปเป็นสหายกับพี่น้องเหล่านี้แล้ว เมื่อร่างกายนี้ดับสูญ ไม่มีใครจำใครได้อีก ดีมาก ประเสริฐที่สุด”

เวินหุยโบกมือแสดงท่าทีว่าไม่อยากสนใจคำพูดเหลวไหลของเขาอีก แล้วจึงเข้าไปกระซิบใกล้ๆ ข้างหูว่า “คุณชาย ต่างก็บอกว่าเซียนจะฆ่าภูตผีกำจัดมารทำตามมรรคาสวรรค์ แต่ในใจของพวกเรานั้นทุกข์จากภัยสงครามยิ่งกว่าเภทภัยจากภูตผีมารร้ายเสียอีก ไยพวกเขาจึงไม่เหลียวแลเล่า”

ว่าแล้วยังลอบชำเลืองดูเซี่ยหลางที่กำลังตั้งอกตั้งใจเล่นกับแมว และเยี่ยจิ่วหยาที่มัวแต่เช็ดถูกระบี่ช้าๆ

เฉินเวยเฉินกล่าวอย่างชื่นชมว่า “เจ้าถามได้ดีมาก ไม่เสียทีที่ฟังซินแสโจวเล่านิทานมาสิบกว่าปี”

ภายในรถม้าที่โคลงเคลง เสียงเขาไม่ดังไม่เบา “เวทนาสงสารราษฎรคืออริยปราชญ์มิใช่เซียน แต่ในสายตาของเหล่าเซียนไม่มีสรรพสัตว์มีแต่มรรคาสวรรค์ มีแต่ชีวิตอมตะ มีหรือจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องจิปาถะของแดนมนุษย์”

เซี่ยหลางมองดูกระดูกขาวและฝูงกายามสนธยาข้างนอก ลูบแมวในอ้อมอก “มรรคาสวรรค์ย่อมมีลิขิต โชคเคราะห์แดนมนุษย์ขึ้นอยู่กับเหตุและผล พวกเรามิอาจสอดแทรก”

เฉินเวยเฉินพูดต่อ “ฆ่าภูตผีกำจัดมารอสูรคือมรรคาสวรรค์ ไม่สอดแทรกเรื่องแดนมนุษย์ก็เป็นมรรคาสวรรค์ เรื่องที่ซินแสโจวชอบเล่าที่สุดก็คือเรื่องครานั้นที่ราชันเทพเยี่ยนกระบี่เดียวเหนี่ยวรั้งธารสวรรค์ซึ่งกำลังจะล่มสลาย รักษากำแพงขวางกั้นระหว่างเซียนกับอสูรไว้ได้ ช่วยสรรพสัตว์ในโลก…หากศึกษาถึงแก่นแท้ของสาเหตุ ยังเป็นเพราะพวกเซียนต้องการปกป้องตนเอง เพราะหากกำแพงกั้นขวางเซียนกับอสูรพังลง ยังจะเหลือแดนสงบให้บำเพ็ญเซียนอีกหรือ เห็นได้ว่าแม้จะเป็นเหล่าเซียนและราชันเทพก็ใช่ว่าจะเป็นตัวดี”

เซี่ยหลางกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เห็นได้ว่าจิตเต๋าของท่านไม่แจ่มแจ้งเอาเสียเลย”

แต่เฉินเวยเฉินหัวร่อ “ข้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับราชันเทพผู้นั้นของพวกท่านมิได้หรือไร”

 

ขึ้นไปทางเหนือของเมืองซั่งจิ่น เศษเสี้ยวตัวเมืองที่หลงเหลือยิ่งน้อย จนกระทั่งอาทิตย์สนธยาลับเหลี่ยมเขา ม่านราตรีกำลังจะคลุมลงจึงค่อยถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีคนอาศัย ควันจากการหุงต้มล่องลอยกระจายไปทั่ว เสียงสตรีร้องเรียกบุตรของตนให้รีบกลับบ้าน แต่งแต้มกลิ่นอายมนุษย์ให้กับยามพลบของดินแดนร้างนี้

เฉินเวยเฉินเคาะประตูเรือนหลังหนึ่งถามว่าจะขอที่พักอาศัยได้หรือไม่ บุรุษที่เปิดประตูเห็นเป็นคนนอกสีหน้าก็พลันเคร่งเครียดระวังตัว โบกมือเอ่ย “ที่หัวหมู่บ้านทางเหนือ เรือนของอาจารย์สอนหนังสือมีห้องว่างอยู่”

นี่เท่ากับโดนไล่ พวกเขาจึงไปยังทางเหนือของหมู่บ้าน

“โมงยามวุ่นวายเยี่ยงนี้ยังมีอาจารย์สอนหนังสืออีก แปลกจริง” เฉินเวยเฉินพึมพำขณะเข้าใกล้เรือนหลังนั้น

หลังจากเดินผ่านแปลงผัก ผ่านหน้าต่างรับลม ก็เห็นบัณฑิตสภาพซอมซ่อหน้าตาคมคายกำลังสอนเด็กหลายคนทำนองว่า “รักอันยิ่งใหญ่ลึกซึ้งเรียกว่าเมตตาธรรม ดำเนินตามวิถีเรียกคุณธรรม”

แต่กลียุคยังมีผู้ใดคำนึงถึงคุณธรรมเมตตาธรรมเล่า

เมื่อเด็กนักเรียนผอมกะหร่องหน้าตาเหลืองซีดหลายคนรอจนเขาอธิบายตำราอริยปราชญ์วันนี้จบก็แตกฮือสลายตัว วิ่งน้ำมูกย้อยตะบึงกลับบ้านที่มีแต่โจ๊กใสๆ รสจืดชืดรออยู่

บัณฑิตซอมซ่อถอนใจปิดตำรา เหลือบมองไปก็ปะกับใบหน้าของเฉินเวยเฉินโดยไม่ตั้งใจพอดี

เขางงงันวูบหนึ่งแล้วถามว่า “คุณชายท่านนี้ ท่านคือ…”

จนกระทั่งรู้ว่าหลายคนที่จะมาหาที่พักนี้มาจากดินแดนแคว้นหนาน แววตาบัณฑิตก็ทอความเลื่อมใส

“ไว้รอให้ถึงฤดูวสันต์ข้าก็จะไปรับราชการที่แคว้นหนานเช่นกัน บัดนี้ฝูงจิ้งจอกจับจ้องทุกทิศคือจังหวะที่ราชสำนักต้องการบัณฑิตเยี่ยงพวกเราที่สุด”

เฉินเวยเฉินเงียบงัน

ภายในเรือนส่วนที่น่าจะเป็นห้องครัวมีควันหุงต้มลอยออกมา มีสตรีนางหนึ่งผลักประตูไม้เปิดออกกึ่งหนึ่ง พอเห็นข้างนอกมีแขกก็พลันไม่รู้ว่าตนควรออกไปต้อนรับหรือควรหลบดี

“อาซู” บัณฑิตเรียกนาง ไม่ได้ถือสาอะไร

“ประหลาด” เซี่ยหลางที่อยู่ข้างกายเฉินเวยเฉินพูดเบาๆ “ชิงหยวนน้องสาวข้า ตั้งแต่เห็นบัณฑิตผู้นี้ก็ไม่สู้ปกติ ส่วนข้าดูแล้วคนผู้นี้มีโชคมาก แต่กลับมีกลิ่นอายโลหิต”

ระหว่างพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร จึงได้ทราบว่าบัณฑิตผู้นี้มีนามว่าจวงไป๋หาน เดิมครอบครัวมั่งมี วัยเด็กเคยเรียนหนังสือจากสำนักศึกษาในเมืองและแต่งงานกับบุตรีของอาจารย์ผู้มีพระคุณ จนใจที่ประสบภัยสงครามจึงตกยากถึงที่นี่

พอพบว่าหลายคนนี้ไม่ธรรมดาก็มิแข็งมิอ่อน สนทนาพาทีไม่ธรรมดา นับเป็นผู้ทรงภูมิจิตใจลึกซึ้ง

หลังอาหารมื้อค่ำก็ยังเก็บกวาดห้องพักให้ ห้องว่างสองห้อง ชวนให้รู้สึกแปลกพิลึกทีเดียว เฉินเวยเฉินจัดการให้เวินหุยพักห้องเดียวกับเซี่ยหลางและแมว ส่วนตนพักห้องเดียวกับเยี่ยจิ่วหยา

“เวลานี้บัณฑิตที่ตั้งอกตั้งใจจะเป็นปราชญ์มีน้อยยิ่งกว่าน้อย” เฉินเวยเฉินค่อนข้างยินดีและไม่สนใจที่เยี่ยจิ่วหยาอยู่ด้วย “เพียงแต่คนแคว้นหนานมัวเมากับสุรานารี ไม่คิดคำนึงเรื่องการฟื้นฟูบ้านเมือง เขาไปแล้วคงผิดหวัง”

พูดยังไม่ทันขาดคำฝักกระบี่ก็พาดขวางลำคอ กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่าน กักเขาไว้ที่มุมห้องไม่อาจขยับได้

“เฉินเวยเฉิน” เยี่ยจิ่วหยาเรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ แววตาลึกล้ำ “เจ้าคือผู้ใดกันแน่”

คุณชายที่เมื่อครู่เพิ่งพูดโอ้อวดความรู้ไปทั่ว พอเผชิญกับการคุกคามถึงชีวิต ความทะนงองอาจพลันเหือดหายหมดสิ้น

“เจ้ากระบี่เยี่ย อย่าวู่วาม” เขาหัวร่อแหะๆ

ฝักกระบี่ยิ่งชิดลำคอ

“ข้าบอก ข้าบอกแล้ว” เขาทำท่าทางว่าจะสารภาพตามความจริงแต่โดยดี “เฉินเวยเฉินเป็นชาวเมืองเยวี่ยเฉิง บิดาเป็นเจ้าเมือง มารดาเป็นธิดาคนโตของคหบดีจ้าวเฉวียนแห่งเยวี่ยเฉิง ปีนี้อายุสิบเก้า ยังไม่แต่งงานและไม่มีคู่หมั้นหมาย” เขาเงยหน้าสบสายตาเย็นชาของเยี่ยจิ่วหยาแล้วพูดต่อ “…มีเพียงเท่านี้ หากท่านไม่เชื่อในที่ว่าการเมืองมีสมุดทะเบียนเรือนเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน”

“ไยจึงบำเพ็ญเซียน”

เฉินเวยเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “เรื่องนี้น่ะหรือ บังเอิญข้ามีความชมชอบเล็กๆ ในเรื่องตัดแขนเสื้อ[1]* หลงใหลในความสง่างดงามไม่มีใดเทียมของเจ้ากระบี่เยี่ย เกิดเคลิบเคลิ้มไม่รู้ตัว เพียงอยากใกล้ชิดสักครา…โอ้!”

พริบตานั้นกระบี่ก็ออกจากฝัก ประกายกระบี่จี้ลงบนคอหอย

เฉินเวยเฉินใช้สองนิ้วคีบกระบี่ ค่อยๆ ผลักมันออกไป

“ก็แค่คนที่กำลังจะตายคนหนึ่งเท่านั้น ไยเจ้ากระบี่เยี่ยจึงต้องใส่ใจถึงเพียงนี้ สามารถถกวิถีเซียนกับหลางหรันโหว ก็แค่เพราะเคยอ่านหนังสือไม่เป็นเรื่องเป็นราวและปกติชอบคิดเหลวไหลฟุ้งซ่านเท่านั้น” เฉินเวยเฉินเอ่ยเสียงเบาลงแต่ท้ายที่สุดก็ยังเก็บอาการหยอกเย้าไว้ “สรุปแล้วไม่มีเจตนาร้ายใดๆ ต่อเจ้ากระบี่เลย”

 

เรือนซอมซ่อ เสียงจึงดังผ่านผนังไปถึงห้องข้างๆ อย่างง่ายดาย

เวินหุยที่อยู่ห้องติดกันมือปิดหน้า ทอดถอนใจให้กับความหน้าหนาของคุณชายตน ส่วนเซี่ยหลางเดือดดาลจนแทบเต้น “อยากใกล้ชิดสักครา…อยากใกล้ชิดสักครา! เจ้ากระบี่เยี่ยเป็นคนระดับใด คุณชายบ้านเจ้าไฉนจึงรุ่มร่ามเช่นนี้”

เวินหุยฉุดตัวอีกฝ่ายไว้ “คุณชายบ้านข้าวิกลจริตอยู่แล้ว ชอบพูดจาเหลวไหล ท่านอย่าถือสา อย่าถือสา”

 

เยี่ยจิ่วหยาจ้องเฉินเวยเฉินหลายตลบ เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินไปที่เตียง

เฉินเวยเฉินรีบเข้าไปปูเตียงทันที ซักถามโน่นนี่อย่างห่วงใย หลังจากเผชิญหน้ากับความเย็นชาน่าเบื่ออยู่พักหนึ่งก็ได้แต่ไปจัดแจงที่นอนของตนเอง

แน่นอนว่าเป็นที่พื้น

แสงจันทร์ส่องเข้าทางหน้าต่าง หันหน้าไปก็เห็นสภาพบนเตียงได้

คนผู้นั้นวางกระบี่ไว้ข้างหมอน บนกระบี่ยังสลักชื่อกระบี่ไว้ด้วย เป็นอักษรสองตัวคือคำว่า ‘จิ่วหยา’ ลายมือกร้าวแกร่ง เย็นเยือกรุนแรง

เฉินเวยเฉินมองกระบี่ มองตัวอักษร

กระบี่เป็นกระบี่ชั้นดี อักษรก็เขียนได้ดี

เป็นกระบี่ที่ตีจากเหล็กนิลในแดนหิมะสุดขั้วเหนือแสนหนาวเหน็บแล้วจึงเสาะหาช่างที่หลอมกระบี่มาหลายชั่วคนจากเหวลึกสุดขั้วใต้ ขณะหลอมกระบี่ก็มีเพลิงใหญ่เผาผลาญเจ็ดวันไม่เคยดับ แช่ด้วยน้ำแข็งจากสุดขั้วเหนือ ควันที่เกิดขึ้นทะลุฟ้า สำเร็จเป็นกระบี่วิเศษไร้เทียมทาน

หลังจากนั้นช่างหลอมกระบี่จึงถามว่าจะตั้งชื่ออะไร

คำตอบของเขาคือ ‘ยังมิได้คิด’

เช่นนั้นจึงเลยตามเลย ให้ชื่อเหมือนเจ้าของไปก่อนว่าจิ่วหยา

แสงจันทร์สาดส่องผ่านซี่หน้าต่าง ทิ้งเงาจางๆ ไว้ใต้แพขนตาของเฉินเวยเฉิน กลบเกลื่อนแววตาไป ชั่วครู่หนึ่งราวกับเห็นสีสันอ่อนโยนจับต้องได้ยาก คล้ายมีคล้ายไม่มี

 

[1]* ตัดแขนเสื้อ หมายถึงชายที่ชมชอบเพศเดียวกัน มีที่มาจากพระเจ้าฮั่นอายตี้กับชายรับใช้ชื่อต่งเสียนในประวัติศาสตร์สมัยฮั่น ขณะที่ทั้งสองนอนหลับกลางวันด้วยกัน พระเจ้าฮั่นอายตี้ตื่นบรรทมก่อน แต่แขนเสื้อถูกต่งเสียนนอนทับอยู่ จึงทรงตัดแขนเสื้อตนเองทิ้งเพราะไม่อยากกวนต่งเสียนให้ตื่น

บทที่ 6

คันฉ่องบุปผา

ราตรีฤดูคิมหันต์เย็นเหมือนน้ำ ราตรีฤดูสารทหนาวดุจน้ำแข็ง คนนั่งบนเตียงย่อมไม่รู้สึก แต่เฉินเวยเฉินเป็นกายเนื้อธรรมดาสามัญ อีกทั้งเป็นร่างที่กำเนิดบนกองเงินกองทองกองแพรต่วนที่ได้รับการประคบประหงมเป็นอย่างดี

ไอหนาวแผ่ซ่านผ่านพื้นดินสู่ร่าง อาการเรื้อรังทำเอาหัวใจเจ็บแปลบเป็นระยะ เขานอนไม่หลับจึงลุกขึ้นมองดูจันทร์บนฟ้า แสงเงินอาบลานเรือน ม่านราตรีกลบความรกร้างวังเวงของกลางวัน ดูแล้วกลับเป็นภาพที่ดีและเงียบสงัด

สายตาของเฉินเวยเฉินเคลื่อนช้าๆ ไปกลางลานเรือน เห็นริมหน้าต่างมีต้นไม้ที่ยังไม่โตต้นหนึ่ง แล้วเขาก็สบตากับสตรีที่ซุกอยู่ใต้ต้นไม้พอดี

เฉินเวยเฉิน “…”

ด้วยนิสัยของคุณชายเฉิน ยามนี้ต้องถามอย่างสุภาพสักคำว่า ‘แม่นางมายามราตรีพร่างดารา มีธุระอันใด’ แต่เนื่องจากข้างหลังยังมีคนและไม่รู้ว่าหลับหรือยัง หากหลับแล้วส่งเสียงก็อาจรบกวนการนอน นั่นย่อมไม่งาม

ดังนั้นทั้งสองจึงจ้องตากัน บรรยากาศกระอักกระอ่วน

และแล้วเฉินเวยเฉินจึงลอบออกจากประตูไปอย่างเงียบเชียบ สตรีนางนั้นก็ตามติดไปเช่นกัน

นางกล่าวว่า “ท่านเซียนท่านนี้”

คุณชายเฉินเอ่ยว่า “แม่นางอาซู ข้ามิใช่เซียน”

สตรีบ้านสกุลจวงถอนใจเบาๆ “ข้าก็คิดว่ามิใช่”

เฉินเวยเฉินยิ้มน้อยๆ เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา ยามแย้มยิ้มจึงเหมือนดอกท้อแตะน้ำ แสงจันทร์บนยอดหลิว ชวนให้ผู้คนหลงใหล “แม่นางทราบได้อย่างไร”

อาซูก้มหน้าอย่างเขินอาย “ข้ามิใช่มนุษย์ ข้าเป็นปีศาจ”

เฉินเวยเฉินถอนใจชื่นชม “บัณฑิตกับภูตปีศาจเป็นนิทานที่ดี คุณชายจวงมิใช่บอกว่าแต่งกับบุตรีของท่านอาจารย์หรอกหรือ”

“สตรีที่ยังไม่ออกเรือน ไหนเลยจะให้บุรุษเห็นโฉมหน้าได้ ท่านพี่ไม่รู้จักโฉมหน้าคุณหนู ส่วนครอบครัวของท่านอาจารย์เสียชีวิตหมดในภัยสงคราม ข้าช่วยท่านพี่ไว้ที่นอกเมือง โกหกว่าข้าเองก็หนีภัยออกมา เป็นบุตรีของท่านอาจารย์ เคยบังเอิญเห็นหน้าตาเขาจากบนห้องหอ” อาซูกล่าวเสียงเบา “เผ่าพันธุ์ของข้าอาศัยในสำนักศึกษาหลังเขามาหลายรุ่นจึงรู้หนังสือและพอจะรู้ตำราบทกวีบ้าง ดังนั้นท่านพี่จึงเชื่อโดยไม่สงสัย”

“พบพานในราตรีพร่างดารา มิทราบแม่นางมีธุระอันใด”

อาซูกัดริมฝีปากงดงาม “ข้ามิกล้าไปหาอีกคน”

เฉินเวยเฉินพยักหน้า “ข้าเองก็มิกล้า”

จู่ๆ อาซูก็คุกเข่า

เฉินเวยเฉินพยุงไม่ทันจึงได้แต่แลดู

“คุณชาย อาซูใคร่ขอของสิ่งหนึ่ง”

“สิ่งใด”

“ข้าไม่รู้”

เฉินเวยเฉิน “…”

อาซูพูดต่อ “ข้ารู้แต่ว่าของอยู่บนตัวคนผู้นั้น ปีศาจจะสามารถมองเห็นลิขิตฟ้าได้เล็กน้อย บนตัวเขาจะต้องมีสิ่งของที่มีพลังโชคลาภรุนแรงที่สุด แต่โบราณมามนุษย์กับปีศาจต่างวิถี ท่านพี่ของข้าเป็นมนุษย์ ส่วนข้าเป็นปีศาจที่มีพลังอินชั่วร้าย หากปล่อยไปเช่นนี้เนิ่นนานเข้าจะเป็นภัยต่อร่างกายของเขา

สิ่งที่ท่านเซียนท่านนั้นพกติดตัว พลังโชคแกร่งกล้าทะลุฟ้า มีเพียงหยดเลือดบริสุทธิ์จากหัวใจของสัตว์มงคลยุคบรรพกาลจึงจะเป็นเช่นนี้ อาซูขอเพียงหนึ่งหยดหรือครึ่งหยดก็พอ และจะไม่รบกวนท่านเซียนอีกเลย”

ดวงตาเฉินเวยเฉินทอแววสนใจ “แม่นางได้ไปแล้วจักทำอันใด”

“ข้าจะกิน หลังกินแล้วจะขจัดปราณชั่วร้ายบนตัวได้หมด นับแต่นี้ก็จะได้เคียงคู่กับเขา”

“หากเป็นเช่นนี้ร่างปีศาจที่เกิดจากการบำเพ็ญเพียรก็จะพลอยสลายไปด้วย”

“ข้าเข้าใจ แต่ข้าปรารถนาเช่นนี้”

“ในเมื่อเจ้าตั้งใจเช่นนี้ข้าจะไม่ปฏิเสธ” เฉินเวยเฉินถาม “แล้วจะตอบแทนอย่างไร”

ปีศาจพูดทีละคำ จริงจังและเด็ดขาด “ข้าเป็นเพียงปีศาจธรรมดาที่บำเพ็ญจนสำเร็จ จึงมีเพียงคันฉ่องอันหนึ่งที่ตกทอดจากเผ่าพันธุ์และขลุ่ยถูซานหนึ่งเลา บัดนี้ล้วนยกให้คุณชายได้ ชีวิตมีเพียงหนึ่ง หากเมื่อใดที่คุณชายเผชิญกับเภทภัย อาซูแม้จะบำเพ็ญตบะมาน้อย แต่ยินดีตอบแทนด้วยชีวิต”

“แม่นางอาซู” เฉินเวยเฉินมิได้บอกว่ารับปากหรือไม่รับปาก หากแต่ถามว่า “หากไม่ได้เจอกับข้า หรือข้ามิยินยอม จับเจ้าไปให้นักพรตปราบปีศาจ เจ้าจักทำเช่นไร”

“หากโชคชะตาเป็นเยี่ยงนั้นข้าก็ได้แต่ยอมรับโดยดุษณี แต่บัดนี้มีวาสนาและโอกาส ข้าย่อมต้องขอร้อง” นางก้มศีรษะ “ข้ามิเคยกระทำสิ่งชั่วร้ายจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องสังหารข้า หากแม้ต้องการจะขจัดมารอสูรจริง ข้าย่อมสู้ไม่ไหว เพียงขอตายห่างจากหมู่บ้านนี้สักหน่อย อย่าให้ท่านพี่ข้ารู้เข้า”

เฉินเวยเฉินจ้องนาง กล่าวว่า “นำคันฉ่องและขลุ่ยให้ข้าก็พอ ชีวิตไม่ต้อง”

อาซูสะอื้นออกมาคราหนึ่ง ถึงกับน้ำตาหลั่งริน “อาซูขอขอบคุณคุณชายที่ไว้ชีวิต เมื่อใดที่คุณชายต้องการจะมอบให้ทุกเวลา”

“ชีวิตน่ะข้าไม่ต้องใช้ แต่แม่นาง…” เฉินเวยเฉินกล่าวกับนางว่า “เขาศึกษาตำราปราชญ์ วันข้างหน้าจักต้องเป็นอริยบุคคล การรักเขาลึกซึ้งเกินไปไม่แน่ว่าจะดี เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

“คิดดีแล้ว” อาซูโขกศีรษะให้ “คุณชายบอกว่าข้ารักเขาลึกซึ้งเกินไป แต่ท่านไม่รู้ว่าเขาก็เป็นเช่นเดียวกับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้อาซูไม่มีอะไรให้เสียใจอีก” พูดจบก็เงยหน้าบอกว่า “ขลุ่ยถูซานสามารถควบคุมสุนัขจิ้งจอกได้ ส่วนคันฉ่องใช้ส่องใจทำลายภาพหลอน…”

“ข้ารู้แล้ว” ดวงตาของเฉินเวยเฉินฉายแววยิ้ม นิ้วมือเรียวยาวแตะที่ริมฝีปากนาง แลดูห้องหับในลานเรือนที่จุดเทียนเล่มหนึ่ง “กลับห้องไปเถิด เขามาหาเจ้าแล้ว”

และแล้วก็มีเสียงบัณฑิตตามมาจริงดังคาด “น้องหญิง? เจ้าไปที่ใดแล้ว ไฉนจึงนานเพียงนี้”

อาซูรีบลุกขึ้น คารวะคุณชายแล้วมุ่งไปทางห้อง

ยังพอได้ยินเสียงอ่อนหวานแว่วมา “เพียงตื่นขึ้นกลางดึก เห็นบุปผางามจันทร์กระจ่างจึงรีรออยู่ที่ลานเรือนครู่หนึ่ง”

บัณฑิตหัวร่อ “น้องหญิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูก โอกาสดีๆ ภาพงดงาม ควรเรียกข้าผู้เป็นสามีไปชมด้วยจึงจะถูก”

เสียงเปี่ยมด้วยความรักแว่วมาอีก “เห็นท่านหลับสนิท ไม่อาจตัดใจรบกวน”

ใต้หน้าต่างปลูกดอกซิ่วฉิว[1]* สองสามกอ ฟากฟ้าแขวนด้วยจันทราสีเงิน ยามดึกสงัดกลับเป็นภาพบุปผางามจันทร์กระจ่างอย่างแท้จริง

ความวุ่นวายใดๆ ในโลกแปรเปลี่ยนตามวิถี แต่ที่สุขสงบที่สุด น่ายินดีที่สุด มิมีใดเกินหวีของแม่สื่อที่สางผมให้เจ้าสาว แลสตรีร่างน้อยอิงแอบในอ้อมกอดของสามีใต้แสงจันทร์

เฉินเวยเฉินมองดูคันฉ่องในมือ

คันฉ่องบุปผาส่องใต้แสงจันทร์จะเห็นคนในดวงใจ

เนิ่นนานนักแสงจันทร์ตกกระทบสู่ดวงตา ระบายออกมาเป็นความสับสนเวิ้งว้าง

“ตั้งชื่อไว้ดีจริง” เขาพูดกับตนเอง “แต่ก็แค่บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี[2]** คนในดวงใจอะไรกัน”

หลังจากนั้นเสียงกระซิบกระซาบในห้องหอก็เงียบลง ไฟดับแล้ว ส่วนห้องที่ตนพักนั้นไม่มีความเคลื่อนไหว เมื่อเทียบกันแล้วคุณชายเฉินก็อดทอดถอนใจอีกครามิได้ ทางนั้นภรรยาออกจากห้องไม่กลับ ทว่ามีสามีคอยอยู่ แม้จะลอบออกมาเงียบๆ เช่นเดียวกัน แต่ที่รอคอยตนอยู่เป็นเพียงเตียงผ้าห่มเย็นเฉียบเท่านั้น

เขาผลักเปิดประตูอย่างหงอยเหงาซึมเซา “เอ้อ เจ้ากระบี่เยี่ย…”

เห็นเจ้ากระบี่เยี่ยในชุดขาวยืนอยู่กลางห้อง จ้องมาที่ตนอย่างเย็นชา

ดังนั้นจึงเลียนแบบอาซูที่กลับเข้าห้องช้า กล่าวว่า “เพียงเห็นบุปผางามจันทร์กระจ่างจึงรีรออยู่ที่ลานเรือนครู่หนึ่ง”

จากนั้นก็จินตนาการเองว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าจะเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า ‘ร่วมกันชมบุปผางามจันทร์กระจ่าง’ และเหมือนตอนที่เวินหุยเก็บผ้าเช็ดหน้าสื่อรักของเสี่ยวเถาได้ ดีใจจนแทบจะบินขึ้นฟ้า

ทว่าความจริงมิได้เป็นตามที่คุณชายเฉินคิด

“เฉินเวยเฉิน คราวหน้าก่อนจะพูดเช่นนี้” แววตาเย็นชาของเยี่ยจิ่วหยายิ่งไม่สบอารมณ์ “จำไว้ว่าเก็บของก่อน”

เฉินเวยเฉินถอนใจยาว ยังดีนะ ยังมีคราวหน้า ไม่โดนเล่นงานจนตายเสียแต่ตอนนี้

“เจ้ากระบี่เยี่ยหูไวตาไว ปิดท่านไม่อยู่” เขาเก็บคันฉ่องบุปผาในมือ ยิ้มพลางกล่าวว่า “แบ่งโลหิตไคหยางให้ข้าสักหยดได้หรือไม่”

“จะเป็นการรบกวนโชคของแดนมนุษย์”

“ท่านให้ข้าเป็นการกระทำของท่าน ข้าให้ปีศาจเป็นการกระทำของข้า หากทำให้แดนมนุษย์ปั่นป่วนจริงก็มิใช่ความผิดของท่าน” คุณชายเฉินพลันเก็บท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจทุกข์ร้อนอะไร จ้องเยี่ยจิ่วหยาตรงๆ เอ่ยชัดเจนทีละคำว่า “อีกอย่างเจ้ากระบี่เยี่ยเก็บโลหิตไคหยางจากหัวใจของหงส์กำเนิดใหม่ ณ รังหงสา สังหารจิงหนี[3]* ที่ทะเลบูรพา ฆ่าเจียวหลง (มังกรวารี)[4]** จนได้จี้เมี่ยเซียง บัดนี้ยังจะไปนครหลวงเก่าของจงโจวเพื่อหาจิ่นซิ่วฮุย (ขี้เถ้าแพรไหม) ท่านได้ของเหล่านี้ไม่กลัวจะทำให้พลังโชคปั่นป่วนหรือ การไปแตะต้องเหตุและผล บาปกรรมติดตัวอาจไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดกาล”

“เจ้ารู้เรื่องโลหิตไคหยางกับจิ่นซิ่วฮุยได้อย่างไร”

“เดา” เฉินเวยเฉินตอบ “ปีศาจนั่นบอกว่าบนตัวท่านมีของซึ่งมีพลังโชคแข็งแกร่งมาก คิดดูแล้วในตัวข้ามีสิ่งอัปมงคลสุดแสนคือจี้เมี่ยเซียง ย่อมมั่นใจได้แปดส่วนว่าในมือท่านน่าจะเป็นโลหิตไคหยาง ท่านจะไปนครหลวงเก่า คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับสิ่งนำโชคเช่นกัน เมืองผีจิ่นซิ่วนอกจากจิ่นซิ่วฮุยแล้วยังจะมีอะไรอีกเล่า”

เยี่ยจิ่วหยาสีหน้าไม่เปลี่ยน ในมือปรากฏขวดหยกโปร่งใสนวลเนียนขึ้นมา เปลวเพลิงแดงฉานบาดตาภายในขวดแทบจะส่องจนแดงฉานทั่วห้อง

“เฉินเวยเฉิน โลหิตไคหยางหนึ่งหยด แต่ตอบข้าอีกครั้ง” น้ำเสียงของเขาดุดัน “เจ้าเป็นใคร”

 

[1]* ดอกซิ่วฉิว หรือดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) ส่วนใหญ่จะมีสีขาว แต่บางชนิดอาจเป็นสีน้ำเงิน แดง ชมพู หรือม่วง

[2]** บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี เป็นสำนวน ใช้อุปมาถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แม้งดงามแต่ไม่เป็นความจริงหรือไม่จีรังยั่งยืน

[3]* จิงหนี แปลว่าวาฬ หรือใช้อุปมาถึงศัตรูที่โหดร้าย

[4]** เจียวหลง (มังกรวารี) ตามตำนานเล่าว่าเป็นสัตว์วิเศษ สามารถทำให้เกิดอุทกภัยได้ และหากบำเพ็ญเพียรนับพันปีก็จะกลายเป็นมังกร ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วมังกรวารีและมังกรก็คือคำเรียกขานถึงมังกรในช่วงอายุที่แตกต่างกัน โดยรูปร่างของมังกรวารีนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับงู มีขาสี่ขา

บทที่ 7

คนเก่าก่อน

เนื่องจากมิได้จงใจลดเสียงจึงทำเอาเวินหุยและเซี่ยหลางที่อยู่ห้องติดกันตกใจตื่น ทั้งสองรีบแนบตัวชิดฝาผนัง เงี่ยหูฟังอย่างขวัญผวา

เซี่ยหลางกระซิบ “ข้าว่าแล้ว คุณชายบ้านเจ้าต้องมีความเป็นมา”

เวินหุยเกาศีรษะ “ข้ากับคุณชายโตมาด้วยกัน เขานอกจากดวงไม่ค่อยดีแล้วก็ไม่มีอะไรผิดแปลก”

แมวดำฟุบลงกับคอเสื้อของเวินหุย หลับสนิทท่าทางพึงพอใจ แต่เซี่ยหลางไม่พอใจ เขาคว้าแมวกลับมาไว้ในอ้อมอกตน กระซิบเอ่ย “คนที่มีดวงชะตาเช่นเขาแทบจะไม่เป็นที่ยอมรับของฟ้าดิน นี่เป็นไปได้อย่างไร คนธรรมดาหากมีชะตาเช่นนี้มีหวังตายโหงไปนานแล้ว”

“ข้าไม่สน” เวินหุยพึมพำ “ถึงอย่างไรคุณชายก็มิใช่คนเลว”

 

เยี่ยจิ่วหยานั้นเอ่ยถามว่า ‘เจ้าเป็นใคร’

เฉินเวยเฉินอยู่ใกล้กับเขามาก ถูกสายตาเย็นเยียบดุจหิมะน้ำแข็งจับจ้องกดดันอยู่

“สหายเก่าที่มาพบเจอท่านโดยบังเอิญ” เฉินเวยเฉินตอบเบาๆ “พูดต่อไม่ได้แล้ว ขืนพูดอีกท่านต้องฆ่าข้าแน่”

เยี่ยจิ่วหยาจ้องตา เห็นแววตาอีกฝ่ายไม่เหมือนโกหก

“ข้าไม่มีสหายเก่า” เยี่ยจิ่วหยากล่าว “และไม่มีคนที่ต้องฆ่า”

“ข้ารักชีวิตมาก” เฉินเวยเฉินมอง “เยี่ยจิ่วหยา หนึ่งปีให้หลังรอข้าใกล้ตายแล้วจะบอกท่าน ที่ใช้จี้เมี่ยเซียงมาขู่ก็เพียงเพื่อจะโกงเจ้ากระบี่เยี่ยหนึ่งปี หนึ่งปีมีฤดูวสันต์ ฤดูคิมหันต์ ฤดูสารท ฤดูเหมันต์ รวมสามร้อยหกสิบห้าวัน สั้นยิ่งนัก”

เยี่ยจิ่วหยาย้อนถามเสียงเรียบ “จริงหรือ”

“จริงสิ” เฉินเวยเฉินตอบ “อะไรก็ตามที่ข้าพูดกับเจ้ากระบี่เยี่ย ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ไม่มีคำใดโกหกเลย หากมี…” เขาหยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ให้ฟ้าลงโทษทำลายข้าเป็นผุยผง ไม่อาจกลับเข้าสู่วัฏสงสารชั่วนิรันดร์”

เยี่ยจิ่วหยาไม่ถามต่อ อาจเพราะแววตานั้นคล้ายธารน้ำมรกตในวสันตฤดูและคำสาบานนั้นเหมือนปลายเข็มชุบยาพิษร้ายแรง อีกทั้งคนตรงหน้านี้สุดจะคาดเดา

หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน สำหรับเขาแล้วเพียงชั่วพริบตาเดียวจริงๆ

เฉินเวยเฉินมองดู หางตาเจือแววยิ้มนุ่มนวลบางๆ ชวนให้นึกถึงภาพพุ่มดอกซิ่ง[1]* กลางหมอกฝน ธารใสไหลริน หญ้านุ่มเขียวขจี

เบื้องหน้าเยี่ยจิ่วหยาพลันปรากฏภาพเงาร่างของผู้บำเพ็ญวิถีเซียนขึ้นมา

หนึ่งราชันสามจวินสิบสี่โหว ต่างสำนักต่างฝ่ายต่างเผ่าพันธุ์ ไม่ต่ำกว่าพันคน

ในจำนวนนี้ที่ฝืนวัฏสงสารเปลี่ยนแปลงชะตาชั้นฟ้าเกิดใหม่เป็นมนุษย์มีเพียงสองสามคน

กลับมิมีผู้ใดสามารถยิ้มแย้มเยี่ยงนี้

คนเช่นนี้ไม่มีวันบำเพ็ญเซียนสำเร็จ

วิถีเซียนมิอาจยอมรับความมากน้ำใจเช่นนี้

แสงจันทร์นอกหน้าต่างซีดจาง ดึกดื่นสรรพสิ่งเงียบสงัด

ครั้นอรุณรุ่งของวันใหม่มาถึงก็จะเผยให้เห็นดินแดนรกร้างน่าเวทนาที่เต็มไปด้วยควันไฟสงครามอีก

 

หลังจากคลุมร่างด้วยเสื้อคลุมแพรต่วนลายปักหรูหรา ถือพัดหน้าแพรด้ามเลี่ยมทอง เขาก็กลายเป็นคุณชายผู้งดงามที่เดินออกมาจากความหรูหราแห่งโลกโลกีย์อีกครา

เวินหุยใช้หวีทำจากนอแรดสางเส้นผมที่เหมือนสายน้ำของเขา ทันใดนั้นก็ถูกแสงสะท้อนวูบเข้าตา รีบหยิบจับมันออกมาอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ผมท่านขาวแล้ว”

คุณชายโบกพัด ยิ้มอย่างมิใส่ใจ “ลมฤดูสารทเริ่มโชย ผมขาวย่อมค่อยๆ ปรากฏเป็นธรรมดา หามีอันใดน่าเสียดายไม่”

พัดเล่มนั้นยังเป็นพัดเล่มเดียวกับตอนที่ออกจากเรือน หน้าพัดวาดรูปภูผาวารียามรุ่งเรือง หลังพัดเขียนบทกวีเศร้าโศก

ยังเป็นบทกวีที่ไร้ชื่อบทหนึ่ง

 

ลมสารทเอย พัดมาหาใจอาดูร ออกก็อาดูร เข้าก็อาดูร

ที่นั่งอยู่นั่นผู้ใดหนอ ผู้ใดมิโศกศัลย์

ทำข้าเกศาขาว’

 

เริ่มมีเสียงอ่านหนังสือดังมาจากห้องเรียนทางด้านนั้น เสียงบัณฑิตแว่วลอยมา ที่เอ่ยคือ “สามปีไร้จารีต จารีตย่อมเสื่อมถอย สามปีไร้ดนตรี ดนตรีจักเหือดหาย” และอื่นๆ อีก

ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเด็กๆ ฟังรู้เรื่องหรือไม่ ไม่มีผู้ใดส่งเสียงสักนิด มีเพียงบัณฑิตพูดเองเออเอง

เวินหุยพลันรู้สึกเย็นวาบจับหัวใจ กำผมขาวเส้นนั้น น้ำตาจวนจะหลั่งริน

เขาไม่เข้าใจหลักเหตุผลของอริยปราชญ์ เพียงได้ยินคำว่า ‘สามปี’ ‘เสื่อมถอย’ และ ‘เหือดหาย’ ก็รู้สึกเหมือนเข็มทิ่มตำหัวใจ

ปีนี้คุณชายของเขาอายุสิบเก้า ปีหน้ายี่สิบ ปีถัดไปไม่รู้

“คุณชาย” เขาถามอย่างระมัดระวัง “จะถอนหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก ถอนแล้วก็เจ็บ ไม่ดี” คุณชายเหมือนไม่ใส่ใจแต่อย่างใด

 

พวกเขากล่าวลาบัณฑิตแล้วเดินทางต่อ

ก่อนจากกันเฉินเวยเฉินได้มอบจี้หยกอันหนึ่งให้อาซู สีแดงฉานเหมือนผลึกโลหิต

“เยี่ยจิ่วหยา แต่โบราณมามนุษย์กับปีศาจอยู่คนละวิถี แม่นางผู้นั้นยินดีสลายพลังปีศาจที่บำเพ็ญมาเพียงเพื่อจะได้อยู่เคียงคู่กับสามีของนาง” บนรถม้าเฉินเวยเฉินพลันถาม “ท่านเดินย่ำไปทั้งสิบสี่โจวเพื่อเสาะหาของวิเศษที่เกี่ยวข้องกับพลังโชค นั่นทำเพื่ออะไรกัน”

เยี่ยจิ่วหยาตอบ “ได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น”

“ข้าไม่เชื่อ ท่านผู้นี้ไร้น้ำใจอย่างยิ่ง ยังจะมีผู้ใดสามารถไหว้วานท่านกระทำเรื่องใหญ่โตที่ขัดต่อมรรคาสวรรค์และเหตุผลได้”

“ตอบแทนบุญคุณ”

“บุญคุณอะไร”

“บุญคุณหนึ่งกระบี่”

เยี่ยจิ่วหยามองดูเฉินเวยเฉินเหมือนอยากสังเกตท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย

เฉินเวยเฉินกลับไม่มีท่าทีอันใด มีเพียงดวงตาที่เผยแววยิ้มออกมาจางๆ “…เช่นนี้นี่เอง”

 

ตลอดทางไร้วาจา ระหว่างทางหากมีเรือนก็ขอแวะพัก ไม่มีผู้คนก็เร่งรุดเดินทางใต้แสงดาวยามราตรี จนมาถึงนครหลวงเก่าของจงโจวซึ่งเรียกกันว่า ‘เมืองผีจิ่นซิ่ว’

ในเมืองจิ่นซิ่ว หมื่นผีคร่ำครวญ นอกเมืองจิ่นซิ่วมีแต่กระดูกขาว

เดิมราชวงศ์ของแคว้นหนานมิใช่ราชวงศ์ของแคว้นหนาน หากแต่เป็นการสืบเชื้อสายโดยตรงของราชวงศ์ฮ่องเต้จงโจว นครหลวงเต็มไปด้วยร้านทองบ้านเงิน ไข่มุกและหยกมากมาย เสียงดีดสีตีเป่าตลอดคืนรื่นเริงหรูหราอย่างยิ่ง แต่จนใจที่ต่อมาเกิดภัยสงครามกะทันหัน ม้าเกราะเหล็กของข้าศึกลงใต้ตีประตูเมืองแตก สังหารผู้คนหมดสิ้น ปล้นชิงเงินทอง และวางเพลิงเผาเมืองแสนมั่งคั่งที่ได้ชื่อว่าเมืองไร้ราตรีแห่งนี้ไปครึ่งเมือง

คนในเมืองที่ถูกสังหารล้วนกลายเป็นวิญญาณแค้น คร่ำครวญทุกค่ำคืน หลวงจีนเก่งกาจและนักพรตชราล้วนไม่อาจสวดส่งได้ เมืองจิ่นซิ่วจึงกลายเป็นเมืองผีจิ่นซิ่ว

ยามที่พวกเขามาถึงเป็นเวลาพลบค่ำ แสงสนธยาริมขอบฟ้าตะวันตกแดงฉานจนน่าตกใจ ประตูเมืองถูกแสงเงาในยามนี้ปกคลุมจนดูลึกลับ ต่อให้เป็นกายเนื้อที่ไม่ได้เบิกเนตรสวรรค์ก็ยังดูออกว่ามีไอทมิฬดำมืด

แมวในอ้อมอกเซี่ยหลางร้องเสียงแหลมชวนขนลุก นักพรตหนุ่มจึงปลอบอย่างนุ่มนวล “ชิงหยวน พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว”

เฉินเวยเฉินข้องใจมานาน ในที่สุดก็ถามว่า “ท่านทั้งสองเป็นพี่ชายน้องสาวท้องเดียวกันจริงหรือ”

เซี่ยหลางมองเขม่นปราดหนึ่ง

“ที่บ้านส่งข้าขึ้นอารามเต๋าบนภูเขากราบอาจารย์บำเพ็ญพรตตั้งแต่เล็ก” เขากล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งลงจากเขาไปเยี่ยมเยียน ปรากฏว่าคนที่บ้านเสียชีวิตหมดเพราะภัยสงคราม เหลือเพียงแมวดำที่ยังไม่หย่านมตัวหนึ่ง ข้าจึงอุ้มมันกลับภูเขา นับแต่นั้นมันก็คือน้องสาวข้า”

เวินหุยถลึงตาใส่คุณชายตนเอง ตำหนิที่ไปสะกิดแผลในใจผู้อื่น

“ไม่เป็นไร” เซี่ยหลางลูบขนแมวที่ชื่อเซี่ยชิงหยวนแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ถึงกับเป็นแผลในใจ ปลงตกนานแล้ว ไม่เช่นนั้นผู้ถือพรตคงไม่อาจถึงขั้นฟ้าระดับหนึ่ง”

พอเคลื่อนใกล้เข้าไปอีกพลันเห็นสตรีผู้หนึ่งสวมเสื้อแดงสดยืนอยู่ที่ประตูเมือง เส้นผมดำสนิท ร่างโปร่งอ้อนแอ้น ดูเผินๆ คล้ายผีร้าย ดูอีกทีท่าทางปกติเป็นคนมีชีวิต

ใบหน้าของนางสวมหน้ากากสีทองถือกระบี่หนักสีดำเหมือนกำลังรอพวกเขาโดยเฉพาะ

เมื่อเห็นเยี่ยจิ่วหยา นางก็เอ่ยว่า “เจ้ากระบี่เยี่ย”

เซี่ยหลางกำลังลงจากหลังม้า ตกใจจนแทบร่วงตก “กระบี่หนัก ‘ซุ่ยคุนหลุน’ ท่านคือชัน…ชัน…”

พอเจอะเจอผู้ยิ่งใหญ่เขาก็เกิดอาการติดอ่างอีกแล้ว เฉินเวยเฉินจึงเคาะศีรษะให้คราหนึ่ง “ลิ้นท่านล่ะ?…ชันหลงจวิน!”

เยี่ยจิ่วหยาทัก “ชันหลงจวิน”

นางพยักหน้าให้เขา หมุนกายถือกระบี่กระโจนขึ้นกลางอากาศ

เงากระบี่พร่างพรายเกลื่อนฟ้าสะท้อนกับชุดแดงที่พลิ้วไหว ขอบฟ้าสีแดงทองคล้ายมีมังกรคำราม

เห็นเพียงกระบี่ของนางอานุภาพใหญ่โต ทั้งกล้าแข็งและอ่อนโยน ก่อนจะพุ่งลงสู่ประตูเมือง

จนกระทั่งเงากระบี่และแสงสีแดงสลายไป สตรีผู้นั้นจึงค่อยๆ ร่อนลงตรงประตูเมือง ปานแดงใต้เส้นผมดำขลับเด่นชัดเป็นพิเศษ

ประตูเมืองปรากฏรอยแตกและค่อยๆ ขยายตัว เสียงดังสนั่นคราหนึ่ง พังทลายแยกจากกัน

ในเวลาเดียวกันคล้ายกับมีฉากกำบังไร้รูปร่างฉากหนึ่ง เสียงผีร่ำไห้แว่วมาในพริบตา เสียงจอแจนับพันหมื่นรวมตัวกันกรีดร้องเสียงแหลมเสียดหู ไอดำอบอวล ประตูเมืองแตกเป็นช่องเหมือนปากของสัตว์ประหลาดดุร้ายแยกเขี้ยวกำลังจะกัดกินคน

สตรีชุดแดงเก็บกระบี่อย่างหมดจด มองเห็นอักษรโบราณสามตัวบนฝักกระบี่สีดำ ‘ซุ่ยคุนหลุน’

นางแลดูสามคนที่อยู่หลังเยี่ยจิ่วหยา ถามว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด”

เซี่ยหลางดึงชายชุดนักพรตให้เรียบร้อย “ผู้ถือพรต เซี่ยหลาง”

“หลางหรันโหว” สตรีผู้นั้นผงกศีรษะให้อย่างเกรงใจ แล้วมองไปทางเฉินเวยเฉิน

“เฉินเวยเฉิน ผู้ติดตามจากแดนมนุษย์ที่เจ้ากระบี่เยี่ยรับไว้” น้ำเสียงเฉินเวยเฉินมีแววได้ใจ “นี่คือเด็กรับใช้ของข้า”

นางร้องคราหนึ่ง “หนึ่งไร้การบำเพ็ญเพียร สองไร้ขั้นบำเพ็ญ มีหรือเยี่ยจิ่วหยาจะรับเจ้าเป็นผู้ติดตาม”

คุณชายเฉินกะพริบตาปริบๆ “ถึงอย่างไรข้าก็มีหนังหน้าที่ไม่บาง”

นางทิ้งคำพูดให้ “ข้ามีนามว่าลู่หงเหยียน” ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปในประตูพร้อมกับเยี่ยจิ่วหยา

“ข้านึกออกแล้ว โลหิตไคหยางกลับมิใช่เจ้ากระบี่เยี่ยได้มาแต่ผู้เดียว” เซี่ยหลางขมวดคิ้ว

เฉินเวยเฉินเลิกคิ้ว “ท่านช่างรู้ข่าวคราวรวดเร็วจริง”

“อารามชิงจิ้งของข้ามีลูกศิษย์ลูกหาทั่วทั้งสิบสี่โจว ข่าวคราวย่อมรวดเร็ว” เซี่ยหลางพล่ามต่อ “เรื่องสังหารเจียวหลงและจิงหนีทะเลบูรพา ความจริงเป็นฝีมือเจ้ากระบี่เยี่ยผู้เดียว ตอนหงส์กำเนิดใหม่การต่อสู้ที่รังหงสานั้นมีเขาและชันหลงจวินสองคน”

“ถ้าเช่นนั้นที่บอกว่าได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น ผู้ไหว้วานคงเป็นแม่นางผู้นี้สินะ” เฉินเวยเฉินเปรยอย่างแช่มช้า

“อาจเป็นพวกเขาสองคนที่ถูกไหว้วานก็เป็นได้ แต่ผู้ถือพรตนึกไม่ออกจริงๆ จะเป็นชนชั้นใดกันหนอจึงสามารถให้เจ้ากระบี่เยี่ยและชันหลงจวินตอบแทนบุญคุณเช่นนี้…” เซี่ยหลางเดินต่อพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

เฉินเวยเฉินไม่พูดจา

[1]* ดอกซิ่ง คือดอกแอปปริคอต

บทที่ 8

เจ๋อจู๋ (หักไผ่)

สตรีชุดแดงเข้าประตูก่อน พริบตานั้นหมื่นผีร่ำไห้ กลิ่นของความคั่งแค้นที่บ้านแตกสาแหรกขาดแว่นแคว้นสูญสิ้นซึ่งอบอวลสั่งสมมานับร้อยปีโถมทะลักใส่นาง

เยี่ยจิ่วหยามองเซี่ยหลาง “เฝ้าประตูเมืองไว้”

นักพรตพยักหน้า มอบชิงหยวนให้เวินหุยช่วยอุ้ม ถือแส้จามรีขาวราวหิมะด้ามหนึ่งอยู่ในมือ ดูมีร่องรอยดั่งเซียนดุจนักพรตอยู่บ้างจริงๆ

เฉินเวยเฉินแลดูเยี่ยจิ่วหยา

เยี่ยจิ่วหยากล่าวกับเขาว่า “ใช้กระบี่เป็นหรือไม่”

คนผู้นี้รู้กำพืดของตนเองอยู่บ้าง เฉินเวยเฉินจึงไม่ปิดบัง “เป็นอยู่บ้าง”

ประกายเงินสว่างบาดตาวูบหนึ่ง เยี่ยจิ่วหยาโยนกระบี่ให้เล่มหนึ่ง คุณชายเฉินรับไว้

เดาะดูแล้วเปลี่ยนเป็นถือมือซ้าย

เซี่ยหลางเลิกคิ้ว

เยี่ยจิ่วหยาจ้องมองดู แต่ที่พูดออกมากลับเป็น “เจ้ารั้งอยู่นี่” จากนั้นก็หมุนตัวจากไป

เฉินเวยเฉินพิเคราะห์กระบี่เล่มนั้น ประกายกระบี่แวววาวโปร่งใส กระบี่มีนามว่าเจ๋อจู๋

“ราตรีหิมะหักไผ่ เป็นกระบี่ที่ดี” เขาชมเชย

“เจ๋อจู๋…นี่เป็นกระบี่ที่เจ้ากระบี่เยี่ยใช้เมื่อครั้งเยาว์วัย มิรู้ว่าเพราะเหตุใดภายหลังจึงเปลี่ยนเป็นกระบี่อีกเล่ม” เซี่ยหลางใช้วิชาเวทป้องกันวิญญาณร้ายหนีออกไปจากเมืองพลางกล่าวว่า “คุณชายเฉิน ข้าประหลาดใจนัก ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ แม้แต่กระบี่ยังใช้มือซ้าย ปิดๆ บังๆ ราวกับกลัวว่าคนจะจำได้”

เฉินเวยเฉินเช็ดถูกระบี่พลางเอ่ยยิ้มๆ “บัดนี้ข้าเป็นเพียงปุถุชน เห็นข้าใช้กระบี่ท่านก็จะจำได้ว่าเป็นผู้ใดหรือ”

เซี่ยหลางค่อนข้างภูมิใจ “ใช่สิ สองสำนักใหญ่ที่มีชื่อทางวิชากระบี่ แดนเหนือคือสำนักเจี้ยนเก๋อ รวบรัดฉับไว ส่วนสำนักเจี้ยนไถ (แท่นกระบี่) แห่งทะเลทักษิณ แปรเปลี่ยนซับซ้อนแต่งดงาม บรรดาจวินโหวที่ใช้กระบี่นั้น วั่นจวินโหวหนักแน่น หลิวโปโหวคล่องแคล่ว เฟยซวงโหวรวดเร็ว ชันหลงจวินกระบี่หนักสะท้านคุนหลุน หลันซานจวินหนึ่งกระบี่ก่อเกิดหมื่นธรรม ขอเพียงท่านใช้เพลงกระบี่ข้าก็จะสังเกตพบเบาะแสเอง รู้ว่าท่านอยู่ภายใต้สำนักใด” เขาราวกับนึกขึ้นได้จึงกล่าวต่อไปว่า “เอ้อ แต่ข้าไม่เคยเห็นกระบี่ของราชันเทพเยี่ยนหรอกนะ ตอนที่ท่านผู้นั้นเคลื่อนไหวในโลกนี้ข้ายังตัวเล็กตัวน้อยไร้ชื่อเสียง ด้านวิถีเซียนก็เพียงรู้ว่าท่านผู้นั้นเคยใช้กระบี่ปิดกั้นเป็นกำแพงขวางธารสวรรค์นับหมื่นหลี่ และน้อยคนที่จะเคยเห็นยามลงมือ แต่ท่าทางเช่นท่านย่อมมิใช่ราชันเทพแน่”

“นั่นน่ะสิ” ปลายนิ้วเฉินเวยเฉินลูบผ่านคมกระบี่ “ข้าย่อมเทียบเขามิได้”

“ไม่ถูกๆ รอประเดี๋ยว” เสียงพึมพำพล่ามกล่าวของเซี่ยหลางพลันดังขึ้น “ข้าเห็นกระบี่ของเจ้ากระบี่เยี่ยมีนามว่าจิ่วหยา กระบี่จิ่วหยา…ชื่อคุ้นจริง”

จู่ๆ เซี่ยหลางก็คล้ายคิดได้ทะลุปรุโปร่ง แทบจะกระโดด “ใช่แล้ว กระบี่จิ่วหยา นั่นมิใช่กระบี่ที่ราชันเทพเยี่ยนพกพาครานั้นหรือ เพียงแต่ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนไม่มีผู้ใดจำได้! ไม่ถูกต้อง หากเป็นกระบี่ของราชันเทพเยี่ยน ไฉนจึงมีนามว่า ‘จิ่วหยา’ เล่า เอ๊ะ แล้วเหตุใดเจ้ากระบี่เยี่ยจึงชื่อ ‘จิ่วหยา’ ด้วย”

เฉินเวยเฉินหัวร่อกล่าวว่า “คำว่า ‘จิ่วหยา’ เป็นนามจริงของเขา การตั้งชื่อกระบี่ตามนามเดิมของตนเช่นนี้ก็ไม่เห็นแปลก”

“เช่นนั้นกระบี่ของราชันเทพเยี่ยน…”

“กระบี่ดีเช่นนี้จะมีผู้ใดบ้างไม่รักชอบ หากจะมีผู้ยืมไปใช้สักหลายปีก็ไม่แปลก ยืมใช้เสร็จย่อมควรกลับคืนสู่เจ้าของ”

“ท่านนี่ช่างพูดจาเหลวไหลไม่มีเหตุผล” เซี่ยหลางพึมพำ

เฉินเวยเฉินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ กลับยื่น ‘เจ๋อจู๋’ ให้เวินหุย “ข้าไปแล้ว พลังฝีมือของเจ้านักพรตน้อยแซ่เซี่ยธรรมดามาก เจ้าถือไว้ป้องกันตัว”

จากนั้นเฉินเวยเฉินก็คลี่พัด เดินไปทางตัวเมืองไม่หันกลับมาอีก

“คุณชาย ท่านจะไปที่ใด” เวินหุยมินำพาว่าเซี่ยหลางพึมพำอะไร ตะโกนตามเฉินเวยเฉินที่กำลังจะลับไปที่ประตูเมือง

ขณะที่เขาคิดว่าคุณชายบ้าบิ่นของตนนั้นชอบแส่หาความตายกำลังจะถูกผีร้ายกลืนกินทั้งเป็นอยู่นี้ กลับเห็นร่างในชุดหรูหราเดินเข้าไปกลางฝูงภูตผีที่กำลังเต้นแร้งเต้นกา ถึงกับไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย

ฝูงผีร้ายคั่งแค้นรอบข้างไม่มีตัวใดที่พุ่งโจมตีใส่เขาเช่นเดียวกับตอนที่เยี่ยจิ่วหยาและลู่หงเหยียนก้าวเข้าไป ราวกับมองไม่เห็นและยังล่องลอยวนเวียนอย่างไร้จุดหมายอยู่ตามตรอก ต่อให้ประจันหน้ากับเฉินเวยเฉินแล้วก็เหมือนไม่รู้สึก ราวกับสิ่งที่เดินฝ่าพวกมันไปนั้นมิใช่มนุษย์ แต่เป็นฝุ่นธุลีที่ล่องลอย เฉกเดียวกับผีวิญญาณเหาะเหิน

ผ่านถนนสายกว้าง เลี้ยวคราหนึ่งแล้วเฉินเวยเฉินก็หายลับไปในทิศทางที่ต่างจากเยี่ยจิ่วหยา เงาร่างนั้นพลันดูอ้างว้างและเดียวดายอยู่หลายส่วน

เวินหุยเบิกตามองดูคุณชายของตนที่หายไปท่ามกลางฝูงภูตผี ในกลางกองไฟนรกราวกับข้ามจากแดนมนุษย์ก้าวสู่น้ำพุเหลือง[1]*

 

บ้านเรือนใหญ่โตเรียงรายอยู่สองฟากถนน ชายคาโค้งงอนงามสง่า หากเป็นในยุคสันติที่คึกคักรุ่งเรืองย่อมให้ความรู้สึกโอ่อ่าหรูหรา แต่ยามนี้แสงสนธยาลำสุดท้ายที่เหลือน้อยนิดกำลังจะลับไป แสงแดงฉานราวกับหยดโลหิตที่หลั่งลงบนดินสีดำสนิท ไร้สุ้มเสียง ทั้งถนนเหลือเพียงเงาทะมึนเป็นหย่อมๆ ไฟนรกริบหรี่ลอยไปมา ชั่วร้ายพิสดาร

ยิ่งเข้าไปกลางเมืองไอของความคั่งแค้นยิ่งหนาหนัก ภูตผีหาได้เป็นหมอกควันเลือนรางอีกต่อไป ผ่านไปสองถนนมาถึงถนนที่มีบ้านเรือนที่ชาวบ้านเคยพักอาศัย

มีเงาคนเคลื่อนไหว ด้วยจิตยึดมั่นถือมั่นหนาหนัก ผนึกจนมีร่างจริงขึ้นมา หากไม่นับดวงตาว่างเปล่าไร้แวว เสื้อผ้าเก่าขาดและฝีก้าวที่เชื่องช้าอืดอาดแล้วก็ไม่มีอะไรต่างจากมนุษย์

ผู้เฒ่าวัยเกินหกสิบยืนอยู่ที่ซากกำแพงมุมถนน มือหนึ่งยกค้างกลางอากาศ อีกมือหมุนไม่หยุด

ราวกับว่าที่นี่ยังคงเป็นแผงลอยร้านเกี๊ยวที่อยู่ในยุครุ่งเรือง ตกกลางคืนจุดโคมไฟแสงเหลืองอุ่นๆ ข้างหลังมีลูกค้านั่งอยู่ที่โต๊ะ พูดคุยกันพลางรอบะหมี่ควันร้อนกรุ่นชามหนึ่ง

เรือนที่อยู่ติดถนนแว่วเสียงสตรีร้องเพลงเสียงแหบแห้งเศร้าสร้อยว่า “เห็นเขาสร้างหอแดง เห็นเขาเลี้ยงแขกเหรื่อ เห็นหอห้องพังทลาย”

คุณชายที่ยืนกลางถนนถือพัดจีบมีภาพวาด หยกประดับกายส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง ลมราตรีพัดจนชายแขนเสื้อปลิวไสว

สตรีสวมชุดสีขาวหม่นนางหนึ่งเดินผ่านหน้าเขา ฝีก้าวหนักอึ้ง ถือโคมไฟริบหรี่ดวงหนึ่ง

“คุณชาย” ลูกตาขุ่นมัวหันไปมองทางเฉินเวยเฉินทันที ปากพึมพำว่า “หลี่หลาง ท่านเห็นหลี่หลางหรือไม่ เขาไม่กลับบ้านนานแล้ว”

เฉินเวยเฉินตอบ “หลี่หลางคนใดหรือ”

“หลี่หลางบ้านข้าน่ะสิ เขาตัวสูง…” วิญญาณล่องลอยหลับตา น้ำเสียงสับสน “สวม…ชุดดำ ยังมีชุดแดง…”

“ที่แท้เป็นหลี่ฮูหยิน” เฉินเวยเฉินกล่าว

วิญญาณล่องลอยลืมตาขึ้นอย่างยินดี “ข้าเอง ท่านรู้จักข้าหรือ นานแล้วที่มิมีผู้ใดรู้จักข้า”

“หลี่ฮูหยิน ข้าอยากถามว่าไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดของนครหลวงนี่เริ่มไหม้จากที่ใด”

“ไฟ…ไฟ…” วิญญาณล่องลอยถอยหลายก้าว เสียงแหบแห้งหวาดกลัว “ไฟ ไฟใหญ่ ฟ้าจะลุกไหม้แล้ว ร้อนจริง หลี่หลาง หลี่หลาง…”

“ฮูหยินไม่ต้องกลัว” นิ้วเรียวยาวของคุณชายแตะไปที่ไหล่นางเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยน

วิญญาณล่องลอยดวงนั้นงงงัน

เฉินเวยเฉินล้วงคันฉ่องบุปผาขนาดเท่าฝ่ามือออกมายื่นไปตรงหน้านาง “หลี่หลางอยู่ในนี้”

วิญญาณล่องลอยรับคันฉ่องทองเหลืองมา จ้องดูอย่างงงงันพลางพึมพำว่า “หลี่หลาง หลี่หลางของข้า…”

น้ำตาสายหนึ่งหลั่งรินลงจากแก้มขาวเทา นำพาความสับสนในดวงตาให้หายไป ปรากฏความสดใส

“คุณชาย” นางมองเฉินเวยเฉิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ในเมื่อท่านก็รู้อยู่ว่าหลี่หลางไม่อยู่แล้ว และข้าเป็นเพียงวิญญาณคับข้อง ไยจึงให้ข้าพบกับภาพหลอนเพียงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ข้าเสาะหามาร้อยปี ในที่สุดก็ได้พบหน้าหลี่หลางคราหนึ่ง แต่กลับเป็นภาพมายาเหมือนเงาในฝัน ท่านเก็บคันฉ่องกลับไปเถิด ข้ากับหลี่หลางต้องจากเป็นจากตายอีกครา มิใช่ยิ่งทุกข์ทรมานหรอกหรือ”

“ฮูหยิน โลกนี้การจากเป็นไม่ทุกข์ การจากตายก็ไม่ทุกข์ แต่ความคิดคำนึงกลับทุกข์ที่สุด” ขนตาคุณชายหลุบลง น้ำเสียงเนิบนาบอบอุ่น

วิญญาณล่องลอยสะอื้น “ใช่แล้ว สตรีอาภัพขอบคุณคุณชาย” นางย่อตัวคารวะต่อเฉินเวยเฉินอย่างอ่อนโยน “คุณชาย ไฟมาจากทางใต้”

เมื่อพูดจบเงาร่างก็ค่อยๆ โปร่งใสจนเลือนหายไป ความยึดมั่นถือมั่นที่มีสิ้นสุดลงแล้ว กลายเป็นควันสายหนึ่งลับไป กลับสู่ฟากฟ้าไร้สิ้นสุด ไม่มีความดีใจ ความโกรธ ความเศร้า ความสุขอีกแล้ว และปราศจากรักโลภโกรธหลง

คันฉ่องบุปผาร่วงลงพื้นดังเคร้ง กลิ้งกับพื้นหลายตลบ ส่งเสียงทึบๆ ฟังแล้วสะท้านใจ

เฉินเวยเฉินก้าวไปหลายก้าว เก็บคันฉ่องขึ้นแล้วมุ่งไปยังทิศใต้

 

ห้องหอศาลาเก๋ง กลิ่นอายภูตผีอึมครึม

ผ่านตรอกสายหนึ่งพลันได้ยินเสียงกระแทกคราแล้วคราเล่า

เสียงนั้นกลวงโปร่งแจ่มใส แฝงไว้ซึ่งความสงบที่ไร้ขอบเขต ไม่เข้ากับบรรยากาศเมืองผีแม้แต่น้อย

เป็นเสียงของความเมตตากรุณา

เฉินเวยเฉินเดินไปตามเสียงก็เห็นแท่นสูงแห่งหนึ่ง บนแท่นนั้นมีหลวงจีนชุดขาวกำลังนั่งเคาะปลาไม้[2]* สำหรับสวดมนต์อยู่ นอกจากมือขวาที่ถือไม้คล้ายค้อนสำหรับเคาะตีแล้ว ส่วนอื่นๆ บนตัวหลวงจีนไม่เคลื่อนไหวสักนิด เหมือนรูปปั้นหินรูปปั้นหนึ่ง

ราวกับได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา หลวงจีนจึงลืมตา ลุกขึ้นช้าๆ เอ่ยว่า “ประสก”

หลวงจีนมีอายุราววัยกลางคน ใบหน้าคิ้วคางดวงตาเปี่ยมด้วยแววการุณย์

เฉินเวยเฉินโบกพัดไปมาเป็นครั้งคราว น้ำเสียงคล้ายคุณชายเจ้าสำราญเป็นที่สุด “หลวงจีน ท่านรอที่นี่กี่ปีแล้ว”

“หนึ่งร้อยสามสิบห้าปี” เสียงของหลวงจีนสดใส “แม้อาตมาจะทุ่มเทสุดกำลังก็มิอาจสวดส่งผีคับข้องที่นี่ได้หมด จึงนั่งเข้าฌานสมาธิที่นี่ วิญญาณออกไปมิได้ อาตมาเองก็ไม่ออกไป”

“บัดนี้คนที่จะช่วยท่านกำลังมาแล้ว ท่านจะให้ช่วยหรือไม่”

“ย่อมต้องการให้ช่วย” หลวงจีนก้าวลงจากแท่นสูงทีละก้าว ปัดฝุ่นผงด้วยท่าทางสำรวม “มิทราบประสกมาที่นี่มีธุระอันใด”

เฉินเวยเฉินยังมุ่งหน้าต่อไปทางใต้ ปากพูดกับหลวงจีนว่า “ข้ามาเอาจิ่นซิ่วฮุย”

“ประสกมีเวรกรรมจากชาติปางก่อน เป็นมหันตกรรม หากนำขี้เถ้าวิเศษนี้ไปอีกจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”

“ยังอุตส่าห์มีคนอยากแย่งบาปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดนี้กับข้าอีก” หางตาเฉินเวยเฉินทอแววยิ้มเล็กน้อย “ข้าคงต้องรีบรุดไปก่อนสักก้าวจะได้คว้าจิ่นซิ่วฮุยก่อน ช่วยเขารับเวรกรรมนี้เอง”

 

[1]* น้ำพุเหลือง หมายถึงยมโลก

[2]* ปลาไม้ หรือบั๊กฮื้อ คือเครื่องเคาะจังหวะประกอบการสวดมนต์ ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง โดยมากจะแกะสลักเป็นรูปปลาซึ่งลืมตาอยู่ตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์ธรรมสื่อถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: